เที่ยวหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ถือเป็นทริปสบายๆ 3 วัน 2 คืน ที่พวกเราออกตะเวนกินร้านดัง อาหารอร่อย ขนมดัง และเป็นทริปที่ท่องเที่ยวแบบเน้นครอบครัว ไม่อัดโปรแกรมจนเหนื่อยจนเกินไป กินย่านเก่าถนนนางงาม เที่ยวเขาตังกวน หาดสมิหลา ชิมข้าวต้มนายยาว ตื่นเช้ากินโชคดีแต่เตี้ยม ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหาดใหญ่ นั่ง Cable Car แห่งแรกของประเทศไทย พาเด็กๆไปเที่ยวสวนสัตว์สงขลา แวะทานของอร่อยทั่วเมือง จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ตามไปชมรีวิวกันครับ
เทคโนโลยีสมัยนี้ช่วยทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นจริงๆ แม้กระทั่งตั๋วเครื่องบินก็ยังสามารถจองผ่าน Application ในโทรศัพท์มือถือได้แล้ว ทริปนี้ครอบครัวเราบินด้วย Nok Air ครับ App ของนกแอร์ก็สะดวกสบายมาก สามารถทำธุรกรรมต่างๆที่จำเป็นได้อย่างครบถ้วน ทั้งการจอง, การ Online Check-in เลือกที่นั่งได้ก่อน สามารถทำการเช็คอินภายในระยะเวลาตั้งแต่ 24 ชั่วโมงจนถึง 1 ชั่วโมง ก่อนเวลาเครื่องออก แถมตัวแอพยังมีบริการ Nok Alert แจ้งเตือนต่างๆ เช่น แจ้งเตือนก่อนการบิน, Final Call ฯลฯ ด้วย
โดย Application ของ Nok Air ก็สามารถโหลดฟรีได้จาก Google Play และ IOS App Store ได้เลย
สำหรับครอบครัวที่เดินทางพร้อมเด็กๆ อย่าลืมสมัครสมาชิกนกคิดส์คลับ Nok Kids Club ข้อดีแบบรวมๆก็คือ
1.) สมัครฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ถ้าอายุไม่เกิน 12 ปีจะเป็นสมาชิกนกคิดส์คลับ แต่ถ้าแรกเกิดถึง 2 ขวบจะเป็นสมาชิกเบบี้นก
2.) น้ำหนักกระเป๋าเพิ่มเป็น 20 กิโลกรัม
3.) แถวเช็คอินพิเศษเฉพาะนกคิดส์คลับ
4.) สะสม Nok Point แลกรับฟรีของรางวัลสุดพิเศษจากโครงการฯ*
5.) บินฟรี 1 เที่ยว เมื่อสะสม Nok Point ครบตั้งแต่ 7,500 คะแนน**
6.) ขึ้นเครื่องบินและรับกระเป๋าก่อนใครด้วยบริการ Priority Boarding และ Priority Baggage
7.) รับของเล่นในทุกเที่ยวบิน
8.) จะมีโปรโมชั่นร่วมกับร้านค้าต่างๆ อาจจะได้รับส่วนลดพิเศษครับ
สมัครกันฟรีๆก่อนที่ http://www.nokfanclub.com/Nokkidsclub/th#/apply/
ส่วนผู้ใหญ่อย่างเราๆก็สามารถสมัครเป็นสมาชิกนกแฟนคลับ Nok Smile โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น รับน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม, รับอีเมล์รู้ตั๋วโปรโมชั่นก่อนใคร, สะสม Nok Point แลกตั๋วเครื่องบินฟรี เป็นต้น http://www.nokfanclub.com/aspx/nokfan.aspx#
พอไปถึงสนามบินดอนเมือง เราก็พาเด็กๆไปรับบัตรสมาชิก, ของเล่นต่างๆ รวมทั้ง Passport ไว้สะสมแสตมป์เพื่อแลกของรางวัลได้อีก เด็กๆถูกใจกันมากเลยครับ
เวลาโหลดกระเป๋า ปกติแถวของสายการบินต่างๆค่อนข้างจะยาว แต่ถ้าเราเป็นสมาชิกไม่ว่าจะเป็นนกคิดส์คลับ, นกแฟนคลับ ก็จะสามารถใช้ช่องแถวเช็คอินพิเศษ ซึ่งคนน้อยกว่า ไม่ต้องต่อคิวนานครับ
เช็คอินเสร็จก็มาแวะถ่ายภาพกับป้ายสวยๆกันครับ
อะไรๆก็ฟรี ทุกเที่ยวบินมีรอยยิ้มจริงๆ
เดินมาถึง Gate ก็มีลานลูกนก ให้เด็กๆได้เล่นสนุกกับสนามเด็กเล่น เล่นกันให้เหนื่อยครับ เวลาขึ้นเครื่องจะได้หลับ ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องเด็กหงุดหงิดบนเครื่องบินด้วย ส่วนพ่อแม่อย่างเราๆก็สบายครับ นั่งเล่น Internet ด้วย Nok Wifi อีก
บนเครื่องนกแอร์จะมี Nok Kanom เป็นขนมปังพร้อมน้ำดื่มเสิร์ฟให้ครับ
ใช้เวลาเดินทางชั่วโมงเศษๆ ก็ถึงสนามบินหาดใหญ่ แวะรับรถเช่าจาก Avis กันก่อนครับ
เช่า Toyota Altis มาขับสบายๆ มุ่งตรงไปยังตัวเมืองสงขลาก่อนเลย แวะมาที่นี่ครับ ถ.นางงาม หรือชื่อเดิมว่า ถนนเก้าห้อง หนึ่งในถนนที่เก่าแก่ที่สุดของสงขลา นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งกินสำคัญของที่นี่ เต็มไปด้วยร้านอาหารอร่อยและเก่าแก่ บางร้านตั้งมาหลายสิบปี ผ่านมาหลายชั่วอายุคนครับ
มาถึงถนนนางงาม ก็แวะไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกันก่อนนะครับ
ร้านแต้เฮี้ยงอิ้ว ร้านเก่าแก่ขายมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2480 จวบจนปัจจุบัน ก็เกือบจะ 80 ปีเข้าไปแล้ว สำหรับเพื่อนๆที่จะมาทานร้านนี้ ต้องดูเวลานิดหน่อยนะครับ เนื่องจากร้านนี้เปิดปิดให้บริการเป็นเวลา แบ่งเป็น 2 ช่วงเวลาด้วยกัน ช่วงเที่ยงจะให้บริการ 11.30 – 14.00น. ส่วนเพื่อนๆท่านไหนสะดวกมาตอนเย็น ก็มาช่วง 17.00 – 20.00น. นะครับ
เริ่มเมนูแรกด้วยเมนูขึ้นชื่ออย่าง ปูผัดพริกขี้หนู ที่ไม่จำเป็นต้องปรุงอะไรมากมาย สะดวกมากเพราะเนื้อปูม้าแกะเสร็จพร้อมทาน ผัดด้วยพริกขี้หนูสวนตำละเอียด เป็นจานมหาชนของร้านอีกหนึ่งเมนู จานจิ๋วเดียว 200 บาทครับ
ส่วนจานข้างๆเป็นผัดผักบุ้งไฟแดง แปลกดีตรงที่ใช้ผักบุ้งไทย ที่ใช้ใส่เย็นตาโฟมาผัดพอสะดุ้งไฟ ถ้าเพื่อนๆชอบรสจัดอย่าลืมแจ้งว่าใส่พริกด้วยนะครับ จานนี้ผัดมาแบบปกติ ไม่ใส่พริกจ้า เด็กๆทานผักกรอบๆกันอร่อยเลย ราคา 50 บาท ถูกมากๆ
เมนูต่อมาสั่งเพราะพนักงานเชียร์ครับ เป็นเนื้อปลากะพงทอดกรอบนอก แต่เนื้อในยังฉ่ำ สุกกำลังดีและสดมากจริงๆ สนนราคาจานนี้ 100 บาท (ราคาขายตามน้ำหนัก ขีดละ 100 บาท) อร่อยเด็ดมาก ควรค่าแก่การสั่งมาทานจริงๆครับ
อิ่มจากร้านแต้เฮี้ยงอิ้ว ก็เดินหาเย็นตาโฟร้านเจ๊โบ๊ว ร้านนี้หาข้อมูลมาว่าเป็นเย็นตาโฟใส่ปีกปลาหมึกสด หน้าตาดูน่าทานมาก แต่ผมหาไม่เจอครับ สอบถามชาวบ้านแถวนั้นว่าร้านเย็นตาโฟไปทางไหน คุณป้าแต่ละคนอธิบายทางมาร้านอย่างละเอียดเลย เดินมาเรื่อยๆจนสุดถนน ก็เจอกับร้านเย็นตาโฟเจ้าดัง ที่ร้านอาหารใต้ฟ้า ถึงไม่ใช่ร้านที่ตั้งใจมาลองชิม แต่คนท้องถิ่นแนะนำก็ต้องขอลองเสียหน่อยครับ ที่นี่ขายอาหารหลากหลายประเภท ทั้งก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ บะหมี่เกี๊ยวปู ข้าวหมูแดงหมูกรอบ และข้าวขาหมู ร้านนี้ขายดีชนิดที่ว่าผมไปทานตอนบ่าย 3 วันธรรมดาแล้ว แต่ลูกค้ายังแน่นร้านอยู่เลย
เย็นตาโฟร้านนี้ชามนี้ ราคาปกติชามละ 50 บาท ราคาจัดว่าค่อนข้างสูงครับ แต่ขอบอกว่าเสิร์ฟมาชามใหญ่มาก ทานเกือบไม่หมด ที่พิเศษของเย็นตาโฟร้านนี้เห็นจะเป็นกุ้งฝอยทอดแพใหญ่ที่ใส่มาในชามนี้ด้วยครับ ผมสั่งเส้นเล็กเย็นตาโฟ รสชาติก็โอเคดี สำหรับเส้นเล็กนุ่มเหนียวใช้ได้เลยละ
ลองสั่งข้าวขาหมูมาชิมดูบ้าง รสชาติเข้มข้นดี ไม่เค็มจนเกินไป ความพิเศษคงจะเป็นหนังหมูที่ร่อนๆออก หนังจะเด้งๆกรอบๆ แปลกไปจากหนังหมูเดิมๆที่ทานกันครับ
อิ่มอาหารคาวแล้วผมจะต่อด้วยของหวานยาวๆกันเลยนะ ร้านแรกที่มาชิมเป็นร้านไอติมยิว จิ่น กั้ว หยวน เป็นร้านเก่าแก่ชื่อดังที่ขายมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 ปีนี้เป็นปีที่ 82 แล้ว ขายดีมายาวนานขนาดนี้ ต้องลองชิมแล้วละว่ารสชาติจะขนาดไหน
สำหรับไอศกรีมร้านจิ่น กั้ว หยวน (ไอติมยิว)นี้ เป็นไอติมกะทิ ที่รสชาติออกหวาน วันนี้ผมสั่งแบบใส่ไข่แดง ตอนเสิร์ฟมามีผงโอวัลตินโรยมาด้วย เพิ่มความหอม มัน แปลกแต่อร่อยดีครับ ถ้วยนี้ราคา 25 บาท
เดินมาอีกหน่อยเจอร้าน บ้านขนมไทย สอง-แสน เป็นร้านดังออกโทรทัศน์หลายช่องเลย
ใกล้ๆกันก็มีร้านขายขนมพื้นเมืองโบราณ ทั้งข้าวฟ่างกวน ขนมทองเอก และอีกหลายอย่างเลย ข้าวฟ่างกวนร้านนี้โอเคเลย ไม่หวานเกินไปครับ ราคา 60 บาท เก็บได้นานเป็นอาทิตย์ ทานไม่หมดอย่าเข้าตู้เย็นนะจ้ะ เดี๋ยวเนื้อจะแข็งทำให้เสียรสชาติ ผมกับภรรยาชิมแล้วปรากฏว่าแป๊บเดียวหมดเลย 555
อีกร้านในละแวกเดียวกัน ร้านกุลประคอง ขายเหมือนๆกันหมดเลย
ถัดมาอีกนิด เป็นร้านไอศครีมโอ่ง น่าจะเป็นร้านสุดฮิตสำหรับนักศึกษาและวัยรุ่นที่สงขลาเลยก็ว่าได้ ตอนไปทานคนแน่นขนาดต้องรอคิวเลยล่ะครับ
สั่งลูกชิ้นทอดมาชิมดูก่อน รสชาติธรรมดา ออกจากมีแป้งเยอะด้วยนะ คุณภาพเหมาะสมกบราคาไม้ละ 3 บาทจ้า
ไอติมร้านนี้ที่ขึ้นชื่อและขายดีจะเป็นไอศครีมทรงเครื่อง แต่วันที่ไปทานเครื่องหมดแล้วครับ ขายดีจริงๆ เลยสั่งเป็นไอศครีมถั่วเขียว และไอศครีมยกล้อมาแทน
ดูเมนูชื่อไอศครีมยกล้อ ฟังดูน่าสนใจมากๆ แต่สั่งมาแล้วผิดหวังมาก ไม่อร่อยอย่างแรงครับ เพราะเป็นไอศครีมกะทิใส่ในน้ำโค๊ก แล้วโค๊กก็แบบว่าไม่ซ่าเลย เพราะใช้ขวดใหญ่เปิดปิดหลายรอบจนหมดความซ่าไปหมดแล้ว ส่วนไอศครีมถั่วเขียวหวานหอมถั่วเขียวบดอร่อย นอกจากสองอย่างที่สั่งมาชิมแล้ว ร้านไอศครีมโอ่งก็มีเมนูไอศครีมใส่ไข่ เหมือนร้านไอศครีมยิวด้วยนะครับ ถ้าให้ผมเปรียบเทียบรสชาติของไอศกรีม ผมชอบร้านไอศครีมโอ่งมากกว่ามาก ด้วยรสชาติที่หวานมันหอมกะทิมากกว่า ใครชอบแบบไหนลองตัดสินใจดูนะจ้ะ
ที่ถนนนางงาม ไม่เพียงแต่มีร้านขนมพื้นเมือง และร้านไอศครีมชื่อดังเพียงแค่นั้น แต่ยังมีร้านขนมเค้กชื่อดัง EP’s Cafe Pattisserie ที่มีหลายสาขากระจายทั่วทั้งตัวเมืองสงขลา และหาดใหญ่อีกด้วย
ขนมเค้กหลากหลายให้เลือกชิม
สั่งมาชิมตามนี้ ต้องบอกว่ารสชาติพอโอเคระดับหนึ่งครับ แต่หากให้เทียบกับร้านต่างๆในกรุงเทพ ต้องบอกว่ารสชาติยังแพ้อยู่ครับ
สำหรับขนมรายการสุดท้ายที่อยากแนะนำให้เพื่อนๆชิม เป็นขนมไข่เจ้าดังเจ้านี้ครับ ขนมไข่ ร้านเลิศ เบเกอรี่ จริงๆแล้วขนมไข่ ร้านเลิศ เบเกอรี่ มีสาขากระจายอยู่ทั่วเมืองสงขลาเลยครับ หาทานได้ไม่ยาก ขนมไข่นี้รสชาติออกชุ่มเนย ทำให้เนื้อขนมไม่หยาบ ไม่แห้งเลยแม้แต่น้อย สำหรับความพิเศษของสาขานี้ อยู่ตรงที่เป็นขนมไข่ ร้านเลิศ เบเกอรี่ ร้านเดียวที่อบด้วยเตาถ่าน ทำให้หอมอร่อยมากกว่าสาขาอื่นๆที่อบด้วยเตาไฟฟ้าหรือเตาแก๊สครับ แต่ขอบอกว่าไม่ได้เดินเข้าไปซื้อชิมกันง่ายๆนะ ตอนผมไปต้องรอคิวประมาณชั่วโมงนึง ทรหดจริงๆครับ แต่ได้ทานแล้วคุ้มค่ามากที่รอจริงๆ
กินกันจนอิ่มแล้ว ถึงเวลาเที่ยวกันบ้าง เราไปยังสถานีลิฟท์เขาตังกวน เทศบาลนครสงขลากัน เพื่อขึ้นไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และชมวิวเมืองสงขลากัน
ค่าขึ้นลิฟท์ : ผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 20 บาท
เก็บภาพครอบครัวกันหน่อย
ใช้เวลาแปปเดียวก็ถึงยอดเขาตังกวนแล้วครับ ด้านบนนี่มีประภาคารด้วยนะครับ
ประภาคาร เป็นอาคารที่สำคัญอย่างหนึ่งของเขาตังกวนสร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ.2439 ครั้งพระยาวิเชียรคีรี (ชม) เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา โดยสมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้โปรดให้กรมทหารเรือทำเครื่องหมายประดับประกอบตัวโคมและส่งแบบฐานปูนให้ข้าหลวงออกมาจัดการก่อสร้างประภาคาร ตามพระราช ดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในบริเวณที่พระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา) และพระยาชลยุทธโยธินเป็นผู้ เลือกสถานที่ประภาคารนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2440 ศาลาพระวิหารแดง
บนยอดเขาตังกวนเป็นที่ประดิษฐานเจดีย์พระธาตุคู่เมืองสงขลา ซึ่งสร้างในสมัยอาณาจักรนครศรีธรรมราช เป็นศิลปะสมัยทวารวดี ในเดือนตุลาคมของทุกปีจะมีพิธีห่มผ้าองค์เจดีย์ ประเพณีลากพระและตักบาตรเทโว และยังสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองสงขลาและทิวทัศน์สองทะเล คือทะเลอ่าวไทยและทะเลสาบสงขลา และก่อนถึงยอดเขาตังกวนจะมีศาลาวิหารแดง (พลับพลาที่ประทับ) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระยาวิเชียรคีรี (ชม) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาในสมัยนั้น สร้างพลับพลานี้ถวายตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.2431 บริเวณด้านล่างเขาตังกวนมีลิงอาศัยอยู่จำนวนมาก
จากลานพระเจดีย์หลวงมีทางเดินลงบันไดมายังศาลาพระวิหารแดง ประวัติการก่อสร้างศาลาพระวิหารแดง พระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริให้สร้างพลับพลาที่ประทับนี้แต่ยังคงสร้างค้างอยู่ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2432 พระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสแหลมมลายูถึงเมืองสงขลา พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินขึ้นนมัสการพระเจดีย์บนยอดเขาตังกวนมีพระราชศรัทธาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างศาลาพระวิหารจนสำเร็จในเวลาต่อมาแล้วยังทรงพระราชดำริให้สร้างบันไดนาคขึ้นจาก พลับพลา สำเร็จเรียบร้อยในปี พ.ศ.2440 วิวสวยหน้าศาลาพระวิหารแดง พลับพลาที่สร้างขึ้นตั้งแต่ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หันหน้าพลับพลาไปด้านเชิงเขาด้านหนึ่งของเขาตังกวนเป็นบริเวณที่วิวเปิดเห็นทิวทัศน์ได้ไกล และสวยงามมากภายในศาลาพระวิหารแดง ลักษณะการก่อสร้างภายใน เป็นเสามีช่องทางเดินทะลุถึงกันแต่ละช่องมีขนาดเท่ากันและเป็นแบบเดียวกันทั้งหมดอย่างที่เห็นในภาพนี้เลยครับมองจากด้านหน้าจะทะลุไปจนถึงด้านหลัง มองจากด้านข้างด้านหนึ่งจะ ทะลุไปจนถึงอีกด้านหนึ่งช่องทางด้านหน้าและด้านหลัง ช่องทางเดินเข้าออกศาลาพระวิหารแดงคงไม่เรียกว่าประตูเพราะไม่มี ทั้งบานประตูและบานหน้าต่าง ด้านหลังเป็นทางไปบันไดนาคขึ้นยอดเขาตังกวนและพระเจดีย์หลวงช่องด้านหน้าเป็นทางเดินลงไปเชิงเขาทางบันได
วิวเมืองสงขลามองจากตรงนี้สวยมากครับ
มีหัวใจให้ถ่ายภาพกันด้วย
ลงจากเขาตังกวน พวกเราเดินทางกันต่อไปยังหาดสมิหลาที่อยู่ไม่ไกล
แถวนี้มีบริการขี่ม้าด้วยครับ ราคา 150 บาทต่อประมาณ 20 นาทีครับ
มาถึงหาดสมิหลา อย่าลืมแวะถ่ายภาพกับรูปปั้นเจ้าแมวและหนู ซึ่งเป็นตัวแทนของเกาะหนู เกาะแมวที่สามารถมองเห็นได้ในทะเลจากหาดสมิหลาด้วย
ตำนานเกาะหนู เกาะแมว
มีพ่อค้าชาวจีนผู้หนึ่งคุมเรือสำเภาเดินทางมาค้าขายระหว่างจีนกับสงขลาเป็นประจำ วันหนึ่งพ่อค้าผู้นี้ได้ซื้อหมากับแมว ลงเรือไป เมืองจีนด้วย หมากับแมวอยู่บนเรือนานๆเกิดความเบื่อหน่ายจึงปรึกษาหาวิธีการที่จะกลับบ้าน หมากับแมวได้ทราบว่าพ่อค้ามีดวงแก้ว วิเศษที่ ทำให้ไม่จมน้ำ แมวจึงคิดอุบายโดยให้หนูไปขโมยแก้ววิเศษของพ่อค้ามา และหนูขอหนีขึ้นฝั่งไปด้วย ทั้งสามว่ายน้ำหนีลง จากเรือโดยที่หนูอมดวงแก้วเอาไว้ในปาก ขณะนั้นหนูนึกขึ้นได้ว่าถ้าถึงฝั่ง หมากับแมวคงจะแย่งเอาดวงแก้วไปจึงคิดที่จะหนี ฝ่ายแมวซึ่งว่ายตามหลังมาก็คิดเช่นกัน จึงว่ายน้ำรี่ไปหาหนู หนูตกใจว่ายน้ำหนีไม่ทันระวังตัว ดวงแก้ววิเศษที่อมไว้จึงตกลงจม หายไปในน้ำ หนูและแมวต่างก็หมดแรงจมน้ำตายกลายเป็นเกาะหนูเกาะแมวอยู่ที่อ่าวหน้าเมือง ส่วนหมาตะเกียกตะกายว่ายน้ำไป จนถึงฝั่งและสิ้นใจตายด้วยความเหน็ดเหนื่อยกลายเป็นหินบริเวณเขาตังกวนอยู่ริมอ่าวสงขลา ดวงแก้ววิเศษที่หล่นจากปากหนูแตก ละเอียดกลายเป็นหาดทรายแก้วอยู่ทางด้านเหนือของแหลมสน
และหากใครมาเยือนสงขลาแล้วยังไม่ได้ถ่ายภาพกับนางเงือก อาจจะถือว่ายังมาไม่ถึงสงขลานะครับ
นิยายนางเงือกทอง
นางเงือกทอง เป็นเรื่องในนิยายปรัมปราของไทยโบราณ ซึ่งขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) เป็นผู้เล่าไว้ ในวันดีคืนดี นางเงือกจะมานั่งหวีผมบนชายหาดด้วยหวีทองคำ กระทั่งวันหนึ่ง มีชายชาวประมงเดินผ่านมาทำให้นางเงือกตกใจ รีบหนี ลงทะเล ไปโดยลืมหวีทองคำไว้ ชาวประมงเห็นดังนั้น ก็เก็บหวีทองคำไว้และเฝ้าคอยนางเงือกที่หาดนั้นเสมอ แต่นางเงือกก็ไม่เคยปรากฏ กายให้เห็นอีกเลย สำหรับ “นางเงือกทอง” ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2509 ในท่านั่งหวีผม หล่อขึ้นด้วยบรอนซ์รมดำ โดยฝีมือการออก แบบ ปั้น และหล่อ โดยอาจารย์จิตร บัวบุศย์ ด้วยเงิน 60,000 บาท(ในสมัยนั้น) โดยใช้เงินจากงบประมาณของเทศบาลสงขลา
จบไปหนึ่งวันสำหรับการกินเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของตัวเมืองสงขลา ก่อนเข้าโรงแรมครอบครัวผม แวะทานอาหารเย็นที่ร้านข้าวต้มนายยาวกันก่อน วันนี้ทานกันดึกหน่อยครับ เพราะจัดหนักแน่นมากจากมื้อกลางวันมาแล้ว
ร้านข้าวต้มนายยาว นับได้ว่าเป็นร้านอาหารขึ้นชื่ออีกร้านใน อ.หาดใหญ่ครับ ร้านนี้ลูกค้าแน่น แต่ก็บริการดี อาหารออกเร็ว ที่สำคัญร้านดูสะอาดดีจ้า
ตามมาชิมกันดีกว่าครับ เริ่มจาก หอยลายผัดน้ำพริกเผา รสชาติกลมกลม, ขาหมู , ไก่สับ เนื้อนุ่ม และต้มยำกุ้งน้ำข้น เสียดายที่กุ้งไม่ค่อยสดไหร่ครับ
หมูสับผัดหนำเลี๊บ สั่งให้เด็กๆทานกับข้าวต้ม ที่มีทั้งข้าวต้มขาว และข้าวต้มแดงให้เลือกตามชอบ และยังมีผัดเต้าหู้ทรงเครื่อง , ผัดผักแขนง และปลาจาระเม็ดทอดมาร้อนๆเลย เบ็ดเสร็จมื้อนี้หมดไป 900 บาท อิ่มหนำสำหรับผู้ใหญ่ 4 คน และเด็กอีก 2 คนจ้า
เที่ยวจนหมดวัน แวะมาชมที่พักของเราที่หาดใหญ่กันบ้าง กับโรงแรมบูทีคที่มีชื่อว่า The Bed Hatyai
จองที่พัก The Bed Hatyai ราคาถูก ที่ Traveloka คลิกที่นี่
The bed hatyai โรงแรมใหม่เอี่ยม ตกแต่งสุด Chic จุดเด่นคือทำเลที่ดีมาก ห่างจากตลาดกิมหยง 2 นาที ตรงข้ามถนนรายล้อมด้วยของกินมากมาย
ห้องพักกว้างขวาง สะอาดใหม่มาก ราคาก็ไม่แพง พันกว่าๆต่อคืนเท่านั้น ใครที่เดินทางมาที่หาดใหญ่ ลองพิจารณาเป็นตัวเลือกหนึ่งนะครับ ชอบๆๆ
ติดต่อสอบถามราคาและจองห้องพัก : https://www.facebook.com/pages/The-bed-hatyai/148933271972162
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราออกมาชิมติ่มซำ ร้านดังในเมืองหาดใหญ่ กับร้านโชคดีแต่เตี้ยม
โชคดีแต่เตี้ยม เป็นร้านติ่มซำที่ขึ้นชื่อของหาดใหญ่ แขกบ้านแขกเมืองทั้งหลาย ถ้าไปเที่ยวหาดใหญ่แล้วอยากทานติ่มซำแบบว่าอร่อย สด ใหม่ ต้องไปที่นี่ แต่ต้องไปแต่เช้านะครับ ที่นี่ขายดีมาก สายๆก็หมดแล้ว
ราคาแต่เตี้ยมนึ่งสดที่นี่ อยู่ที่เข่งละ 18 บาท ถือว่าราคาถูกมาก เพราะในหนึ่งเข่งเสิร์ฟอาหารมาชิ้นค่อนข้างใหญ่ทีเดียว วันนี้สั่งมาทั้งหมด 10 เข่ง เกือบทานกันไม่หมดแหนะ อีกอย่างที่ไม่ควรพลาดเลย เห็นลูกค้าสั่งกันทุกโต๊ะนั่นคือ บักกุดเต๋ เป็นน้ำแกงซี่โครงและเครื่องในตุ๋นยาจีน อร่อยเข้มข้นมาก ผมชอบตรงที่มีปาท่องโก๋มาทานด้วยกัน เบ็ดเสร็จมื้อเช้ามื้อนี้ค่าใช้จ่ายประมาณ 300 กว่าบาทครับ ถูกมากจริงๆ
อิ่มติ่มซำกันแล้ว สายๆออกเดินทางเที่ยวเมืองหาดใหญ่กัน จุดหมายแรกกับสวนสาธารณะเทศบาล เมืองหาดใหญ่
สวนสาธารณะนี้ฟังแล้วอาจจะดูธรรมดา แต่ที่จริงแล้วไม่ธรรมดาครับ เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของหาดใหญ่เลย มีสถานที่ท่องเที่ยวเพียบ ทั้งหาดใหญ่ไอซ์โดม (ตอนผมไปกำลังปิดปรับปรุง), เจ้าแม่กวนอิม (พระโพธิสัตว์กวนอิม) ปางประทานพร แกะสลักจากหินหยกขาว, ศาลาท้าวมหาพรหม อีกหนึ่งสถานที่สักการะขอพร และ Hatyai Cable Car เคเบิ้ลคาร์แห่งแรกของประเทศไทยครับ
ผมขับรถขึ้นมาไหว้ท้าวมหาพรหมก่อน บริเวณรอบๆนี้มีรูปปั้นสวยๆเพียบเลยครับ ทั้งช้างเอราวัณ, พญาครุฑ
องค์ท้าวมหาพรหม ที่ศักดิ์สิทธิ์มาก มีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียมากราบไว้บูชากันค่อนข้างเยอะทีเดียว
บริเวณที่ตั้งของศาลาพระพรหมยังสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของตัวเมืองหาดใหญ่ ท้องทะเล และทะเลสาบสงขลาที่อยู่ไกลออกไปได้อย่างแจ่มชัด
เสร็จแล้ว ขึ้นหาดใหญ่เคเบิ้ลคาร์ข้ามไปอีกฝั่งได้
ราคาไป-กลับ : ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท
ข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง ไหว้องค์พระพุทธมงคลมหาราชครับ
วิวด้านนี้ก็สวยไม่แพ้กัน สามารถมองไปเห็นมัสยิดกลางจังหวัดสงขลาได้ด้วยครับ
ใกล้ๆกันจะมี ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์นครหาดใหญ่ (หอดูดาว)
ภายในจะมีนิทรรศการแสดงความรู้เกี่ยวกับดาราศาสตร์ และมีภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับดวงดาวให้ชมครับ
ค่าเข้าชม : 20 บาท
ด้านบนมีกล้องดูดาวจริงๆให้เด็กๆส่องกัน แต่วันที่ผมไปเจ้าหน้าที่บอกว่าวันนี้ทัศนวิสัยไม่ดี มองไปจะเห็นแต่เมฆครับ
ขับรถไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม (พระโพธิสัตว์กวนอิม) กันต่อ ประดิษฐานอยู่บนเขาสูงภายในสวนสาธารณะ กราบไว้สักการะขอโชคลาภ รูปจำลองแปดเซียน เป็นอีกสิ่งที่น่าสนใจ หากเดินลงบันไดไปยังอาคารเบื้องล่างภายใต้ที่ประดิษฐานองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม จัดแบ่งเป็นห้องโถง 8 เหลี่ยมแต่ละมุมเป็นทีประดิษฐานรูปปั้นจำลองของเซียนทั้งแปดองค์ และมีป้ายอธิบายคุณงามความดีและอิทธิฤทธิ์ของเทพแต่ละองค์ตามความเชื่อของชาวจีน
ชาวสงขลาและนักท่องเที่ยวต่างให้ความเคารพนับถือกันมากครับ
ใกล้ๆกันมีปากมังกรเดินเข้าไปชมด้านในจะเจอกับเง็กเซียนฮ่องเต้ และพระสังกัจจายน์ครับ
และเนื่องจากทริปนี้เป็นทริปเอาใจเด็กๆครับ ผมเลยพาเด็กๆมาเที่ยวสวนสัตว์สงขลากันต่อ
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 20 บาท ค่าผ่านทางสำหรับรถยนต์คันละ 50 บาท
และพิเศษสำหรับผู้ที่ถือ Boarding Pass ของ Nok Air รับสิทธิ์เข้าสวนสัตว์ฟรีครับ งานนี้เลยไม่ต้องจ่ายค่าเข้าชม เสียแค่ค่าขับรถยนต์เข้าเท่านั้น ประหยัดไปอีก บินด้วยนกแอร์นี่ดีจริงๆ
เข้ามาถึง สะดุดตากับป้ายสีสันสดใส มันคือสวนน้ำนั่นเอง อะไรกันเนี่ย สวนสัตว์มีสวนน้ำด้วยหรอ
เข้าไปเก็บภาพมาให้ชมกันครับ ด้านในค่อนข้างใหม่ครับ เหมือนเพิ่งจะเปิดได้ไม่นาน
สำหรับใครที่ไม่ได้เตรียมชุดว่ายน้ำมา ที่นี่เค้ามีให้เช่านะครับ แต่เนื่องจากแดดค่อนข้างร้อน ครอบครัวเราจึงไม่ได้เล่นน้ำจ้า ไปเที่ยวดูสัตว์เลย
สวนสัตว์สงขลากว้างมากครับ ที่อยู่ของสัตว์แต่ละชนิดค่อนข้างไกล เดินไม่ไหวนะ แนะนำให้ขับรถเที่ยวครับ เจอโซนสัตว์ไหนอยากดูก็ค่อยจอดรถเข้าไปชมครับ
ฮิบโปโปเตมัสอ้าปากรออาหาร ท่าทางจะหิวครับ ไม่เคยเจอฮิปโปอ้าปากแบบนี้เลย
เสือก็มีนะ
อีกตัวที่ผมชอบคือนกเงือกครับ สวยมากเลย ยังมีสัตว์อีกหลายอย่างนะครับ แต่เอาภาพมาลงพอประมาณละกัน
จบไปอีกหนึ่งวันสำหรับการตะลุยเที่ยวเมืองหาดใหญ่ เย็นนี้ผมได้นัดกับเพื่อนสนิทมาทานอาหารกัน สำหรับวันนี้เราพากันมาทานร้านอาหารจีนมาเลเซีย ชื่อว่าร้านเซียง เซียง ซี โป้ กันครับ ร้านนี้ลูกค้าค่อนข้างแน่นทั้งที่ราคาไม่ถูกเลย จัดราคาค่อนข้างสูงไปด้วยซ้ำ แต่ที่ราคาแพงก็ไม่ได้แพงแบบไม่คุ้มราคานะ ต้องบอกเลยว่าเครื่องจัดมาอย่างเต็ม จานใหญ่ และวัตถุดิบที่นำมาปรุงก็สดมากๆอีกด้วย
เริ่มต้นกันด้วยซุปร้อนๆอย่าง ซีโป้ ตามชื่อร้านเลย เป็นน้ำแกงรสชาติเข้มข้น ใส่เครื่องจัดหนักถึง 4 อย่าง ทั้งปู กุ้งแชบ๊วย หมูสามชั้น และ ปลาเต๋าเต้ย เป็นเมนูเด็ดที่สั่งกันทุกโต๊ะเลยก็ว่าได้ วันนี้เรามากันทั้งหมดผู้ใหญ่ 4 คน และเด็กอีก 3 คน ทางร้านเสิร์ฟขนาดกลางมาให้ ราคา 780 บาท
ปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว หอมกระเทียมมากๆ ที่สำคัญไม่เค็มเกิน เด็กๆทานกันอร่อยเลย เมนูปลาขายตามน้ำหนัก ถ้าจำไม่ผิดจะขีดละ 60 บาทครับ (ตกกิโลกรัมละ 600 บาท) ราคาสูงใช้ได้ แต่ว่าปลาสดมากจริงๆจ้า
อีกหนึ่งเมนูเด็ดต้องนี่เลยครับ กะหรี่หัวปลา ซดน้ำแกงร้อนๆ หรือราดกับข้าว ทานอร่อยมาก แต่ขออภัยที่จำราคาไม่ได้แล้วครับ
ผัดหมี่จานนี้ รสชาติคล้ายๆผัดซีอิ๊ว แต่ไม่ได้ใส่ไข่ ผัดกับกุ้งแชบ๊วยตัวโต ถูกฝังกลบด้านล่างอีกเพียบเลย
ผัดผักบุ้ง ที่ใต้ส่วนใหญ่จะผัดผักบุ้งใส่กะปิ เพื่อนเพิ่มรสชาติให้หอม อร่อยดีเหมือนกัน จบมื้อนี้หมดไปหลายตังค์อยู่ครับ และยังมีเนื้อปลาเก๋าใหญ่นึ่งซีอิ๊วอีกจาน ต้องบอกว่าประทับใจทุกเมนูเลย
ตัดมาเช้าวันรุ่งขึ้นเลยละกันจ้า เรามาดูบรรยากาศห้องอาหารเช้าที่โรงแรม The Bed กันบ้างนะครับ ห้องอาหารเช้าที่นี่ไม่ใหญ่ครับ ด้วยเพราะโรงแรมนี้มีจำนวนห้องไม่ได้มากเท่าไหร่ แต่อาหารหลักๆก็ให้บริการอย่างครบครัน มีไลน์บุฟเฟ่ต์เล็กๆให้บริการตนเอง และตักเติมได้ไม่อั้นเลย ทั้งขนมปังปิ้ง ปาท่องโก๋ น้ำผลไม้ น้ำเปล่า นมสด คอนเฟลกซ์ ข้าวต้มเครื่อง ชา กาแฟ และโอวัลติน
สำหรับจานหลักพนักงานก็จะเสิร์ฟ American Breakfast คนละ 1 จาน ทานกันอิ่มกำลังดีครับ
สำหรับโปรแกรมวันนี้ก็เที่ยวกันใกล้ๆโรงแรม ผมพาภรรยาและเด็กๆเดินมาวัดฉือฉาง จริงๆขับรถผ่านทุกคืนไฟกลางคืนสวยกว่ามากๆครับ ตอนที่ไปเป็นช่วงเทศกาลทานเจอยู่ ครอบครัวผมไม่ได้ทานเลยไม่ได้เดินเข้าไปชมภายในครับ
แค่เดินชมความสวยงามภายนอกกัน ลวดลายสีสันงดงามมากจริงๆ เลยถ่ายรูปกันพอกรุบกริบ
จากวัดฉือฉางเดินตรงมาอีกสักหน่อยก็จะถึงตลาดกิมหยง ของที่ขายส่วนใหญ่ก็จะซ้ำๆกัน หลักๆก็จะมีผลไม้ เครื่องอำองค์ ขนม เสื้อผ้า
เครื่องสำอางต่างๆ ส่วนใหญ่น่าจะเป็นของนำเข้ามาจากมาเลเซียซึ่งภาษีนำเข้าเครื่องสำอางค์ที่มาเลเซียถูกกว่าบ้านเรา
ขนมนำเข้าส่วนใหญ่เป็นขนมญี่ปุ่น และจีน กาแฟก็มีหลากหลายญีห้อเลย และสารพัดถั่วนานาชนิด
แล้วก็มีพวกเสื้อผ้า ผ้าแพร ชุดนอน รองเท้า กระเป๋าก็อปปี้แบรนด์เนม เยอะแยะมากมายหลายร้านเลย สำหรับราคาก็ต่อกันได้เยอะเลยนะ เด็กๆได้ของเล่นกลับบ้านคนละชิ้นสองชิ้น
เดินมากจากโรงแรมไม่ไกลเท่าไหร่ แต่เดินวนไปมาซื้อของในตลากกิมหยง และสัมพาระพะรุงพะรัง ทำให้เดินกลับที่พักกันไม่ไหวแล้ว เลยโบกรถสองแถวรับจ้างกลับมาส่งที่โรงแรม สะดวกมากมาย ค่ารถ 40 บาท ราคาแพงไปนิดสำหรับระยะทางที่ไม่ไกล แต่ก็ไม่ได้ต่อราคานะครับ คงเห็นเราเป็นนักท่องเที่ยว บอกมาเท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้นจ้า
ได้เวลาเที่ยงวันนี้เราหาอะไรง่ายๆทานกัน ขึ้นชื่อว่ามาหาดใหญ่ ต้องขอลองชิมไก่ทอดหาดใหญ่ อาหารขึ้นชื่อของเมืองหาดใหญ่กันเสียหน่อย มาที่นี่เลยครับ ร้านไก่ทอดเดชา ตำแหน่งร้านก็อยู่ข้างๆร้านเซียงเซียงซีโป้ ที่เพิ่งทานกันเมื่อคืนครับ
สั่งชาชักมาทาน ชักกันจนฟองฟ่อดฟูฟ่องล้นแก้วมาสูงมาก ส่วนรสชาติชาก็เข้มข้น หวานน้อย อร่อยมาก
สั่งไก่รวมมาจานใหญ่เลย ไก่ทอดชิ้นละประมาณ 30-40 บาท ราคาขึ้นกับแต่ละส่วนจ้า ทานกับหอมเจียวกรอบๆต้องสั่งเพิ่มเอานะ ผมชอบตรงที่เนื้อไก่แห้งๆ รสชาติเข้มกำลังดี สรุปอร่อยอีกแล้วครับ
สั่งไก่กอและมาชิมดู เป็นไก่เสียบไม้ย่างหอมๆร้อนๆ คลุกเคล้าด้วยกะทิและเครื่องเทศต่างๆ เป็นอาหารมลายูปักษ์ใต้ของไทย
กุ้งต้มมะขาม ตอนสั่งไม่ทราบจริงๆว่าเสิร์ฟมาชามใหญ่และใส่กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่เบิ้มขนาดนี้นะครับ ราคาเลยสูงมาก ชามนี้ 750 บาท แต่กุ้งแม่น้ำเนื้อสดเด้งจริงๆ มันกุ้งเยิ้มมากๆ
สุดท้ายเป็นซุปเนื้อวัว รสชาติจัดจ้านมากเผ็ดอ่อนๆ อร่อยใช้ได้เลย เบ็ดเสร็จเมื้อนี้จ่ายไป 1,400 กว่าบาท แพงที่กุ้งอย่างเดียวเลยจ้า
หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่กำลังหาข้อมูลที่กิน ที่เที่ยวหาดใหญ่ สงขลา นะครับ
ปล.หากคุณอ่านรีวิวมาถึงตรงนี้ ผมได้ใช้เวลาและพลังงานมากมายในการเขียนรีวิวเพื่อเป็นข้อมูลและประโยชน์แก่ทุกคน หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป