ผมกับภรรยาเดินทางกันมาแล้วทั่วโลก แต่บางประเทศก็รู้สึกว่าเดินทางด้วยตัวเองลำบากจริงๆ อย่างเช่น ประเทศจีน เนื่องจากอุปสรรคด้านภาษา หากใครไม่รู้ภาษาจีนนี่จะถือว่าเป็นใบ้โดยสมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งการสั่งอาหารการกินยังยากเลย ยังไม่ต้องไปพูดถึงการเดินทางไปยังสถานที่เที่ยวต่างๆเลย ยิ่งยากเข้าไปอีก การท่องเที่ยวไปยังประเทศจีนด้วยการใช้บริการบริษัททัวร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีมาก
ปลายเดือน ธ.ค. 58 ผมกับภรรยาได้เดินทางไปท่องเที่ยวมณฑลเสฉวน-ฉงชิ่ง ประเทศจีน 7 วัน 6 คืนกับทัวร์ SBA Travel โดยทริปนี้เป็นทริปตามรอยสามก๊ก คนที่อ่านสามก๊กมาจะได้มีโอกาสไปชมสถานที่จริงในประวัติศาสตร์ เพื่อซึมซับอรรถรสในเรื่องราวต่างๆเพิ่มขึ้น แต่คนที่ไม่รู้เรื่องราวสามก๊กเลย ไม่ต้องกังวลครับ เพราะที่เที่ยวแต่ละที่บอกเลยว่าสวยงามและเที่ยวสนุกมาก แม้คนไม่รู้ประวัติศาสตร์ก็ยังสนุกได้ มีที่เที่ยวมรดกโลกมากมายที่ต้องบอกเลยว่าควรค่าแก่การพาตัวเองมาชมให้ได้สักครั้งในชีวิต แถมฟินด้วยกิจกรรมอื่นๆอย่าง แช่ออนเซ็น, เดินเล่นช้อปปิ้ง, ชมหนัง 4 มิติ ฯลฯ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่เที่ยวน่าสนใจและประทับใจมากๆเลยทีเดียว
ทริปนี้จะเริ่มจากเฉิงตู ตะลอนผ่านเมืองต่างๆด้านทิศเหนือของเสฉวน ผ่านสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติที่สวยงาม ออกไปยืนระเบียงกระจกบนภูเขาสูงให้เสียวหัวใจเล่น ตามรอยภาพยนตร์ดัง Tranformer 4 เยือนมหานครที่ประชากรเยอะที่สุดในโลกอย่างฉงชิ่ง จะสนุกแค่ไหน ตามไปรับชมรีวิวกันครับ
โปรแกรมการเดินทางตามรอยสามก๊กตะวันตก – เฉิงตู – เสฉวน – ล่างจง – ฉงชิ่ง 7 วัน 6 คืน โดย SBA Travel มีดังนี้ครับ
วันที่ 1 – บินการบินไทยไปถึงเมืองเฉิงตู เที่ยวศาลเจ้าบังทอง ชมเส้นทางถนนวัวทอง แช่ออนเซ็นแสนสบายที่โรงแรม 5 ดาว
วันที่ 2 – ไปชมเมืองเป๋ยชวน เมืองที่เคราะห์ร้ายโดนแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ปี 2008 แถมยังถูกซ้ำด้วยแผ่นดินถล่ม ทำให้เมืองทั้งเมืองกลายเป็นอนุสรณ์ให้มนุษย์ตระหนักถึงความรุนแรงของภัยธรรมชาติต่างๆ ช่วงบ่ายไปชมด่านเจี้ยนเหมินกวน ด่านที่แม่ทัพเกียงอุยนำทหารต้านทัพวุยก๊ก ด่านนี้มีธรรมชาติสวยงาม และเป็นแหล่งชัยภูมิสำคัญ “หนึ่งคนต้าน หมื่นคนมิอาจผ่าน”
วันที่ 3 – เที่ยวเมืองกว่างหยวน ชมวัดพระนางบูเชคเทียน จักรพรรค์ดินีองค์เดียวในประวัติศาสตร์ชนชาติจีน ชมผาพระพุทธรูป 1000 องค์ ช่วงบ่ายไปเดินเที่ยวเมืองโบราณจวาฮว่า สถานที่รบกันสุดมันส์ของขุนพลเตียวหุยกับม้าเฉียว ถอดรหัสภาพพยากรณ์จากนอสตราดามุสแห่งเมืองจีน “หยวนเทียนกัง”
วันที่ 4 – เที่ยวเมืองล่างจง เมืองที่ได้รับยกย่องว่าเป็นเมืองโบราณที่สมบูรณ์ที่สุด 1 ใน 4 ของจีน ชมที่ทำการเตียวหุย ทดลองสอบจองหงวนแบบจริงๆ เที่ยวพิพิธภัณฑ์ฮวงจุ้ย
วันที่ 5 – เดินทางสู่เมืองต้าจู๋ เที่ยวชมมรดกโลก ผาพระพุทธรูปหินแกะสลัก และกวนฮิมพันมือพันตาอันศักดิ์สิทธิ์
วันที่ 6 – ตามรอยภาพยนตร์ดัง “ศึกโค่นบัลลังก์วังทอง” ของจางอี้โหม่ว และ Transformer 4 ที่มรดกโลก “บ่อหลุมฟ้า สะพานมังกร” กลับมาเที่ยวมหานครฉงชิ่ง ถนนโบราณฉือชีโช่ว อาคารโบราณหงหยาตง เดินเล่นถนนคนเดินเจี่ยฟางเป่ย
วันที่ 7 – เที่ยววัดหลัวฮั่น พระอรหันต์ 500 องค์ เข้าไปชมศาลาประชาคม พิพิธภัณฑ์ชานเสีย เดินทางกลับกรุงเทพ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าทัวร์ SBA เค้าจะมีมาตรฐานของเค้านะ ตัวอย่างเช่น บินด้วยการบินไทย พักโรงแรมต้อง 4-5 ดาว อาหารต้องจัดเต็ม บริการเสริมอะไรในที่ท่องเที่ยวเช่น รถกอล์ฟ หรืออะไรที่จะได้รับความสะดวกสบาย จะมีให้หมด ดังนั้นราคาอาจจะสูงกว่าที่อื่น แต่ก็แลกมาด้วยความสะดวกสบายที่เข้าใจได้นะครับ
เริ่มเดินทางกันเลยนะ เช็คอินเคาน์เตอร์การบินไทยก่อน
พิเศษสำหรับลูกทัวร์ของ SBA มีคูปองส่วนลด King Power Duty Free ด้วยนะ ดีงาม
บินการบินไทย ทีวีส่วนตัว แอร์คนไทย ดูแลอย่างไทยๆ สบายใจมากเลย
ตุนอาหารไทยกันไว้ก่อนจะไปเจออาหารจีนนะครับ
ใช้เวลาบินประมาณสามชั่วโมงกว่าๆ ก็เดินทางถึงเฉิงตูแล้ว แต่ว่าเราก็เดินทางไปเที่ยวกันต่อที่เมืองเต๋อหยางเลย
ที่เมืองเต๋อหยางมีศาลเจ้าบังทองเป็นสถานที่เที่ยวแรกของทริปนี้เลย
เข้ามาจากประตูทางเข้า ก็จะเจอถนนเส้นทางวัวทอง
เส้นทางวัวทอง ซึ่งเป็นถนนโบราณฉินหรือก๊กสู่ (จ๊ก) สร้างในราชวงศ์ตอนปลายของสมัย ชุนชิว(เลียดก๊ก) แบ่งเป็นสองตอน ตอนเหนือสร้างโดยเจ้าเมือง ฉิน “ฮุ้ยเต้” และตอนใต้สร้างโดยเจ้าเมืองก๊กสู่(จ๊ก) ประมาณ ปี 676-650 ก่อน ค.ศ.(ไล่เลี่ยกันกับถนนโรมันโบราณ – Roman Road ปี 583-476 ก่อน ค.ศ.) ซึ่งเป็นถนนที่เชื่อมระหว่าง ก๊กสู่กับก๊กฉิน โดยเริ่มต้นจาก เมืองเฉิงตู (มณฑลเสฉวน) ผ่านป้อมปราการ เจี่ยนเก๋อเข้าสู่ก๊กฉิน(มณฑลส่านซี) จรดเมืองเสียนหยาง ระยะทางประมาณ 1200 กิโลเมตร
โดยตำนานทางพงศาวดารเล่ากันว่า สมัยฮุ้ยเต้ ฮ่องเต้แห่งก๊กฉินรู้ว่าเจ้าเมืองสูเป็นผู้โลภมาก จึงจัดงานเลี้ยง พร้อมทั้งสร้างวัวไม้โดยในท้องวัวทำเป็นเฟือง และป้อนก้อนทองคำเข้าไป เมื่อเจ้าเมืองสู่มาในงานเลี้ยง เจ้าเมืองฉินก็ลากวัวออกมาโชว์ วัววิ่งไปรอบหนึ่งก็อึก้อนทองคำออกมา ลากไปก็อึไป เจ้าเมืองสู่บอกว่า เมืองฉินคงรวยด้วยวัวนี้ ไม่ทราบว่ามีวัวเช่นนี้มากเพียงไร เจ้าเมืองฉินบอกว่า บ้านเรามีมากนัก หากท่านอยากได้ก็สร้างถนน เจ้าเมืองสู่สั่งให้ อู่ติง ทำทหารนับพัน ไปสร้างถนน
หลังจากถนนสร้างเสร็จ วัวไม้ได้ไปแต่ทหารฉินก็บุกเข้ายึดเมืองสู่ ในทันใด ถนนสายนี้จึงขนานนามว่า “ถนนวัวทอง” นั้นก็คือ “ถนนฉิน-สู่โบราณ”อันลือชื่อ ควบคู่กับถนนโรมันโบราณ-Roman Road ของจักรวรรดิ์โรมันทางยุโรปเลย
ภายในศาลเจ้าบังทองก็จะมีภาพและชีวประวัติของกุนซือที่ปรึกษาคนสนิทของเล่าปี่แสดงไว้ด้วย
บรรยากาศในศาลเจ้าค่อนข้างจะสงบมาก
บริเวณนี้คือ สุสานของบังทองครับ
ม้าขาวเต๊กเลา ม้าตัวนี้ที่จริงเป็นของเล่าปี่ เป็นม้าที่มีลักษณะดีและร้ายในเวลาเดียวกัน ถูกทำนายว่าจะให้โทษแก่ผู้ขี่ ช่วงที่เล่าปี่เดินทัพเข้าเสฉวน จะต้องแยกเป็นสองทาง ทางหนึ่งนำโดยเล่าปี่ อีกทางนำโดยบังทอง ช่วงที่กำลังจะออกเดินทัพ บังทองเกิดตกลงจากม้า เล่าปี่เห็นแล้วเกิดความสงสาร จึงเปลี่ยนม้าขาวเต๊กเลาไปให้บังทองขี่แทน บังทองขอบคุณเล่าปี่ และเคลื่อนทัพไปในทันที ครั้งมาถึงทางแคบผาชัน บังทองหยุดม้าเงยหน้า เห็นอักษร 3 ตัว “ลั่ว เฟิ่ง พอ” ซึ่งมีความหมายว่า “เนินหงส์ร่วง” ซึ่งฉายาของบังทองคือ หงส์น้อย
บังทองตกใจ คาดว่าอาจจะมีเหตุการณ์ไม่สู้ดีเกิดขึ้นจึงรีบถอยทัพ แต่ข้าศึกที่สุ่มอยู่บนเขาสองข้าง ตะโกนว่า “ระดมยิงผู้ขี่ม้าขาว นั้นคือเล่าปี่” ธนูนับร้อยนับพันจึงพุ่งเป้าไปที่ผู้ขี่ม้าขาว น่าสงสาร บังทองต้องตกม้าตายคาที่ เพราะศัตรูคิดว่า ผู้ที่ขี่ม้าขาวนั้น คือ เล่าปี่ นั่นเอง
มีหุ่นรูปปั้นห้าทหารเสือของจ๊กก๊กด้วย (กวนอู, เตียวหุย, จูล่ง, ฮองตง, ม้าเฉียว)
เที่ยวเสร็จก็เดินทางไปเข้าที่พักที่ โรงแรม Mianzhou Hot Spring Hotel
โรงแรมหรูมาก เตียงนอนสบายเลยครับ
แต่ไฮไลท์เด็ดอยู่ที่ที่นี่มีน้ำแร่ออนเซ็นให้แช่กันด้วย มีทั้ง Outdoor และ Indoor
แต่ละบ่อมีสีที่ต่างกันเพราะมีอุณหภูมิ และส่วนประกอบแร่ธาตุต่างๆที่แตกต่างกัน
ที่นี่ใส่ชุดว่ายน้ำลงแช่ได้ครับ (ไม่เหมือนที่ญี่ปุ่นนะ ที่ต้องแก้ผ้าเลย)
นอกจากนี้ยังมีบ่อทรายร้อนด้วย SBA มาตรฐานโรงแรมที่พักเค้าสูงจริงๆ สุดยอดมากครับ
เช้าวันใหม่ คณะเดินทางต่อมายังเมืองเป่ยชวน เมืองที่เคราะห์ร้ายโดนแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ปี 2008 แถมยังถูกซ้ำด้วยแผ่นดินถล่ม ทำให้เมืองทั้งเมืองกลายเป็นอนุสรณ์ให้มนุษย์ตระหนักถึงความรุนแรงของภัยธรรมชาติต่างๆ
ภาพนี้คือภาพของเมืองเป่ยชวนก่อนการแผ่นดินไหว
ภาพนี้คือสภาพเมือง วันที่เกิดแผ่นดินไหว 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ภัยแผ่นดินไหวส่งผลให้ตัวอำเภอเมืองเก่าเป่ยชวนพังราบเป็นหน้ากลอง
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เกิดแผ่นดินถล่มในเดือนตุลาคม ปีเดียวกัน
ปัจจุบันเมืองเป่ยชวน ไม่มีประชากรอาศัยอยู่แล้ว เนื่องจากภัยธรรมชาติทั้งสองครั้ง
นี่คือ ภาพ Before และ After ของโรงแรมของเมืองนี้ครับ
ที่ตรงนี้ว่ากันว่ามีการนำผู้บาดเจ็บและต่อมาเสียชีวิตลงมาฝังรวมกันไว้บริเวณนี้หลายพันชีวิต ป้ายหลุมเขียนไว้ว่า 2008 5.12 14.28 หมายถึง ปี 2008 เดือน 5 วันที่ 12 เวลา 14.28 น.
ในวันนี้ซึ่งแม้เวลาผ่านไปหลายปี แต่ผู้คนจำนวนมากก็ยังทยอยกันเดินทางมาที่นี่เพื่อร่วมไว้อาลัย กับเหตุการณ์ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แต่จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เราจะได้พบว่า อำเภอเป่ยชวนได้ฟื้นคืนสู่ชีวิตใหม่ จากความร่วมมือของหลายฝ่ายรวมถึงชาวจีนโพ้นทะเล ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โครงการก่อสร้างและฟื้นฟูเขตประสบภัยมณฑลเสฉวนเป็นไปด้วยความสำเร็จ มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบหน้ามือเป็นหลังมือชาวเมืองมีที่อยู่อาศัยที่ดีขึ้น มาตรฐานด้านสาธารณะบริการมีการปรับสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งการพัฒนาทางเศรษฐกิจก็ได้รับการฟื้นฟู และพัฒนาไปไกลกว่าเมื่อก่อนเกิดเหตุแผ่นดินไหว
สภาพตึกชวนให้รู้สึกหดหู่มากๆ เนี่ยละนะ คนเราทำลายธรรมชาติอย่างไม่คิด พอธรรมชาติมาเอาคืนบ้าง ก็รุนแรงแบบนี้แหละครับ
ใกล้ๆกันก็มีร้านขายของสำหรับนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาเมืองเป่ยชวนนี้
ต่อสนุกมาก ราคาจาก 100 จบกันที่ 40 เลยทีเดียว
ของที่ระลึกต่างๆ
บางร้านก็ขายเนื้อสัตว์ป่านะ แขวนขายกันแบบนี้เลย สุดยอดมาก ไม่เคยเจอแบบนี้เลย
แวะพักทานอาหารเที่ยงกันครับ SBA เค้ามาตรฐานสูงมาก ไกด์ท้องถิ่นบอกว่าทัวร์อื่นจะมีค่าอาหารหัวละ 25-30 หยวนต่อมื้อ แต่ของ SBA 50 หยวนต่อมื้อครับ
ตามภาพครับ อาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารจีนเสฉวนครับ จัดมาให้เยอะ ทานกันไม่หมดทุกมื้อ และที่ชอบมากคือ หากว่าลูกทัวร์คนไหนทานอาหารจีนไม่ได้ หรือเกิดเบื่อๆ หัวหน้าทัวร์มีพกน้ำพริก และน้ำจิ้มซีฟู๊ดมาให้ด้วยนะครับ ดีงาม
อิ่มแล้ว มากันที่ด่านเจี้ยนเหมินกวน เที่ยวต่อเลย
บริเวณทางเข้ามีการแสดงขงเบ้งอยู่พอดีเลย จังหวะดีมาก
คุณนายแอนกับภาพนูนต่ำสวยๆ
รูปปั้นขุนพลและเหล่าทหารจากจ๊กก๊ก ที่นำโดยแม่ทัพเกียงอุย รบต่อต้านกองทัพวุยก๊กที่มีจำนวนมากกว่าหลายเท่าได้ด้วยความได้เปรียบของชัยภูมิตั้งรับที่ด่านแห่งนี้
ทางเดินทัพเป็นทางไม้ลัดเลาะตามภูเขาแคบๆ ที่นี่ต่อให้มีกองทัพจำนวนเยอะแค่ไหน ก็ไม่สามารถใช้ความได้เปรียบเรื่องจำนวนครับ
และก็ถึงแล้วด่านเจี้ยนเหมินกวน(ในหนังสือสามก๊กจะคือ ด่านเกียมโก๊ะ) สุดยอดชัยภูมิการตั้งรับ ขนาดขงเบ้งสุดยอดนักปราชญ์ในยุคนั้นกล่าวถึงที่นี่ว่า “หนึ่งคนต้าน หมื่นคนมิอาจผ่าน”
ที่นี่คือสุดยอดยุทธภูมิ หากจะยกทัพโจมตีเสฉวนจะต้องผ่านด่านแห่งนี้ ตลอดทางจะเป็นสะพานไม้ที่มีทางแคบๆก่อนจะมาเจอกับป้อมปราการอันแข็งแกร่ง ดังนั้นทหารจำนวนมากแค่ไหนก็ไม่มีผลต่อการโจมตี ฝ่ายป้องกันแม้จะจำนวนน้อยก็สามารถป้องกันได้ไม่ยาก
ปลายๆสมัยสามก๊ก ขุนพลเกียงอุยแห่งจ๊กก๊กนำทหารเพียงแค่ 30,000 คน สามารถต้านทหารจากวุยก๊กได้ถึง 130,000 คน แต่น่าเสียดายที่แม้ด่านจะไม่ได้แตก แต่พระเจ้าเล่าเสี้ยนกลับยอมแพ้ให้กับวุยก๊กไปก่อน จากนั้นก็ส่งสาสน์มาเรียกตัวให้เกียงอุยและนักรบที่ด่านนี้ยอมแพ้ต่อทัพวุยก๊กในเวลาถัดมา
ขึ้นชมด้านบนก็ได้นะ
วิวสวยมากครับ ถือเป็นอีกที่ที่สวยงามเกินความคาดหมายไว้
ข้ามสะพานไม้สวยๆ ถ่ายภาพสนุกเลยแหละ
มีภาพยนตร์ 4 มิติให้ชมกันด้วย คืออันนี้สนุกมากเลย เค้าจะเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ต่างๆ มีแว่นตาให้ใส่ภาพเป็น 3 มิติ ส่วนมิติที่ 4 คือจะมีน้ำกระเด็น, งูเลื้อย, ลูกศรปัก เหมือนเราอยู่ในเหตุการณ์เลย สนุกมาก
ที่บริเวณด่านก็จะมีร้านให้เช่าชุด Cosplay ให้ถ่ายรูปเป็นขุนศึกและแม่นางเลย สนุกมาก ไม่แพงด้วย แค่ 15 หยวน (ประมาณ 80 บาทเอง)
วันที่สามของการเดินทาง เรามาเที่ยวที่วัดพระนางบูเชคเทียน
วัดหวงเจ๋อซื่อ หรือ วัดประจำองค์จักพรรดินีพระนางบูเช็คเทียน ตั้งอยู่บริเวณเมืองกว่างหยวน ริมแม่น้ำเจียหลิงเจียง วัดสร้างในสมัยเป่ยเว่ย โดยชนเผ่า ทอปา ปี ค.ศ. 420-510 หลังจากบูเช็คเทียนตั้งตนเป็นจักพรรดินี พระนางได้มีการบูรณะ ขยายให้เป็นวัดประจำของพระนาง
จุดเด่นของวัดคือถ้ำผาแกะสลักพระพุทธเจ้าในปรางค์ต่างๆ เช่น วิหารเสาหิน เป็นการแกะสลักแบบสุดยอด เสาหินคือเจดีย์คาถาองค์หนึ่ง ค้ำจุนวิหารที่เป็นถ้ำหิน
ไม่ไกลกันนัก คือ ผาพระพุทธรูป 1000 องค์ สร้างสมัยเป่ยเว่ย โดยชนเผ่าทอปา สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 420-510 ยุคเดียวกับวัดหวงเจ๋อซื่อ และมีการบูรณะมาตลอดประมาณ ปีค.ศ.1931 รัฐบาลเจียงไคเช็ค ได้ตัดถนนผ่านบริเวณวัดพระถ้ำ จึงมีบางส่วนของผาถ้ำถูกทำลายไป ปัจจุบันบริเวณผาพระถ้ำพระพันองค์ได้ทำการสร้างเป็นสวนสาธารณะเพื่อรักษาผาพระถ้ำ รวมถึงรักษาถนนโบราณวัวทอง และถนนในยุคสมัยปีค.ศ.1931(ที่เจียงไคเช็คเคยสร้างไว้) ทำให้ยังรักษาความงามของผาพระถ้ำ และสะดวกแก่การเที่ยวชม
ช่วงบ่ายไปเที่ยวเมืองโบราณจวาฮว่า ห่างจากด่านเจียนเหมินกวนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 30 กิโลเมตร ตั้งอยู่ข้างทางถนนวัวทอง มีแม่น้ำชิงเจียง เจียหลิงเจียง และไป๋หลงเจียง ไหลผ่านมีท่าเรือโบราณ “จี๋ป่ายตู้” เป็นเมืองเก่าโบราณที่สร้างมากว่า 4,000 ปี และมีการจัดตั้งเป็นอำเภอมากว่า 2,244 ปี
สมัยก๊กฉิน ซึ่งเดิมเป็นชุมทางทางบก และทางน้ำที่สำคัญเมืองหนึ่ง (เนื่องจากมีแม่น้ำ ชิงเจียง แม่น้ำเจีย หลิงเจียง และไป๋หลงเจียง เครือข่ายสามสายของแม่น้ำแยงซีไหลผ่าน มีท่าเรือโบราณ “จี๋ป่ายตู้” เจริญด้วยเป็นเมืองพาณิชย์ ท่าเรือขนถ่ายสินค้าที่สำคัญ) โดยเฉพาะมีชาวบ้านพื้นเพดั้งเดิม ที่อาศัยกันมาอย่างต่อเนื่องนับพันปีจนถึงทุกวันนี้
กำแพงเมือง สถานที่ที่ “เตียวหุย” จุดคบเพลิงรบกับ “ม้าเฉียว”
เย็นๆเราเดินทางมาชมภาพหินพยากรณ์ ซึ่งมีอยู่ถึง 60 ภาพ ที่นักดาราศาสตร์ หยวนเทียนกัง ซึ่งเคยเข้ารับราชการช่วงสั้นๆในสมัยพระนางบูเชคเทียน เป็นผู้พยากรณ์ ทั้งเขียนภาพแต่งกวี ไว้เมื่อ 1,400 ปีก่อน ในสมัยต้นราชวงศ์ถัง และในบางภาพนั้นยังถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นที่ถูกต้องแล้วตามเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นจริงอีกด้วย
ในส่วนของ หยวนเทียนกัง เขาเป็น นักดาราศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ กวี ฯลฯ ศึกษาตำราโจวอี้ (อี้จิง) จนแตกฉาน ว่ากันว่าเขาเคยไปที่บ้านของบูเช็คเทียนตั้งแต่นางยังเด็ก ในเวลานั้นบูเช็คเทียนแต่งตัวเป็นเด็กผู้ชาย เมื่อซินแสหยวนพบเด็กน้อยจอมห้าว เขาถึงกับเอ่ยปากขึ้นมาว่า … เสียดายที่เป็นเด็กผู้ชาย มิเช่นนั้นอาจได้เป็นถึงฮ่องเต้
ตัวอย่างภาพที่น่าตกตะลึงมากๆ คือ ภาพส้มหลายผลอยู่ในถาด นับรวมแล้วได้ 21 ผล ที่น่าสนใจคือ หนึ่งในนั้นเป็นส้มที่ไม่มี “ก้าน” หลายคนตีความว่า ส้มทั้ง 21 ผล หมายถึงฮ่องเต้ราชวงศ์ถัง 21 พระองค์ ส่วนส้มผลที่ไม่มีก้าน หมายถึง “บูเช็คเทียน” ฮ่องเต้หญิงองค์เดียวของจีน
(บูเช็คเทียนได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรต่อจากถังรุ่ยจง ฮ่องเต้องค์ที่ 5 ของราชวงศ์ถัง ผู้เป็นโอรสของนางเอง แต่นางเปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็น “โจว” ก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นราชวงศ์ถังหลังยุคของนาง)
ปัจจุบันภาพพยากรณ์ยังไม่เกิดขึ้นอยู่อีกหลายภาพ ซึ่งคนจีนกล่าวไว้ว่า เค้าจะไม่ตีความออกมาจนหมด เพราะบางครั้งการรู้อนาคตล่วงหน้าอาจจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี
ตกเย็นจัดหนักอาหารต้นตำรับสุกี้เห็ดแห่งเสฉวน อร่อยนะ ผมกับภรรยาชอบมาก
ที่พักโรงแรม Jingyuan Zhangfei Hotel (โรงแรมเตียวหุย) หรูหราอลังการมาก
มี Walk-in Closet เลยทีเดียว
ตรงข้ามโรงแรมเตียวหุย มีแม่น้ำสวยๆไหลผ่านด้วย น้ำใสสะอาดเป็นสีเขียวเลย
วันนี้เราจะเที่ยวเมืองโบราณล่างจงกัน โดยเมืองนี้เป็นเมืองสำคัญมากในสมัยโบราณ โดยเจ้าเมืองที่ปกครองเมืองนีก็เป็นคนที่ใครๆรู้จักอย่างเตียวหุย น้องชายของท่านเล่าปี่นั่นเอง
เริ่มจากที่ทำการของเตียวหุยกันก่อนเลย
ด้านในก็มีรูปปั้นเตียวหุยในเหตุการณืสำคัญๆ เช่น เตียวหุยต้านทัพร้อยหมื่นของโจโฉที่สะพานเตียงปันเกี้ยว, ตอนที่สาบานเป็นพี่น้องร่วมสาบานในสวนท้อ, ตอนที่รบกับม้าเฉียว, ตอนที่จับข้าหลวงที่มารังแกพี่ชายเล่าปี่ แล้วใช้แส้เฆี่ยน เป็นต้น
ศาลเจ้าเตียวหุย
โต๊ะว่าความคดีของเจ้าเมือง ไว้ชีวิตข้าเถิด ท่านเปา…
ในเมืองล่างจง เตียวหุยและกองทหารจะออกเดินลาดตะเวนไปตามท้องถนนด้วย แหม ทำได้บรรยากาศดีจริงๆ
อีกกิจกรรมหนึ่งของเมืองล่างจง คือกิจกรรมทดลองสอบจองหงวน (สอบเข้ารับราชการของจีน)
มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เปิดโอกาสให้เราเข้าไปทดลองสอบจริงๆเลย
มีพิธีรับมอบด้วยนะ
ไปชมบ้านที่จัดตามตำราฮวงจุ้ยแท้ๆกัน
มีจำลองภูมิประเทศของเมืองล่างจงให้ชม ซึ่งเมืองนี้ถือเป็น “สุดยอดฮวงจุ้ย” แห่งแผ่นดิน มีแม่น้ำ ภูเขารูปมังกร ทำเลที่ตั้งสมเป็นยอดชัยภูมิ
ด้านในก็มีเครื่องไม้เครื่องมือที่เกี่ยวกับศาสตร์การดูฮวงจุ้ยจัดแสดงไว้ด้วย
และแม้ว่าเมืองล่างจงทุกวันนี้จะขยายขอบเขตออกไปมากแล้ว แต่ส่วนที่เป็นตัวเมืองเก่ายังถูกรักษาไว้อย่างดียิ่ง
จนกลายเป็นหนึ่งในสี่เมืองที่อนุรักษ์ไว้ดีที่สุดของจีน หมายความว่า ทั้งแผ่นดินมังกร มีเมืองเก่าที่รักษาไว้ได้ดีขนาดนี้เพียง 4 แห่ง ได้แก่ ลี่เจียง, ผิงเหยา, เซ่อเสี้ยน และ เมืองโบราณล่างจง นี่เอง
ภาพหลังคาบ้านเรือนที่ลักษณะเหมือนกันหมด มองออกไปเห็นแม่น้ำสีเขียวๆและภูเขา ช่างเป็นภาพที่สวยงามมากจริงๆ
มาถึงเมืองล่างจง เค้าว่าให้ชิมเนื้อเตียวหุยกัน ผมชิมดูแล้วออกจะเค็มๆ อร่อยมั้ย ก็ถือว่าไม่ได้ว้าวหรือแย่อะไรครับ ทานได้เพลินๆ
ดูการตกแต่งร้านอาหารของคนจีนสิ ห้อยไก่เต็มเพดานเลย แปลกตาไปอีกแบบครับ
จากเมืองล่างจงคณะเดินทางก็ออกจากมณฑลเสฉวน เข้าสู่เขตปกครองตัวเอง ฉงชิ่ง
ที่แรกที่เราจะมาเที่ยวกันก็คือ ผาพระพุทธรูปหินแกะสลักแห่งเมืองต้าจู๋
ที่นี่มีการแกะสลักเรื่องราวของพระพุทธศาสนาผสมกับ ขงจื๊อ และเต๋าเข้าด้วยกัน พูดถึงการดำรงชีวิต ความกตัญญต่อบิดามารดา
พระพุทธรูปปางนอนองค์ใหญ่ยักษ์มากครับ
เพราะความสวยงามและความมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของที่นี่ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้รับยกย่องเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้
แกะสลักถึงในถ้ำเลย แถมมีการออกแบบทางน้ำไหลที่เพดานไว้ด้วย สุดยอดแห่งการออกแบบจริงๆ
กวนอิมพันมือพันตา
ประวัติความเป็นมาคือ แต่ก่อนพ่อของกวนอิมป่วย กวนอิมจึงยอมควักลูกตาและตัดมือเพื่อเป็นตัวยาช่วยพ่อ สุดท้ายจึงกลายเป็นลูกกตัญญูที่ตาบอดและพิการ ไม่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกต่อไป เหล่าทวยเทพบนฟ้ามองเห็นก็เกิดสงสาร จึงเสกให้เกิดพันมือ และเกิดตาที่บนแต่ละฝ่ามือด้วย
องค์ของพระโพธิสัตว์สวยงามมาก ขอให้ทุกท่านที่ได้เห็นภาพนี้โชคดีครับ
มาพูดถึงเรื่องห้องน้ำห้องท่าที่เป็นที่กล่าวขวัญของทุกคนที่จะเดินทางมาจีนกันบ้าง ไม่มีประตูบ้างล่ะ สกปรกบ้างล่ะ
แต่ปีสองปีนี้ที่ผมเดินทางมาจีนบอกได้เลยว่า เดี๋ยวนี้เรื่องห้องน้ำเค้าพัฒนาแล้วครับ ไม่ได้น่ากลัวเหมือนแต่ก่อนแล้ว
เราเดินทางกันมาต่อกันที่เมืองอู่หลง วิวจากห้องพักมองเห็นแม่น้ำสวยงามมาก
วันรุ่งขึ้นมาเที่ยวกันต่อที่ บ่อหลุมฟ้า สะพานมังกร แห่งเมืองอู่หลง วันนี้เราจะมาตามรอยหนังดัง Transformer 4 กันนะ
แต่ก่อนจะไป แวะมาที่ระเบียงกระจกใสกันก่อน
วิวตรงนี้สวยมาก มีหมอกเป็นกลุ่มๆปกคลุมภูเขาให้พอสวยงาม
แต่ไฮไลท์อยู่ที่พื้นกระจกที่เราสามารถมองทะลุลงไปเห็นพื้นดินเลย จากความสูงตรงนี้ก็เรียกได้ว่าหวาดเสียวพอสมควรเลย
เราลงลิฟท์แก้วกันก่อนนะ
บ่อหลุมฟ้าสะพานมังกร ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆของเมืองอู่หลงและนครฉงชิ่ง ภายในมีสะพานหินขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติถึง 3 สะพาน
และมีบ้านโบราณตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ ที่จริงแล้วก็คือสถานีม้าเร็วให้คนส่งข่าวใช้พักผ่อนและเปลี่ยนม้าในสมัยโบราณ
สถานที่นี้สวยงามจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก และยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่อง เช่น Transformer 4 และ Curse of the golden flower (ศึกชิงบัลลังก์วังทองของจางอี้โหมว)
มันช่างสวยงามมากๆ
ก็บรรยากาศมันให้ เลยฝึกวิชายุทธ์กันนิดหนึ่ง
มีหุ่น Transformer ให้ถ่ายภาพกันด้วย
สะพานนี้เป็นสะพานที่สอง ชื่อว่าสะพานมังกรเขียวครับ เงาพื้นน้ำสะท้อนภาพขึ้นมาคล้ายกับรูปดาบครับ
อีกด้านมีหัวนกอินทรีย์นะ ใครเห็นบ้างมั้ย
ธรรมชาติสวยงามมาก มีสายน้ำเล็กๆไหลลงมาจากช่องเขาเกิดเป็นน้ำตกเล็กๆด้วย
เดินถัดเข้ามาเจอกับบ่อน้ำสีเขียวใสสะอาดมากๆ บรรยากาศดีๆ ก็ขอกอดภรรยาให้อุ่นๆนิดหนึ่งครับ
คณะทัวร์เดินทางต่อมายังนครฉงชิ่ง เริ่มเที่ยวกันที่ ถนนโบราณฉือชีโข่ว
ถนนเส้นนี้ดูเป็นถนนที่คึกคักมาก สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร
ร้านขายพริกของที่นี่ สวยดีจริงๆ
สายไหมที่นี่ทำเป็นรูปต่างๆเก๋มาก
ซาลาเปารูปตัวการ์ตูนน่ารักมากๆ
หงหยาต้ง อาคารขนาดใหญ่สร้างอยู่บนภูเขา ขนานไปกับแม่น้ำเจียหลิง โครงการประกอบด้วยโรงแรม ร้านค้าจำหน่ายสินค้า, ร้านอาหารพื้นเมือง, ร้านน้ำชา โรงละครซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อสร้างตกแต่งในรูปแบบโบราณให้อารมณ์และบรรยากาศย้อนยุคสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชม
วิวมองจากตรงนี้สวยมากๆครับ
วันนี้เรามาทานเป็ดปักกิ่งกัน แต่เป็ดปักกิ่งที่จีนหนังจะไม่ได้กรอบเหมือนบ้านเรานะ จะมีเนื้อเป็ดติดหนังด้วย แต่ก็อร่อยไม่เบา
อาหารจัดเต็มทุกมื้อจริงๆ อิ่มอ้วนแทบจะกลิ้งกลับบ้านได้เลย
โรงแรมที่พักก็อยู่ย่านใจกลางเมืองเลย ทำให้ผมกับภรรยาออกมาเดินเล่นกันที่ถนนคนเดินเจี่ยฟางเป่ยได้เลย
ช่วงที่ไปใกล้เทศกาลปีใหม่แสงไฟสวยมากๆ
เดินไปเจอร้าน Miniso คือของถูกมากอ่ะ น่าซื้อไปหมด โดนกันไปสองถุงใหญ่ๆ ได้ช้อปปิ้งแบบนี้คนไทยเราค่อยสบายใจหน่อย อิอิ
รุ่งเช้ามาเที่ยววัดหลัวฮั่นกันต่อ
วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 1,000 ปี ตั้งอยู่ท่ามกลางตึกสูงในเมืองใหญ่
ด้านในมีรูปปั้นพระอรหันต์ 500 องค์ในเดินชมกัน
ไม่ไกลกันนักก็มาชมศาลาประชาคมแห่งเมืองฉงชิ่งกัน ภายนอกเป็นอาคารรูปทรงกลมคล้ายคลึงกับหอฟ้าเทียนทานในกรุงปักกิ่ง
ด้านในเป็นแบบนี้ครับ ผมว่าคล้ายๆกับโรงละครมากกว่านะ
ปิดท้ายด้วยการเดินเล่นชมพิพิธภัณฑ์ซานเสีย
ภายในอธิบายเรื่องราวประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมของเมืองฉงชิ่ง และบริเวณแม่น้ำแยงซีเกียง รวมถึงการสร้างเขื่อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อย่างเขื่อนซานเสียต้าป้าด้วย
บทสรุปเส้นทางตามรอยสามก๊กตะวันตก เสฉวน-ฉงชิ่ง
เส้นทางนี้สร้างความประหลาดใจให้กับผมและภรรยามาก สถานที่สำคัญๆทางประวัติศาสตร์ในเรื่องราวของสามก๊กทำให้ผมแฟนสามก๊กอย่างผม รู้สึกเข้าใจและซึมซับอรรถรสได้มากขึ้น รวมทั้งภรรยาที่ไม่เคยอ่านสามก๊กมาก็สามารถ Enjoy กับความสวยงามและอลังการของสถานที่ต่างๆได้อย่างไม่ยากเย็น นอกจากการตามรอยสามก๊กแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวหลายที่ก็ยังเป็นที่เที่ยวระดับมรดกโลก ธรรมชาติยิ่งใหญ่และอลังการ ถ่ายรูปสนุกมาก แถมมีเมืองใหญ่ๆ และถนนช้อปปิ้งที่ถูกจริตกับคนไทยแบบเราๆด้วย
และต้องขอชมมาตรฐานของ SBA Travel เรื่องการเดินทาง, ที่พักระดับ 4-5 ดาว, อาหารการกินชั้นเลิศ (เยอะมาก ทานไม่เคยหมด เหลือทุกมื้อ) รวมทั้งไกด์นำเที่ยวที่ให้ข้อมูลประกอบการเดินทางได้อย่างสุดยอด นับเป็นอีกการเดินทางของผมและภรรยาที่เราสองคนคงจะประทับใจไปอีกนานเท่านาน
สำหรับใครที่สนใจไปเที่ยวตามเส้นทางในรีวิวนี้ จองได้เลยที่ : http://www.sbatravel.co.th/package.php?code=CN004A
ปล.หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share
หรืออยากใกล้ชิดกันมากขึ้น แอด Line มาได้เลย มีรีวิวใหม่จะส่งไปบอก อยากคุยกับแอดมิน Line มาคุยเลยจ้า ID : @2Madames กดตรงนี้ก็ได้
หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป