เชียงราย เมืองแห่งขุนเขา สายหมอก และ ดอกไม้ นี่คือสิ่งที่ผมได้รับรู้เมื่อได้ยินชื่อเชียงราย แต่ก็ไม่เคยได้ไปสัมผัสอย่างจริงจัง กลับเป็นจังหวัดข้างเคียงใกล้ๆกันอย่างเชียงใหม่ซะอีก ที่เราได้ไปสัมผัสกันมาบ่อยๆ เมื่อเบลล่าได้ไปแอ่วเจียงฮาย ความสุขบทใหม่จึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง ด้วยโอกาส และ จังหวะ เมื่อทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงราย ได้มีโครงการท่องเที่ยวเส้นทางต่างๆและทาง B&L Family ของเราได้รับโอกาส และถือเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้ร่วมงานกับทาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงราย ทำให้ได้พาหนูเบลล่าไปตะลุยเชียงรายแบบเต็มที่ หลังจากที่เกือบมาหลายครั้ง
ทริปเชียงราย 3 วัน 2 คืนนี้ ผมมีตั้งโจทย์อยู่ว่าจะไปเที่ยวอย่างไรให้ได้สัมผัสถึง เชียงราย อย่างเต็มที่ที่สุด โดยเป็นการเดินทางในเส้นทางตัวเมืองเชียงราย วิ่งขึ้นไปจนถึง แม่สาย และ สามเหลี่ยมทองคำ
จองที่พักเชียงราย ราคาพิเศษ ได้ที่:
www.traveloka.com/th-th/hotel/thailand/region/chiang-rai-10011104
เชียงราย เป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว ตามธรรมชาติ ภูต่างๆ ดอยต่างๆ รวมถึงสภาปัตยกรรมสวยๆหลายๆแห่ง ร้านอาหาร ร้านเค้ก ร้านกาแฟ ไร่ชา ที่เที่ยวเชียงรายเยอะจริงๆครับ เที่ยวรอบเดียวไม่หมดแน่ๆ ยิ่งหาข้อมูลยิ่งไปเรื่อยเลยครับ อยากจะไปสัก 7 วัน
สำหรับข้อมูลท่องเที่ยวเชียงรายสามารถดูได้จากเวบ Touch of Chiangrai ครับ
ในที่สุดผมจึงจัดทริปตามนี้ครับ
วันแรก : เชียงราย – พ่อขุนเม็งราย – วัดพระแก้ว – ชีวิตธรรมดา – พิพิธภัณฑ์บ้านดำ – แม่สาย – ตลาดท่าขี้เหล็ก – พักที่ The Eight Maesai
วันที่สอง : วัดพระธาตุดอยเวา – สามเหลี่ยมทองคำ – พิพิธภัณฑสถานเชียงแสน – เมืองโบราณเชียงแสน – ร้านอาหารหยินปิงยูนนาน – ไร่ชาฉุยฟง – ดอยตุง – พักที่ดอยตุงลอดจ์
วันที่สาม : พระตำหนักดอยตุง – สวนแม่ฟ้าหลวง – ร้านอาหารภูภิรมย์ – ไร่สิงห์ปาร์ค – วัดร่องขุ่น – ร้าน Melt in Your Mouth
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ต้องขอขอบคุณการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ใจดีทุกท่าน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงราย, AirAsia Thailand บินคุ้มบริการครบ, Avis Thailand AVIS rent a Car, The Eight Maesai และ ดอยตุงลอดจ์ ครับ
ได้เวลาเปิดบันทึกหน้าใหม่ของหนูเบลล่ากันแล้วครับ
ไฟล์ทบินไปเชียงรายของแอร์เอเชียจะมีตามนี้ครับ 7.20, 10.35, 12.00, 13.55, 19.55 ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 15 นาที เวลาดีเลยครับ ^^ อีกสาเหตุที่เราเลือกเดินทางเช้าเพราะเรื่องที่จอดรถด้วยครับ มาแต่เช้ายังพอหาที่จอดรถง่ายหน่อยครับ
เช็คอิน โหลดกระเป๋ากันเรียบร้อยก็มาชมวิวกัน ช่วงนี้เบลล่าชอบดูหนังสือเกี่ยวกับสนามบินมากครับ เราจึงพามาให้ดูของจริงกันเลย
เนื่องจากวันนั้นสภาพอากาศที่เชียงราย หมอกลงจัดมากตอนเช้า เครื่องจึงต้องดีเลย์ประมาณ 30 นาทีเพื่อความปลอดภัยครับ
อาหารเช้าวันนี้เราเลือกชุดข้าวมันไก่ครับ เบลล่าชอบมาก
ประมาณชั่วโมงนิดๆก็มาถึงสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวง ขอบคุณ AirAsiaThailand อีกครั้งครับ ^^
แวะมาที่บูท AVIS Rent a Car รับรถกันก่อนครับ คนเยอะเลยทีเดียว อยู่ตรงประตูทางออกพอดีครับ หาง่ายมากๆ
สำหรับการเดินทางพร้อมเด็กเล็กสิ่งที่ควรจะเตรียมไว้ก็คือสิ่งนี้ครับ คาร์ซีท เพื่อความปลอดภัย
ทาง AVIS มีให้บริการเช่านะครับ วันละ 160 บาท ไม่รวม vat ทำเรื่องมัดจำ เรียบร้อย พนักงานก็นำคาร์ซีทไปติดตั้งให้ครับ ไม่ต้องห่วงว่าจะติดตั้งไม่เป็นครับ
ระหว่างนี้ก็สำรวจรถรอบๆครับ เช็ครายละเอียดริ้วรอยต่างๆ เรียบร้อยรถใหม่กิ๊กเลย ก็มาเซ็นรับมอบกัน
ขอแสดงความยินดีกับครอบครัวน้องเบลล่าที่ได้รับรถสีแดง สดใสคันนี้ครับ เย้ เย้ แปะ แปะ แปะ ^^
เนื่องจากไฟล์ทดีเลย์เล็กน้อย ตอนแรกเราวางแผนจะนั่งรถรางชมเมือง สามารถมาขึ้นที่ด้านหลังอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายครับ มาช้าไปนิดนึง รถออกไปแล้วครับ สำหรับรอบบริการของรถรางชมเมืองจะมีสองรอบนะครับ 9.30 กับ 13.30 ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ตามเส้นทางเยี่ยมชมสักการะสถานที่สำคัญต่างๆในตัวเมืองเชียงรายครับ
สำหรับท่านที่สนใจข้อมูลรถรางชมเมือง สามารถดูได้จากรีวิวของคุณอินครับ
ทุกๆครั้งก่อนที่เราจะเริ่มออกเที่ยว สิ่งแรกๆที่เราจะทำก็คือ สักการะ บอกกล่าว ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมือง ของแต่ละที่ครับ มาเชียงรายเราจึงมาสักการะ อนุสาวรีย์ พ่อขุนเม็งราย มหาราช กันก่อน ขอให้การเดินทางครั้งนี้ปลอดภัย ไร้อุปสรรคใดๆ
อนุสาวรีย์ พ่อขุนเม็งราย มหาราช ตั้งอยู่ที่ห้าแยกพ่อขุน พ่อขุนเม็งรายเป็นกษัตริย์องค์ที่ 25 แห่งราชวงศ์ลัวะจังคราช เป็นโอรสของพญาลาวเม็ง และพระนางเทพคำขยาย หรือพระนางอั้วมิ่งจอมเมือง ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ แรม 9 ค่ำ เดือนอ้าย ปีกุน พุทธศักราช 1782 เสด็จสวรรคตที่เมืองเชียงใหม่ใน พ.ศ.1854 พ่อขุนเม็งรายได้สร้างเมืองเชียงรายขึ้นบนดอยทอง จากรากฐานเดิมที่เคยเป็นเมืองมาก่อน เมื่อ พ.ศ.1805 ทรงเป็นปฐมกษัตริย์ แห่งราชวงศ์เม็งราย และรวบรวมบ้านเล็กเมืองน้อยเข้าเป็นอาณาจักรล้านนาไทยจนเจริญรุ่งเรืองถึงปัจจุบัน กู่พระเจ้าเม็งราย ตั้งอยู่หน้าวัดงำเมือง บนดอยงำเมือง กู่นี้เป็นอนุสาวรีย์สำคัญแห่งหนึ่ง เพราะเป็นที่บรรจุอัฐิของพ่อขุนเม็งรายมหาราช ตามประวัติกล่าวว่าพระเจ้าไชยสงคราม ราชโอรสพระเจ้าเม็งราย เมื่อได้มอบราชสมบัติให้พระเจ้าแสนภูราชโอรสขึ้นครองนครเชียงใหม่แล้ว พระองค์ได้นำอัฐิพระราชบิดามาประทับอยู่ที่เมืองเชียงราย และได้โปรดเกล้าฯ สร้างกู่บรรจุอัฐิของพระราชบิดาไว้ ณ ดอยงำเมืองแห่งนี้
วัดพระแก้ว สถานที่สำคัญ วัดคู่บ้านคู่เมืองของเมืองเชียงรายอีกแห่งหนึ่ง คือจุดหมายต่อไปของเราครับ
วัดพระแก้ว ตั้งอยู่ที่ถนนไตรรัตน์ ใจกลางเมืองเชียงราย วัดนี้เองที่ได้ค้นพบ พระแก้วมรกต หรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ที่ประดิษฐานอยู่ ณ วัดศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน ตามประวัติเล่าว่า เมื่อปี พ.ศ. 1897 ในสมัย พระเจ้า สามฝั่งแกน เป็นเจ้าเมือง ครองเชียงใหม่นั้น ฟ้าได้ผ่า เจดีย์ร้างองค์หนึ่ง และได้พบ พระพุทธรูปลงรักปิดทอง อยู่ภายในเจดีย์ ต่อมารักกะเทาะออก จึงได้พบว่า เป็นพระพุทธรูป สีเขียวที่สร้างด้วยหยก ซึ่งก็คือ พระแก้วมรกตนั่นเอง ปัจจุบัน วัดพระแก้ว เชียงราย เป็นที่ประดิษฐาน พระหยก ซึ่งสร้างขึ้นใหม่ ในวาระที่ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระชนมายุครบ 90 พรรษา (ขอบคุณข้อมูลจาก เวบไซด์ paiduaykan ครับ)
ขอมาแอบถ่ายรูปกับรถรางหน่อย มาเจอที่นี่พอดี (ช่วงที่ไปมีงานประชุมใหญ่ประจำปีของหอการค้าพอดีครับ คนเลยจะเยอะหน่อย)
ด้านข้างจะมีพิพิธภัณฑ์โฮงหลวงแสงแก้ว อาคารทรงล้านนาประยุกต์ เริ่มสร้างเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๘ โดยมีคุณอมรา (แสงแก้ว) มุนิกานนท์ เป็นผู้อุปถัมภ์ ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงพระพุทธรูปสำคัญ รวมทั้งศิลปวัฒนธรรมเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาครับ
ผลพระเจ้าห้าพระองค์ ถือเป็นของขลังที่มีพุทธคุณโดดเด่นทางเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน มีโชคลาภและโภคทรัพย์อุดมสมบูรณ์ เสริมสิริมงคล และขจัดความชั่วร้ายต่าง ๆ ทำให้แคล้วคลาดจากอันตราย รายละเอียดเพิ่มเติมดูที่เวบนี้ครับ
พระอุโบสถ พระวิหารทรงเชียงแสน มีลักษณะฐานเตี้ย เชิงหลังคาลาดต่ำ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๓ ได้รับพระราชทาน วิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๕ พระประทานในอุโบาถ (พระเจ้าล้านทอง) เป็นพระพุทธรูปสำริด ปางมารวิชัย นับเป็นพระพุทธรูปในสกุล ช่างศิปปาละที่ใหญ่ และสวยงามที่สุดในประเทศไทย
พระเจดีย์ เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๗๗ ได้เกิดฟ้าผ่า ลงองค์พระเจดีย์พังทลายลง และได้พบพระแก้วมรกตซ่อนไว้ในพระเจดีย์หลังจากนั้นได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปประดิษฐาน ณ เมืองต่างๆ คือ ลำปาง เชียงใหม่ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ กรุงธนบุรี และกรุงเทพมหานคร ตามลำดับ กรมศลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนองค์พระเจดีย์ เป็น โบราณสถานสำคัญของชาติ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๘
จากวัดพระแก้ว บริเวณใกล้ๆจะมีร้านอาหาชื่อดังอยู่ครับ ชีวิตธรรมดา ร้านอาหารชื่อดังริมน้ำกกครับ
การตกแต่งร้านสวยงาม น่านั่งมากๆครับ
พื้นที่ด้านนอกวันนี้ถูกจองหมดเลยครับ เลยเก็บภาพได้เล็กน้อยครับ
สำหรับร้านชีวิตธรรมดา อาหารทั้งคาวทั้งหวานรสชาติอร่อยเลยครับ บรรยากาศตกแต่งสวยงาม ส่วนราคาก็พอสมควรครับ อิ่มหนำสำราญกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางต่อครับ วันนี้เราจะไปแม่สาย ข้ามไปท่าขี้เหล็กกัน เลยต้องทำเวลาหน่อยครับ ระหว่างทางไปก็จะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเชียงรายอีกแห่งครับ
พิพิธภัณฑ์บ้านดำ สถานที่รวบรวมผลงาน มากมายชองอาจารย์ ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติผู้ล่วงลับ
เรามาถึงประมาณเที่ยงกว่าๆครับ ด้วยความไม่รอบคอบ ผมลืมเช็คเวลาให้บริการว่ามีพักเที่ยงด้วย จึงต้องรอสักครู่ครับ สำหรับเวลาให้บริการนะครับ จะเป็นตามนี้ครับ
บ้านดำ ตั้งอยู่ในเขตต.นางแล อ. เมือง จ.เชียงราย จากตัวเมืองเชียงราย ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินพหลโยธินสาย๑ มุ่งหน้าไปทาง อ.แม่จัน ผ่านห้าแยกพ่อขุนเม็งราย สนามบิน ม.ราชภัฏผ่านบ.เสริมสุข ครับ จะมีป้ายเลี้ยวซ้าย เล็กๆ ก็วิ่งตามทางเข้าไปเลยครับ (ข้อมูลรายละเอียดจาก คุณ lovereason ครับ)
ระหว่างรอเวลาเปิดนั้น หนูเบลล่าขอเดินชมงานศิลป์ก่อน
บ่ายโมงตรงก็มีเจ้าหน้าที่มาเปิดให้เข้าครับ วันนี้เนื่องจากเป็นวันเสาร์ นักท่องเที่ยวมาชื่นชมผลงาน อาจารย์ ถวัลย์ ดัชนี เยอะมากๆเลยครับ
ความรู้สึกของที่นี่ เหมือนที่หลายๆคนบอกครับ ถ้าเปรียบวัดร่องขุ่นเป็นสวรรค์ ที่นี่คือตรงข้ามครับ ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องศิลปะเท่าไหร่ แต่ก็สามารถสัมผัสถึงพลังอะไรบางอย่างที่ส่งออกมาจากผลงานศิลป์ของอาจารย์ได้ครับ เป็นความรู้สึกอัดแน่น บีบคั้น แบบบอกไม่ถูกครับ น่าจะด้วยเพราะโทนสีดำ และ โครงกระดูกสัตว์ต่างๆ ส่วนเบลล่าน่าจะสัมผัสได้เหมือนกัน ร้องไห้ไม่ยอมเข้าขอออกจากมหาวิหารหลังใหญ่ไปอยู่ด้านนอกแทน
ภายในมหาวิหาร ที่ใช้เวลาในการสร้างนานกว่า 7 ปี ตามหลักแนวคิดร่วมสมัยพุทธศิลป์สถาปัตย์ในยุคปัจจุบัน อาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางตามแนวทิศตะวันออก–ตก มีบันไดขึ้นลง มีเสาไม้รองรับโครงสร้างถึง 44 ต้น
บ้านดำกาแลเกี่ยวฟ้า เป็นบ้านเก่าเรือนไม้สามหลังแฝดของคฤหบดีเชียงราย บ้านป่าก่อดำ รื้อมาสร้างใหม่ ยกจั่วเพิ่มชานหน้าหลัง ตกแต่งปรับปรุงใหม่หมด จุดประสงค์เพื่อแสดงงาน ชั้นบนเป็นจำพวกเครื่องเขินเครื่องลายทองเขียนสี ลงรักปิดทอง ชั้นล่างเป็นจำพวกเขากะโหลกสัตว์ งานไม้แกะสลักหน้ากาก รวมไปถึงมีดและอาวุธจากประเทศต่างๆ สี่ทวีป รอบบริเวณเป็นลานโล่งร่มรื่นและประกอบไปด้วยกรงสัตว์หลากหลายชนิดให้ชม
เบลล่าหลบมาเดินเล่นอยู่ตรงนี้ครับ ดูงู ดูนก ดูนกฮูก สบายอารมณ์เลยครับ
แม่สาย คือจุดหมายต่อไปของเราครับ จาก บ้านดำ ไป แม่สาย ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 40-50 นาที ความตั้งใจของเราก็คือจะข้ามไปฝั่งพม่า ตลาดท่าขี้เหล็ก จึงต้องไปทำบัตรข้ามแดนที่อำเภอก่อนครับ จุดทำบัตรจะอยู่ก่อนถึงตัวตลาดนะครับ จะมีป้ายใหญ่ๆตั้งไว้เลย ค่าทำบัตรก็คนละ 30 บาท เด็กไม่เสียครับ แต่ต้องลงชื่อในใบผ่านแดนกับผู้ปกครองครับ
ตรงแถวๆที่จอดรถตรงด่านข้ามแดนก็มีป้ายรับบริการทำบัตรผ่านแดน แต่ผมไม่แนะนำ เพราะเราน่าจะต้องให้บัตรประชาชนเค้าไปทำ ซึ่งที่จอดรถสำหรับท่านที่จะมาเที่ยวนะครับ ผมตรงมาสุดทางเลยครับ เจอด่านเเล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปทางนี้ครับ จะมีที่จอดรถให้บริการ หรือจะเลี้ยวขวาลอดใต้สะพานไปก็มีครับ
ขอข้ามแดนกันก่อนเลยครับ เพราะต้องกลับมาก่อน หกโมงเย็น
สถานที่เที่ยวหลักๆ ฝั่งท่าขี้เหล็ก นะครับตลาดตรงด่านท่าขี้เหล็ก แหล่งช๊อปปิ้ง ของแบรนด์เนมแบบคล้ายมากคล้ายน้อย สิ่งที่เห็นซื้อกันเยอะๆก็มีของเล่น ผ้าห่มลายการ์ตูน ดีวีดีต่างๆ ขอแนะนำว่าอย่าซื้อของจากแม่ค้าพ่อค้าที่สะพายมาขายนะครับ ซื้อตามร้านดีกว่า นอกจากช๊อปปิ้งแล้วก็จะมีโปรแกรมทัวร์โดยสามล้อเครือง หรือ แนว ตุ๊กๆสกายแล้ปครับ ค่าบริการก็100-200 ต่อคนแล้วแต่ตกลงอีกทีครับ
สถานที่เที่ยวก็มี 5 ที่ที่เค้านำป้ายมาให้ดูครับ
1.วัดพระเจ้าระแข่ง หรือชาวพม่าเรียกว่า วัดไทยใหญ่ 2. เจดีย์ชเวดากองจำลอง 3. วัดพระหยกขาว 4. บ้านกระเหรี่ยงคอยาว 5. ตลาดอัญมณี ครับ ดูเวลาแล้วผมกลัวจะไม่ทันเลย ขอเลือก วัดเทพทันใจ เจดีย์ชเวดากอง และ บ้านกระเหรี่ยงคอยาว แต่ทางคนขับบอกว่าบ้านกระเหรี่ยงไม่น่าไปมีน้อยเป็นการจัดมาให้ถ่ายรูปและต้องจ่ายค่าเข้าเพิ่ม แนะนำไปวัดหยกขาวแทนแล้วกัน ก็เลยตกลงตามนั้นครับ
ขอคำยืนยันว่ารถไหวนะครับพี่
นั่งรถกันไปเพลินๆครับระหว่างทางคนขับก็จะอธิบายสถานที่ต่างๆให้ฟังครับ
ผ่านอนุสาวรีย์พระเจ้าบุเรงนอง ยืนหันพระพักตร์ไปทางเมืองไทยครับ จากคำเล่าของคนท้องถิ่นทางนี้ก็คือ บนวัดพระธาตุดอยเวาจะมีอนุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเอกาทศรถ และ พระสุพรรณกัลยา หันพระพักตร์ไปทางพม่า ทางพม่าจึงมีอนุสาวรีย์บุเรงนองหันกลับมาทางนี้ครับ
วัดพระเจ้าระแข่ง หรือชาวพม่าเรียกว่า วัดไทยใหญ่คือสถานที่แรกที่เราไปครับ คนขับบอกสักการะองค์เทพทันใจครับ ตรงนี้ผมก็ไม่แน่ใจ ว่าใช่มั้ยนะครับสักการะขอพรกันก่อน ทางคนขับบอกว่าให้สักการะทั้งสี่ทิศเลยครับ เพราะท่านเทพอยู่ทั้งสี่ทิศ (บอกตอนเราออกมาขึ้นรถแล้วครับ ไม่ทันแระ)
เจดีย์ชเวดากองจำลอง สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งครับ ต้องขึ้นเนินไปนิดนึง เกือบไม่ไหว นึกว่าต้องลงไปช่วยเข็นรถซะแล้ว ><
เจดีย์ชเวดากองจำลองนั้นจำลองมาจากเจดีย์องค์จริงที่ย่างกุ้ง ขนาดเล็กกว่า 3 เท่าขององค์จริง ครับ
พอเราเข้ามาบริเวณเจดีย์ ฝากรองเท้าเรียบร้อย ก็จะมีคนเข้ามาบริการถ่ายรูปกับเจดีย์แบบphotoshop ครับ รูปไม่ค่อยเนียนมากแต่ก็พอไหวครับ แล้วก็จะมี ชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่มากางร่มเดินตาม สอนวิธีไหว้ต่างๆครับ
วิธีสักการะก็จะมีพระประจำวันอยู่แต่ละมุมครับ ไหว้ขอพรกันเรียบร้อย ก็จะสรงน้ำพระ
วิธีสรงก็จะสรงตรงกลาง พระประจำวัน 3 ครั้ง ด้านบน บริเวณมือของเทพ 2 ครั้ง ด้านล่างตรงตัวสัตว์ 1 ครั้งครับ
มีบริการถ่ายรูปจากคนที่เดินกาวร่มให้เราด้วยครับ มีรูปครอบครัวซักที ^^
ด้านในจะมี ศาลา อีก 2 หลังครับ มีพระพุทธรูปให้ได้สักการะบูชากันอีกครับ
พอเสร็จสรรพ คนที่คอยเดินตามเราก็จะนำของมาขายครับ โปสการ์ด เงินพม่า ของที่ระลึกต่างๆ ราคาก็อาจจะสูงกว่าปกตินิดหน่อย แต่ก็แลกกับการคอยเดินแนะนำ กางร่มให้ครับ
สถานที่สุดท้ายก็คือ วัดพระหยกขาวครับ กล้องถ่านหมดพอดี เลยใช้มือถือถ่ายได้มานิดหน่อยครับ
พระหยกสีขาวแบบพม่าองค์ใหญ่ พระหยกเขียว และพระสามมิติ 6 องค์ด้านล่างครับ ที่เวลาเราเดินไปทางไหนก็จะเหมือนท่านมองตามเราครับ สาเหตุที่เป็นดังนั้นนั่นคือช่างจะแกะรูปพระพุทธให้ลึกลงไปโดยเฉพาะพระพักตร์ ทำให้ดูมีมิติในทุกๆทิศที่เรามองเข้าไปยังพระพุทธรูปนี้ หรือที่บางแห่งเรียกว่าพระพุทธรูปสามมิติ ครับ
หลังจากเรียบร้อยคนขับก็มาส่งที่ตลาดครับ ใกล้ๆด่านข้ามแดนแล้วครับ ก็ ช๊อปปิ้งของเล่น ดีวีดี นิดหน่อย ไหนๆมาถึงแล้วครับ
ได้เวลาไปที่พักของเราคืนนี้ครับ ขอขอบคุณทางโรงแรม The Eight Maesai ครับ ที่สนับสนุนที่พักพร้อมอาหารเช้าอร่อยๆครับ
ทางเจ้าของได้ออกแบบ ใช้พื้นที่ในตู้คอนเทนเนอร์ได้อย่างลงตัวมากๆครับ บริเวณทางเข้าห้องแบ่งส่วนเป็นห้องนั่งเล่น
ถัดไปเป็นส่วนห้องนอนครับ
ห้องน้ำ แบ่งส่วนเปียกส่วนแห้งเป็นสัดส่วน
วิวพระอาทิตย์ตกยามเย็นจากหน้าห้องนอนเลยครับ
อาหารเย็น เราเลือกร้าน จันกะผัก ร้านอาหารชื่อดังของแม่สาย ที่หลายๆคนแนะนำกันมาครับ ร้านนี้ชื่อ จันกะผัก สามารถ ผวนได้เป็น จักรพันธ์ ซึ่งในที่นี้หมายถึง ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ ร้าน ‘จันกะผัก’ มีที่มาด้วยว่าเป็นร้านที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริตั้งขึ้น เพื่อจำหน่ายพืชผักที่เหลือจากการทดสอบและพัฒนาพันธุ์ ขายสลัดและส้มตำซึ่งใช้พืชผักที่ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชฯผลิตเอง ขายกาแฟและของที่ระลึก ขณะเดียวกันยังมีแผนงานในการส่งเสริมด้านการตลาดแก่ผลิตภัณฑ์พื้นบ้านของชุมชนท้องถิ่น โดยจะนำผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนามาจำหน่ายในร้านในระยะต่อไป อาหารจะเป็นแนวง่ายๆครับไก่ย่าง ข้าวเหนียวอัญชัญ แกงจืด เต้าเจี๊ยวหลน ปลาทอด ยำผักกูด
จองที่พักเชียงราย ราคาพิเศษ ได้ที่:
www.traveloka.com/th-th/hotel/thailand/region/chiang-rai-10011104
จุดเด่นที่ใช้ผักในโครงการมาประกอบอาหาร หรือจะเลือกผักจากโครงการแล้วให้ที่ร้านปรุงรับประทานกัน และ รายได้ทั้งหมดนี้ก็จะกลับคืนสู่แผ่นดินในรูปของ“การพัฒนาตามแนวพระราชดำริ ที่นำมาซึ่งความเจริญ ความสุขสมบูรณ์ สู่ประชาชนและแผ่นดินไทย” รสชาติใช้ได้ครับ ผักสดมาก ทำเหลือก็มีห่อผักใส่ถุงกลับบ้านให้ครับ
กลับมาถึงโรงแรมทางโรงแรมก็นำ โคมลอยมาให้ครับ พร้อมกับสอนวิธีที่ถูกต้อง ต้องรอจนโคมพองเต็มที่ ถึงจะปล่อยไห้ครับ
จบวันแรกแบบสนุกสนาน เที่ยวหลายที่เลยครับ ให้เบลล่าชาร์จแบตก่อนครับ มาเที่ยวรอบนี้ไม่นอนกลางวันเลยครับ สนุกมากๆ
เช้าตรู่วันที่สอง ด้วยความที่เมื่อวานตั้งใจจะไปเก็บภาพยามเย็นบนวัดดอยเวา แต่ติดถนนคนเดิน ซึ่งจัดเสาร์เว้นเสาร์ จึงขอไปแก้ตัวเก็บแสงรุ่งอรุณของวันแทนครับ
ตีห้ากว่าๆ ผมก็ขับรถไปวัดดอยเวา จากที่พัก The Eight ไป ใช้เวลาประมาณไม่ถึง 10 นาทีครับ
มารอแสงกับหามุมรอบๆกันก่อนครับ ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ความมืดค่อยๆหายไป แสงแรกของวันค่อยๆเข้ามาแทนที่
ยังไม่ถึงหกโมงเช้า ก็มีชาวบ้านขึ้นมาสักการะ ทำพิธีแก้กรรมกันครับ เพื่อไม่ให้รบกวนเค้าผมจึงไปเก็บภาพมุมอื่นแทนครับ
บริเวณด้านในของวัด ด้านในสุดจะมีทางขึ้นชั้นสองครับ อย่างที่ผมบอกไปว่าทางพม่ามีพระเจ้าบุเรงนองหันมา ทางไทยก็มี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเอกาทศรส พระสุพรรณกัลยา หันพระพักตร์ไปยังพม่าครับ
เราสามารถชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ได้เลยครับ มุมนี้จะหันไปยังทิศเหนือและตะวันออก จึงสามารถเห็นแสงแรกของวัน รวมถึงถ้าโชคดีฟ้าเปิดก็จะได้เห็นพระอาทิตย์สวยๆแบบเต็มๆครับ
ด้านล่างมีแมงป่องยักษ์
ประวัติที่มาคือ เพื่อรำลึกถึงพระองค์เวาครับ (เวา ภาษาล้านนาแปลว่า แมงป่อง) ปัจจุบันได้มีถนนขึ้นและลงดอยแล้ว เป็นถนนคอนกรีตอย่างดี ใช้ได้ทุกฤดูกาล แต่ทางค่อนข้างชัน และมีชาวบ้านชอบขี่รถวิ่งย้อนศรครับ ต้องระวังนิดนึง
เก็บภาพกันพอสมควร ผมก็กลับไปที่พักเพื่อกินอาหารเช้าและเตรียมตัวเช็คเอาท์ครับ
อาหารเช้ามี เต้าหู้ทอด ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ และข้าวต้มเครื่องครับ อร่อยทุกอย่างเลยครับ อิ่มมากๆ
และก็ได้เวลาออกเดินทางต่อครับ ขอขอบคุณทาง The Eight Maesai สำหรับการต้อนรับ เอาใจใส่ เป็นอย่างดี ขอบคุณมากๆครับ
สามเหลี่ยมทองคำ คือ อีกหนึ่งสถานที่ที่เปรียบเป็น จุดที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูป มาชมพรมแดนของ ทั้งสามประเทศ ไทย พม่า ลาว กันครับ
สามเหลี่ยมทองคำ ตั้งอยู่ห่างจากเชียงแสนไปทางทิศเหนือ 9 กิโลเมตร ตามถนนเลียบริมแม่น้ำโขง สบรวกเป็น บริเวณที่แม่น้ำโขงซึ่งกั้นดินแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศลาว มาพบกับแม่น้ำรวก ซึ่งกั้นดินแดนระหว่าง ประเทศไทยและประเทศพม่า จากจุดนี้นักท่องเที่ยวจะมองเห็นฝั่งพม่าและลาวได้ถนัดชัดเจน สามเหลี่ยมทองคำ เป็นที่ กล่าวขวัญกันในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะครั้งหนึ่งเคยเป็นไร่ฝิ่นที่ใหญ่โตมาก เรียกว่าใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ แต่ปัจจุบัน ไม่มีไร่ฝิ่นแล้ว คงเหลือแต่ทิวทัศน์ที่เงียบสงบของลำน้ำและเขตแดนของ 3 ประเทศเท่านั้น เป็นจุดที่แม่น้ำรวก ซึ่งกั้นพรมแดนไทยและพม่า มาบรรจบกันแม่น้ำโขงที่กั้นไทยกับลาว จุดนี้นักท่องเที่ยวจะ เห็นฝั่งพม่าและลาวได้ถนัด ชัดเจน
สามเหลี่ยมทองคำ ทำไมจึงชื่อ สามเหลี่ยมทองคำ สามเหลี่ยมทองคำโดยมีที่มาขอชื่อ ว่าหลังจากที่พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ และ ลาวถูกฝรั่งเศสยึดครอง ก็เกิดการค้าขายสินค้าด้วยระบบและเปลี่ยนกันขึ้นโดย ทางฝั่งพม่านั้นจะมีผ้าแพร สินค้าจากจีน กระทะทองเหลือ และฝิ่นเป็นสินค้าที่นำมาแลกเปลี่ยนกับผ้าไหม ทองคำแผ่น และทองคำแท่งของพ่อค้าฝั่งลาว ซึ่งพ่อค้าลาวจำเป็น ต้องล่องเรือตามลำน้ำโขงมาขึ้นที่บ้านป่าสัก เขตเมืองพงของ พม่าซึ่งตั้งอยู่เหนือบ้านสบรวกของไทย ปีหนึ่ง ๆ มีการแลกเปลี่ยนสินค้ากันประมาณ 4-5 ครั้ง ทำให้บ้านป่าสักกลาย เป็นบริเวณขายที่เฟื่องฟูมากของสมัยนั้น และเพราะการและเปลี่ยนด้วยทองคำนี้เองจึงทำให้ชาวบ้านเรียกขานบริเวณนี้ กันจนติดปากว่า “สามเหลี่ยมทองคำ”
สำหรับกิจกรรม สำหรับนักท่องเที่ยว บริเวณรอบๆสามเหลี่ยมทองคำ นอกจากถ่ายรูปกับซุ้มประตู ก็จะมีดังนี้ครับ
ล่องเรือชมวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำโขง
นักท่องเที่ยวนิยมนั่งเรือเที่ยวชมทิวทัศน์จุดบรรจบของพรมแดนไทย ลาว และพม่า ค่าเช่าเรือประมาณ 300-400 บาท นั่งได้ 6 คน ที่สามเหลี่ยมทองคำจะมีท่าเรือไว้บริการหลายท่า ถ้าต้องการนั่งชมทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำโขงไป ไกลถึงเชียงแสนและเชียงของ ก็สามารถหาเช่าเรือได้ ค่าเรือขึ้นอยู่กับระยะทางใกล้ไกลนักท่องเที่ยว ที่สนใจ ล่องแม่น้ำโขง ไปเที่ยวทางตอนใต้ของประเทศจีนเช่นสิบสองปันนาคุนหมิง สามารถติดต่อกับบริษัทนำเที่ยวใน จังหวัดเชียงรายได้หากต้องการจะชมทิวทัศน์มุมกว้างของสามเหลี่ยมทองคำ บริเวณสบรวกและเพื่อนบ้าน ต้องขึ้น ไป บนดอยเชียงเมี่ยง ที่อยู่ริมแม่น้ำโขง
สำหรับการล่องน้ำโขงจากเชียงแสนไปยังเชียงรุ้ง สิบสองปันนา ผมเคยมีโอกาสได้ไปมาเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วครับ เรือจะออกจากท่าเรือเชียงแสนประมาณ ตีห้า ก็มีโอกาสได้ชมพระอาทิตย์ยามเช้ากลางลำน้ำโขงกันได้ครับ
นมัสการพระเชียงแสนสี่แผ่นดิน
พระเชียงแสนสี่แผ่นดิน หรือ พระพุทธนวล้านตื้อ ประดิษฐานกลางแจ้ง ณ สามเหลี่ยมทองคำ พระพุทธนวล้านตื้อ องค์นี้เป็นพระเชียงแสนสี่แผ่นดินเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งได้สร้างขึ้นแทนองค์เดิมที่จมลงแม่น้ำโขง และสร้างขึ้น ด้วยทองสัมฤทธิ์ ปิดทองด้วยบุศราคัม น้ำหนักถึง 69 ตัน หน้าตักกว้าง 9.99 ม.สูง 15.99 ม. ประทับนั่งบน “เรือแก้วกุศล ธรรม” ขนาดใหญ่ ส่วนพระรัศมีของพระพุทธนวล้านตื้อ จะอยู่ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน ครับ
ด้านหน้าที่ประดิษฐานของ พระพุทธนวล้านตื้อ ก็จะมี อนุสาวรีย์ พญาแสนภู พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์มังรายลำดับที่ 3 เมื่อพญาแสนภูเสวยราชย์เป็นกษัตริย์ล้านนา ในปี พ.ศ.๑๘๖๘ พระองค์เสด็จไปประทับที่เมืองเชียงรายโดยแต่งตั้งให้ท้าวคำฟู โอรสครองเมืองเชียงใหม่ ต่อมาราว พ.ศ. ๑๘๗๗ พระญาแสนภูโปรดให้สร้างเมืองเชียงแสนขึ้นในบริเวณเมืองเงินยาง ครั้นสร้างเมืองเชียงแสนแล้ว พระญาแสนภูก็ประทับอยู่ที่เชียงแสนตลอดพระชนม์ชีพ การสร้างเมืองเชียงแสนขึ้นนั้น ก็เพื่อป้องกันข้าศึกด้านเหนือ เพราะเชียงแสนตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงและสามารถใช้แม่น้ำโขงเป็นคูเมืองตามธรรมชาติได้ ตัวเมืองมีกำแพงกว้าง ๗๐๐ วา ยาว ๑๕๐๐ วา มีป้อมรายล้อมเมือง ๘ แห่ง
จากสามเหลี่ยมทองคำ ไปยัง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสนใช้เวลา 10 นาทีเศษๆครับ ค่าบัตรเข้าชมคนละ 20 บาท
ด้านหน้าอาคารมีเศียรพระนอนจากวัดพระนอน เมืองเชียงแสนครับ
ด้านในมีโบราณวัตถุ ศิลาจารึก ข้าวของเครื่องใช้ ประวัติต่างๆมากมายเลยครับ
จากจุดนี้เราสามารถขอแผนที่ เที่ยวเมืองโบราณ เชียงแสน ได้ครับ ในแผนที่จะบอกเส้นทางต่างๆไว้ให้ครับ
ด้านข้างพิพิธภัณฑ์ จะเป็นที่ตั้งของ วัดพระธาตุเจดีย์หลวง ครับ
วัดพระธาตุเจดีย์หลวง เป็นวัดเก่าที่สร้างโดยพระเจ้าแสนภู พระราชนัดดาของพ่อขุนเม็งรายมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาไท เมื่อปี พ.ศ. 1887 หลังจากนั้นพระเจ้าแสนภูได้เสด็จไปครองเมืองเชียงใหม่แทนพระราชบิดา ซึ่งเสด็จกลับมาประทับยังเมืองเชียงรายพร้อมทั้งนำอัฐิของพ่อขุนเม็งรายมหาราช ที่เสด็จสวรรคตที่เชียงใหม่ กลับมายังเชียงรายด้วย อีกตำนานกล่าวว่าพระเจ้าแสนภูโปรดให้สร้างวัดเจดีย์หลวงขึ้นในปี พ.ศ. 1834 หลังจากที่ทรงสร้างกำแพงเมืองเชียงแสนแล้ว 3 ปี เจดีย์ประธานของวัดนี้เป็นเจดีย์แบบล้านนาที่มีขนาดใหญ่และสูงที่สุดในเมืองเชียงแสน
ช่วงที่ไปเป็นช่วงกำลังบูรณะปฏิสังขรณ์วัดต่างๆกันอยู่เลยครับ จึงไม่ได้เข้าไปถึงบริเวณอุโบสถ
จากจุดนี้เราตัดสินใจไปวัดป่าสักต่อครับ ใช้ Google Map นำไป มีหลงบ้าง อ้อมบ้างต้องดูดีๆครับ
วัดป่าสัก เป็นวัดใหญ่ที่โด่งดังที่สุดของเมืองโบราณเชียงแสนครับ เก็บค่าเข้าชม 10 บาท พระเจ้าแสนภูสร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และปลูกต้นสัก 300 ต้น บริเวณวัด จึงเรียกว่าวัดป่าสัก มีลวดลายปูนปั้นประดับเจดีย์ประธานสวยงามและค่อนข้างสมบูรณ์
วัดพระธาตุจอมกิตติ ตั้งอยู่บนดอยจอมกิตติ วัดพระธาตุจอดกิตติ ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแสนมาช้านาน นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในพระธาตุสำคัญในเส้นทางไหว้พระธาตุ 9 จอมอันศักดิ์สิทธิ์ของเชียงรายอีกด้วย จากตำนานและพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสนได้กล่าวเอาไว้ว่า วัดพระธาตุจอมกิตติ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าพังคราช เพื่อใช้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ โดยพระมหาเถระชาวโกศลนคร เมืองสุธรรมวดี ชื่อพระพุทธโฆษาจารย์ นำพระบรมสารีริกธาตุจากเมืองลังกามาถวายพระเจ้าพังคราช ต่อมาพระองค์พร้อมพระราชโอรสคือพระเจ้าพรหมกุมารจึงได้สร้างพระธาตุขึ้นบนดอยน้อย เมื่อ พ.ศ.1483 แล้วอัญเชิญพระธาตุที่ได้มาบรรจุไว้ โดยให้พระนามพระธาตุองค์นี้ว่า “พระธาตุจอมกิตติ” และได้รับการบูรณะในสมัยของหมื่นเชียงสงโดยการสร้างเจดีย์ครอบทับองค์เดิมเมื่อปี พ.ศ.2030 ต่อมาในราวปี พ.ศ.2237 เจ้าฟ้าเฉลิมเมืองพร้อมกับคณะพระญาติและประชาชนได้ร่วมกันบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุขึ้นใหม่อีกครั้ง เกิดเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมอย่างที่เห็นในปัจจุบันคือ เป็นศิลปกรรมร่วมสมัยระหว่างล้านนากับศิลปะอยุธยาตอนปลาย ซึ่งที่ตั้งขององค์พระธาตุจอมกิตติ ถือเป็นจุดชมวิวชั้นดี ที่เมื่อขึ้นไปยืนบนนั้น จะสามารถเห็นทิวทัศน์ของตัวเมืองเชียงแสนในมุมกว้างได้เป็นอย่างดี แต่ช่วงนี้กำลังบูรณะอยู่เหมือนกันครับ สนับสนุนการบูรณะโดย ช่อง 7 ครับ
ใกล้ๆกันเป็นที่ตั้งของ พระธาตุจอมแจ้ง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่มาแต่โบราณ เป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อทองทิพย์ เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่และมีความศักดิ์สิทธิ์มาก
วัดพระธาตุผาเงา จะอยู่ไกลออกมาจากบริเวณวัดอื่นๆค่อนข้างเยอะครับ ตั้งอยู่นอกเมืองทางทิศใต้ ห่างจากที่ว่าการอำเภอเชียงแสนไปตามเส้นทางเชียงของ – เชียงแสน ประมาณ 5 กิโลเมตร อยู่ตรงข้ามโรงเรียนบ้านสบคำ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม มีเนื้อที่ประมาณ 143 ไร่ สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ พระธาตุผาเงา ซึ่งเป็นเจดีย์ทรงระฆังขนาดเล็กตั้งอยู่บนก้อนหินใหญ่ ซึ่งบูรณะขึ้นใหม่ แต่เดิมเป็นวัดร้าง ชาวบ้านสบคำต้องการย้ายวัดสบคำจากที่เดิมที่ถูกแม่น้ำโขงกัดเซาะพังทลาย จึงมาฟื้นฟูวัดร้างนี้ขึ้นเป็นวัดดังเดิม พ . ศ . 2521 วิหารหลังปัจจุบันสร้างทับวิหารเดิม ภายในวิหารแห่งนี้ได้พบพระพุทธรูปปูนปั้น บริเวณหน้าตักพระประธานที่เรียกว่า หลวงพ่อผาเงา
ชื่อของวัดนี้มาจากชื่อของพระธาตุผาเงาที่ตั้งอยู่บนยอดหินก้อนใหญ่ คำว่าผาเงาก็คือ เงาของก้อนผา (ก้อนหิน) หินก้อนนี้มีลักษณะสูงใหญ่คล้ายรูปทรงเจดีย์และทำให้ร่มเงาได้ดีมาก ชาวบ้านจึงตั้งชื่อว่า “พระธาตุผาเงา” ความจริงก่อนที่จะย้ายวัดมาที่นี่ เดิมมีชื่อว่า “วัดสบคำ” ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำโขง ฝั่งน้ำได้พังทลายลง ทำให้บริเวณ ของวัดพัดพังลงใต้น้ำโขงเกือบหมดวัด คณะศรัทธาจึงได้ย้ายวัดไปอยู่ที่ใหม่บนเนินเขา ซึ่งไม่ไกลจากวัดเดิม
เนินเขาข้างล่าง เป็นที่ตั้งของพระธาตุผาเงา ที่สร้างไว้บนหินก้อนใหญ่ ถัดจากนั้นสูงขึ้นไป 300 เมตร เป็นซากเจดีย์ สูงประมาณ 5 เมตร ชาวบ้านเรียกว่าพระธาตุจอมจัน จะอยู่บริเวณเดียวกับอุโบสถวัดครับ
ส่วนที่สูงที่สุดของเนินเป็นที่ตั้งของซากเจดีย์อีกองค์หนึ่ง สูงประมาณ 5 เมตรเช่นกัน ชาวบ้านเรียกว่า พระธาตุเจ็ดยอด ต่อมาทางวัดได้สร้างพระบรมธาตุพุทธนิมิตเจดีย์ครอบองค์พระธาตุเจดีย์เดิมไว้ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นซากของพระเจดีย์เจ็ดยอดได้ ณ ภายในพระเจดีย์องค์ใหม่นี้ แต่เราไม่ได้ขึ้นไปครับ
อาหารเที่ยงของเราวันนี้ขอเป็นอาหารยูนนานครับ ตีรถจากเชียงแสนกลับไปยังแม่สายครับ มาแม่สายทั้งทีไม่ได้กินอาหารยูนนานเหมือนมาไม่ถึงครับ ร้านดังๆจากการถามคนท้องถิ่นมาจะมีสองร้านครับ หยินปิง ยูนนาน ตรงข้าม The Eight โรงแรมที่เราพักเมือคืน และ จิงหลายซุ่น อยู่ตรงข้าม ที่ว่าการอำเภอแม่สาย
เราเลือกหยินปิงครับ ด้วยว่าอยู่ในเส้นทางที่จะผ่านก่อน และ ร้านมีแอร์ ทุกอย่างดูเหมาะสำหรับครอบครัวมีเด็ก ขับผ่านหลายรอบคนเยอะตลอด
อาหารแนะนำของร้านครับ ปลาฟูหยง เป็นปลานึ่งมากับไข่ขาวครับ, ขาหมู หมั่นโถว, ยอดถั่วลันเตาผัด (มีแค่ช่วงหน้าหนาวครับ), เห็ดหอมคั่ว, เต้าหู้ผัดพริกเสฉวน, ข้าวผัดแฮมยูนนาน
อิ่มแบบสุดๆๆๆครับ เดินทางต่อครับ ย้อนกลับขึ้นไป ไร่ชาฉุยฟง ตามรอยละครดังกันครับ
จากแผนที่คือเบอร์ 2 นะครับ ถ้าจะไปไร่ในเบอร์ 3 ดูจะไกลเกิน Google Map ทำหลงครับ ขับไปถึงสี่แยกแล้วก็หายไปเลย ><
คุณแม่คุณลูกสนุกกันใหญ่เลย
อากาศค่อนข้างร้อน เบลล่าขอเติมพลังก่อนค่ะ
ขวัญใจเบลล่าครับ พี่หนอนน้อย ชอบมากๆ ทั้งกอด ทั้งถ่ายรูปคู่
ออกจากไร่ชาฉุยฟง เรามุ่งหน้าต่อไปที่ ดอยตุง สถานที่ปลายทางวันนี้ครับ
พระตำหนักดอยตุง เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2530 เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มี พระชนมายุ 88 พรรษา โดยก่อนหน้านั้นมีพระราชกระแสว่า หลังพระชนมายุ 90 พรรษา จะไม่เสด็จไปประทับที่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ จึงได้เลือกดอยตุง ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงาม ขณะเดียว กันสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี เมื่อทรงทอดพระเนตรพื้นที่ เมื่อต้นปี พ.ศ.2530 ก็ทรงพอพระราชหฤทัย และมีีพระราชดำริจะสร้างบ้านที่ดอยตุงพร้อมกันนี้ ยังมีพระราชกระแสรับสั่งว่าจะ ปลูกป่าบนดอยสูงจึงกำเนิดเป็น โครงการพัฒนาดอยตุงขึ้น โครงการพัฒนาดอยตุงเริ่มดำเนินการโดยความร่วมมือจากหน่วยราชการทุกส่วน เช่น กรมป่าไม้ กรมชลประทาน หน่วยงานด้านปกครอง นอกจากทำการปลูกป่าฟื้นฟูสภาพพื้นที่แล้วยังมีการฝึกอาชีพ เพื่อ ยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวเขาบนดอยตุง ซึ่งประกอบด้วยชาวเขาเผ่าอาข่าลาหู่ ไทยใหญ่ และจีนฮ่อ ขณะเดียว กันยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของตนไว้
1. หอแห่งแรงบันดาลใจ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าสุดของพระตำหนัก สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2546 เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จย่า ภายในแบ่งเป็นห้องต่างๆ แปดห้อง ดังนี้
ห้องแรก แผ่นดินไทยฟ้ามืด กล่าวถึงการเสด็จถวายพระเพลิงพระบรมศพ เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2539
ห้องที่ 2 ฉันจะเดินทางด้วยเรือลำนี้ แสดงถึงปรัชญาในการดำเนินพระชนม์ชีพ ที่ประกอบด้วยหลักเหตุผล และการสร้างสรรค์ทางศิลปะ
ห้องที่ 3 ภูมิธรรม ประมวลความสนพระทัยในหลักธรรมคำสั่งสอน
ห้องที่ 4 หนึ่งศตวรรษ เป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จย่า และเฉลิมฉลองในวาระ 100 ปีแห่งการพระราชสมภพ เมื่อปีี พ.ศ.2443 ทั้งนี้ ทรงพระปรีชาชาญ ในการอภิบาลพระธิดา และพระโอรสที่ต่อมาได้เถลิงถวัลย ราชสมบัิติ เป็น พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ รวมทั้งทรงนำความรู้ใหม่ๆ มาใช้ในงานบำบัดทุกข์บำรุงสุข ของพสกนิกร จนองค์การยูเนสโก ได้ประกาศพระนามในปฏิทินบุคคลสำคัญของโลก
ห้องที่ 5 เวลาเป็นของมีค่า กล่าวถึงงานฝีมือต่างๆ ของพระองค์ที่ใช้พระราชทานแก่บุคคลต่างๆ
ห้องที่ 6 พระมารดาแห่งการแพทย์ชนบทและการสาธารณสุขไทย
ห้องที่ 7 พระผู้อภิบาล บรรยายถึงความเป็นพระผู้อภิบาลธรรมชาติ
ห้องที่ 8 ดอยตุงกับการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวถึงโครงการพัฒนาดอยตุงที่เป็นโครงการพัฒนาระยะยาว เน้นการ อนุรักษ์ธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของประชาชน
เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาว ในหุบเขา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2535 เดิมมีพื้นที่ 12 ไร่ มีการปลูกดอกไม้หมุนเวียนสลับ ให้ออกดอกไม่ซ้ำกันตลอดสามฤดู ล้อมรอบประติมากรรมชื่อ “ความต่อเนื่อง” เป็นรูปเด็กยืนต่อตัวที่กลางสวน นอกจากนี้ ยังจัดแต่งสวนหินซึ่งประดับด้วยหินภูเขากลมเกลี้ยงขนาดใหญ่ สวนน้ำอุดมด้วยไม้น้ำพันธุ์ต่างๆ บัว และสวนปาล์มที่รวบ รวมปาล์มไว้มากมายในพื้นที่ 13 ไร่ สวนแม่ฟ้าหลวงจึงมีพื้นที่ทั้งสิ้น 25 ไร่
3. อาคารพระตำหนักดอยตุง
พระตำหนักแห่งนี้ ถือเป็นบ้านหลังแรกของสมเด็จย่า สร้างขึ้นโดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์โดยเน้นที่ความ เรียบง่ายและการใช้ประโยชน์ ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จย่าพระตำหนักยังได้ รับการอนุรักษไว้เป็น อย่างดีและ์เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเที่ยวชม สถาปัตยกรรมของพระตำหนักเป็นการผสมผสา ระหว่างสถาปัตย กรรมแบบล้านนา กับบ้านพื้นเมืองของสวิส สร้างบนไหล่เนิน มองเห็นทิวทัศน์ได้ไกลสุดสายตา พระตำหนักมี สองชั้น และชั้นลอยชั้นบนแยกเป็นสี่ส่วน แต่เชื่อมต่อกันเป็นอาคารหลังเดียว ที่โดดเด่นสะดุดตา คือ กาแลและ ไม้แกะสลัก เป็นเชิงชาย ลาย เมฆไหล ที่อ่อนช้อยโดยรอบ ภายในตำหนักล้วนใช้ไม้สน และไม้ลังที่ใส่สินค้า เป็นเนื้อไม้สีอ่อนที่สวยงามจุดน่าสน ใจอีกจุดคือ เพดานดาว ภายในท้องพระโรง แกะสลักขึ้นจากไม้สนภูเขาเป็น กลุ่มดาวต่างๆ สวยงามมากๆครับ ส่วนบริเวณผนังเชิงบันได แกะสลักเป็นพยัญชนะไทยด้านนึง อีกด้านเป็นอาขยาน 20 ม้วน เพื่อเป็นการย้ำเตือนข้าราชบริพารถึงภาษาไทยของเรา
อีกส่วนนึงจะเป็น บริเวณพระธาตุดอยตุง ครับ
พระธาตุดอยตุง พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ประจำปีกุน
พระบรมธาตุดอยตุง เป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดของเชียงราย ประดิษฐานอยู่บนยอดดอยตุง ในเขตกิ่งอำเภอ แม่ฟ้า หลวง มีถนนแยกจากบ้านห้วยไคร้ขึ้นไปจนถึงองค์พระบรมธาตุองค์พระธาตุบรมธาตุเจดีย์ อยู่สูงจากระดับ น้ำทะเล ประมาณ 2000 เมตร ตามตำนานมีว่า เดิมสถานที่ตั้งพระบรมธาตุดอยตุง มีชื่อว่า ดอยดินแดง อยู่บน เขาสามเส้น ของพวกลาวจก ต่อมาสมัยพระเจ้าอุชุตะราช รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์สิงหนวัต ผู้ครองนครโยนก นาคนคร เมื่อปี พ.ศ.1452 พระมหากัสสป ได้นำพระบรมสารีริกธาตุในส่วนของพระรากขวัญเบื้องซ้าย (ไหปลาร้า) ของพระพุทธเจ้ามาถวายซึ่งตรงตามคำทำนายของพระพุทธองค์ว่าที่ดอยดินแดงแห่งนี้ ต่อไปจะเป็นที่ประดิษฐาน พระมหาสถูปบรรจุ ุพระบรมสารีริกธาตุ ในภายภาคหน้าพระเจ้าอุชุตะราช มีพระราชศรัทธา ได้เรียกหัวหน้าลาวจก มาเฝ้าพระราชทานทองคำจำนวนแสนกษาปณ์ ให้เป็นค่าที่ดินบริเวณดอยดินแดงแก่พวกลาวจก แล้วทรงสร้าง พระสถูปขึ้น โดยนำธง ตะขาบยาว 3000 วา ไปปักไว้บนดอยมื่อหางธงปลิวไปไกลเพียงใด้ ให้กำหนดเป็นฐาน พระสถูปเพียงนั้นดอย ดินแดงจึงได้ชื่อใหม่ว่า ดอยตุง (คำว่า ตุง แปลว่า ธง) เมื่อสร้างพระสถูปเสร็จก็ได้นำ พระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวบรรจุบรรจุไว้ให้คนสักการะบูชา ต่อมาสมัยพระเจ้าเม็งรายมหาราช แห่งราชวงศ์ลาวจก พระมหาวชิระโพธิเถระได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย จำนวนองค์ พระเจ้าเม็งรายจึงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระ สถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขึ้นอีกองค์หนึ่ง เหมือนกับพระสถูปองค์เดิมทุกประการ ตั้งคู่กัน ดังปรากฎอยู่จน ถึงทุกวันนี้ ชาวเชียงรายมีประเพณีการเดิน ขึ้นดอยบูชาพระธาตุ ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี
สวนรุกขชาติดอยช้างมูบ หรือ สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของเทือกดอยตุงที่ระดับความสูง 1,520 ม. จากระดับน้ำทะเล สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวงยังอยู่ใกล้กับทางแยกเส้นทางดอยตุงไป อ. แม่สาย โดยไม่ต้องย้อนกลับลงไปทางบ้านห้วยไคร้ ค่าธรรมเนียม 50 บาท เปิดเวลา 07.00-17.00 น. สวนรุกขชาติดอยช้างมูบ หรือ สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง เป็นที่รวมพันธุ์ไม้หายาก โดยเฉพาะกุหลาบพันปี (ไรโดนเดนดรอน) หลากสี หลายสายพันธุ์จากนานาประเทศ ในเอเซีย ยุโรป อเมริกาเหนือ และออสเตรเลีย ก็ได้นำมาปลูกจนผลิดอกงดงามกันที่นี่ จะยิ่งสวยงามมากในช่วงที่ดอกซากูระเมืองไทยหรือนางพญาเสือโคร่งบานในราวต้นเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ จนที่นี่กลายเป็นสวนป่าที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
สถานที่ท่องเที่ยวด้านบนนี้จะปิดให้บริการเวลา 17.00 ครับ เราขึ้นมาก็เกือบได้เวลาปิดแล้ว จึงถือโอกาสชาร์จแบตให้เต็มที่ครับวันนี้ โปรแกรมเที่ยวจบแล้ว
ที่พักของเราคืนนี้ตือ ดอยตุงลอดจ์ ครับ อยู่ด้านในสุด ข้างๆทางขึ้นพระตำหนักดอยตุงครับ แต่จะเป็นทางเลี้ยวซ้ายแยกลงไป
ซึ่งอาคารที่พักจะอยู่ด้านใน ขับรถเข้ามาเอาของลงแล้วก็เอาไปจอดที่ลานด้านนอกครับ
ที่พักบรรยากาศสบายๆ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันครับ
บริเวณระเบียงห้องจะมีมุมสนามหญ้าเขียวๆให้ความร่มรื่น
Minibar เป็นผลิตภัณฑ์ของดอยตุงครับ ราคาเท่ากับที่จำหน่ายด้านนนอกเลยครับ
สิ่งที่ผมประทับใจมากๆอีกสิ่งหนึ่งของที่นี่ นอกจากจะได้มาพักบนดอยตุงแล้ว คือ หนังสือเล่มเล็กๆที่รวบรวมพระราชดำรัส และ บทประพันธ์ข้อความสอนต่างๆจากหนังสือของสมเด็จย่า
ครัวตำหนัก เป็นจุดให้บริการอาหาร มื้อเช้าและมื้อเย็นของดอยตุงลอดจ์ครับ จะอยู่บริเวณทางขึ้นพระตำหนัก ตรงข้ามกาแฟดอยตุงครับ อาหารเย็นมื้อนี้เราก็จัดกันไปเบาๆครับ ก่อนที่จะพักผ่อนกัน
ฟ้ายามเย็นจากบริเวณหน้าพระตำหนักดอยตุงครับ
เช้าตรู่วันที่สาม กับภารกิจตามล่าแสงแรกของวันบนดอยตุง จากแผนที่ตำแหน่งที่ตั้ง บริเวณดอยตุงลอดจ์ก็มีจุดที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นครับแต่มีต้นไม้มีอะไรขวางนิดนึง ผมจึงตัดสินใจขับรถย้อนลงไปที่จุดชมวิว กม 12 ครับ ชับลงไปประมาณ2-3กิโลได้ครับ ตอนแรกกะจะขึ้นไปที่พระธาตุดอยตุงซึ่งอยู่สูงกว่า แต่สภาพอากาศ รวมถึงความไม่ชำนาญทางเลยตัดสินใจไม่ไปครับ ทางขับลงมาจากบริเวณโรงแรมจนถึงป้อมตำรวจมีไฟตลอดทางครับ แต่หลังจากนั้นก็จะไม่มีครับ ต้องระวังนิดนึง
มาถึงยังมืดอยู่ครับ นั่งดูดาวรอกันไปครับ
พระอาทิตย์โผล่มาทักทายแปปเดียวเองครับ ได้รูปมานิดหน่อยครับ
ผมจึงกลับขึ้นไปที่โรงแรมอีกครังครับ
เดินชมบรรยากาศสวยๆ บริเวณหลังล๊อบบี้ ของดอยตุงลอดจ์ต่อครับ
อาหารเช้าวันนี้ที่เดิมกับเมื่อวานครับ เวลาให้บริการ 7.00-9.00 เราสามารถขับรถขึ้นมาจากบริเวณดอยตุงลอดจ์หรือจะใช้บริการรถรับส่งก็ได้ครับ เพราะด้านบนที่จอดรถน้อย ต้องไปจอดบริเวณกาดหลวงแล้วเดินขึ้นมา เดินไกลนิดนึงครับ อาหารเช้ามีโอวัลติน ขนมปังปิิ้ง ชุด ABF แล้วก็ ข้าวต้มให้เลือกครับ
จุดจำหน่ายบัตรเข้าชมครับ มีแบบแยกสถานที่และเหมารวมครับ ถ้าเหมาก็จะถูกกว่าครับ
กาดดอยตุง อยู่บริเวณซ้ายมือหากเราขับรถขึ้นมาสวนแม่ฟ้าหลวงดอยตุง เป็นตลาดขายของหัตถกรรมชาวเขา เครื่องเงิน เสื้อผ้า ของกินพื้นเมือง มีร้านสินค้า โอท็อปดอยตุงด้วย เป็นตลาดที่ไม่ใหญ่นัก ทางดอยตุงจัดสร้างเพื่อให้เป็นที่จำหน่ายสินค้าพื้นบ้านต่างๆมากมาย ของชาวบ้านในแถบนี้ แต่ผมไม่ได้ลงไปครับ เบลล่าไปรอที่ทางขึ้นพระตำหนักดอยตุงแล้วครับ
จุดตรวจก่อนทางขึ้นพระตำหนักดอยตุงจะมีผ้านุ่งไว้ให้บริการครับ ก่อนเข้าเขตพระราชฐานต้องแต่งกายสุภาพครับ
เดินขึ้นมาตามทางนิดนึงก็มาถึง พระตำหนักดอยตุง ครับ
พระตำหนักดอยตุง มีให้บริการ เครื่องบรรยาย ที่ทางเข้าครับ โดยจะเป็นการบรรยายถึงประวัติความเป็นมา แนวพระราชดำริ การออกแบบ ตกแต่ง ด้านใน ตลอดจนข้าวของเครืาองใช้ พระราชกิจต่างๆของสมเด็จย่าครับ ด้านในห้ามถ่ายรูปนะครับ ช่วงที่ไป ส่วนห้องบรรทมด้านในปิดปรับปรุงอยู่ครับ แต่แค่นี้ก็คุ้มค่าที่สุดแล้วครับ
สภาพขาลงครับ หนูน้อยไม่ไหวแล้ว
สวนแม่ฟ้าหลวง ทางเข้าจะอยู่ข้างๆจุดขายบัตรนะครับ ส่วนทางออกจะอยู่ข้างๆร้านกาแฟดอยตุง ใกล้ๆทางเข้าพระตำหนักครับ
สวนแม่ฟ้าหลวงแห่งนี้ มาจากแนวพระราชดำริของสมเด็จย่า ที่อยากให้พสกนิกร ได้เยี่ยมชม ท่องเที่ยว ชมดอกไม้เมืองหนาว ดอกไม้จากต่างประเทศมากมาย ให้เหมือนกับที่ไปชมกันที่ต่างประเทศครับ
และคนที่สนุกสุดก็คือคนนี้ครับ ขอดูดอกไม้ตั้งแต่เมื่อวาน
มาถึงดอยตุงทั้งทีขอแวะชิมกาแฟดอยตุงหน่อยครับ ^^
ได้เวลาตีตั๋วยาวแล้วครับ มื้อเที่ยงวันนี้ เรามีนัดกับคุณพ่อของผมหรือก็คืออากงของเบลล่า ที่ภูภิรมย์ ไร่สิงห์ปาร์ค ครับ
อากงมาประชุมหอการค้าไทยประจำปีนี้ที่เชียงรายพอดีครับ
จากดอยตุงมาภูภิรมย์ ใช้เวลาประมาณ 60 นาทีครับ ถ้าจะใช้ Google Map ให้ใช้คำว่า Singha Park สิงห์ปาร์ค นะครับ ถ้าพิมพ์ ไร่บุญรอด นี่นำไปอ่างเก็บน้ำเลยครับ
อาหารมื้อนี้ไม่ได้ถ่ายไว้นะครับ ที่สั่งหลักๆก็เมนูแนะนำครับ พล่ากุ้งใหญ่ ไก่ย่างภูภิรมย์ ยำยอดชาสดทอดกรอบ เนื้อสันนอกย่างจิ้มแจ่ว แกงจืด
ไก่ย่าง ผมว่าเป็นนุ่มๆเกิน ผมไม่ค่อยชอบครับ เนื้อจะนิ่มๆยุ่ยๆไปหน่อย ส่วนอย่างอื่นโอเคครับ ราคาก็พอสมควรครับ
การเที่ยวที่สิงห์ปาร์คสามารถขับรถเที่ยวเองก็ได้แต่จะไม่สามารถเข้าไปถึงป้อนอาหารยีราฟได้ครับ ต้องใช้บริการรถยำเที่ยวของทางไร่ครับ บริการฟรี เป็นรอบๆ ตอนผมไปเป็นวันธรรมดามีทุก 1 ชั่วโมงครับ แต่หลังจากสอบถามเจ้าหน้าที่มาว่าเดือนธันวาเป็นต้นไปจะเปลี่ยนรอบการเดินรถเป็นแบบต่อเนื่องกันเลยครับ
มาสิงห์ปาร์คไม่ได้ถ่ายมุมนี้ จะหาว่ามาไม่ถึงครับ
ถ้าต้องการถ่ายให้ฟ้าสีฟ้ามากๆพยายามถ่ายในมุมที่คนถ่ายหันหลังให้ดวงอาทิตย์ครับ จะเป็นมุมโพลาไรซ์ ฟ้าจะสีฟ้าสวยเลยครับ
ช่วงที่ไป ทุ่งปอเทือง เหลืองอร่าม เริ่มบานแล้วครับ ทุ่งคอสมอสก็เริ่มบานเหมือนกัน ฟักทองยักษ์ก็ออกลูกแล้ว ทุกอย่างเตรียมพร้อมต้อนรับงาน Farm Fest ที่จะจัดในช่วงสิ้นเดือน พฤศจิกายน อย่างเต็มที่ครับ
จุดจอดรถแรกจะเป็นทุ่งคอสมอส และฟักทองยักษ์ครับ ให้เวลา10 นาที ในการลงไปเก็บภาพสวยๆกัน
จุดจอดรถที่สองคือ ภูภิรมย์ครับ จุดชมวิวที่สวยที่สุดของไร่สิงห์ปาร์คครับ ตอนที่ไปกำลังทำจุดชมวิวใหม่แบบ 360องศากันเลยครับ รวมถึงร้านอาหารที่จะเปิดให้บริการจิบชายามบ่ายที่กำลังก่อสร้างครับ
จุดจอดรถที่สามคือ จุดป้อนอาหารยีราฟ ม้าลาย ครับ และก็จะมีวัววาตูซี่ Watusi Cows วัวที่มีเขาใหญ่ที่สุด อยู่ฝั่งตรงข้าม ไกด์แนะนำให้ป้อนยีราฟจะดีกว่าเพราะม้าลายตาไม่ค่อยดี อาจมีการกินผิดกินถูกกันได้
สนุกสุดล่ะคนนี้ ตัวเล็กตัวใหญ่สลับไปสลับมา วิ่งไปป้อนม้าลายเจอเลียนิ้วไป บายยยยย
เสร็จสรรพเรียบน้อยก็ได้เวลาโบกมือลาพี่สิงห์ ส่งจุ๊บหนึ่งที
จากไร่สิงห์ปาร์ค เราไปวัดร่องขุ่นกันต่อครับ อยู่ใกล้ๆกัน สถาปัตยกรรม ที่สวยงามมากๆ ของ อาจารย์ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
วัดร่องขุ่น สร้างขึ้นด้วยแรงปณิธานที่มุ่ง มั่น รังสรรค์ งานศิลปะที่งดงามแปลกตาผสานวัฒนะธรรมล้านนาอย่างกลมกลืน ทั้งลวดลายปูนปั้นประดับ กระจก และจิตรกรรรมฝาผนัง ขนาดใหญ่ ลักษณะเด่นของวัดคือ พระอุโบสถถูกแต่งด้วยลวดลายกระจกสีเงินแวววาวเป็น เชิงชั้นลดหลั่นกันไป หน้าบันประดับ ด้วยพญานาคมี งวง งา ดูแปลกตาน่าสนใจมาก ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ภายในพระอุโบสถเป็นฝีมือภาพเขียนของอาจารย์เอง
“ผมหวังที่จะสร้างงานพุทธศิลป์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผมให้ปรากฏเป็นงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ชิ้น
หนึ่งของโลกมนุษย์นี้ให้ได้ เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของประเทศชาติของผมไปสู่มวลมนุษยชาติทั้งโลก”
คือคำกล่าวของ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินชื่อดัง ผู้ออกแบบและก่อสร้างวัดร่องขุ่น อันมีชื่อเสียงโด่งดัง อ. เฉลิมชัย มีแรงบันดาล ใจในการสร้างวัดแห่งนี้อยู่ 3 ประการ คือ เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ซึ่ง อาจารย์บอกว่าผมจึงตั้งความ ปรารถนาที่จะถวายชีวิต ใช้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของตนเอง สร้างงานพุทธศิลป์เพื่อ เป็นงานประจำรัชกาลของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ได้ และจะถวายชีวิตไปจนตายคาวัด
เวลาปิดคือ 5 โมงเย็นนะครับ ทุกคนต้องออกมานอกแนวกำแพง
ห้ามคนเมาสุราเข้าวัด
อุโบสถวัดร่องขุ่น ที่ อ. เฉลิมชัย ได้สรรค์สร้างขึ้นมาล้วนแต่มีความหมายครับ (ข้อมูลจาก www.paiduaykan.com ครับ)
โบสถ์ เพราะอาจารย์อยากจะเนรมิตวัดให้เหมือนเมืองสวรรค์ เป็นวิมานบนดินที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้โบสถ์ เปรียบ เหมือนบ้านของพระพุทธเจ้า
สีขาว แทนพระบริสุทธิคุณของพระพุทธเจ้า
กระจกขาว หมายถึง พระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่เปล่งประกายไปทั่วโลกมนุษย์ และจักรวาล
สะพาน หมายถึง การเดินข้ามวัฏสงสารมุ่งสู่พุทธภูมิ
ครึ่งวงกลมเล็ก หมายถึง โลกมนุษย์
วงใหญ่ที่มีเขี้ยวเป็นปากของพญามารหรือพระราหู หมายถึง กิเลสในใจแทนขุมนรกคือทุกข์ ผู้ที่จะเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าในพุทธภูมิต้องตั้งจิตปลดปล่อยกิเลสตัณหาของตนเองลงไปในปากพญามาร เพื่อเป็นการชำระจิตให้ ผ่องใสก่อนที่จะเดินผ่านขึ้นไปพบกับพระราหูอยู่เบื้องซ้าย และพญามัจจุราชอยู่เบื้องขวา
อสูรกลืนกัน16 ตน บนสันของสะพาน หมายถึง อุปกิเลส 16 จากนั้นก็จะถึง
กึ่งกลางสะพาน หมายถึง เขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นที่อยู่ของเทวดา
สระน้ำด้านล่าง หมายถึง สีทันดรมหาสมุทร มีสวรรค์ตั้งอยู่ด้วยกัน 6 ชั้นด้วยกัน ผ่านสวรรค์ 6 เดินลงไปสู่พรหม 16 ชั้น แทนด้วยดอกบัวทิพย์ 16 ดอกรอบพระอุโบสถ
ดอกที่ใหญ่สุด 4 ดอก ตรงทางขึ้นด้านข้างโบสถ์หมายถึง ซุ้มพระอริยเจ้า 4 พระองค์ ประกอบด้วยพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ เป็นสงฆ์สาวกที่ควรกราบไหว้บูชา
ครึ่งวงกลมก่อนขึ้นบันได หมายถึง โลกุตตรปัญญา บันไดทางขึ้น 3 ขั้นแทน อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ผ่านแล้วจึ้งขึ้นไปสู่อรูปพรหม 4 แทนด้วย
ดอกบัวทิพย์ 4 ดอกและบานประตู4บานบานสุดท้ายเป็นกระจกสามเหลี่ยมแทนความว่าง ซึ่งหมายถึงความ หลุดพ้น แล้วจึงก้าว ข้ามธร ีประตูเข้าสู่พุทธภูมิภายในประกอบด้วยภาพเขียนโทนสีทองทั้งหมด ผนัง 4 ด้าน เพดานและพื้นล้วนเป็นภาพเขียนที่แสดง ถึงการหลุดพ้นจากกิเลสมาร มุ่งเข้าสู่โลกุตตรธรรม ส่วนบนของหลังคาโบสถ์ ได้นำหลักการของการปฏิบัติจิต 3 ข้อ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นำไปสู่ความว่างคือความหลุดพ้นนั่นเอง
บ่อน้ำอธิษฐานจิต ซึ่งภายในจะมีบ่อน้ำทำการอธิษฐานโดยต้องยืนให้ตรงตามราศีเกิดที่ระบุไว้บริเวณพื้นอาคารแล้วโยนเหรียญลงไปในบ่อครับ
เวลาแห่งความสนุกผ่านไปเร็วเหลือเกิน ต้องกลับกันแล้ว
ก่อนกลับกรุงเทพ ขอแวะร้านอาหารร้านดังมากๆของเชียงรายครับ Melt in Your Mouth
บรรยากาศตกแต่งร้านสวยงาม อาหารน่าทานมากๆ
มากาฮอง ของหวานสุดโปรดของเบลล่า อร่อยมากๆเลยครับ หอม ไม่หวานมากเกิน ผมซื้อให้ไปกินระหว่างรอเครื่องบินครับ ฟินสุดๆ
ปิดทริปสามวันทีเชียงรายแบบสบายๆ ร้านอร่อย ร้านดังก็พยายามกินให้ได้เยอะๆเท่าที่กระเพาะจะรับไหวครับ ^^
ได้เวลากลับบ้านแล้ว มาส่งรถคืนที่หน้าประตูกันครับ โทรแจ้งก่อนสัก 5 นาทีนะครับเพื่อความสะดวก ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ
เช็คอินเรียบร้อย ทุกอย่างพร้อม นั่งกินขนมปังเพลินๆแปปเดียวก็กลับมาถึงดอนเมืองเป็นที่เรียบร้อย จบทริป 3 วัน 2 คืน ที่เชียงราย แบบสนุกสนาน สุดประทับใจ จริงๆเชียงรายยังมีที่ท่องเที่นวอีกมากมายที่น่าสนใจมากๆเลยครับ ไว้มีโอกาสจะไปอีกครั้งแน่นอนครับ
อาหารว่างบนเครื่อง มาเสิร์ฟแบบร้อนๆ กำลังหิว จัดไปฟินๆ อร่อยเลยครับ
ขอใช้พื้นที่ตรงนี้ขอขอบคุณ ผู้สนับสนุนทุกๆท่านอีกครั้งครับ ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประจำจังหวัดเชียงราย AVIS Rent a Car AiraAsiaThailand โรงแรม The Eight แม่สาย โรงแรมดอยตุงลอดจ์
สุดท้ายนี้ ขอฝากรีวิวเส้นทางของเพื่อนๆที่ร่วมเดินทางกับ โครงการ ของ ททท เชียงราย ด้วยครับ
44 ภ า พ… ด อ ก บั ว ต อ ง … ส ว ร ร ค์ บ น ด อ ย … ” เ ชี ย ง ร า ย โดย คุณ ม่วงมหากาฬ
นั่งเครื่องต่อรถ…สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่ง “พะเยา” 3 วันเที่ยวสบาย ส่งท้ายปลายฝนต้นหนาว โดย คุณ Forzanu
ชมหมอก ดอกไม้ สูดไอหนาว … เชียงราย +++ เวียงป่าเป้า – แม่สรวย – ดอยช้าง- ดอยวาวี – ดอยกาดผี โดย คุณ cold river
ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามรีวิวเชียงรายนี้นะครับ ผมพยายามจะถ่ายทอดเรื่องต่างๆให้ละเอียดที่สุด หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่สนใจไปเที่ยวเชียงรายนะครับ หากมีข้อผิดพลาดใดๆก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ
หากท่านชื่นชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ หรือ กด Like ที่ Fanpage ของผม https://www.facebook.com/BLJourney เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆน้อยแก่ผมและทีมงาน 2Madames.com ทุกคนครับ ขอบคุณมากๆครับ
The Journey of B & L Family
Blogger แนวครอบครัว พ่อ "แบงก์" แม่ "เล้ง" และ "น้องเบลล่า" ผู้รักการท่องเที่ยว การถ่ายภาพ เล่าเรื่องราวต่างๆ จากจุดเริ่มด้วยทริปการเดินทางของคนสองคน บัดนี้ถึงเวลาที่จะมาเปิดโลกการเดินทางอีกรูปแบบนึง เมื่อมีเจ้าตัวน้อย ตัวแสบประจำบ้านร่วมออกตะลุยไปด้วยกัน มาร่วมรับรู้เรื่องราวการเดินทางและความสนุกสนานของครอบครัว bank113 กันนะครับ The Journey of B&L Family https://www.facebook.com/BLJourney