น่านถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดในภาคเหนือที่น่าเที่ยวมาก เต็มไปด้วยวัดสวยๆ ร้านอร่อยเต็มเมือง วันนี้เราจะรีวิวเที่ยวจังหวัดน่านให้รับชมกัน พาไปตระเวนกินของอร่อย เที่ยววัด ไหว้พระธาตุแช่แห้งซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีเถาะที่ความศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะปี 2560 เป็นปีระกาซึ่งเป็นปีชงกับคนที่เกิดปีเถาะ การแก้ชงต้องทำอย่างไร ตามไปรับชมรีวิวกันครับ
ทริปเที่ยวจังหวัดน่านเริ่มต้นจากกรุงเทพด้วยสายการบินนกแอร์ โดยนกแอร์มีบินถึง 3 เที่ยวบินต่อวันเลยทีเดียว
นอกจากจะรวมน้ำหนักกระเป๋าไว้ให้ฟรี 15 กิโลแล้ว ขึ้นเครื่องก็ยังมี Nok Kanom ของทานเล่นและน้ำดื่มให้บริการฟรีบนเครื่องด้วย
ใช้เวลาบินชั่วโมงนิดๆก็ถึงสนามบินน่านนครแล้ว มีให้บริการร่มและรถเข็นให้ด้วย ดีจริงๆ
การเดินทางในจังหวัดน่านให้สะดวกควรเช่ารถครับ โดยสามารถเลือกเช่าที่สนามบินได้เลย
รับรถเช่าแล้วมุ่งตรงมาเมืองน่าน หิวมาก แวะมากินร้านข้าวซอยต้นน้ำกันก่อนเลย
พิกัดตามนี้
ขนาดไปถึงประมาณเที่ยงครึ่ง อาหารเกือบจะหมดร้านเลย โชคดีที่ยังเหลือข้าวซอยชามสุดท้ายให้สั่งทานได้พอดี
ข้าวซอยร้านนี้อร่อยมากเลย หมี่นุ่ม เนื้อหมูนิ่ม รสชาติก็สุดยอดมาก ถือเป็นข้าวซอยที่อร่อยที่สุดที่เคยทานมาเลย
ส่วนใครชอบขนมจีนน้ำเงี๊ยวก็มีให้ทานนะ คนที่ทานเป็นบอกว่าอร่อยดีแต่ผมทานไม่ค่อยเป็นอ่ะ จานนี้เลยไม่ค่อยถูกปากผมเท่าไหร่
ข้างๆร้านข้าวซอยต้นน้ำมีถนนคนเดินด้วย
ของที่ขายก็เป็นพวกเสื้อผ้ากับสินค้าท้องถิ่นครับ
แต่ชอบมากๆคือ 7-11 ที่น่าน เค้าตกแต่งให้มีเอกลักษณ์และเข้ากับเมืองน่านได้เป็นอย่างดี
เดินเที่ยวต่อเห็นคนนั่งรถนกแอร์เที่ยวได้ด้วย ราคา 30 บาทเอง
ไม่ไกลจากถนนคนเดินก็มาเที่ยวกันต่อที่วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหารกันต่อ
เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายใน นับเป็น ปูชนียสถานสำคัญ เป็นเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปะสุโขทัย ภายในวัดประดิษฐาน เจดีย์ช้างค้ำ ซึ่งเป็นศิลปสมัยสุโขทัย อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 20
รอบเจดีย์มีรูปปั้นช้างปูนปั้นเพียงครึ่งตัว ประดับอยู่โดยรอบ พระธาตุเจดีย์สร้าง ด้วยอิฐถือปูน มีสัณฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกัน 3 ชั้น กว้างด้านละ 9 วา ฐานจากชั้นแรกสูงถึงชั้นสองมีรูปช้างค้ำอยู่ในลักษณะ เหมือนฐาน รองรับไว้ด้านละ 6 เชือก รวมทั้งหมด 24 เชือก ช้างแต่ละตัวโผล่ส่วนหัวลอย ออกมาครึ่งตัวขาหน้าทั้งคู่ยื่นพ้นออกมาจาก เหลี่ยมฐาน เหนือขึ้นไปเป็นฐานปัทม์ (ฐานบัว) ซ้อนกัน 3 ชั้น และเป็น องค์ระฆังแบบลังกา ต่อจากองค์ระฆังทำเป็นฐานเขียงรองรับ มาลัยลูกแก้ว ลดหลั่นกันไปเป็นส่วนยอด ปัจจุบันพระธาตุเจดีย์ช้างค้ำได้รับการบูรณะซ่อมแซม และหุ้นด้วยแผ่นทองเหลืองทั้งองค์มีความสวยงามมาก
ด้านในอุโบสถยังมีพระพุทธรูปทองคำ ปางลีลา คือ พระพุทธนันทบุรี ศรีศากยมุนี ซึ่งเป็นทองคำ 65 % สูง 145 เซ็นติเมตร ยอดพระโมฬี ทำเสริมเมื่อ พ.ศ. 2442 หนัก 69 บาท เจ้างั่วฬารผาสุม เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 14 แห่งราชวงค์ภูคา เป็นผู้สร้างเมื่อวันพุธ เดือน 6 เหนือ พ.ศ. 1969 เป็นศิลปะสุโขทัย ประดิษฐานอยู่ที่หอพระไตรปิฎกใหญ่ที่สุดในประเทศ
ตรงข้ามของวัดพระธาตุช้างค้ำ จะเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน โชคไม่ดีที่วันที่ผมไปพิพิธภัณฑ์ไม่เปิดให้เข้าชม แต่ไม่เป็นไรเพราะเราไม่พลาดไฮไลท์ของที่นี่ คือการถ่ายภาพกับอุโมงค์ต้นไม้นั่นเอง
มาเที่ยวกันต่อที่วัดภูมินทร์
วัดภูมินทร์เดิมชื่อ “วัดพรหมมินทร์” เป็นวัดหลวง ตั้งอยู่ในเขตพระนครดังปรากฏชื่อ ตำบลในเวียงในปัจจุบัน เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2139 ต่อมาอีกประมาณ 300 ปี มีการบูรณะครั้งใหญ่ ในสมัยเจ้าอนันตวรฤทธิ์เดช เมื่อ พ.ศ.2410 (ปลายสมัยรัชกาลที่ 4) ใช้เวลาซ่อมแซมนานถึง 7 ปี
ความสวยแปลกของวัดภูมินทร์ ที่เป็นหนึ่งเดียว คือ เป็นวัดที่สร้างทรงจัตุรมุขหนึ่งเดียวในประเทศไทย ที่ดูคล้ายตั้งอยู่บนหลังพญานาคขนาดใหญ่ 2 ตัว แหนพระอุโบสถเทินไว้กลางลำตัว
ตรงใจกลางพระอุโบสถจัตุรมุข ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 4 องค์ หันพรพักตร์ออกด้านประตูทั้งสี่ทิศหันเบื้องปฤษฏาค์ชนกัน ประดับนั่งบนฐานซุกชี เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง แสดงเรื่องราวชาดก วิถีชีวิตตำสนานพื้นบ้าน และความเป็นอยู่ของชาวน่านในอดีต ได้แก่ การแต่งกายคล้ายผ้าซิ่นลายน้ำไหล, การท่อผ้าด้วยกี่ทอมือ, การติดต่อซื้อขายกับชาวต่างชาติ เป็นต้น
ใครมาเที่ยวย่านนี้ก็เดินต่อมาเที่ยวยังวัดมิ่งเมืองกันต่อนะ เดิมทีวัดนี้เป็นวัดร้าง มีเสาหลักเมืองที่เป็นท่อนซุงขนาดใหญ่สองคนโอบ พบที่ซากวิหาร ในราวปี 2400 เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าครองนครน่านสถาปนาวัดใหม่ ตั้งชื่อว่า วัดมิ่งเมือง ตามชื่อที่เรียกเสาหลักเมืองว่า เสามิ่งเมือง ต่อมาปี 2527ได้มีการรื้อถอนและสร้างอุโบสถหลังใหม่เป็น แบบล้านนาร่วมสมัยแบบในปัจจุบัน
ในวัดมิ่งเมืองจะมีเสาหลักเมืองน่าน ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า “เสามิ่งเมือง” เดิมเป็น ไม้สักทองขนาดใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๓ ฟุต สูง ประมาณ ๓ เมตร ลักษณะเป็นเสาทรงกลมส่วนหัวเสาเกลาเป็น ดอกบัวตูมฝังไว้กับพื้นที่ดินโดยตรง ไม่มีศาลหรืออาคารครอบ แต่อย่างใด สันนิษฐานว่าอาจจะสร้างขึ้นในสมัยเจ้าอัตถวรปัญโญ เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน เหตุเพราะแต่ก่อนมานั้นเมืองน่านไม่มีคติการสร้าง เสาหลักเมือง
ลายปูนปั้นที่ผนังด้านนอกของพระอุโบสถ มีความสวยงามวิจิตรบรรจงมาก
หากมาเที่ยวน่าน ยังไงก็ต้องมาเที่ยวที่วัดพระธาตุแช่แห้งนะครับ
คนที่มาเที่ยวส่วนใหญ่มักจะตรงไปที่พระธาตุเลย แต่ที่จริงแล้วควรแวะมาบูชามหาพญานาคที่เป็นเหมือนเจ้าที่เจ้าทางตรงด้านหน้าวัดก่อน
ด้านซ้ายจะเป็นพญาศีรสุทโธนาคราช (ตัวผู้) และด้านขวาจะเป็นนางพญานาคิณีศรีปทุมมา (ตัวเมีย)
พระมหาเจดีย์ชเวดากอง มีลักษณะเหมือนกับพระธาตุตะโก้ง (ชเวดากอง) ที่เมืองพม่า เป็นพระธาตุประจำปีเกิดนักษัตรมะเมีย
มาชมพระวิหารพระพุทธไสยยาสน์กันต่อ
บริเวณทางเข้ามีพระธาตุเกศแก้วจุฬามณี พระธาตุประจำปีจอ
พระพุทธรูปปางนิพพานที่นี่ มีความพิเศษคือ ได้ถูกสร้างขึ้นตามตำราทุกส่วน เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์มาก หันหน้าไปทางทุ่งฝายแก้ว คุณลักษณะพิเศษคือ หากเมืองน่าน ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ชาวน่านจะมาสวดทำพิธีขอฝน ขอน้ำเพื่อให้ได้ทำการเกษตรกัน
อีกทั้งยังมี 2 สะดือ สะดือเมือง และสะดือพระ พระคุณเจ้าท่านเจ้าอาวาส บอกว่า ด้านบน คือสะดือเมืองภูเพียงแช่แห้ง สะดือล่างคือสะดือพระ
บางท่านอาจงงๆว่า ปางที่เห็นน่าจะเป็นพระพุทธไสยาสน์มากกว่า แต่หากสังเกตดูจริงๆ จะเห็นว่า ข้อศอกไม่ได้ถูกตั้งยัน และการวางเท้าเป็นลักษณะที่ไม่มีการเกร็งกล้ามเนื้อได้แล้ว นั่นจึงสรุปได้ว่า ปางที่เห็นนี้เป็นปางนิพพาน ด้านหลังเศียรพระจะมี อักษรศิลาจารึก เป็นอักษรฝักขามให้ได้ศึกษากันด้วย
มีลูกนิมิตมาให้สักการะกันด้วย สิ่งที่อยู่ด้านบนของลูกนิมิตร คือ พระบรมสารีริกธาตุ ของสาวกทั้ง5 และพระราหุล ที่พิเศษคือ มีพระเขียวแก้วของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่หาชมได้ยากด้วยนะ
เข้าไปชมพระธาตุแช่แห้งกันดีกว่า
ประวัติของพระธาตุแช่แห้งครับ
วัดพระบรมธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง : ตั้งอยู่บริเวณที่เป็นศูนย์กลางเมืองน่านเดิม เป็นที่ประดิษฐานพระมหาชินธาตุเจ้า 7 พระองค์ พระพิมพ์เงินและพระพิมพ์ทอง องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ทรงระฆัง สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากเจดีย์พระธาตุหริภุญไชย พระบรมธาตุแช่แห้งเป็นพระธาตุประจำปีเถาะ
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในสมัยของพญาการเมือง ตามประวัติกล่าวว่า เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๙๖ พญาการเมืองเจ้าผู้ครองนครน่าน(วรนคร) ได้รับเชิญจาก พระยาโสปัตตกันทิ(พระเจ้าไสลือไท) กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยให้ไปร่วมพระราชกุศล สร้างพระอารามหลวงในกรุงสุโขทัย เมื่อทรงสร้างพระอารามหลวงเสร็จแล้ว พระเจ้ากรุงสุโขทัยทรงพอพระราชหฤทัยเป็นอันมาก ที่เจ้าผู้ครองนครน่านได้มาร่วมพระราชกุศลสร้างพระอารามหลวงจนเป็นผลสำเร็จ จึงได้โปรดพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุให้รวม ๗ องค์ รูปพรรณสัณฐานเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีวรรณะต่างกัน และพระพิมพ์ทองคำ ๒๐ องค์ พระพิมพ์เงิน ๒๐ องค์ ให้แก่ พญาการเมือง
เมื่อพญาการเมืองได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานไว้ ณ ดอยภูเพียงแช่แห้งแล้ว ต่อมาจึงย้ายเมืองวรนครจากท้องที่อำเภอปัวในปัจจุบัน มาสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่เชิงดอยภูเพียงแช่แห้ง ทรงขนานนามตามชื่อดอยว่า เมืองภูเพียงแช่แห้ง สืบมา
พระธาตุแช่แห้งที่เห็นปัจจุบันเป็นอันที่สร้างขึ้นมาภายหลังนะครับ พระธาตุอันเดิมที่จริงอันไม่ใหญ่เลย มีตั้งให้ชมอยู่ในบริเวณเดียวกัน
และเนื่องจากพระธาตุแช่แห้งเป็นพระธาตุประจำปีเถาะ ก็เลยจะเห็นกระต่ายเต็มไปหมดเลยครับ
ทางด้านซ้ายมือขององค์พระธาตุ(จากทางเข้าหลัก) จะพบกับวิหารพระเจ้าทันใจ เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ 3 องค์ ปางมารวิชัย 2 องค์ และปางสมาธิ 1 องค์ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมาพร้อมๆกับการสร้างองค์พระธาตุ ซึ่งเชื่อกันว่าเมื่อขอพรจากพระเจ้าทันใจแล้ว จะสมหวังรวดเร็วทันใจ
มีรอยพระพุทธบาทด้วย
ในภาพที่เห็นคือแมงหมาเต๊าในวิหารพระเจ้าทันใจ
มีเรื่องเล่าว่า…. มีพราหมณ์ท่านหนึ่งเดินทางจากห้วยไคร้ พร้อมกับบ่าว ระหว่างทางพบพระอานนท์ และรู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่นั่นด้วย ท่านพราหมณ์จึงได้ใช้ให้บ่าวเอาลูกสมอดอง มาถวายแด่พระพุทธเจ้า แต่บ่าวไปเสียเนิ่นนาน ขากลับมาจึงโดนผู้เป็นนายเอ็ดใส่ และถามได้ความว่า สมอดองที่ท่านพราหมณ์ได้ทำไว้นั้นมันแห้งเกินกว่าที่จะถวายเสียแล้ว
แต่สุดท้ายท่านพราหมณ์ก็เอาสมอน้อมถวายเป็นทานแก่พระพุทธเจ้า ทันใดนั้นก็มีหมาเต๊าตัวนึ่งออกมาน้อมแทบบาทพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงยิ้ม พระอานนท์เห็นดังนั้น จึงถามท่านว่า “พระองค์ยิ้มด้วยเหตุใด”
พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “ดูราอานนท์ในเมื่อตถาคนนิพพานแล้ว
ธาตุกระดูกของข้าจักมาตั้งอยู่ที่นี่ ตราบต่อเท่า 5,000 อายุปี บ้านห้วยไคร้นี้ จะกลายเป็นเมืองชื่อว่า เมืองนาน แมงหมาเต๊าตัวนี้ ก็จะได้เป็นพระยาที่ดูแลที่นี่ นามว่า “ท้าวขาก่าน”
ประตูโขง 4 ทิศ แต่ละทิศไม่เหมือนกัน ด้านตะวันออก มีราหูอมจันทร์ ตรงนี้ท่านเจ้าอาวาสเล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านสมัยเด็กๆ ได้มาที่วัดนี้ ก็ยังไม่เคยเห็น เพราะไม่เป็นที่สังเกต จนเวลาผ่านมาเนิ่นนานหลายปี ภาพของพระราหูก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ ท่านจริงได้นำทองมาปิดไว้ให้คนได้เห็นชัดเจนขึ้น เป็นลักษณะที่งดงามมาก แนะนำว่าคนที่เกิดวันพุธกลางคืน ควรมาสักการะเป็นอย่างยิ่ง
เคล็ดลับ การขอพรจากองค์พระราหู คือให้ขอได้เพียง 1 ข้อ ระหว่าง ขอให้สุขภาพดี กับ ขอให้ได้มีความร่ำรวย ตั้งใจให้แน่วแน่ เพียง 1 ข้อ แล้วขอเลยครับ
พระวิหารหลวงวัดพระธาตุแช่แห้งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นมาแต่ในสมัยพญาการเมือง พุทธศักราช ๑๙๐๒ หลังจากที่ได้ย้ายเมืองจากเมืองวรนครมาสร้างเมืองอยู่ที่เมืองภูเพียงแช่แห้ง นับได้ว่าในสมัยนั้นเวียงภูเพียงแช่แห้งคือศูนย์รวมของอารยธรรม วัฒนธรรม ความเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นวัดพระธาตุแช่แห้งก็ถือได้ว่าเป็นวัดหลวงของอาณาจักรแห่งนี้ ย่อมมีสิ่งปลูกสร้างเพื่อเป็นสถานที่ที่จะประกอบพิธีกรรม หนึ่งในนั้นก็คือพระวิหารหลวงแห่งนี้ แต่พระวิหารหลวงที่เห็นในปัจจุบันนี้ อยู่ทิศใต้ขององค์พระธาตุ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก แบบสถาปัตยกรรมล้านนา โครงสร้างเครื่องบนใช้ตัวไม้ที่เรียกว่า ม้าต่างไหม ซึ่งจะมีอยู่ตอนปลายเสาทุกต้น
ตรงมุมหน้าจั่วและปลายจั่วหลังคาของแต่ละมุขจะประดับด้วยพญานาคราชซึ่งปั้นด้วยปูนลักษณะชูคอเปรียบเสมือนผู้พิทักษ์คุ้มครองพระวิหารหลวง รวมแล้วมีทั้งหมดจำนวน ๔๒ ตัว ส่วนหางของพญานาคราชจะเลื้อยไปตามสันหลังคาและจะไปเกี้ยวกวัดรัดกันเป็นบ่วง เป็นชั้นๆ ๓ ชั้นอยู่ตรงกลางสันหลังคา ส่วนของจำหลักหน้าบันแต่ละชั้นนั้นเป็นไม้แผ่นเดียวแกะสลักลายดอกไม้เครือเถาวัลย์ อันอ่อนช้อย เป็นศิลปกรรมที่งดงามและหาดูได้ยากยิ่ง
ตรงเชิงบันไดด้านหน้าทางเข้าพระวิหารมีสิงห์คู่นั่งในลักษณะชันขาอยู่ด้านละตัวเป็นปฏิมากรรมปูนปั้นของพม่าตัวด้านทิศเหนือเรียกว่าสิงห์สรวลด้านทิศใต้เรียกว่าสิงห์คายนาง
ในนิทานชาดกเรื่อง “สิงห์คายนาง” มีเนี้อเรื่องเล่าว่า … ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นฤๅษี มีสิงห์ตัวหนึ่งชื่นชอบในรสชาติของผลนิโครธต้นหนึ่งในป่า บังเกิดความหวงแหนอยากเก็บไว้กินเอง จึงเฝ้าอยู่ หากมีมนุษย์หรือสัตว์ใดมาเก็บกินจะฆ่าให้ตาย
กาลนั้นมีหญิงเข็ญใจนางหนึ่งพเนจรมาพบและได้ลิ้มรสผลนิโครธนั้น จึงเกิดความพึงใจ นางได้เก็บส่วนหนึ่งเพื่อนำไปฝากบิดามารดา เมื่อสิงห์มาพบเข้าจึงปรี่เข้าขม้ำกายนางเข้าปากได้เกือบหมดร่าง นางจึงร้องขอชีวิต แต่สิงห์ไม่ยอม นางจึงอ้อนวอนขอให้ฤๅษีโพธิสัตว์ตัดสิน ฤๅษีเห็นว่าสิงห์ทำไม่ถูกจึงให้ปล่อยนาง สิงห์ก็ไม่ยอมอีก ร้อนถึงพระอินทร์ต้องลงมากำราบด้วยการถามปัญหาธรรมะ หากสิงห์ตอบไม่ได้ต้องปล่อยนาง ไม่อย่างนั้นจะฆ่าให้ตาย เมื่อสิงห์ตอบไม่ได้จึงต้องยอมจำนนพร้อมคายนางออกจากปากแล้วปล่อยนางไป เรื่องราวนี้ จึงเป็นที่มาของการออกแบบปั้นรูป “สิงห์คายนาง” ปัญหาธรรมข้อนั้น คือ อะไรคือสิ่งที่มืดมิดที่สุด และอะไรคือสิ่งที่สว่างที่สุด คำถามข้อนี้ ใครจะตอบได้บ้างมั๊ยนะ
ฐานชุกชีในพระวิหารหลวงนั้นแบ่งเป็น ๒ ชั้น ชั้นที่ ๑ อยู่ด้านหน้ามีไว้สำหรับตั้งเครื่องบูชา และเป็นที่ประทับของพระพุทธรูปไม้ปางมารวิชัย มีพระนามว่าพระเจ้าก๋าคิง
ส่วนชั้นที่ ๒ มีพระพุทธรูปประทับอยู่ ๘ องค์ พระประธานองค์ใหญ่ปางสมาธิก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทองประทับอยู่บนกลีบบัวพระนามว่าพระเจ้าอุ่นเมือง เบื้องหน้าพระพักตร์ขององค์พระประธานมีพระสาวก ๒ รูปก่อด้วยอิฐถือปูนนั่งกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ในลักษณะหันหน้าเข้าหาองค์พระประธาน
องค์ที่ ๒ รองลงมาเป็นพระพุทธรูป ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์หุ้มด้วยปูนลงรักปิดทองประทับบนกลีบบัว พระนามว่าพระเจ้าล้านทอง
องค์ที่ ๓ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับบนฐานลายดอกพุดตาน ไม่ปรากฏพระนาม
องค์ที่ ๔ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับบนฐานกระต่ายชมจันทร์ ไม่ปรากฏพระนาม
องค์ที่ ๕ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย องค์เล็กที่สุด ไม่ปรากฏพระนาม
องค์ที่ ๖ เป็นพระพุทธรูปไม้ประทับยืน สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าอัตถวรปัญโญ
องค์ที่ ๗ และ ๘ เป็นพระพุทธรูปปางเทวดาประทับยืน โดยนำทองที่ได้จากการบูรณะองค์พระธาตุแช่แห้งในปี พุทธศักราช ๒๕๓๖ มาหล่อขึ้นใหม่ ในปีพุทธศักราช ๒๕๔๘ และในปีเดียวกันนี้ก็ได้ตัดไม้มะค่าโมงภายในวัด ๑ ต้น มาแกะสลักพระพุทธรูปปางเทวดา ๒ องค์ แทนพระรูปองค์เดิมที่ถูกโจรกรรมตัดข้อพระบาทไปในปีพุทธศักราช ๒๕๒๔ (ฐานและพระบาทที่คนร้ายไม่ได้นำไปถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ จังหวัดน่าน)และพระพุทธรูปไม้ทั้ง ๒ องค์นี้ได้นำมาประดิษฐานไว้ในพระวิหารหลวงแห่งนี้แทนองค์เดิมที่ถูกโจรกรรมไป
การนำพระแกะสลักไม้ขนาดเล็ก วางเรียงกันอยู่ด้านบนกำแพงภายในวิหาร เราทราบมาว่านี่เป็นลักษณะหนึ่งของการบูชาพระในประเทศลาว ซึ่งเป็นที่นิยมมากสำหรับเจ้าลาวเขตหลวงพระบาง จะทำไม้แกะสลักแบบนี้ถวายเพื่อเป็นการต่ออายุ ต่อชะตาตนเอง
แต่ที่ประหลาดใจมากๆ คือเราจะพบศิลปะแบบจีนผสมอยู่ในวัดแห่งนี้ด้วย นับเป็นวัดที่ผสมผสานศิลปะจากชนชาติต่างๆไว้เยอะเหลือเกิน
มาดูเรื่องปีชงกันบ้างดีกว่าว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร
สำหรับคนที่สนใจจะเช่าวัตถุมงคลไว้เพื่อแก้ปีชงหรือจะเพื่อบูชา ก็สามารถติดต่อได้ที่
http://phrathatchaehaeng.org/index.php/aboutus/3
จากพระธาตุแช่แห้ง เราเดินทางมาเที่ยวกันต่อที่อำเภอเวียงสา ที่อำเภอนี้มีที่ท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใครอย่าง “เฮือนรถถีบ”
เฮือนรถถีบตั้งอยู่ในปั้มเชลล์เลย
ที่นี่เข้าชมได้ฟรีนะครับ โดยไปแจ้งกับออฟฟิศที่ปั้มเชลล์ได้เลยว่าต้องการชม จะมีคุณลุงเจ้าของมาเปิดให้ชมอย่างภาคภูมิใจเลย
เข้าไปด้านในจะพบจักรยานเก่าเยอะมาก
แต่ละคันจะถูกเก็บรักษาและดูแลอย่างดีจากคุณลุงเจ้าของ ทุกคันสูบลมพร้อมขี่ได้หมด บางคันก็เก่ากว่าอายุผมอีกนะ
เรียกว่าคุณลุงเจ้าของแกมีความรักในการสะสมจักรยานมากๆ และถ้าใครอยากจะลองขี่ก็สามารถเช่าจักรยานของคุณลุงไปขี่กันได้เลย ค่าเช่าไม่แพงด้วย
มาชมที่พักในทริปนี้กันบ้างนะ เราพักกันที่โรงแรมเวียงแก้วครับ
ห้องพักสะอาดและไม่อึดอัด ดีเลยครับ
ห้องน้ำ
มีระเบียงให้นั่งรับอากาศเย็นๆด้วย
มื้อเย็นเรามาทานกันที่ร้านฮั้วเลิศรส@น่าน ร้านนี้ถือเป็นร้านที่ประทับใจที่สุดในทริปเลย ข้าวสวยข้าวต้มจานบาทเดียว ส่วนกับข้าวก็ไม่แพงเลย
ปีกไก่ทอดร้อนๆ อร่อยมาก
ปลาทับทิมตัวใหญ่มาก 170 บาทเอง
ยำวุ้นเส้น 60 บาทอ่ะ รสแซ่บมาก
ที่จริงทานไปหลายอย่างนะ เบียร์อีก 3 ขวด เช็ดบิลออกมาไม่ถึงพันบาท โอ้ว ดีงาม ใครมาเที่ยวน่านไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ค่ำคืนผ่านไป มื้อเช้าทานกันที่โรงแรมครับ อาหารส่วนใหญ่จะเป็นข้าวต้ม กับอาหารไทยอีก 2-3 อย่าง มีไข่และสลัดผลไม้ให้
เช้านี้เริ่มเที่ยวกันที่วัดศรีพันต้นก่อนเลย
ชื่อวัดตรงกับนามผู้สร้าง คือพญาพันต้น บางสมัยเรียกว่า วัดสลีพันต้น (คำว่า สลี หมายถึง ต้นโพธิ์) ซึ่งในอดีตมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ด้านทิศเหนือและทิศใต้ของวัด ปัจจุบันถูกโค่นเพื่อตัดเป็นถนนแล้ว วัดศรีพันต้นได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2505 ภายในวัดมีวิหารที่สวยงาม ตั้งเด่นเป็นสง่ามีสีทองระยิบระยับ เป็นอีกวัดหนึ่งในจังหวัดน่านที่มีจิตรกรรมปูนปั้นที่สวยงามโดยเฉพาะพญานาคเจ็ดเศียร เฝ้าบันได หน้าวิหารวัด สีทองเหลืองอร่ามสวยงามตระการตา มีความสวยงามมาก
หน้าวัดมีเรือยาวให้ชมด้วยนะ
คนส่วนใหญ่ที่มาเที่ยววัดนี้ ส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าด้านในยังมีพระสังขจายที่ใบหน้าเป็นพระพุทธรูปด้วย
ตรงข้ามกับวัดพระศรีพันต้น มีร้านของหวานป้านิ่มอยู่
เค้าขายบัวลอย ไอติม และขนมหวานครับ
ขนมหวานเพียบเลย
เราสั่งมาลองหลายอย่าง ผมว่าพอทานได้แหละ ไม่ได้อร่อยอะไรมากมาย แบบนี้ที่กรุงเทพอร่อยกว่าครับ
เที่ยวต่อกันที่พระธาตุเขาน้อย
มุมนี้น่าจะเป็นมุมมหาชนเลยนะ สวยมากๆ
มื้อเที่ยงมาลองร้านข้าวซอยแม่สุณีกัน
ข้าวกั้นจิ้น เป็นอาหารเหนือ คำว่า กั๊น เป็นคำเมืองแปลว่า นวด บีบหรือคั้น ส่วนคำว่า จิ้น ก็คือเนื้อหมูแต่ สำหรับบางคนมักเรียกว่า” ข้าวเงี้ยว ” อันเป็นคำที่คนไทยในอดีตใช้เรียกชาวไทยใหญ่ว่า “เงี้ยว”
มาร้านนี้เค้าดังข้าวซอย ขนมจีนน้ำเงี๊ยว แต่ผมว่าสู้ร้านข้าวซอยต้นน้ำไม่ได้
แต่ที่อร่อยมาก คือ ข้าวผัดแหนมนะ ผัดกันสดๆ ทานกันร้อนๆ อร่อยมากๆ
มาน่านต้องมาชิมก๋วยเตี๋ยวไร้เทียมทานนะ เค้าว่ากันว่าน้ำซุปเนี่ยต้มจากกระดูกหมูจำนวนเยอะมาก แต่ผมมาที่ร้านนี้ 2 วัน ปรากฏว่าร้านปิดทั้ง 2 วันเลย น่าเสียดายมาก อดกินเลย
ตรงข้ามกันกับร้านเตี๋ยวไร้เทียมทาน มีร้าน Coffee Sound @ Nan
บรรยากาศภายในร้านน่ารักดี
ของตกแต่งเก๋ๆ
ภาพนี้เป็นภาพดังที่น่านครับ ชื่อ กระซิบรักที่เมืองน่าน ของจริงอยู่ในวัดภูมินทร์นะครับ
สั่งมินิบิงซูมาลองกินดู อร่อยดีครับ
ช็อคโกแลตลาวา ไส้ไม่ค่อยไหลนะ แต่ให้ไอติมสองลูกแน่ะ
ส่วน Honey Toast ยังสู้เจ้าดังที่กรุงเทพไม่ได้
ขับรถผ่านหน้าวัดหัวเวียงใต้สวยดีครับ
ตระเวนกินกันต่อที่ร้านวันดา
หมูสะเต๊ะใช้ได้เลย
ไก่ทอดได้มาไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่เลยรู้สึกเฉยๆ
ขนมจีนแกงไก่อร่อยดีครับ
ส่วนข้าวซอย ยังติดใจร้านข้าวซอยต้นน้ำมากกว่าครับ
ตอนเย็นเรามาทานร้านปุ้ม 3 ข้าวต้มรอบดึกกันครับ เจ้าของร้านเป็นกันเองมาก ออกมาพูดคุยต้อนรับลูกค้าเองเลย
ร้านนี้ไปชนะการแข่งขันมาจากต่างประเทศเลย ออกทีวีมาเยอะแยะเลย
จานเด็ดของเค้าเลยก็คือ มัสมั่นไก่ฟรุตตี้ โรตีแผ่นนุ่มเหนียวกำลังดี เนื้อไก่ร่อนกระดูกดี มีแอปเปิ้ลเสิร์ฟมาในจานด้วย
ต้มจืดใบกระเพรา จานนี้แปลกครับ เหมือนได้ทานผัดกระเพราแต่เป็นแกง
ส่วนปลาดุกฟูผัดจานนี้อร่อยมากเลย ใครมาร้านนี้แนะนำเลย
หมูสับนึ่งปลาเค็ม
มาร้านนี้ลองชิมปลาโป๊ะด้วยนะ
และก็จบรีวิวเที่ยวน่านไปอย่างสมบูรณ์ หวังว่าคงจะได้รับข้อมูลการท่องเที่ยวไปบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ วันนี้ลาไปก่อนแล้วนะ บะบายยยย
ปล.หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share
หรืออยากใกล้ชิดกันมากขึ้น แอด Line มาได้เลย มีรีวิวใหม่จะส่งไปบอก อยากคุยกับแอดมิน Line มาคุยเลยจ้า ID : @2Madames กดตรงนี้ก็ได้
หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป