ปลายเดือนเมษายน ครอบครัว 2 Madames ได้รับมอบหมายจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ให้เดินทางไปท่องเที่ยวจังหวัดจันทบุรี กับโครงการท่องเที่ยว 5 มิติ สีสันตะวันออก ซึ่งตลอด 4 วัน 3 คืน เราได้ท่องเที่ยวทั้งธรรมชาติ ชุมชน วัฒนธรรม จัดเต็มร้านอร่อยและของกินมากมาย จะสนุกสนานแค่ไหน ตามไปรับชมรีวิวกันครับ
เชิญรับชมคลิป VDO ก่อนนะครับ
โปรแกรมการเดินทางท่องเที่ยวจังหวัดจันทบุรีแบบครอบครัว 4 วัน 3 คืน
28 เม.ย. 61 – เดินทางออกจากกรุงเทพฯ เที่ยวย่านอ่าวคุ้งกระเบน เที่ยวสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ ให้อาหารปลาฉลามและเต่าทะเลที่หน่วยสาธิตการเลี้ยงสัตว์น้ำ เดินสำรวจป่าโกงกางที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน ชมวิวจุดชมวิวเนินนางพญา ทานอาหารเย็นที่ร้านจันทรโภชนา
29 เม.ย. – เช้าหาของกินที่ชุมชนขนมแปลกริมคลองหนองบัว แวะเที่ยวอาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล เดินเล่นชุมชนริมน้ำจันทบูร ชมวัดพลับ ตลาดทุบหม้อ เที่ยวสวนอิสรีย์ฟาร์มม้าไทย ชมต้นทุเรียน ลองกอง หม่ำบุฟเฟ่ต์ผลไม้ ทานอาหารเย็นที่ร้าน Mililin Cafe & Eatery
30 เม.ย. – หม่ำอาหารเช้าที่ร้านอาหารเช้า ซอย 5 ไปชมโชว์และถ่ายภาพกับโลมาสีชมพูที่ โอเอซิส ซีเวิลด์ เที่ยวตึกแดง คุกขี้ไก่ ชมประวัติการทำพลอยต่างๆที่ศูนย์ส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรี ทานขนมที่ Kays Espresso Bar
1 พ.ค. – ทานก๋วยจั๊บญวนที่ร้านก๋วยจั๊บญวนคุณยาย เดินทางกลับกรุงเทพฯ
วันนี้ออกเดินทางจากรุงเทพกันตั้งแต่เช้า รถค่อนข้างติดเพราะมีพายุฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้มีน้ำขังบนถนนเยอะ รถก็เลยเคลื่อนตัวได้ช้า กว่าจะถึงจันทบุรีก็ล่วงเลยไปประมาณบ่ายโมงเลย
เที่ยววันแรกค่อนข้างลำบาก เพราะเจอกับฝนที่ตกลงมารบกวนตลอด ยังดีที่ยังซาลงบ้างในช่วงเย็นๆ เที่ยวที่แรกที่สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ ที่นี่มีปลาให้ดูเยอะดี แถมเข้าชมฟรีอีกด้วยนะ
ปลาไหลสีชวนขนลุก แต่ก็เต็มไปด้วยความสวยงาม
มีอุโมงค์ใต้น้ำด้วยนะ
ฉลามว่ายไปมาเหนือตัวเราเลย
ชมสัตว์น้ำต่างๆกันเพลินเลย
ชอบตรงที่มีความรู้เรื่องต่างๆสอดแทรกให้เด็กๆอ่านตลอดเลย
เสร็จแล้ว พาเด็กๆไปให้อาหารปลาที่หน่วยสาธิตการเลี้ยงสัตว์น้ำ เข้าชมฟรีเช่นเคย
พิกัดตามนี้เลย : https://goo.gl/maps/7oQ59Ph5cBo
เค้าจะมีกระชังปลาทะเลเยอะมาก ที่น่าสนใจก็พวกเต่าทะเล และปลาฉลาม อาหารก็ไม่แพงนะ 3 กระป๋อง 100 บาท
เต่าทะเลว่ายน้ำไปมา
มีบันไดลงไปให้อาหารปลากับมือด้วย เสียดายที่มาเย็นไปหน่อย ปลาอิ่มแล้ว เลยไม่ยอมขึ้นมากินกับมือเลย
ในภาพคือกระชังเลี้ยงหอยครับ
เที่ยวแล้วสนุกมาก เด็กๆชอบสุดๆ
ฝนเริ่มหยุดแล้ว เลยไปเดินเล่นต่อกันที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน ที่นี่เป็นป่าโกงกาง เปิดให้เข้าชมฟรีนะ
โชคดีที่วันนี้ไม่มีแดด เลยเดินเล่นกันท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย ทางเดินยาวๆถ่ายภาพสวยดี
จะมีป้ายให้ความรู้ให้พวกเราอ่านเรื่อยๆตลอดทางเลย ดีมาก
มีปูเดินไปเดินมาให้เด็กๆชมตลอดทาง
น้องเกรซน้องกายสายตาดีมาก จะชวนให้ผู้ใหญ่อย่างเราสังเกตุสัตว์ต่างๆ เช่น หอยตัวเล็กๆที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ ซึ่งผู้ใหญ่อย่างเราไม่ทันมอง แต่เด็กๆสายตาว่องไวกว่าเยอะ
เดินไปเรื่อยๆก็จะไปเจอริมอ่าวเลย
มีสะพานแขวนด้วยนะ เด็กๆชอบใจใหญ่
เกือบค่ำ แวะไปถ่ายภาพที่จุดชมวิวเนินนางพญา เป็นถนนโค้งๆที่อยู่ริมทะเล วิวสวยจริงๆ ใครมาเที่ยวจันทบุรี ก็อย่าลืมแวะมาถ่ายภาพด้วยนะ สวยมาก
มื้อเย็นวันแรกนี้ขอเข้าถึงรสปากคนเมืองจันทบุรีด้วยอาหารพื้นเมือง แน่นอนว่าพวกเราต้องมุ่งตรงไปร้าน จันทรโภชนากัน
ร้านจันทรโภชนาถือเป็นร้านอาหารที่เรียกว่าเชิดหน้าชูตาของชาวจังหวัดจันทบุรีเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าแขกใครไปมาเชื่อว่าแทบทุกคนต้องพามาชิมร้านนี้แน่นอน เพราะเค้าขายอาหารพื้นเมืองจันทบุรีที่มีการนำวัตถุดิบขึ้นชื่อประจำจังหวัดมาปรุงอาหารที่มีรสชาติอร่อยเลิศจนอยากจะกลับไปทานซ้ำอีกหลายๆหนเลย
มาเริ่มเมนูแรกกันเลยดีกว่า กับมัสมันไก่ใส่ทุเรียน ราคา 250 บาท แค่เห็นชื่อเมนูก็รีบสั่งมาลองแล้ว เรื่องรสชาตินี่เข้มข้นรสจัดจ้าน แกงได้เข้าเนื้อไก่จนนุ่มทานง่าย ไม่มีกลิ่นทุเรียนมากวนใจ เนื้อทุเรียนทานแล้วรู้สึกหนึบๆเนื้อแน่นรสสัมผัสตอนเคี้ยวมีความคล้ายมันฝรั่งอยู่นะแต่เนื้อหนึบแน่นกว่า เมนูนี้ให้เต็ม 10 เลย บรรยายไปก็น้ำลายไหลไป อยากกลับไปทานอีกเดี๋ยวนี้เลย
ส้มตำทุเรียน ราคา 150 บาท ส่วนตัวผมว่าเป็นเมนูที่สร้างสรรค์ดี เพราะคนไทยกับส้มตำยังงัยก็ได้ทานบ่อยๆ ทางร้านใช้ทุเรียนห่ามๆ สียังเป็นเหลืองอ่อนมากๆออกสีครีมๆ เนื้อจะกรอบๆ ให้อารมณ์เหมือนทานมะละกอดิบกรอบๆ ส่วนรสชาติอ่อนไปนิด จริงๆถ้าจัดจ้านกว่านี้จะดีมาก แต่ก็ต้องชมว่าสัตถุดิบทุกอย่างคัดของดีมาปรุง ทั้งกุ้งแห้งและถั่วลิสงคุณภาพดีมาก
เส้นจันท์ผัดปู สั่งแบบจานเล็กราคา 50 บาท เส้นเหนียวนุ่มคงความเป็นเอกลักษณ์ของเส้นจันท์ได้อย่างดี ผัดมารสชาติออกหวานมีเผ็ดตามเล็กน้อย จานนี้น้องเกรซที่เริ่มๆจะทานเผ็ดได้นิดหน่อยก็ทานได้
ปิดท้ายด้วยเค้กทุเรียน ชิ้นละ 95 บาท จะมีขายเฉพาะหน้าทุเรียนเท่านั้นนะ ทานแล้วกลิ่นทุเรียนคลุ้งอยู่ในปาก เนื้อเค้กเบาๆแทรกด้วยครีมทุเรียนคือดีงามมาก มีทุเรียนเชื่อมชิ้นเล็กๆตกแต่งอยู่ด้วย
เช้าวันต่อมาพวกเรารีบตื่นแต่เช้าตั้งใจจะมาหาอาหารเช้าทานที่ชุมชนขนมแปลก ริมคลองหนองบัว ถ้าใครเที่ยวจันทบุรีช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ แนะนำว่าห้ามพลาดการเดินชิมขนมที่ชุมชนนี้เลย เพราะนอกจากความอร่อยและได้รู้จักขนมที่หาทานยากแล้ว ยังได้เพลิดเพลิน เฮฮากับขนมชื่อแปลกๆอีกด้วย ตลาดนี้เปิดตั้งแต่เช้าไปประมาณ 9.30 น. จะกำลังดี ร้านรวงเปิดและจัดร้านกันเสร็จหมดแล้ว ที่สำคัญไปเช้าๆหาที่จอดรถง่ายด้วย
นี่ชุมชนขนมแปลกมีร่มให้ยืมฟรีด้วยนะ ดีจัง
ขนมธรรมดาๆที่เราเคยทานอย่างข้าวแต๋นน้ำแตงโมก็มีมาขาย
ขนมครกก็ต้องมีแปลกไปจากเดิมๆบ้าง ธรรมดาๆไม่ขายนะ ขายแต่ขนมครกไรซ์เบอรี่
หมี่กรอบยังสีสันสดใส แถมเป็นรูปน้องหมี น่ารักจนไม่กล้ากินเลย
ขนมควยลิง เป็นขนมที่เป็นพระเอกของชุมชนนี้เลย รับรองว่าใครมาเที่ยวตลาดนี้ต้องแวะซื้อชิมกันทุกคนจ้า
ขนมถ้วยเจ๊เยาว์นี่จัดว่าเด็ด อยากให้ทุกคนได้ชิมเพราะเค้าใช้น้ำอ้อยให้ความหวานเลยทำให้เนื้อขนมชั้นล่างเป็นสีเข้มๆหน่อย เวลาขายก็จะแงะ 2 ฝา ประกบกันเพื่อโชว์สีของน้ำตาลอ้อย ที่สำคัญจัดมาแบบนี้ทานง่ายด้วยนะ
ขนมนิ่มนวล ดูนุ่มนิ่มน่าชิม ส่วนขนมมะลิแก้ว เป็นแป้งบางๆสีขาวจับจีบเป็นดอกไม้คล้ายขนมช่อม่วง แต่ที่เห็นเป็นสีๆคือสีจากไส้ต่างๆมีทั้ง เผือก ถั่ว และแครอท
คนที่นี่เรียกน้ำเฉาก๊วยว่าน้ำเยี่ยววัว แปลกดี
เดินซื้อขนมทานมาจนเกือบอิ่ม แล้วก็มาถึงอาหารมื้อเช้าของพวกเราจริงๆเสียทีกับร้าน เจ้น้อง บะหมี่เส้นทำเอง เส้นเลยจะออกมาหนานุ่มเส้นไม่เท่ากันเล็กๆใหญ่ๆ อร่อยดีนะ
เดินมาเกือบสุดริมน้ำมีรูปสตรีทอาร์ตเก๋ๆให้ถ่ายรูปด้วย ใครๆเค้าก็มาถ่ายรูปที่นี่กัน คุณยายในรูปเป็นคุณยายลิ ร้านขนมควยลิง เรียกว่าคุณยายเป็นซิกเนเจอร์ของชุมชนนี้ไปแล้วจ้า
เที่ยวกันต่อที่แลนด์มาร์กสำคัญยอดฮิตของจังหวัดจันทบุรีอย่างอาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล
อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล นับเป็นหนึ่งในวิหารที่มีสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย และเป็นโบสถ์ระดับชั้นอาสนวิหารแห่งเดียวในฝั่งตะวันออกของไทย มีจุดเด่นที่เด่นชัดคือยอดแหลมบนหอระฆัง 2 หลัง ภายใน
อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมลนับเป็นวิหารที่อยู่คู่ชุมชนชาวจันทบูรมาช้านาน นับตั้งแต่สมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 วิหารแห่งแรกได้ถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มชาวญวน 130 คน ที่หนีการเบียดเบียนคริสต์ศาสนิกชนในประเทศเวียดนาม เข้ามาตั้งรกรากในปี พ.ศ. 2254 โดยมีบาทหลวงเฮิ้ต โตแลนติโน เป็นผู้ดูแลกลุ่มชาวญวนเหล่านี้ และได้ทำการก่อสร้างวิหารหลังแรกขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. 2273-2295 ต่อมาได้เกิดเหตุไม่สงบในหมู่บ้านทำให้คริสตชนบางส่วนเดินทางออกจากหมู่บ้าน ทิ้งวิหารจนเสื่อมโทรม จนมีการสร้างวิหารใหม่เป็นหลังที่ 2 ในปี พ.ศ. 2295 โดยบาทหลวงเดอกัวนา ในสมัยคุณพ่อมัทเทียโดเป็นอธิการโบสถ์ ได้ทำการสร้างวิหารอีกครั้งเป็นหลังที่ 3 โดยได้ทำการย้ายมาตั้งในบริเวณที่ตั้งปัจจุบัน (ฝั่งตะวันออก) ในปี พ.ศ. 2377 ในสมัยคุณพ่อรังแฟงเป็นเจ้าอาวาสได้ทำการสร้างวิหารใหม่เป็นหลังที่ 4 ในปี พ.ศ. 2398 และวิหารหลังปัจจุบันได้ทำการสร้างขึ้นโดยคุณพ่อเปรีกาล โดยได้พิธีเสกศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2449
วิหารมีการตกแต่งเพดานเป็นท้องเรือไม้โนอาห์ ช่องบานกระจกแบบกอทิก และกระจกงานกระจกสี
นอกจากนี้ภายในยังมีแม่พระที่มีความล้ำค่า ซึ่งตกแต่งด้วยพลอยกว่า 200,000 เม็ด หรือกว่า 2 หมื่นกะรัต และฐานซึ่งหล่อขึ้นด้วยเงินบริสุทธิ์ ประดับองค์ด้วยทองคำและพลอยชนิดต่างๆ
ใครมาเที่ยวอาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมลเสร็จแล้ว แนะนำให้เดินข้ามสะพานไปเที่ยวต่อที่ชุมชนริมน้ำจันทบูรได้เลย
แวะเที่ยวบ้านเลขที่ 69 บ้านหลังนี้ปัจจุบันจัดเป็นนิทรรศการประวัติและวิถีชีวิตของชาวบ้านชุมชนริมน้ำจันทบูร
และอย่าลืมแวะชมของโบราณที่บ้านหลวงราชไมตรีด้วยนะ
หนังสือโบราณคือตัวอย่างหนึ่งที่หาชมได้ยากในบ้านหลวงราชไมตรี
มี Street Art สวยๆให้แวะถ่ายภาพกันด้วยนะ
หากมีเวลาก็แวะ “ร้านบางเวลา กาแฟและแกลเลอรี่” จิบเครื่องดื่มและแวะชมการ์ตูนสวยๆมากมาย เพราะเจ้าของร้านเป็นนักวาดการ์ตูนหนังสือขายหัวเราะมาก่อน
ที่ชุมชนริมน้ำจันทบูร มีอาหารและขนมให้เลือกทานตลอดสาย ทั้งขนมไข่ป้าไต๊ ขอบอกว่าร้านนี้คิวยาวมาก นี่ก็ไม่ได้ลองชิมเหมือนกัน รอคิวไม่ไหวจ้า เดินเหนื่อยๆก็มีร้านกาแฟเพียบ อยากให้ลองชิมน้ำมะปิ๊ด(น้ำส้มจี๊ด) เจออากาศร้อนๆเข้าไปสดชื่นขึ้นมาก
ข้างๆกันมีร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊อี๊ดริมน้ำ ที่ใครผ่านไปมาเป็นต้องแวะชิมก๋วยเตี๋ยวกั้งสุดขึ้นชื่อ หรือก๋วยเตี๋ยวทะเล ที่มีทั้งกั้ง ปลาหมึก ปูและก้ามปู เรียกว่าเครื่องแน่นล้นชามเลย
เดินไปเดินมาสรุปลองชิมก๋วยจั๊บโบราณป้าไหม ที่นี่เค้าใช้ฟืนต้มน้ำซุป เลยได้ซุปที่หอมและเข้มข้นมากๆ
นอกจากขายก๋วยจั๊บน้ำข้นแล้วยังขายก๋วยเตี๋ยวหมูด้วย
บ่ายๆ เราเดินทางต่อไปยังวัดพลับ เพื่อสักการะสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่วัดพลับกัน
วัดพลับ หรือที่คนมักจะเรียกชื่อตำบลต่อท้ายว่า “วัดพลับบางกะจะ*” เป็นวัดที่สันนิษฐานว่าสร้างราวปี พ.ศ.2300 ในช่วงสมัยอยุธยาตอนปลาย เดิมมีชื่อว่า “วัดสุวรรณติมพุธาราม” ที่แปลว่า พลับทองคำ เพราะในบริเวณวัดมีต้นพลับที่เวลาออกผลแก่ เห็นเป็นสีเหลืองอร่ามเต็มต้น ดูคล้ายกับทองคำ ต่อมาพระครูเขม์ ธัมทินโน ได้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น “วัดพลับ”
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2309 เป็นช่วงที่พม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งในขณะนั้นยังเป็น พระยาวชิรปราการ ได้นำกำลังทหารจำนวนหนึ่ง ตีฝ่าวงล้อมพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยา เพื่อมารวบรวมไพร่พลในฝั่งภาคตะวันออก เมื่อเข้าตีเมืองระยองได้แล้ว ได้นำกองทัพต่อมายังเมืองจันทบุรี ก่อนที่จะเข้าตีเมืองจันท์ ได้ยกพลมาพักที่บ้านบางกะจะหัวแหวน
ในขณะที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นำกองทัพทหารมาพักแรมที่วัดพลับในคืนก่อนเข้าตีเมืองจันท์ ได้สั่งให้ทหารทุบหม้อข้าวหม้อแกง เป็นกุศโลบายให้ทหารฮึดสู้ให้ได้ชัยชนะมาเพื่อความอยู่รอด และจากหลักฐานพบว่า ได้มีการประกอบพิธีประพรมน้ำมนต์ แจกพระยอดธง** ที่เรียกว่า “พระเสาธงกรุวัดพลับ***” ให้แก่เหล่าทหารของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ทหารในกองทัพ จนทหารบุกเข้าตีเมืองจันท์ได้สำเร็จ พระยอดธงที่เหลือได้นำเก็บไว้ในเจดีย์กลางทราย ซึ่งปัจจุบันไม่เหลือให้เห็นแล้ว และได้ทำเป็นอนุสาวรีย์ขององค์พระเจ้าตากไว้แทน
ที่วัดพลับนี้จะมีหอไตรกลางน้ำ ที่อยู่กลางน้ำเพราะว่าพระไตรปิฎกโบราณทำมาจากไม้ เค้ากลัวปลวกจะไปทำให้เสียหาย เลยตั้งกลางน้ำเพื่อป้องกันปลวกครับ
ส่วนเจดีย์กลางน้ำนี้ถูกสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นครับ
ที่แปลกและไม่เคยเจอที่ไหน คือพระพุทธรูปปางทรมานกายหรือบำเพ็ญทุกรกิริยาจะเป็นปางที่พระพุทธเจ้าอดอาหารจนเห็นกระดูกเลย ข้างๆจะมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่นำไปใช้ในพระราชพิธีต่างๆในปัจจุบันด้วย
พระปรางค์สวยมาก
ด้านหลังวัดมีเรือที่ชื่อว่า หม่อมหัวเขียว เป็นชื่อพระราชทานจาก ร.5 ที่ได้ชื่อนี้มา เพราะสมัย ร.5 ได้เสด็จมาจันทบุรี เรือดันติด ใช้เรือมาลากหลายลำก็ไม่สำเร็จ จนเรือหม่อมหัวเขียวมาลากได้ ร.5 เลยพระราชทานชื่อนี้ให้มา
มีเมรุโบราณ ซึ่งไว้ประกอบพิธีทางศาสนาสำหรับชนชั้นขุนนางในสมัยก่อนเท่านั้น
เดินเที่ยววัดแล้ว ก็แวะเดินเล่นตลาดทุบหม้อที่จะจัดทุกวันเสาร์-อาทิตย์บริเวณลานวัดพลับ
มาตลาดทุบหม้อนี้ได้ลองชิมอาหารพื้นเมืองอีกอย่าง คือก๋วยเตี๋ยวผัดน้ำกุ้ง ที้รานผัดยายลั้ง (คือยายลั้งเป็นต้นตำรับเมนูก๋วยเตี๋ยวผัดน้ำกุ้งนั่นเอง) โดยจะใช้เส้นใหญ่ผัดคล้ายๆผัดไทแต่เครื่องน้อยกว่า ผัดเสร็จแล้วจะราดด้วยน้ำปรุงกุ้งสับ รสชาติดีทีเดียว ส่วนเด็กๆทานข้าวเหนียวไก่ทอด ราคาอาหารที่ตลาดนี้ไม่แพงเลย แม่ค้าคิดอย่างละ 30 บาท
บ่ายๆเราเดินทางไปยังสวนอิสรีย์ฟาร์มม้าไทย เค้ามีรถพาเข้าไปชมสวนทุเรียน ลองกอง มังคุด เงาะกัน
สวนอิสรีย์ฟาร์มม้าไทย เน้นการปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ ผลิตปุ๋ยเอง ไม่ใช้สารเคมีเลย
งานนี้เลยได้พาเด็กๆมารู้จักต้นทุเรียนเป็นครั้งแรกในชีวิตเลย
คุณนายแอนกับต้นลองกอง ผลผลิตกำลังออกเลย
มีให้เด็กๆขี่ม้ากันด้วย น้องกายชอบใจใหญ่เลย
ปิดท้ายด้วยบุฟเฟ่ต์ผลไม้ คิดราคาหัวละ 399 บาท โดยจำกัดทุกเรียนประมาณ 2 กก. แต่ถ้า 499 บาท นี่กินทุเรียนไม่อั้นเลยจ้า
อ่อ และถ้าหากใครอยากทานทุเรียนพันธุ์หายากอย่างพันธุ์ทองคำ ที่ราคากก.ละ 400 บาท ก็มาแวะซื้อชุมได้ที่นี่จ้า (ไม่รวมในบุฟเฟ่ต์นะ) ทางสวนบอกว่าพันธุ์ทองคำนี้มีต้นเดียวในจันทบุรีเลย
โปรแกรมวันนี้แน่นเรื่องกินกันตลอดวัน ตกเย็นเลยพาเด็กๆมาทานอะไรง่ายๆกันคนละจานก่อนเข้าที่พัก สรุปลงเอยกันที่ร้าน Mililin Café & Eatery ที่อยู่ในตัวเมือง ร้านอยู่ริมน้ำบรรยากาศดีเชียว
ข้าวสเต็กหมูไข่ดาว จานนี้ 85 บาท ถือว่าราคาไม่แพงถ้าขายในร้านแบบนี้ รสออกเค็มๆหวานๆจัดมาจานใหญ่เลย
ข้าวไข่ข้นกุ้ง จานนี้จำราคาไม่ได้จ้า ราคาประมาณ 100-200 บาท กุ้งตัวโต เนื้อแน่นมาก มีโปะไข่กุ้งมาอีกหน่อย คุ้มราคาอยู่นะ
เช้าวันต่อมาเรารีบตรงมาทานร้านอาหารเช้าซอย 5 ตามคำแนะนำของเพื่อนๆที่อยู่จันทบุรี ชาวจันทบุรีส่วนใหญ่มีทั้งเชื้อสาย ไทย จีน และญวน เลยนิยมทานอาหารเวียตนามในตอนเช้า
อาหารแต่ละอย่างราคา 20-45 บาท เครื่องแน่น ชามใหญ่เชียว ถือว่าค่าครองชีพที่นี่ถูกมากๆ
อิ่มอาหารเช้ากันแล้ว โปรแกรมวันนี้เรามาเที่ยวกันที่โอเอซิส ซีเวิลด์ Oasis Seaworld กัน
ค่าเข้าผู้ใหญ่ 130 บาท เด็ก 80 บาท มีการแสดงทุกวัน รอบ 9.00 / 11.00 / 13.00 / 15.00 / 17.00
ปลาโลมาหัวบาตรที่นี่เป็นสายพันธุ์ไทย รวมทั้งครูฝึกก็เป็นคนไทย โดยฝึกแบบไม่ใช้นกหวีด การแสดงประมาณ 45 นาที ซึ่งก็สนุกสนานเฮฮาดีครับ
จบการแสดงก็จะมีให้ไปถ่ายภาพกับโลมาสีชมพูด้วย (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนะ)
การได้ใกล้ชิดกับสัตว์ที่ฉลาดมากๆอย่างโลมา ทำเอาครอบครัวเราประทับใจมากๆครับ
ชมโชว์ปลาโลมาเสร็จแล้ว มาเดินเที่ยวด้านในโอเอซิส ซีเวิลด์ Oasis Seaworld กันต่อ
เอ้า กอดทุเรียนยักษ์กันหน่อย ระวังหนามหน่อยนะ
กิจกรรมในสวนสนุกก็มีให้ทำมากมายนะ อย่างแรกคือ การให้อาหารปลาหมอทะเล
ปลาหมอทะเลที่นี่ตัวใหญ่และงับอาหารรุนแรงมาก เสียงดัง น้ำกระเด็นโดนขาเลยทีเดียวนะ
สปาปลา แช่ขาให้ปลาตอดกัน
ป้อนอาหารปลาคาร์ฟ
มีกวางด้วยนะ
แวะทานอาหารกันที่นี่เลย อาหารเค้ารสชาติใช้ได้เลยนะ
กินกันเยอะๆนะ เด็กๆ เดี๋ยวเราจะไปเที่ยวกันต่ออีกเยอะเลย
เที่ยวกันต่อที่ตึกแดง สถานที่ท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ที่สำคัญของจันทบุรี
ตึกแดง แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของจังหวัดจันทบุรี เป็นประวัติอันขมขื่นของคนไทยที่เมืองจันทบุรีอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสถึง 11 ปี (พ.ศ.2436 – 2446) สถานที่แห่งนี้มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน กว่าจะมาเป็นเมืองจันทบุรี และเป็นไทยอยู่ทุกวันนี้บรรพบุรุษของเราต้องแลกกับเลือดเนื้อ ดินแดน และทรัพย์สิน
ตึกแดง และ คุกขี้ไก่ สร้างขึ้นโดยฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2436 ในยุคของอินโดจีนฝรั่งเศส หรือ วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ในสมัยนั้นฝรั่งเศสได้แผ่อาณานิคมเข้ามาที่ลาว กัมพูชา เวียดนาม และได้หาเรื่องรุกรานไทยโดยอ้างว่า ดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงคือ อาณาจักรลาวเกือบทั้งหมด ฝรั่งเศสได้บุกเข้ามาที่กรุงเทพฯ เพื่อต้องการดินแดนส่วนนี้ กับพื้นที่ในจังหวัดตราด และยังต้องการค่าเสียหายอีกเป็นจำนวนถึง 3 ล้านฟรังก์เหรียญทอง หรือราว 1.56 ล้านบาทในขณะนั้น
ในขณะที่ไทยยังไม่สามารถยกดินแดนที่ฝรั่งเศสต้องการ และ ฝรั่งเศสยังไม่ได้รับค่าเสียหาย ฝรั่งเศสก็เลยใช้วิธียึดเมืองจันทบุรีไว้เป็นตัวประกัน ฝรั่งเศสได้สร้างตึกแดง เป็นตึกเล็กชั้นเดียว ขนาด 7 x 32 ตารางเมตร มีห้องภายในอยู่ 5 ห้อง ไว้เป็นที่บัญชาการ และที่อยู่อาศัยของทหารฝรั่งเศส – ญวณ ด้านนอกทาสีแดงเข้ม ที่ตั้งของตึกแดงอยู่ที่ป้อมพิฆาฏปัจจามิตรซึ่งเป็นป้อมปืนเก่าแก่ในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยฝรั่งเศสได้รื้อเอาป้อมพิฆาฏปัจจามิตรออกแล้วสร้างตึกแดงในที่ตรงนั้น มีการนำวัสดุบางอย่างของป้อมพิฆาฏปัจจามิตรมาใช้ในการสร้างดึกแดงด้วย ฝรั่งเศสใช้งานดึกแดงเป็นที่บัญชาการจนถึงปี พ.ศ. 2447 จนได้สิ่งที่ต้องการจนครบไม่ว่าจะเป็นดินแดนที่เคยเป็นเมืองขึ้นของไทย และเงินค่าเสียหายที่ฝรั่งเศสเรียกร้อง มีบันทึกไว้ว่าเงินในท้องพระคลังสมัยนั้นถึงกับหมดเกลี้ยง
ด้านในมีปืนใหญ่โบราณด้วย
แวะมาดูคุกขี้ไก่ที่อยู่ไม่ไกลกัน คุกขี้ไก่สร้างไว้เพื่อกักขังคนไทยที่มีความคิดต่อต้านฝรั่งเศส และที่เรียกว่าคุกขี้ไก่ เพราะมีการเลี้ยงไก่ด้านบน และมูลไก่จะตกลงมายังห้องคุมขังนั่นเอง
ใครมาเที่ยวย่านนี้ก็อย่าลืมแวะขึ้นมาชมวิวบนสะพานตากสินมหาราช หรือ สะพานแหลมสิงห์ที่อยู่ใกล้ๆกันด้วยนะ
มาเยือนจันทบุรีเมืองอัญมณีทั้งที ก็เลยพาเด็กๆมาชมพิพิธภัณฑ์อัญมณีที่ศูนย์ส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรีกันหน่อย
ด้านในมีนิทรรศการให้ความรู้เรื่องอัญมณีต่างๆ ซึ่งเข้าชมฟรีและจัดไว้ดีมาก
ส่วนใครที่อยากซื้อพลอยสวยๆ ก็มีร้านขายพลอยที่รับรองโดยสมาคมค้าพลอย ซึ่งเราก็จะมั่นใจได้ว่าได้รับพลอยคุณภาพ ไม่ต้องเสี่ยงโดนหลอกด้วย
เหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวัน ต้องไม่พลาดที่จะมาจิบเครื่องดื่มคลายร้อนพร้อมทานขนมอร่อยๆกันที่ KAYS Espresso Bar เป็นร้านดังที่ใครๆก็แวะกัน เข้ามาในร้านคนเยอะมาก โต๊ะเต็มหมด ถ้าอยากนั่งห้องแอร์ก็รอคิวหน่อย แต่บริเวณอื่นๆทั้งโซนด้านหน้า ในสวนด้านหลังก็มีที่นั่งเยอะอยู่นะ
สั่งแพนเค้กสตรอเบอร์รี่มาทาน จานนี้สองร้อยกว่าบาท ส่วนเครื่องดื่มแก้วละเกือบๆร้อย เบ็ดเสร็จจ่ายไป 400กว่าบาท เครื่องดื่มและขนมมีให้เลือกเยอะมาก ใครมาทานรับรองเลือกยากเหมือนพวกเราแน่ๆ
อีกหนึ่งจุดเด่นของ KAYS Espresso Bar คือมีมุมถ่ายรูปเยอะมากทั้งเจ้ากระต่ายสีขาว และสวนสวยๆ
เด็กๆวิ่งเล่นกันด้านนอกไม่เบื่อเลย
ต้นไม้แน่นมากสบายตาเป็นที่สุด
มาถึงวันสุดท้ายก่อนอำลาเมืองจันทบุรี เลยขอฝากท้องแบบคนท้องถิ่นอีกสักมื้อ ร้านนี้มีทั้งก๋วยจั๊บญวน ไข่กระทะ และอาหารตามสั่งอีกหลายอย่าง แต่มาเช้าๆเมนูตามสั่งจะยังไม่พร้อมขายนะ
เลยได้ทานก๋วยจั๊บญวนทะเล น้ำซุปอร่อย เส้นเหนียวอร่อยเลยละ เติมพลังแล้วบึ่งรถกลับบ้านกัน
เป็นอันจบทริปท่องเที่ยวจังหวัดจันทบุรีไปอย่างสมบูรณ์ ต้องขอขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และผู้อ่านทุกท่าน หวังว่าจะได้รับประโยชน์จากข้อมูลและความสุขแบบครอบครัวไปไม่มากก็น้อย วันนี้ลาไปก่อนนะ สวัสดีครับ
ปล.หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share
หรืออยากใกล้ชิดกันมากขึ้น แอด Line มาได้เลย มีรีวิวใหม่จะส่งไปบอก อยากคุยกับแอดมิน Line มาคุยเลยจ้า ID : @2Madames กดตรงนี้ก็ได้
หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป