ปลายเดือน พ.ย. 57 ที่ผ่านมา แอนได้ไปทำ VASER หรือเรียกกันสั้นๆง่ายๆว่าการดูดไขมัน โดยแอนได้ไปทำที่ PMED Clinic วันนี้แอนมาตามคำสัญญานะคะ ที่จะมารีวิวขั้นตอน, เตรียมตัวก่อน Vaser, การดูแลและพักฟื้นหลังการดูดไขมัน, ความรู้สึก รวมถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการดูดไขมันกัน ขาจะเล็กลงแค่ไหน สาวๆที่อยากขาเล็กตามแอนไปชมรีวิวกันเลยนะคะ
ถ้ามองผิวเผินจริงๆเพื่อนๆอาจค้านสายตานิดนึงว่า หุ่นก็โอเคอยู่แล้ว สมส่วน เป็นคุณแม่ลูกสอง หุ่นขนาดนี้ก็โอเคดีแล้วนะ จะไปหาเรื่องเจ็บตัวทำไม มันจะอันตรายหรือเปล่า แล้วจะเจ็บแค่ไหน สารพัดคำถามคะ ทั้งจากคนรอบข้าง และความคิดตัวเองบางส่วนก่อนตัดสินใจแน่ๆที่จะทำการดูดไขมัน คราวนี้แอนเลือกใช้บริการกับ PMED Clinic ซึ่งเป็นคลินิกศัลยกรรมความงามที่มีชื่อเสียงมากๆแห่งหนึ่งคะ โดยมีนายแพทย์ปิยพล พัฒนครู หรือหมอต้นผู้ใจดี เป็นผู้ทำหัตถการเองเลยค่ะ
การหาข้อมูลว่าเราจะเลือกทำกับคลินิกสถานพยาบาลไหนก็สำคัญนะคะ ต้องดูความเชี่ยวชาญและความมีชื่อเสียงของคุณหมอเป็นหลักสำคัญเลย โดยที่ PMED Clinic และคุณหมอต้น ก็เป็นหนึ่งในยอดฝีมือด้านนี้ของประเทศไทย ดูได้จากใบ Certificated ต่างๆ ดีกรีไม่แพ้ใครแน่นอนค่ะ
สถานที่ก็สะอาดสะอ้านดีคะ ถึงจะเป็นคลินิกขนาดไม่ใหญ่มาก มีแพทย์ประจำแค่คนเดียว แต่ระบบการจัดการถือว่าค่อนข้างโอเคทีเดียวเชียวค่ะ วันที่แวะไปปรึกษาคุณหมอครั้งแรกไปเช้ามากคิวแรกเลยคนยังไม่เยอะ ถ้าวันไหนไปสักบ่ายโมง จะมีลูกค้ามารอคิวเพียบเลย
มีบริการเครื่องดื่ม ชา กาแฟด้วย
ทีนี้เพื่อนๆคงอยากรู้ว่าทำไมแอนถึงอยากทำ VASER หรือเรียกกันสั้นๆง่ายๆว่า การดูดไขมันกันนะคะ
ก่อนอื่นเลยแอนต้องขอเล่าถึงรูปร่างแอนแบบจริงๆก่อนนะคะ จริงๆแอนเป็นคนมีปัญหาต้นขา ต้นแขนใหญ่ และมีอาการพุงหลาม ซึ่งเกิดจากการคลอดน้องถึงสองคน ทำให้ผิวหนังหน้าท้องค่อนข้างขยาย ย้วย ไม่กระชับเหมือนสมัยสาวๆ ใจจริงคือกังวลทั้ง 3 สัดส่วนที่กล่าวมาคะ เรามาเริ่มลงรายละเอียดกันดีกว่าคะ ว่าเหตุใดแอนจึงเลือกทำที่ต้นขาก่อนเพื่อนนะคะ
1. ต้นแขน แอนเป็นคนที่กรรมพันธุ์ต้นแขนใหญ่มาก อูมเป็นลูกฟักตั้งแต่เด็กๆเลย ส่วนนี้ลดน้ำหนังยังงัยก็ไม่ยอมลงคะ และหลังจากพาแขนล่ำๆเข้าไปปรึกษาคุณหมอต้น คุณหมอจับๆดูแล้วให้ความเห็นว่า ต้นแขนของแอนดูดไขมันออกไปก็จะไม่ได้เล็กมาก เพราะส่วนที่ใหญ่ๆนั้น มันเป็นเนื้อเสียเยอะคะ ไขมันก็มี แต่ถ้าจะดูดไขมันออกให้เพรียวสวย จะต้องค่อยๆดูดออก แล้วนวดกระชับให้ท้องแขนเฟิร์ม แล้วค่อยทำการดูดอีกครั้งคะ ซึ่งแปลว่าต้องเจ็บตัวถึงสองครั้ง เลยเลือกที่จะตัดช้อยส์ข้อนี้ออกไปคะ ถ้าอยากจะเจ็บตัวครั้งเดียวให้คุณหมอต้นดูดออกเยอะๆก็ได้ แต่ท้องแขนจะย้วยห้อยแน่นอนค่ะ
2. หน้าท้อง ให้คุณหมอต้นจับดูด คุณหมอก็พิจารณาว่าผิวหน้าท้องของแอน แค่ไม่กระชับคะ ไขมันไม่ได้เยอะมากมาย ให้ลองออกกำลังกาย ลดการทานคาร์โบไฮเดรตลงสักนิด ก็จะดีขึ้นคะ ก็โอเคคะจะลองเชื่อคุณหมอดู ซึ่งก็เป็นไปตามคาดคะ พุงเล็กลง แต่แขนขาไม่ลด
3. ต้นขา คุณหมอต้นจับดูด เขย่าๆให้เนื้อเต้นนิดๆ ปรากฏว่าไขมันสะสมทั้งขาใน ขานอก และโคนขาหลังตรงช่วงใต้ก้นพอประมาณเลย แต่คุณหมอต้นยังย้ำอีกครั้งคะ ว่าแอนเป็นคนกล้ามเนื้อเยอะ ปริมาณไขมันที่ดูดออก ก็อาจไม่มากเท่าไหร่ ประกอบกับสรีระแอน เป็นคนที่มีสะโพกค่อนข้างใหญ่ ตอนช่วงวัยรุ่นประมาณ 36 นิ้ว แต่ปัจจุบันหลังจากคลอดน้องแล้วสะโพกขยายไป 38 นิ้วเลย ดูดไขมันแล้วก็ใช่ว่าจะได้ขาตะเกียบเรียวสวยอย่างนางแบบได้ แต่จะเรียว กระชับ และสมส่วนขึ้นแน่นอนจ้า
สุดท้ายคุณหมอให้กลับไปตัดสินใจอีกที แล้วค่อยนัดวันกับทางคลินิก ว่าจะทำส่วนไหน และเช็คคิวว่าคุณหมอว่างวันไหนคะ ปกติคิวคุณหมอค่อนข้างแน่น และจะรับคิวผ่าตัดแค่วันละไม่เกิน 3 เคสเท่านั้นคะ จากเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา เลยทำให้แอนตัดสินใจแน่ๆแล้ว ว่าจะเริ่มปฎิบัติการอัพสวย ด้วยการดูดไขมันที่ต้นขาก่อนคะ ต้นขาแอนค่อนข้างใหญ่จริงๆ ขออนุญาตแปะภาพก่อนทำ VASER ไว้ตรงนี้เลยละกันคะ
บริเวณต้นขาส่วนที่ใหญ่ที่สุด วัดได้ 55.5 เซนติเมตร
บริเวณรอบเหนือหัวเข่า วัดได้ 39.7 เซนติเมตร
เรามาทำความรู้จักกับ VASER กันก่อนดีกว่า VASER เป็นการดูดไขมันด้วยวิธี Ultrasound-assisted Liposuction System คือ การดูดไขมันด้วยวิธีใช้การสั่นสะเทือนเพื่อให้ cell ไขมันแตกตัว โดยที่ลดปัญหาการเสียเลือดจากการดูดไขมัน ด้วยวิธีปกติ โดยวิธีการนี้เรื่มเป็นที่นิยมในประเทศไทยมากขึ้น โดยเป็นเทคโนโลยี Ultrasound ที่เลือกทำลาย เป้าหมาย คือไขมันอย่างจำเพาะเจาะจง ( LipoSelection ) โดย ไม่ทำอันตราย ต่อเนื้อเยื่อ ข้างเคียง เช่น เส้นประสาท เส้นเลือด และ เนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่นๆ นอกจากนั้น VASER ยังช่วยให้ผิวกระชับ และฟื้นตัวเร็ว ทำให้ได้ผลการสลายไขมันที่ดีที่สุด ขณะที่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ไม่มีปัญหาเรื่อง ผิวขรุขระ หรือเป็นโพรงเหมือนการดูดไขมันในอดีต มีรอยช้ำน้อย ฟื้นตัวเร็ว บริเวณที่สามารถใช้ LipoSelection ได้แก่ แขน, สะโพก, หน้าอก, ทรวงอก, เข่า, ข้อเท้า, เอว, ท้อง, ใต้คาง, หลัง, ก้น, คอ, ต้นขา เป็นต้น
Ultrasound-assisted Liposuction System เป็นพลังงานคลื่นเสียงอัลตร้าโซนิก ซึ่งมีการทำงานแบบนุ่มนวล ได้ถูกนำมาใช้ทางการแพทย์เป็นเวลาหลายปีในหลายสาขา และล่าสุดคือการนำมาใช้สำหรับกำจัดไขมัน ซึ่งสามารถใช้พลังงานเลือกสลายเฉพาะส่วนที่เป็นไขมันส่วนเกินได้ โดยที่เนื้อเยื่อรอบๆอย่าง เส้นประสาท, เส้นเลือด และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ไม่ได้ถูกทำให้เสียหายไปด้วย อีกทั้งจุดเด่นของผลลัพธ์หลังทำ ผิวยังคงมีความเรียบกระชับ เกิดความบอบช้ำน้อย คนไข้ฟื้นตัวเร็วเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะได้รับจากการทำ
มาถึงขั้นตอนการดูดไขมันต้นขาแล้วคะ จริงๆไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย แอนว่าค่อนข้างปลอดภัยนะคะ ถ้าเราเลือกสถานพยาบาล, คลินิก หรือตัวคุณหมอเองที่มีความชำนาญ ส่วนตัวแล้วแอนไม่มีความกังวลใดๆกับการเริ่มต้นซึ่งถือว่าเป็นการทำศัลยกรรมครั้งแรกเลยค่ะ
1.) ถึงวันนัดคุณหมอจะตรวจร่างกาย ซักประวัติเล็กน้อยคะ เพื่อนๆที่มีประวัติโรคประจำตัว ก็แจ้งคุณหมอให้หมอนะคะ เพื่อคุณหมอจะได้แก้ปัญหาได้ทันท่วงทีหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาคะ แล้วพยาบาลก็จะให้เราไปเปลี่ยนชุดคะ โดยถอดชุดชั้นใน-ชั้นนอก ออกหมดเลยนะคะ ตอนดูดไขมันคุณหมอก็เห็นหมดนะคะ แอนยึดหลัก อยากสวยต้องไม่อาย 555
อย่าลืมนะคะ ว่าการเตรียมตัวก่อนทำการดูดไขมันก็สำคัญมากๆนะคะ เพื่อนๆควรอ่านรายละเอียดให้ดี และเตรียมตัวให้พร้อมคะ
• พบศัลยแพทย์เพื่อตรวจเช็คสุขภาพ ลักษณะผิวหนังและไขมันสะสม
• แจ้งให้แพทย์ทราบถึงโรคประจำตัวและประวัติการแพ้ยา เช่น ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, หอบหืด
• งดยาที่ทำให้เลือดหยุดช้า เช่น ยาแก้ปวดคลายกล้ามเนื้อ แอสไพริน วิตามิน E และวิตามิน C fish oil ถึงจะไม่ได้เสียเลือดเยอะ ก็กันไว้ก่อนนะคะ
• อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดก่อนมาพบแพทย์
• งดอาหารอย่างน้อย 6 ชม.
• ควรหลีกเลี่ยงการทำช่วงที่มีประจำเดือน อย่างที่บอกค่ะ เราโป๊ะหมดนะคะ
• ถ้าความดันสูงควรควบคุมความดัน ให้อยู่ต่ำกว่า 140/90 mm Hg (มิลลิเมตร ปรอท)
• ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ไม่ควรดูดไขมันปริมาณมากๆ เสียเลือดมาก ทำให้มีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตได้
• เตรียมตัวหยุดงานประมาณ 2 วัน และหาเพื่อนมารอรับกลับจะดีมากคะ เพราะเราอาจเดินไม่สะดวก
• งดสูบบุหรี่ ประมาณ 1 – 2 อาทิตย์ ก่อนผ่าตัด
แล้วคุณหมอจะเอาปากกา Permanent วาดตำแหน่งส่วนเกินที่จะทำการดูดออกไปค่ะ
2.) เมื่อเราพร้อมขึ้นเขียงแล้ว พยาบาลก็จะมัดแขน เหมือนเราเข้าห้องผ่าตัดปกติ ต้องบอกว่าเฉยมากเลยค่ะ เพราะแอนเข้าห้องผ่าตัดคลอดมาสองครั้งแล้ว จำได้ว่าครั้งแรกตื่นเต้นมาก สั่นกลัวไปหมด พอคลอดครั้งที่สองก็อารมณ์เดียวกับครั้งนี้เลยคะ สบายๆ ไม่น่ากลัวใดๆ จากนั้นพยาบาลก็จะทำความสะอาดบริเวณต้นขาทั้งหมด เพื่อฆ่าเชื้อ
3.) คราวนี้ได้เวลาเริ่มลงมือจริงๆแล้วคะ แอนเลือกใช้ยาชา เลยทำให้แอนมีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา คุณหมอชวนคุยตลอด ว่าถ้าเจ็บให้บอกนะครับ คุณหมอถามตลอดจริงๆคะ น่ารักมาก เริ่มต้นคุณหมอจะฉีดยาชาที่ตำแหน่งที่จะกรีดเพื่อเปิดตำแหน่งที่จะดูดไขมันก่อนคะ ขั้นตอนนี้จะเจ็บนิดๆเหมือนเวลาเราฉีดวัคซีนคะ แอนว่าสบายมากคะ ไม่หนักหนาอะไรพอเริ่มชาคุณหมอก็กรีดแผลเล็กประมาณ 0.5 ซ.ม. ที่โคนขาหลังบริเวณใต้ก้น 2 จุด ซ้ายขวา ในตำแหน่งระนาบเดียวกัน
4.) ต่อมาคุณหมอจะเติม สารละลาย Tumescence เข้าบริเวณที่ต้องการกำจัดไขมัน เพื่อช่วยให้เกิดอาการชา และทำให้หลอดเลือดบริเวณนั้นหดตัว ซึ่งช่วยให้การสูญเสียเลือดน้อยที่สุด และลดการเกิดรอยช้ำ สำหรับขั้นตอนนี้เราจะเริ่มรู้สึกแสบๆยิบๆนิดๆตอนที่สารละลายค่อยๆซึมไปตามเนื้อเยื่อต่างๆ แสบอยู่ไม่เกิน 5 นาทีคะ หลังจากนั้นจะไม่รู้สึกแล้วเพราะยาชาในสารละลายออกฤทธิ์เต็มที่ คุณหมอจะทำๆพักๆแบบค่อยเป็นค่อยไปนะคะ ถ้าเพื่อนๆที่เคยทำคาร์บ๊อกซี่มาก่อน แอนจะบอกว่าจะรู้สึกแสบๆประมาณเดียวกันเลยคะ โดยสารละลายนี้คุณหมอก็จะเติมแค่บริเวณที่คุณหมอวาดตำแหน่งไว้ ซึ่งก็คือบริเวณที่ไขมันจะถูกดูดออกไปนั่นแหละค่ะ แอบรู้สึกว่าคุณหมอเอามือป้องๆว่าอย่าให้สารละลายเกินเขตนี้นะ โดยพยาบาลก็จะขานตลอดว่าเดินสารละลายเข้าไปได้กี่ซีซีแล้วคะ
5.) มาถึงขั้นตอนดูดไขมันออก คุณหมอจะใช้พลังงานปล่อยคลื่นเสียง (ซึ่งเป็นพลังงานคลื่นเสียงที่มีความถี่เดียวกับเครื่องรักษาต้อกระจกดวงตา) เข้าไปยัง บริเวณเนื้อเยื่อเพื่อสลายไขมัน ไขมันที่ถูกสลายจะเป็นของเหลวทั้งหมด และจะถูกดูดออกอย่างนุ่มนวล โดยเนื้อเยื่อบริเวณรอบๆเกิดความเสียหายน้อยที่สุด
6.) แอนยังโดนเจาะเพิ่มอีกข้างละหนึ่งจุด บริเวณข้างหัวเข่าด้านใน เพื่อนดูดไขมันต้นขาด้านในและบริเวณหัวเข่าออกไปอีก เบ็ดเสร็จแล้วเจาะข้างละ 3 จุด
7.) เสร็จเรียบร้อยคุณหมอก็เย็บแผล พยาบาลทำความสะอาด เป็นอันเสร็จขั้นตอนทั้งหมด ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเต็มๆค่ะ
มาดูผลงานไขมันที่ออกมากันคะ จะสังเกตเห็นว่าปริมาณที่ได้ค่อนข้างน้อย เพราะเราไม่ต้องสูญเสียเลือดเจือปนออกมาเยอะค่ะ ที่จริงเค้าจะเก็บที่ขวดโหลค่ะ แต่ถ่ายในขวดโหลไม่ทัน พี่พยาบาลเลยเทใส่ถุงให้เราเอากลับไปเป็นที่ระลึกเรียบร้อย จริงๆแล้วไขมันที่ดูดออกมาสามารถฉีดกลับไปเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องส่วนอื่นของร่างกายเราได้นะคะ เช่น แก้ปัญหาแก้มตอบ, เบ้าตาลึก, ร่องแก้ม หรือจะฉีดเพิ่มขนาดหน้าอกก็ยังได้ด้วยค่ะ
ไขมันที่ดูดออกจับใส่ถุงให้ดูกันจะจะ
หลังจากทำ VASER เสร็จเรียบร้อย พี่พยาบาลก็จะนำผ้าพันแผลขนาดใหญ่มาพันต้นขาให้กระชับไว้ เป็นอันกลับบ้านได้จ้า
สำหรับการดูแลและพักฟื้น คุณหมอต้นได้อธิบายอย่างละเอียดเลยว่าจะมีอาการบวม ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ต้องพันผ้ากระชับบริเวณที่ดูดไขมันไว้ตลอด 2-6 สัปดาห์ โดยพันทั้งวันทั้งคืน หรือใส่กางเกงกระชับสัดส่วนเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และพันต่อเฉพาะตอนกลางวันอีก 4-5 สัปดาห์ บริเวณที่ทำการดูดไขมันจะเข้าที่ภายใน 4-8 สัปดาห์ ช่วง 1-3 วันแรก แผลผ่าตัดจะมีน้ำเกลือซึมออกมามาก ควรทำการเปลี่ยนผ้าก๊อตปิดแผลอย่างน้อย 1 ครั้งต่อวัน หรือเมื่อรู้สึกแผลแฉะ
ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากดูดไขมันจริงๆหลังจากดูดแล้วก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้เลยนะคะ แต่ถ้าสามารถลาพักได้ ก็พักผ่อนสัก 2-3 วัน กำลังพอเหมาะคะ เพราะ 2-3 วันหลังจากดูดไขมันมา เราอาจรู้สึกเจ็บๆตึงๆที่แผลเท่านั้น ซึ่งแผลก็เล็กมากๆ ไม่ได้เจ็บขนาดลุกออกจากบ้านไปไหนไม่ได้ แต่เราอาจจะเคลื่อนไหวได้ช้าลง อาจนั่งหลังตรงไม่สะดวก เพราะมีแผลที่ใต้ก้น 2 จุด ก็จะนั่งเอนหลังแทนคะ
ภาพนี้เป็นภาพวันรุ่งขึ้นหลังจากดูดไขมันเสร็จคะ รู้สึกได้ทันทีว่าเล็กลง ไขมันช่วงใต้ก้น ใต้ขาหนีบ และช่วงขานอกใต้สะโพก ยุบไปทันที เจาะทั้งหมด 6 จุด ตามตำแหน่งผ้าก็อตเลยค่ะ โดยรวมก็ยังมีอาการบวมน้ำเกลือร่วมอยู่ด้วย รอยฟกช้ำยังไม่แสดงให้เห็นเท่าไหร่นักคะ
หลังจากทำได้ 3 วัน รอยช้ำจะแสดงให้เห็นชัดเจนขึ้นมากๆ แต่ก็ค่อยๆจางลง มันไม่ได้อยู่กับเรานานจ้า แต่ก็มีเพียงแค่ 2 ตำแหน่งนี้ที่ช้ำเยอะๆ ภาพนี้เป็นภาพวันที่ 9 หลังจากดูดไขมัน ซึ่งรอยช้ำจางลงไปประมาณ 50% แล้ว และรอยช้ำหายหมดเกลี้ยงภายใน 14 วันคะ
พอครบ 14 วัน คุณหมอต้นก็จะนัดเข้าไปนวดกระชับด้วยเครื่อง RF โดยแถมให้นวดฟรีๆคนละ 5 ครั้งเลย
เจ้าเครื่อง RF นี้ จะช่วยนวดสลายไขมัน ลดเซลลูไลท์ ยกกระชับสัดส่วนไปในตัว
สุดท้ายเรามาวัดสัดส่วนหลังจากดูดไขมันไป 6 สัปดาห์กันนะ
บริเวณต้นขาส่วนที่ใหญ่ที่สุด วัดได้ 52 เซนติเมตร ลดไปทั้งหมด 3.5 เซนติเมตร (55.5-52)
บริเวณรอบเหนือหัวเข่า วัดได้ 37.5 เซนติเมตร ลดไปทั้งหมด 2.2 เซนติเมตร (39.7-37.5)
สำหรับค่าใช้จ่ายในการ Vaser ครั้งนี้เป็นแบบเหมาจ่าย 45,000 บาท สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ ค่อนข้างปลื้มทีเดียวคะ สัดส่วนอาจไม่เล็กลงมากนัก แต่เวลานั่งจะเห็นได้ชัดเลยว่า ไขมันที่ปลิ้นออกมาเวลานั่งลดลงอย่างชัดเจน ต้นขาเรียวขึ้น แต่ยังรับกับโครงสะโพกเดิมของเราที่เป็นคนสะโพกใหญ่ แถมผิวเปลือกส้ม หรือเซลลูไลท์ก็หายไปด้วย ปลื้มมากจริงๆค่ะ
นอกจากการทำ Vaser แล้ว ที่ PMED Clinic ยังเชี่ยวชาญในการทำศัลยกรรมอื่นๆ เช่น เสริมจมูก, ศัลยกรรมเหลาคาง, เสริมหน้าอก ฯลฯ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม :
http://www.pmedclinic.com/
https://www.facebook.com/Pmedclinic
โทรศัพท์ : 087 549 1203
ปล.หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป