ตลอด 13 วัน ได้มีโอกาสท่องเที่ยวในเมืองใหญ่ๆอย่างโตเกียว โอซาก้า
สัมผัสกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม และสถานที่ประวัติศาสตร์อย่างเกียวโต
ได้มีโอกาสได้ยืนชมภูเขาไฟฟูจิอันสวยงามด้วยสองตาของพวกเรา
ผ่านทั้งวันแสงแดดดีๆ วันที่ลมแรงๆ ทั้งหนาว และมีฝน บางวันหมอกหนาจนมองไม่เห็นอะไรเลย
โปรแกรมที่วางแผนไว้ถูกกระทบด้วยสภาพอากาศเล่นงาน ถึงกับเวลาหายไปเป็น 2 วันเต็มๆ
ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ถูกผสมผสานระหว่างความเจริญทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวิถีการดำเนินชีวิตที่เต็มไปด้วยมนเสน่ห์อันงดงามแบบดั้งเดิมได้อย่างลงตัว ทุกๆส่วนประกอบทำให้ประเทศญี่ปุ่นในวันนี้ กลายเป็นประเทศน่าท่องเที่ยวที่สุดประเทศหนึ่งของโลก
“สมกับคำพูดที่ได้ยินเสมอๆว่า ญี่ปุ่น…กี่ครั้งก็ไม่เคยพอ”
– ข้อมูล + link ที่เป็นประโยชน์ให้สำหรับมือใหม่และมือเก่า
– ภาพสถานที่ต่างๆที่พวกเราไป ประกอบประวัติความเป็นมา (เท่าที่หามาได้) การเดินทาง และค่าใช้จ่าย
– อาหารการกิน
– ขนมนมเนย
– ของฝากเมืองไทยเด็ดๆ
ข้อมูลการเดินทางนี้เขียนไว้ตั้งแต่ เม.ย. 53 ผู้ใช้ข้อมูลอาจจะต้องอัพเดตข้อมูลบางส่วนด้วยนะครับ
ขอแนะนำ Link ที่เป็นประโยชน์กับการหาข้อมูลนะครับ
เว็บที่สำคัญที่ใช้มากที่สุด
– http://www.japan-guide.com ไว้ดูข้อมูลท่องเที่ยว
– http://www.hyperdia.com/en/ เช็คข้อมูลรถไฟ
วิธีทำการบ้านของคุณ ohhioh
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2010/03/E8970002/E8970002.html
มือใหม่เชิญทางนี้ ให้คุณ Numaromdee และ พี่ Skybox ช่วยปูพื้นฐานก่อนครับ
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2010/03/E9030179/E9030179.html
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/02/E7556048/E7556048.html
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2010/02/E8889103/E8889103.html
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2010/02/E8889103/E8889103.html
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/09/E7027040/E7027040.html
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/09/E7049329/E7049329.html
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/10/E7052803/E7052803.html
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/10/E8476258/E8476258.html
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/11/E8505467/E8505467.html
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/10/E7076461/E7076461.html
มุมที่พักโดยคุณว่านน้ำ
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/12/E7366640/E7366640.html
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/01/E7391801/E7391801.html
มุมที่กินโดยคุณ Calamity แห่งก้นครัว
http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2007/04/D5307513/D5307513.html
http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2009/05/D7913313/D7913313.html
แผนที่และอาวุธที่จำเป็นจากอาจารย์ตู่
http://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8957618/E8957618.html
หมวดทั่วไป
วีซ่า
http://www.th.emb-japan.go.jp/th/consular/visaindex.htm
ค่าเงิน
http://finance.yahoo.com/q?s=JPYTHB=X
http://www.bangkokbank.com/Bangkok%20Bank%20Thai/Web%20Services/Rates/Pages/FX_Rates.aspx
อากาศ
http://www.weather.com/outlook/travel/businesstraveler/tenday/JAXX0085
ขนส่งกระเป๋า
http://www.kuronekoyamato.co.jp/english/support/
Pass ต่างๆ
http://www.japan-guide.com/e/e2357.html
แถมตารางซากุระ
http://gojapan.about.com/od/cherryblossom/a/sakuraforecast.htm
แผนเที่ยวแผนกินสำเร็จรูปจากคุณ หัวโต แก้มป่อง หน้าใส ใจร้าย
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/03/E7609167/E7609167.html
จริงๆผมยังเซฟไว้อีกเยอะนะครับ แต่ว่าเอาเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน
เดี๋ยวมือใหม่จะตาลายเกินไป
ญี่ปุ่นสนุกตั้งแต่หาข้อมูลทำแผนเลยครับ เชื่อผมสิ
เริ่มกันเลยดีกว่านะครับ หนทางยังอีกยาวไกล
ภูเขาฟูจิ (ญี่ปุ่น: 富士山 Fuji-san ฟุจิซัง ?) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ราว 3,776 เมตร (12,388 ฟุต) ตั้งอยู่บริเวณจังหวัดชิซึโอะกะ และจังหวัดยะมะนะชิ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัดโตเกียว โดยในวันที่อากาศแจ่มใสสามารถมองเห็นจากโตเกียวได้ ในปัจจุบันภูเขาได้ถูกจัดโดยนักวิทยาศาสตร์อยู่ในลักษณะของภูเขาไฟที่มีโอกาสปะทุต่ำ โดยภูเขาไฟระเบิดครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2250 (ค.ศ. 1707) ใน ยุคเอโดะ
เชื่อว่ามีผู้ปีนเขาฟูจี ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1206 โดยนักบวชท่านหนึ่ง และในช่วงระหว่างนั้นจนถึงยุคเมจิ ภูเขาฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งห้ามผู้หญิงขึ้นเขา โดยในปัจจุบันภูเขาฟูจิเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ภูเขาฟูจิได้เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งจะเห็นได้จากในงานเขียนหรือภาพวาดต่างๆ โดยเฉพาะภาพวาดของ โฮะกุไซ ที่มีให้เห็นในวรรณกรรมญี่ปุ่นและกาพย์กลอนที่สำคัญมากมาย
ภูเขาฟูจิยังเป็นฐานทัพของซามูไรต่างๆมากมายจากยุคอดีต เป็นที่ฝึกฝน ซึ่งในปัจจุบัน ฐานทัพหนึ่งของกองทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่บริเวณตีนเขาฟูจิ
ขอบคุณข้อมูลจาก th.wikipedia.org
นอกจากนี้ ภูเขาไฟฟูจิถูกล้อมล้อมด้วยทะเลสาบทั้งห้า คือ Kawaguchiko, Yamanaka, Sai, Shoji and Motosuรวมทั้ง Hakone ด้วย
แต่ที่ผมไปมาคือ Lake Kawaguchiko และ Hakone ครับ
Lake kawaguchiko
หนึ่งในทะเลสาบทั้งห้าที่เข้าถึงง่ายที่สุดแห่งหนึ่ง มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย
ข้อมูลการท่องเที่ยว http://www.fujisan.ne.jp/course/index_e.php
ตารางรถสำหรับผู้เดินทางระหว่าง Kawaguchiko กับ Hakone http://www17.plala.or.jp/climb_fujiyama/Fujikyu%20Bus%20(Mishima%20-%20Kawaguchiko%20)%20Timetable%20&%20Fare%20Chart.html
รีวิวที่พักงามๆ
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/12/E8708264/E8708264.html
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2010/02/E8840814/E8840814.html
Pass ต่างๆบริเวณ Fuji
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/12/E8708264/E8708264.html
การเดินทางจากโตเกียว : มี Fuji Hakone Pass ราคา 7,200 เยน เหมาะสำหรับผู้เดินทางไปต่อ Hakone แล้วกลับไปโตเกียวครับ รถบัสออกจาก Shinjuku บริเวณ Bus terminal ใกล้ๆกับห้าง Odakyu รวมค่ารถบริเวณ Kawaguchi และ cable car ตลอดทางที่เที่ยว Hakone และสามารถเดินทางกลับโตเกียวที่ Odawara ได้ด้วย
เดินทางด้วยรถบัส : ราคารถบัสหากไม่ซื้อพาส รถจาก Shinjuku 2,000 เยน ใช้เวลาประมาณ 2.5 ชม.
รถบัสจาก Tokyo Station (Yaesu South Exit) 1,700 เยน ใช้เวลาพอๆกัน
เดินทางด้วยรถไฟ สำหรับผู้มี JR Pass ให้นั่ง JR Chuo Line จาก Shinjuku ไปลง Otsuki Station 70 นาที, 2,700 เยน ด้วย direct limited express train หรือ 100 นาที, 1,280 เยน โดย Local Train. จากนั้นไปต่อ Fujikyu Railway Line จาก Otsuki ไปลง Kawaguchiko Station 50 นาที 1,110 เยน
แนะนำให้ไปรถบัสครับ ไม่ช้ากว่ารถไฟแถมถูกกว่าด้วย
Chureito Pagoda
เป็นสถานที่ชมซากุระ พร้อมวิวภูเขาฟูจิที่สวยงามมาก ตั้งอยู่บนเขา ซากุระที่นี่จะบานช้ากว่าโตเกียวเล็กน้อย เหมือนรอให้เที่ยวโตเกียวเสร็จแล้วมาเยือนที่นี่ แต่ทางขึ้นสูงไม่ใช่ย่อย แต่พอเดินขึ้นไปชมวิวแล้ว หายเหนื่อยครับ
การเดินทาง : รถไฟจาก Kawaguchiko Station ไปลง Shimoyoshida เจดีย์จะอยู่บนเขา หลังสถานี
Tips : สำหรับผู้ที่ซื้อ Pass ไว้ สำหรับเดินทางได้ฟรีถึง Fujishida ครับ แล้วค่อยไปเสียเงินซื้อไป Shimoyoshida 210 เยน ประหยัดไป 2 สถานี
รีวิวงามๆ
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/07/E8043325/E8043325.html
มันสวยจริงๆครับ ประทับใจมากๆ
Ropeway
ที่เที่ยวภาคบังคับของที่ Kawaguchiko อีกที่คือ ไปขึ้นรถกระเช้า ไปชมฟูจิซัง พร้อมถ่ายภาพกับเจ้ากระต่ายน้อยและแรคคูน
เดินทาง : Retro Bus หรือเดินจาก Kawaguchiko Station ประมาณ 10-15 นาที แผนที่ขอได้ที่ Tourist Information ที่สถานีรถไฟ
ค่าใช้จ่าย : 700 เยน หากมี Pass ลดเหลือ 560 เยน
น่าเสียดายที่วันที่ผมไปในโปรแกรมวันแรก ฝนดันตกและหนาวมากๆ เลยทำให้เวลาหายไปเลย 1 วันเต็ม มาเที่ยวเอาวันที่ตั้งโปรแกรมไว้ที่ Hakone แทน ทำให้ที่เที่ยวที่วางแผนไว้คือ Kawaguchiko Music Forest ต้องตัดไป ไม่เป็นไร ไว้ไปซ่อมใหม่อีกครั้งปีหน้า
ตารางรถ Retro Bus http://www.fujisan.ne.jp/access/retrobus_K_e.php
Hakone
ไม่มีภาพสวยๆนะครับ เพราะตอนที่ไปช่างโชคร้ายนัก หมอกลงจัดมากๆ จนเรือที่ Lake Ashi หยุดเดินเรือ พร้อมหมอกตลอดทาง Cable car ไม่เห็นอะไรเลย ไข่ดำก็ไม่เห็น ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ช่างเศร้าใจมาก ที่นี่ต้องไปซ่อมใหม่หมดครับ ซวยขั้นเทพจริงๆ
ขอ Black List โรงแรม Kappa Tengoku http://www.japanhotel.net/kappa/index.htm
ข้อเสีย
1. บันไดสูงมาก เหนื่อยโคตรๆ เที่ยวทั้งวันยังไม่เหนื่อยเท่าแบกกระเป๋าขึ้นไปพักที่นี่
2. สกปรกมาก พบแมลงสาปตายอยู่ทั่วไป ผมเจอ 2 ตัวบริเวณบันไดในที่พัก
3. ยุงที่นี่เยอะมากครับ กัดคุณนายเล็กจนหน้าลาย กัดคุณนายใหญ่และช่างภาพซะเข็ดเลยทีเดียว
4. ที่สำคัญครับ ไม่พอใจสุดๆ ที่นี่เก็บค่าแช่บ่อ onsen คนละ 150 เยนครับ อันนี้ไม่ว่ากัน แต่พอเอาเข้าจริงตอนที่ไปพัก เจ้าหน้าที่บอกว่าจะแช่ได้ตอน 1 ทุ่ม ผมก็รอ เดินขึ้นไปกะจะแช่น้ำให้สบายหน่อย พบสระว่างเปล่า น้ำร้อนอาบน้ำก็ไม่มีให้ กลับลงมาถาม เค้าบอกให้รอ 3 ทุ่ม อ่ะ รอก็รอ 3 ทุ่มเดินไปอีกรอบ พบสภาพเช่นเคย เลยเดินไปถามเจ้าหน้าที่อีกครั้ง คราวนี้มาบอกว่าระบบน้ำเสีย ไม่มีน้ำร้อนใช้ เล่นเอาพี่คนไทยที่ไปพักพร้อมกันท่านหนึ่งต้องเดินลงเขาไปอาบน้ำที่โรงแรมอื่น ผมเลยโวยวายหนักเลย มันไม่ใช่ความผิดของเราเลย แถมคุณก็เก็บเงินค่าอาบน้ำเราไปแล้ว ตอนแรกเจ้าหน้าที่พยายามบอกว่ามันจะพร้อมตอน 7 โมงเช้า พร้อมสีหน้าไม่รับผิดชอบใดๆทั้งนั้น แต่ผมไม่ยอมท่าเดียวครับ เกือบมีเรื่องแล้ว สุดท้ายพอเห็นผมไม่ยอมจริงๆ เลยยกมือไหว้ ขอโทษพร้อมเงินค่าอาบน้ำมาให้ ผมไม่อยากจะมีเรื่องอะไรมากนัก เพราะคุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่องมากนัก เพราะ English ของเจ้าหน้าที่ไม่แข็งแรง เลยยอมๆให้เรื่องมันจบไป แถมด่าให้ปรับปรุงไปอีกพอหอมปากหอมคอ แล้วเดินเข้าห้องมานอนแบบไม่ได้อาบน้ำกันทั้งครอบครัว T-T
“ส่วนข้อดี ยังหาไม่เจอ”
ข้อมูลการท่องเที่ยวและค่าใช้จ่ายดูได้จาก http://www.japan-guide.com/e/e5200.html
Tips : ส่วนใหญ่ซื้อ Pass จากโตเกียวราคา 5,000 เยน หรือสำหรับผู้มี JR Pass ให้นั่งรถ Shinkansen มาลง Odawara แล้วซื้อพาสราคาประหยัดลง ราคา 3,900 เยน
ภาพ Hakone ไม่มีครับ หมอกลงจัดมาก เลยมีแต่ภาพสองคุณนายเล่นกันบน Cable car แทน ^^
โตเกียว (ญี่ปุ่น: 東京都 Tōkyō-to ?) (ข้อมูล) หรือ กรุงโตเกียว เป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น มีระบบการปกครองแบบพิเศษซึ่งรวมการปกครองในรูปแบบจังหวัดและเมืองไว้ด้วยกัน และเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก (โดยรวมเขตปริมณฑทลแล้วมีประชากรอาศัยอยู่มากกว่า 35 ล้านคน 35,237,000 คน [2]) โดยเฉพาะในตัวโตเกียวใน 23 เขตปกครองพิเศษในโตเกียว แล้วมีประชากรประมาณ 8 ล้านคน [3] ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง ในปี 2548 โตเกียวได้รับการจัดอันดับเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก โดยในปี 2550 โตเกียวได้เป็นอันดับที่ 4 รองจาก มอสโก ลอนดอน และ โซล ตามลำดับ[4]โตเกียวตั้งอยู่บริเวณภาคคันโตของญี่ปุ่น คำว่า “โตเกียว” หมายถึง “นครหลวงตะวันออก” ในพื้นที่โตเกียวยังเป็นที่ตั้งของพระราชวังอิมพีเรียล
โตเกียวแต่เดิมเป็นหมู่บ้านประมงเล็ก ๆ ที่ชื่อเอะโดะ ในปีค.ศ. 1457 โอตะ โดกัง สร้างปราสาทเอโดะขึ้น ในปีค.ศ. 1590 โทกุงะวะ อิเอะยะสึตั้งเอะโดะเป็นฐานกำลังของเขาและเมื่อเขากลายเป็นโชกุนในปีค.ศ. 1603 เมืองเอะโดะก็กลายเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหารของเขาซึ่งมีอำนาจปกครองทั้งประเทศ ในช่วงเวลาต่อมาในยุคเอะโดะ เมืองเอะโดะก็ขยายตัวขึ้นจนกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งในโลก โดยมีประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคนในคริสต์ศตวรรษที่ 18[7] และเป็นที่ยอมรับว่าเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่น[8] แม้ว่าองค์จักรพรรดิทรงประทับอยู่ในเกียวโต
หลังจากนั้นประมาณ 263 ปี ระบอบปกครองภายใต้โชกุนถูกล้มล้างโดยการปฏิรูปเมจิ อำนาจการปกครองจึงกลับคืนมาสู่จักรพรรดิอีกครั้ง ในปี 1869 จักรพรรดิเมจิทรงย้ายเมืองหลวงมาที่เอะโดะและเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโตเกียว โตเกียวจึงกลายเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศ[9] และการที่จักรพรรดิทรงย้ายมาประทับจึงทำให้โตเกียวกลายเป็นเมืองหลวงอย่างเต็มตัว ปราสาทเอะโดะถูกเปลี่ยนเป็นพระราชวัง
ขอบคุณข้อมูลจากวิกีพีเดียครับ
Asakusa / Sensoji Temple
วัดเซ็นโซจิ หรืออาซากุสะคันนง (Asakusa Kannon) ที่เรียกกันว่าวัดอาซากุสะ เพราะที่ตั้งอยู่ในย่านอาซากุสะ ซึ่งวัดนี้เป็นวัดเก่าและน่าจะเป็นวัดพุทธที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคคันโตและมีนักท่องเที่ยวนิยมมา เยือนกันแน่นขนัดทุกปี และซื้อของที่ระลึกซึ่งมีร้านรวงตั้งเป็นแถวยาวให้เลือกจับจ่าย จึงทำให้วัดแห่งนี้รุ่งเรืองและคึกคักด้วยผู้คน วัดนี้มีตำนานของวัดแห่งนี้เล่าต่อๆกันมาว่าได้มีชายหาปลาสองคนพี่น้องมาทอดแหในแม่น้ำสุมิดะ แต่กลับได้รูปปั้นพระโพธิสัตว์ หรือ เทวรูปคันนง (Kannon)แทน ด้วยความศรัทธาของ 2 พี่น้องและชาวบ้านของหมู่บ้านละแวกนั้น จึงได้อัญเชิญเทวรูปคันนง
ประดิษฐาน ณ วัดแห่งนี้ โดยหัวหน้าหมู่บ้านจึงสร้างวัดขึ้นใน ค.ศ. 628 เพื่อประดิษฐานรูปปั้นนั้น และตำนานยังมีต่ออีกว่าในช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับที่พบรูปปั้นได้ปรากฎมังกร ทองตัวหนึ่งเลื้อยลงมาจากสวรรค์ บรรดาโชกุนและซามูไรต่างก็นิยมมาสักการะที่วัดนี้ ทางทิศตะวันออกของวัดคือ แม่น้ำซูมิดะงาวะ(Sumida-gawa) ไหลลงอ่าวโตเกียวและใกล้ๆกันจะมีสวนสาธารณะซูมิดะโคเอ็น(Sumida Koen) ซึ่งเปิดโล่งสู่แม่น้ำด้วยบรรยากาศสวยงามน่าเดินเล่น โดยเฉพาะช่วงดอกซากุระบานสะพรั่ง ริมแม่น้ำแห่งนี้ยิ่งสวยงามเหนือคำบรรยาย
จุดเด่นของวัดแห่งนี้คือ โคมแดงขนาดยักษ์ ที่ตั้งอยู่ที่บริเวณ ประตูคามินาริมง (ประตูสายฟ้าฟาด)
มีหลายคนถึงกับกล่าวไว้ว่า หากมาโตเกียวแต่ไม่ได้มาถ่ายภาพกับโคมแดงอันนี้ เหมือนมาไม่ถึงโตเกียวเลยทีเดียว
และเมื่อผ่านประตูนี้เข้าไป จะพบกับถนนคนเดินที่มีร้านขายของที่ระลึกพื้นเมือง และของกินมากมายเรียงรายอยู่ที่เรียกกันว่า นาคามิเสะโดริ
การเดินทาง
– นั่ง Subway Ginza Line ลงที่สถานี Asakusa (G19) ออกทางออกหมายเลข 1
– นั่ง Subway Asakusa Line ลงที่สถานี Asakusa (A18) ออกประตู 4 หรือ 5 เดินประมาณ 3-5 นาทีก็จะถึงประตู Kaminarimon
Sumida Park
เดินออกจากวัด Sensoji มาด้านข้างแล้วเดินตรงไปประมาณ 500 เมตร ริมแม่น้ำ ซูมิดะ มีจุด ฮานามิ ชมซากุระสวยๆครับ
อย่าลืมมองไปด้านตรงข้ามแม่น้ำจะพบกับอาคารแปลกตา ซึ่งคือที่ตั้งของโรงงานผลิตเบียร์อาซาฮีด้วยครับ
Ueno Park
สวนอุเอะโนะ (「上野公園」, Ueno Kōen, 上野公園?) เป็นสวนสาธารณะที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ ตั้งอยู่ในอุเอะโนะ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นที่ตั้งของวัดคันเอจิ โชกุนตระกูลโตะกุงะวะเป็นผู้สร้างวัดนี้เพื่อคุ้มครองปราสาทเอโดะจากการโจมตีของฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ วัดนี้ถูกทำลายในช่วงสงครามโบะชิน
สวนอุเอะโนได้รับการอนุญาตให้สร้างบนที่ดินจักรพรรดิ โดยจักรพรรดิไทโช ในปี ค.ศ. 1924 มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า อุเอะโนะ อนชิ โคเอ็ง (上野恩賜公園) แปลว่า “สวนอุเอะโนะ ของขวัญจักรพรรดิ”
รูปปั้นไซโง ตะกะโมะริรูปปั้นที่มีชื่อเสียงเป็นรูป ไซโง ตะกะโมะริ กำลังพาสุนัขของเขาเดินเล่นในสวนนี้
นักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวญี่ปุ่น มักจะมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โตเกียว พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ และ พิพิธภัณฑ์ศิลปะตะวันตกแห่งชาติ) หอคอนเสิร์ต สระชิโนะบะสุ และสวนสัตว์อุเอะโนะ
ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaigoodview.com
การเดินทาง :
– JR Yamanote ลง JR Ueno ออกจาก Park Exit
– Ginza Line ลง Ueno G15
– Oedo Line ลง Ueno E09
ส่วนตัวผมชื่นชอบสวนนี้มากครับ เพราะซากุระแม้จะไม่ใช่ช่วงที่บูมสุดๆ (เริ่มร่วงแล้วก็ เหอะ) แต่สวยงามมากๆครับ
ผมและสองคุณนายเลย ร่วมฮานามิกับชาวญี่ปุ่นกันมันเลย
ซากุระงามจริงๆ ตกหลุมรักเข้าให้อย่างจัง
วันนี้เลยได้เห็นรอยยิ้มหวานๆของคุณนายเล็กเช่นเคย
Happiness Moment
Ameyoko Street
ใกล้ๆกับสวนอุเอโนะนั้น มีถนนสายหนึ่งไว้เดินเล่นและช็อปปิ้งครับ ตลาดนี้มีของขายมากมาย ตั้งแต่ของกิน ของสด ปลา ปู นานาชนิด ร้านเกม ร้านเครื่องสำอางลดราคาครับ
Imperial Palace
พระราชวังอิมพีเรียล (The Imperial Palace) คือพระราชวังของสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเขตจิโยดะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
พระราชวังอิมพีเรียล เป็นที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียวท่ามกลางคูน้ำล้อมรอบมาตั้งแต่สมัยเอโดะ บนพื้นที่มากกว่า 270 เอเคอร์ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นสวนป่าไม้ธรรมชาติ และเนื่องจากพระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิ จึงไม่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม
แต่จะมีเพียงกรณีพิเศษ 2 ปีที่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าได้คือ วันที่ 23 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และวันที่ 2 มกราคม ของทุกปี ที่สมเด็จพระจักรพรรดิจะออกสมาคม เพื่ออวยพรให้ประชาชนเนื่องในโอกาสวันปีใหม่ แต่จะอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเข้าได้เพียงแค่บริเวณพระราชฐานชั้นนอกเท่านั้นภายในอุทยานชั้นในอันเป็นเขตพระราชฐาน เป็นอาคารคอนกรีตทรงเตี้ย หลังคาสีเขียว สามารถเข้าไปยังเขตพระราชฐานได้ 3 ประตู จากทั้งหมด 8 ประตู คือ โอเตมง(Ote-mon), ฮิรากาวะมง(Hirakawa-mon) และคิตะฮาเนบาชิมง (Kitahanebashi-mon)
พระราชวังนี้แต่เดิมเป็นที่ตั้งของปราสาทเอโดะ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของโชกุน ตระกูลโตะกุกะวะ แต่หลังจากการปฏิวัติในยุคเมจิ ล้มล้างระบอบโชกุน สมเด็จพระจักรพรรดิซึ่งไม่ทรงมีอำนาจปกครอง จึงทรงถูกอัญเชิญมาให้เป็นประมุขแห่งรัฐ ย้ายจากนครเกียวโตะ เมืองหลวงเก่า มาพำนักที่กรุงโตเกียวแทน พระราชวังถูกระเบิดทำลายลงไปมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ได้สร้างมาใหม่เหมือนเดิมเมื่อปี พ.ศ. 2507
สะพานนิจูบาชิ หรือ สะพานแว่นตา (Nijubashi Bridge) เป็นสะพานที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักเป็นอย่างมากแล้ว ยังเป็นสะพานที่สามารถข้ามผ่านไปยังเขตพระราชฐานชั้นในได้อีกด้วย เป็นสะพานที่มีโครงสร้างเป็นรูปครึ่งวงกลม 2 อัน ถ้าสังเกตจะเห็นเงาสะท้อนจากพื้นน้ำมองเห็นเหมือนแว่นตา ประกอบกับตัวพระราชวังที่อยู่ด้านหลังสะพาน ทำให้ภาพที่เห็นสวยงามมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก www.mr-know.com
แต่พยายามมองแล้วไม่เห็นเงาสะท้อนขึ้นมาเป็นแว่นตาครับ อาจจะไม่ถูกมุมหรือถูกเวลา แสงเลยไม่สะท้อนมั๊งครับ
สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าไปข้างในต้องลงทะเบียนจองก่อนที่
http://sankan.kunaicho.go.jp/sankan/servlet/recept/initPlace
การเดินทาง :
– JR Yamanote ลงสถานี Tokyo เดิน 10-15 นาที
– Chiyada Line ลง Nijubashimae C10 ใกล้สุดครับ
– Mita Line ลง Hibiya I08 ออกประตู B6 เดิน 5 นาที
– Yurakucho Line ลง Yurakucho Y18 เดิน 7 นาที
Odaiba / Rainbow Bridge
“โอไดบะ”ซึ่งกำเนิดจากโครงการพัฒนาที่ถมทะเลในอ่าวโตเกียวเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ล่าสุดของโตเกียว เดิมทีตั้งใจจะสร้างเป็นศูนย์แสดงสินค้าในปี พ.ศ. 2539 แต่ได้ยกเลิกไปเสียก่อน ในปัจจุบันไม่เป็นเพียงเกาะธรรมดาเพราะว่ามีสวนสาธารณะ,แหล่งบันเทิงทันสมัยล่าสุด,ร้านค้าซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสูดดมบรรยากาศของชายทะเลได้ในศูนย์กลางเมืองเท่านั้น แต่มันยังมีทิวทัศน์ยามค่ำคืนของสะพานแขวนเรนโบว์บริดจ์ที่งดงามอีกด้วย
การเดินทาง : นั่งรถไฟไม่มีคนขับสาย Yurikamome Line จากสถานี Shimbashi ลงสถานี Odaiba-kaihinkoen สามารถเที่ยว Decks Tokyo Beach, Aqua City และถ่ายภาพสะพานสายรุ้งได้ทันที
Tips : Pass รถไฟต่างๆไม่สามารถใช้ได้ที่ Odaiba ครับ แต่มี Pass ของ Odaiba สำหรับ 1 วัน 800 เยน
แผนที่เที่ยวโอไดบะ
Disneyland
โตเกียวดิสนีย์แลนด์ เป็นสวนสนุกของดิสนีย์แห่งแรกที่ตั้งอยู่นอกประเทศ USA เปิดเมื่อวันที่ 15 เม.ย.1983
การเดินทาง : ลงสถานี JR Maihama เดิน 5 นาทีถึง Disneyland
Tips : ห้ามไปวันเสาร์อาทิตย์เด็ดขาด ผมไปวันเสาร์มาจะเล่นอะไรแต่ละอย่างโดนไป 2 ชม. สรุปเลยได้เล่นแค่สองอย่าง
Website : http://www.tokyodisneyresort.co.jp/index_e.html
ค่าใช้จ่าย : 1 day passport Adult 5,800 เยน Junior (12-17) 5,000 เยน เด็ก (4-11) 3,900 เยน ผู้อาวุโส 5,100 เยน
Meiji Shrine
ศาลเจ้าเมจิจินกูสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเมจิและจักรพรรดินีโซเคน ซึ่งตรงกับปีคริสตศักราช 1920 มีพื้นที่กว้างราว 712,000 ตารางเมตร เพื่อรำลึกถึงดวงวิญญาณพระจักรพรรดิเมจิและจักรพรรดินีโชเคน นอกจากศาลเจ้าแห่งนี้จะเป็นศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่จักรพรรดิและชาวญี่ปุ่นนิยมมากราบไหว้แล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ไม้ทั่วทั้งญี่ปุ่นเอาไว้อีกด้วย
การเดินทาง :
– JR Yamanote ลงสถานี Harajuku
– Futukoshin Line ลงสถานี Meiji-jingumae F15
– Chiyoda Line ลงสถานี Meiji-jingumae C03
ตอนที่ผมไปมีชาวญี่ปุ่นแต่งงานกันที่นี่ด้วยครับ
Harajuku / Takeshita Dori
ถ้าพูดถึงแฟชั่นและสถานที่วัยรุ่นของโตเกียวแล้ว คงต้องนึกถึง Harajuku เลยครับ เพราะมีร้านขายเสื้อผ้า ของใช้กิฟท์เก๋ ร้าน 100 Yen ร้านอาหาร เต็มถนนสายเล็กๆนี้แหละ เดินถนนนี้เล่นๆทำเอาเงินหายออกจากกระเป๋าไปเยอะเลยครับ
โดยเฉพาะคุณนายใหญ่ She Happy มาก
ถึงผมจะไม่ชอบเดินช็อปปิ้งอะไรนัก แต่ก็สนุกไปด้วย เดินกดภาพวัยรุ่นสาวๆญี่ปุ่นไปเรื่อย ต่างคนต่างแต่งตัวอวดโฉมแบบว่า “หลุดโลก” มากๆ ไว้จะนำปลากรอบมาฝากในรีวิวตอนเต็มนะครับ
Tips : ไปวันอาทิตย์จะมีวัยรุ่นแต่งตัว Cosplay ให้ชมกันด้วย
การเดินทาง : อยู่ใกล้ๆกับศาลเจ้าเมจิ
Shibuya
ภาพคนเดินข้ามถนนบนแยกที่เต็มไปด้วยห้าง ร้านค้า กลายเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ไปเสียแล้ว นอกจากนี้ยังมีอนุสาวรีย์สุนัชยอดกตัญญู “ฮาชิโกะ” โดยเรื่องมีอยู่ว่าเจ้าหมาตัวนี้จะเดินมาส่งและเดินมารอกลับบ้านพร้อมเจ้านายของมันซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยทุกวัน แต่เจ้านายดันประสบอุบัติเหตุเลยไม่ได้กลับมา แต่เจ้าฮาชิโกะก็รอแล้วรอเล่าจนแก่ตายไป ผู้คนเลยสร้างอนุสาวรีย์ยกย่องความกตัญญูของมันไว้หน้าสถานีรถไฟ
การเดินทาง
– JR Yamanote ลงสถานี Shibuya ออก North Exit
– Hanzomon หรือ Fukutoshin หรือ Ginza Line ลง Shibuya Z01, G01, F16
Shinjuku
ชินจูกุเป็นชุมทางจุดต่อและจุดเปลี่ยนเส้นทางคมนาคมทั้งรถบัส รถไฟทั้งบนดินใต้ดินหลายสายมากมาย มีผู้คำนวณไว้ว่ามีผู้คนที่มาเปลี่ยนสายรถฟ้ามากถึง 3 ล้านคน รถไฟ JR Yamanote ความยาว 10 โบกี้จะมาเทียบชานชาลาทุกๆ 2 นาที แต่ก็ไม่วายที่ผู้โดยสารจะถูกอัดแน่นเป็นปลากระป๋อง (โดนกับตัวมาแล้วครับ เกือบตายคารถไฟทั้งครอบครัว)
นอกจากชุมทางรถไฟแล้ว ยังมีจุดชมซากุระอย่าง Shinjuku Gyoen แล้ว ยังมีจุดชมวิวบนตึกสูงฟรีๆอย่าง Tokyo Metropolitian Government ด้วย มีอีกที่ที่ไม่ได้ไปเยือนคือย่านคาบูกิโจ ซึ่งเป็นแหล่ง 18+ ครับ
การเดินทาง :
– JR Yamanote, Chou, Sobu, Toei Shinjuku, Oedo, Marunochi Line ลง Shinjuku
Ikebukuro
เป็นย่านที่ผมเลือกเป็นที่พักครับ ขอชมที่พัก House Ikebukuro มากๆ สะอาด สะดวกสบาย ราคาประหยัดมาก ห้องน้ำดีเยี่ยม ถ้ามาอีกครั้งยังประทับใจที่นี่อยู่เลยครับ
ที่เที่ยวแถวนี้ก็เป็นย่านช็อปปิ้งและห้างใหญ่ๆมากมายอย่าง Sunshine City นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยร้านอาหารเยอะแยะเต็มไปหมดด้วย
การเดินทาง
– JR Yamanote ลงสถานี Ikekuburo
– Marunochi หรือ Yurakucho หรือ Fukutoshin Line ลง Ikebukuro M25, Y09, F09
แม่น้ำ Meguro
ริมแม่น้ำแห่งนี้ มีต้นซากุระให้ชมอย่างอิ่มตาเลยครับ ตอนผมไปประมาณ 2 ทุ่ม มีวัยรุ่นหนุ่มสาวมานั่งชมฮานามิร่วมกับคนรักเต็มไปหมด บรรยากาศโรแมนติกมากมาย
เดินทาง : Hibiya Line ลงสถานี Naka-meguro H01
จบที่เที่ยวที่ได้ไปมาโตเกียวและฟูจิแล้ว ก่อนจะไปถึงโซนคันไซ เกียวโต โอซาก้า นาระ มาเบรกกันด้วยของกินกันก่อนดีมั้ยครับ
ออกตัวก่อนครอบครัวผมเป็นคนชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้วครับ อยู่ไทยก็ทานเป็นประจำเดือนละ 3-4 ครั้งอยู่แล้ว พอไปเที่ยวญี่ปุ่นเลย กินกันอย่าง Enjoy มากๆ จนวันท้ายๆก็ยังไม่เบื่อครับ กินได้แต่แอบคิดถึงรสชาติจัดๆแบบไทยๆบ้าง
อย่างแรกอยากพูดถึงคือ ข้าวญี่ปุ่น ผมพบว่าข้าวที่ญี่ปุ่นไม่เหมือนกับข้าวไทยครับ เม็ดจะสั้นกว่า แต่นุ่มมากๆ ไม่ว่าจะกินกับหมูทอด ไก่ทอด เนื้อย่าง ราดแกงกะหรี่ คิดแล้วก็หิว กินแบบลืมอ้วนเลย โดยเฉพาะร้านบางร้านเมื่อสั่งเป็นเซทแล้วเติมข้าวฟรีได้ นี่จะชอบมากๆ กินข้าวเปล่าๆยังอร่อยเลยครับ
ภาพข้าวบาเลย์จากร้าน Katsukura ร้านข้าวหมูทอด กุ้งทอดในตำนานครับ รอชมรีวิวร้านต่างๆได้ในฉบับเต็มนะครับ
ข้าวหมูทอด มีขายกันเยอะมาก ที่ไหนก็มีในญี่ปุ่น น่าแปลกที่ที่ญี่ปุ่นข้าวหมูทอดจะแพงกว่าข้าวที่ประกอบด้วยไก่เสมอเลย(จากที่สังเกตนะครับ)
ข้าวแกงกะหรี่ ที่ญี่ปุ่นที่ไม่เหมือนเมืองไทยก็คือเค้าจะให้ระบุความเผ็ดด้วย
เบอร์เกอร์ ญี่ปุ่นนิยมทำเบอร์เกอร์มาเสริฟ์ในรูปแบบญี่ปุ่นครับ
ทาโกะยากิ มีทั้งแบบธรรมดา,และใส่น้ำ ร้านที่อร่อยคนจะเยอะครับ เนื้อปลาหมึกนี่ใหญ่มากๆ ปลื้ม
แบบน้ำของร้านปีศาจแดงที่ Dontondori น้ำซุปร้อนมากๆ
ยากิโซบะ อันนี้ก็คล้ายๆที่เมืองไทยครับ
ซูชิ ผมว่าราคาไม่แพงนะครับ อิ่มและอร่อย
เบนโตะ จัดชุดได้น่ากินมากๆ หาซื้อได้ง่ายๆตาม 7-11 หรือร้านค้าตามสถานีรถไฟ
ราเมน ผมว่าที่ญี่ปุ่นอร่อยกว่าไทยมากมาย น้ำแกงเค้าหวานมากๆ เรียกว่าหวานน้ำต้มกระดูกจริงๆ เส้นเหนียวนุ่มตามสไตส์ญี่ปุ่น แถมเนื้อหมูนุ่มมากๆ กัดฟันลงไปไม่มีเหนียวเลย ไม่ว่าจะเป็นโซบะหรืออุด้งก็ตาม
Okonomiyaki พิซซ่าญี่ปุ่น อันนี้ผมเฉยๆ แต่คุณนายใหญ่ชอบมาก
เกี้ยวซ่า อันนี้ผมว่าไม่ต่างจากไทยเท่าไหร่
ปลาหมึกย่าง อันนี้ไม่มีคำบรรยาย แต่ให้เสียงกลืนน้ำลายลงคอแทน
มาชิมขนมกันบ้างดีกว่า
อย่างแรกต้องไอศกรีมชาเขียวที่มีขายกันอยู่ทั่วไป ราคาอยู่ประมาณ 250 – 350 เยน รสชาติอร่อยมากครับ แต่ห้ามแปลงเป็นเงินบาทเด็ดขาดนะครับ เดี๋ยวจะกินไม่ลงเพราะแพงจริงๆ
ส่วนไอศกรีมที่ห้ามพลาดเลยจริงๆ ต้องโคนนี้จาก Haagen-Dazs โคนนี้อร่อยประทับใจสุด แต่ราคาก็แพงทีเดียว 680 เยน
Waffle ก็อร่อยไม่เบา
Waffle ของร้าน Manneken ที่คนต่อคิวซื้อกันแทบทุกร้าน
ส่วนขนมที่เป็นที่นิยมของญี่ปุ่นก็จะเป็นพวกแป้งห่อไส้ถั่วแดง มีหลายแบบมากๆเลยครับ
ชูครีม (Choux Cream) ผมเรียกว่าเอแคร์ยักษ์ ไส้เบิ้ม อันนี้ 300 เยน
สตรอเบอร์รี่ที่ญี่ปุ่นนี่เทพจริงๆครับ หวานฉ่ำ อร่อยสุดๆไปเลย
Kitkat ชาเขียว Kyoto Limited คุณนายใหญ่ขนมาซะ
และขนม Tokyo Banana อันโด่งดัง
อิ่มกันหรือยังครับ หรือว่าหิวกว่าเดิม ฮ่าฮ่าฮ่า
ไปเที่ยวเกียวโตกันต่อดีกว่าครับ
จังหวัดเคียวโตะ (ญี่ปุ่น: 京都府 Kyōto-fu ?) เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่บนเกาะฮอนชู มีเมืองหลวงในชื่อเดียวกันคือเมืองเคียวโตะ ลักษณะภูมิประเทศของจังหวัดเคียวโตะเป็นที่ราบสลับหุบเขา ทิศเหนือติดกับทะเลญี่ปุ่น ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดเฮียวโงะ ทิศใต้ติดกับจังหวัดโอซะกะ จังหวัดนะระ ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดชิงะ จังหวัดฟูกูอิ ในเมืองเคียวโตะมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 1,500,000 คน เมืองเคียวโตะ มีความสำคัญคือ เคยเป็นเมืองหลวงเก่า มีโบราณวัตถุมากมาย มีชื่อในการทำผ้าไหมและแพร
ขอบคุณข้อมูลจาก th.wikipedia.org
ภาพ Kyoto Tower สามารถมองเห็นได้จากสถานีรถไฟ Kyoto ได้ทันที
Ginkakuji Temple
วัดกิงกะกุ (ญี่ปุ่น: 銀閣寺 Ginkakuji กิงกะกุจิ วัดศาลาเงิน ?) เป็นวัดพุทธในเขตซาเคียว จังหวัดเกียวโต มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า วัดจิโช (ญี่ปุ่น: 慈照寺 Jishōji จิโชจิ ?) สร้างขึ้นโดยโชกุนอาชิคางะ โยชิมาสะ เมื่อ พ.ศ. 2017 เพื่อเป็นอนุสรณ์แสดงอำนาจและความยิ่งใหญ่ของตระกูล โดยเลียนแบบจากวัดคิงกะกุที่สร้างโดยโชกุนอาชิคางะ โยชิมิทสึ ผู้เป็นปู่
ศาลาคันนนเป็นอาคารหลักของวัด มักเรียกกันว่า ศาลาเงิน (Ginkaku) เนื่องมาจากเมื่อครั้งแรกสร้าง โยชิมาสะมีความตั้งใจว่าจะใช้แผ่นเงินแท้ปิดหุ้มผนังด้านนอกศาลา แต่ระหว่างนั้นได้เกิดสงครามโอนินขึ้น การก่อสร้างจึงหยุดชะงักลงโดยไม่มีการปิดหุ้มแผ่นเงิน ปัจจุบันวัดนี้ได้เปลี่ยนจากสัญลักษณ์ของอำนาจของโชกุน กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์และความอดกลั้น
เมื่อแรกเริ่มนั้น วัดกิงกะกุสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนและปลีกวิเวกของโชกุน ในระหว่างที่โยชิมาสะดำรงตำแหน่งโชกุน เขาได้สร้างสรรค์วัฒนธรรมใหม่ขึ้นมา ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันว่าในชื่อ Higashiyama Bunka หรือวัฒธรรมแห่งขุนเขาตะวันออก กล่าวกันว่า เมื่อสงครามโอนินทวีความรุนแรงมากขึ้น โยชิมาสะได้มาหลบซ่อนตัวอยู่ที่ศาลาเงินแห่งนี้ เขาได้พักผ่อนและชื่นชมกับความสงบและความสวยงามของสวนในบริเวณศาลา ในขณะที่เมืองเกียวโตกำลังถูกเพลิงเผาผลาญ ต่อมาใน พ.ศ. 2028 โยชิมาสะได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนานิกายเซน และหลังจากเขาเสียชีวิตลง ศาลาเงินและบริเวณโดยรอบได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นวัดพุทธ โดยใช้ชื่อว่า วัดจิโช ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงศาลาเงินที่ยังคงตั้งอยู่
บริเวณรอบๆศาลาเงิน มีพื้นดินที่มีมอสหลากหลายชนิดขึ้นปกคลุม และมีสวนแบบญี่ปุ่น ซึ่งออกแบบโดยโซอามิ ศิลปินนักจัดสวนชื่อดัง โดยเฉพาะสวนหินและทรายที่มีชื่อเสียงมาก โดยมีกองทรายที่กล่าวกันว่าเป็นสัญลักษณ์แทนภูเขาไฟฟูจิตั้งอยู่ในสวน
ขอบคุณข้อมูลจาก th.wikipedia.org
การเดินทาง : รถบัสสาย 5,17,100 จากสถานี Kyoto ลงป้าย Ginkakuji-michi เดิน 5 นาที
ค่าเข้าชม : 500 เยน
ทางเดินแห่งปรัชญาหรือเส้นทางสายนักปราชญ์ Path of Philosophy
เส้นทางอันโด่งดังความยาว 2 กม. ระหว่างวัดเงินกับวัดนันเซนจิ เป็นจุดชมซากุระที่สวยงาม แต่ตอนผมไปมันก็ร่วงไปซะเยอะแล้วครับ ความเป็นมาของมันก็มีนักปราชญ์ท่านหนึ่งนามว่า Nishida Kitaro ซึ่งเป็นปราชญ์ที่ดังที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่น แกได้เดินจงกลมทุกวันผ่านทางเส้นนี้นั่นเอง
Nanzenji Temple
วัดนันเซนจิ (Nanzenji) ซึ่งเป็นวัดเซนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเกียวโตด้วย เดิมทีเป็นวังของจักรพรรดิคะเมะยามะ หลังจากท่านสละราชสมบัติในปี พ.ศ.1817 ทรงเลื่อมใสในการนั่งกรรมฐาน เลยยกวังให้มาสร้างเป็นวัด ภายในอารามประกอบด้วยโบสถ์กลาง และโบสถ์เล็ก 12 แห่ง โดยเปิดให้เข้าชมเพียง 4 แห่ง ภายในวัดคุณก็จะสัมผัสได้ถึงปรัชญาแห่งเซน เนื่องจากความกลมกลืนของหมู่สนกับสถาปัตยกรรมวัด ศิลปะการจัดสวนอย่างลงตัว สิ่งเหล่านี้โน้มใจผู้มองให้คล้อยตาม
ภายในวัดมีประตูใหญ่ชื่อว่าซันมง สร้างจากต้นไม้ใหญ่ทั้งต้น
การเดินทาง : เดินตามเส้นทางนักปราชญ์ หรือ นั่งรถบัสสาย 5 มาจากหน้าวัดเงิน
ค่าเข้าชม 500 เยน
เดินเล่นภายในวัดนันเซนจิพอสมควร สามารถเดินต่อไปยังทางรถไฟสายเก่า Keage Incline ได้ครับมีป้ายบอก
Keage Incline (蹴上インクライン) หลายคนคิดว่าเป็นทางรถไฟสายเก่า แต่อ่านจากประวัติแล้ว น่าจะเรียกว่า ทางรถรางสายเก่า เพราะถูกลากด้วยลวดสลิง และไม่ได้ใช้ขนส่งคน แต่ใช้บรรทุกเรือ ระยะห่างระหว่างรางจึงกว้างมาก ปัจจุบันที่นี่เป็นจุดที่ผู้คนนิยมมาเดินชมซากุระอีกแห่งหนึ่งในเกียวโต ที่นี่ บางแห่งเรียกว่า Biwako Incline (琵琶湖インクライン) หรือบางทีก็เรียกว่า Kyoto Incline (京都 インクライン)
การเดินทาง: สมารถเดินต่อจากวัดนันเซนจิได้เลย หรือหากเดินจาก
Heian Jingu Shrine (平安神宮)
ให้เริ่มต้นที่ ซุ้มประตูโทริอิขนาดใหญ่ของ Heian Jingu Shrine (平安神宮) ที่ตั้งอยู่ริมคลอง Biwako Canal (琵琶湖疏水) เดินเลียบคลอง ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 450 เมตร จนถึง BIWAKO Canal Memorial Hall
ขอบคุณข้อมูลจาก travelbymyself.com
แต่ตอนผมไป ซากุระก็ไม่เหลือแล้วครับ T-T
Heian-jingu Shrine
ศาลเจ้าเฮอันจิงงุ (Heian-jingu) สร้างขึ้นในปี 1895 เพื่อเป็นอนุสรณ์ครบรอบปีที่ 1100 ของเกียวโต โดยอุทิศถวายแด่สมเด็จพระจักรพรรดิองค์แรกและองค์สุดท้ายของนครแห่งนี้ แบบจำลองมาจากพระราชวังอิมพีเรียลองค์เดิม มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบสมัยเฮอัน ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รับอิทธิพลจากจีนสูงที่สุด
การเดินทาง : รถบัสสาย 5,32,46,100 ลงป้าย Kyoto Kaikan Bijutsukan-mae แต่สามารถเดินจาก Keage Incline ได้เช่นกัน พยายามมองประตูโทริอิใหญ่ๆไว้ เห็นได้ไม่ยากครับ
Yasaka Shrine
ศาลเจ้ายาซากะจินจะ (Yasaka-jinja) หรือมีอีกชื่อว่า งิอนซัง (Gion-san) เนื่องจากอยู่ใกล้ย่านงิอน มีซุ้มประตูสร้างด้วยหินแกรนิตสูง 9 เมตร จัดเป็นซุ้มประตูที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ทางด้านหลังของศาลมีทางออกสู่สวนสาธารณะมารุยามะโคเอ็น ความงามของสวนและความตระการตาของซากุระช่วงต้นเมษายนของที่นี่เป็นที่รู้จักกันดี
Maruyama Koen
เป็นสวนชมซากุระ มีต้นซากุระต้นใหญ่อยู่กลางสวน ยามซากุระบานจะมีชาวญี่ปุ่นมาร่วมกันฮานามิกัน
และเช่นเคยผมมาไม่ทันซากุระอีกแล้ว
การเดินทาง : รถบัส 12,46,100,201,202,203,206 ลงป้าย gion
Sanjusangendo temple
วัดซังจูซังเง็นโด เคยเป็นฉากถ่ายภาพกีฬายิงธนูบ่อยๆ วัดนี้จัดงานเทศกาลยิงธนูอันโด่งดังในวันที่ 15 มกราคมของทุกปี วัดซังจูซังเง็นโดบูรณะครั้งหลังสุดในปี 1266 หลังคาวิหารมีความยาว 60 เมตร รองรับด้วยเสา 33 ต้น ผนังระหว่างเสามีซุ้มเว้าเข้าไป 33 ซุ้ม วัดนี้เข้าไปแล้วต้องตะลึงครับ ภายในมีเจ้าแม่กวนฮิม 1,000 องค์ครับ หากลองสังเกตดีๆหน้าตาและท่าทางไม่เหมือนกันด้วยอีกต่างหาก ห้ามถ่ายภาพภายในครับ
ค่าเข้าชม : 600 เยน
Kiyomizu-dera Temple
วัดคิโยมิซึ (Kiyomizu-dera) มีวิหารใหญ่ตั้งอยู่บนไหล่เขา รองรับด้วยเสาไม้มหึมา โดยระเบียงอันเป็นเวทีร่ายรำนั้นยื่นชะโงกเหนือหุบเหว วัดนี้มีอายุเก่าแก่กว่านครเกียวโต สร้างในปี ค.ศ. 788 ถวายแด่พระโพธิสัตว์กวนอิม 11 พักตร์ ด้านหลังวิหารใหญ่คือศาลเจ้าจิชู (Jishu) ซี่งเป็นศาลที่รู้จักกันดีที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นที่ประทับของเทพเจ้าแห่งความรักและความราบรื่นในชีวิตสมรสที่ศาลเจ้านี้มีหินตาบอด (เมกูระอิชิ) ซึ่งห้ามเดินข้ามแต่ถ้าสาวๆจะเดินผ่านก้อนหินที่ขนาบสองข้างนั้นต้องหลับตา เชื่อกันว่าถ้าสามารถเดินท่องชื่อคนรักในใจไปได้ไกลถึง 20 เมตรแล้ว
วัดนี้คนไทยมักเรียกว่าวัดน้ำใส เพราะมีน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้ดื่มกันด้วย
การเดินทาง : รถบัสสาย 100,202,206,207 ลงป้าย Kiyomizu-michi เดินต่ออีก 15 นาที ตลอดสองข้างทางมีร้านค้าเต็มไปหมด
ค่าเข้าชม : 300 เยน ค่าแก้วกินน้ำ 200 เยน
Kinkakuji Temple
วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple) หรือ วัดพลับพลาทอง (Golden Pavilion) หรืออีกชื่อ วัดศาลาทอง เป็นวัดที่ดังเป็นที่รู้จักที่สุดวัดหนึ่งในญี่ปุ่น กล่าวคือหากมาเที่ยวโตเกียวแล้วไม่ได้มาที่วัดนี้ถือว่ายังไม่มาถึงโตเกียว สร้างเมื่อปี พ.ศ. 1940 ศาลาสีทองที่เห็นในปัจจุบันเพิ่งได้รับการแปะผนังทองไปเมื่อปี พ.ศ.2530 ที่ผ่านมา จึงมองเห็นเหลืองอล่ามสะท้อนในสระน้ำอย่างสวยงาม วิหารหุ้มด้วยทองคำมี 3 ชั้น โดยชั้นแรกมีลักษณะเป็นพระราชวัง ชั้นที่สองเป็นแบบบ้านซามูไร ส่วนชั้นที่สามเป็นแบบวัดเซน
ท่านอาจจะจำได้ การ์ตูนเรื่องอิคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญา ก็จำลองเรื่องราวเหตุการณ์ของศาลาทองในวัดนี้ให้เป็นปราสาทของท่านโชกุน (โชกุนอาชิกางะ โยชิมิสึ ( Ashikaga Yoshimistsu)) และบุตรชายของเขาที่เป็นเจ้าของพลับพลาหลังนี้ ก่อนที่จะยกให้เป็นทรัพย์สมบัติของวัดโรกุนนอนจิ (Rokuonji : อีกชื่อของวัดนี้) ในเวลาต่อมา พลับพลาหลังนี้เคยถูกลอบวางเพลิงในปี พ.ศ.2493 โดยพระภิกษุที่บวชอยู่ในวัด พระรูปนี้บวชเข้ามาแล้วเกิดความหลงใหลในความงามของพระวิหารและคิดว่าการที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของความงานต้องเผาทำลายวัตถุแห่งความงามนั้นไปด้วย จึงได้มีการสร้างใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2498
ก่อนทางออกจะมีการขอพรโดยการเขียนขอพรที่แผ่นไม้ “อิกคิว” โดยส่วนมากจะเขียนขอให้มีสติปัญญาหลักแหลม ฉลาดแบบอิกคิวซัง
การเดินทาง : รถบัสสาย 101, 102, 204, 205 จากสถานีรถไฟเกียวโต ลงที่ป้าย Kinkakuji-michi แล้วเดินต่ออีก 300 เมตร (ประมาณ 5 นาที) จะถึงทางเข้าวัด
ค่าเข้าชม 600 เยน
Tips : วิธีเดินทางที่เร็วกว่าให้นั่งรถไฟไปลง Emmachi ออกสถานีเลี้ยวขวาไปสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้ายที่แยกหาป้ายรถนั่งรถเมล์ 204,205 เหมาะกับผู้มี JR Pass ครับ
Ryoan-ji Temple
วัดเรียวอันจิ (Ryoan-ji) ที่นี่มีสวนหินแบบเซนที่เรียกกันว่า คาเระซันซุย ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก สวนแห่งนี้คือภาพแอ็บสแตร็กซึ่งวาดด้วยโขดหินแทนน้ำหมึก หิน 15 ก้อน (มีก้อนหนึ่งซึ่งเราไม่มีวันมองเห็นได้ด้วยตา) บนผืนกรวดนั้นไม่มีใครหยั่งรู้ความหมายที่แท้จริงของมัน ได้แต่คาดเดากันไปต่างๆนานา หากมานั่งที่ระเบียงแล้วปล่อยใจให้ว่าง ความแห้งแล้งของภาพเบื้องหน้าจะนำพาความเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุดมาสู่คุณ กล่าวกันว่าเป็นการยกระดับจิตเข้าสู่ภาวะแห่งเซน
การเดินทาง : รถบัส 59 ลงป้าย Ryoanji-mae
ค่าเข้าชม : 500 เยน
Ninnaji Temple
สร้างประมาณปี พ.ศ. 1431 เป็นสำนักงานใหญ่ของวัดพุทธนิกายชินง่อน ที่ชอบมากๆของวัดนี้คือต้นซากุระพันธุ์เตี้ยสีขาว Omuro Cherry จะบานช้ากว่าพันธุ์อื่นๆ ตอนผมไปเลยได้เจอช่วง Full Bloom พอดี
เดินทาง : รถบัสสาย 8,10,26,59 ลงป้าย Omuro Ninnaji
ค่าเข้าชม : 500 เยน
ดอกซากุระสวยงามแบบนี้ คุณนายเล็กเลยวิ่งเล่นอย่างมีความสุข Happy มาก
ต้นมันเตี้ยจนเข้าไปยืนถ่ายภาพกันได้เลย
Fushimi Inari Shrine
ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) หรือศาลเจ้าพ่อจิ้งจอกขาว ตั้งอยู่ที่เมืองเกียวโต สร้างขึ้นเพื่อบูชาสุนัขจิ้งจอก เชื่อกันว่าเป็นทูตของเทพเจ้าของการเก็บเกี่ยว ในบริเวณศาลเจ้าจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำ ทำให้ข้าวที่ปลูกในพื้นที่นี้มีคุณภาพ จึงเป็นแหล่งของการผลิตเหล้าสาเกคุณภาพดีด้วยเช่นกัน จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้คืออุโมงค์ทางเดินที่เกิดจากการเรียงโทริอิสีแดงกว่าหมื่นซุ้ม ชาวนาเชื่อกันว่าผู้ที่เดินสารของเทพแห่งการเก็บเกี่ยว ใช้เวลาเดินราว 2 ชั่วโมงหรือระยะทาง 4 กิโลเมตรก็จะพบศาลเจ้าแห่งนี้ การเดินชมเสาโทริอิที่นี่ ถ้าจะเดินให้ครบต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงเลยทีเดียว
การเดินทาง : JR Nara Line ลงสถานี Inari
Arashiyama / Togetsukyo Bridge
ที่จริงแล้วอะราชิยามา (Arashiyama) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งในเกียวโตแต่อาจไม่คุ้นหูคนไทยสักไหร่นัก เพราะอยู่ค่อนข้างไกลออกไปจากตัวเมืองเกียวโต อาณาบริเวณของภูเขาอะราชิยาม่ากว้างขวางดารดาษไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ รวมถึงเมเปิ้ลและซากุระ ที่จะผลัดกันเติมแต่งสีสันให้กับแนวเขาด้วยความสวยงามที่แตกต่างไม่แพ้กันในแต่ละฤดู แม้ในฤดูร้อนเช่นนี้ทั้งผืนป่าจะมีแค่สีเขียว แต่ความเขียวชอุ่มก็ทำให้รู้สึกสบายตา สบายใจ จนลืมลดอุณหภูมิความร้อนไปเลย
ระหว่างแนวเขา มีแม่น้ำคัตสุระ (Katsura) ทอดตัวสงบนิ่งคลอเคลียไปกับแนวป่า และบนสายน้ำที่ไหลเอื่อยนี่เองที่จะได้เห็นสัญลักษณ์ของ อะราชิยามา “สะพานโทเก็ทซึเคียว(Togetsukyo Bridge )” สะพานแห่งนี้มีประวัติที่ยาวนานหลายร้อยปี จักพรรดิ์คาเมยามา (Emperor Kameyama) เป็นผู้สร้างและตั้งชื่อสะพานแห่งนี้ซึ่งมีความหมายว่า “สะพานข้ามจันทร์” แต่เดิมตัวสะพานเป็นไม้ แต่ได้รับการปรับปรุงซ่อมแซม เสริมคอนกรีตจนแล้วเสร็จเป็นตัวสะพานอย่างที่เราเห็นอย่างในปัจจุบันในปี 1934
ขอบคุณข้อมูลจาก jessjessada.spaces.live.com
การเดินทาง : JR Sagano Line ลงสถานี Saga-Arashiyama
Bamboo Grove
จากสถานีอะราชิยามากับสถานีซากะเรายังสมารถหยุดลงมาเดินประมาณยี่สิบนาทีผ่านทางเดินที่ถูกขนาบด้วยป่าไผ่ ที่ลำต้น เขียวเข้ม ตั้งตรงสนิท ดูสุขุมแต่ชวนให้นึกถึงฉากต่อสู้บนยอดไผ่ในหนัง Crouching Tiger, Hidden Dragon
เมื่อเดินออกมาจากป่าไผ่ก็สามารถเข้าไปเยี่ยมชมวัดเท็นริวจิ (Tenryu-ji Temple) ซึ่งเป็นวัดเอกของเซนสายรินไซ(Rinzai)ได้เช่นกัน ถนนหน้าวัดแห่งนี้เองก็เป็นสวรรค์ย่อมๆของนักช็อป สองข้างทางอัดแน่นไปด้วยร้านรวงทั้งของกินของฝาก ของที่ระลึกแบบเกียวโต
ค่าเข้าชม : ค่าเข้า 600 เยน เฉพาะสวน 500 เยน
พักเบรกกันสักนิดเอาใจสาวๆกันบ้าง มาดูของฝากสำหรับสาวๆกันครับ
คุณนายใหญ่คอนเฟิร์มราคาว่าถูกจริงๆครับ (ไม่ถูกได้ไงครับ เล่นขนมาจนกระเป๋าเดินทางเต็ม อิอิ) ร้าน Matsumoto มีหลายสาขามากๆ ไปที่ไหนก็เจอครับ
ลดกันกระจาย Kate, Shishedo, DHC ราคาชวนเอาเงินทิ้งไว้จริงๆ
ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยครับ ใครอยากสอบถามอะไรเดี๋ยวให้คุณนายใหญ่มาช่วยตอบครับ
กลับมาเที่ยวโอซาก้ากันต่อดีกว่า
Osaka Castle
ปราสาทโอซะกะ (ญี่ปุ่น: 大坂城 หรือ 大阪城 Ōsaka-jō ?) เป็นจุดเด่นของเมืองโอซะกะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นปราสาทที่มีชื่อเสียง ทั้งยังเป็นจุดชมวิวที่เป็นที่นิยม และเป็นสัญลักษณ์ของโอซะกะ ปราสาทนี้ประกอบขึ้นด้วยโครงสร้าง 13 อย่างที่รัฐบาลญี่ปุ่นระบุให้เป็นทรัพย์สมบัติสำคัญในทางวัฒนธรรม สิ่งที่มีชื่อเสียงมากเป็นพิเศษคือ ประตูขนาดใหญ่และและป้อมปราการที่อยู่ตามคูกำแพงเมืองรอบนอก กำแพงสูงชันที่สูงเกือบถึง 30 เมตร นั้นทำมาจากก้อนหินขนาดใหญ่ซึ่งส่งเข้ามาในโอซะกะจากเหมืองที่อยู่ห่างออกไปมากกว่า 100 กิโลเมตร ความสูงของกำแพงและความกว้างของคูกำแพงเมืองที่เห็นนั้นไม่สามารถเทียบได้กับปราสาทอื่นๆได้ญี่ปุ่นได้เลย
สิ่งที่น่าสนใจยังรวมถึง หลังคารูปปลาโลมาแปดตัวของหอ และหลังคาอยู่ประดับไปด้วยกระเบื้องและแกะสลักเป็นรูปทรงของเสือ ซึ่งทั้งหมดจะถูกชุบด้วยทองคำ
หอสูงของปราสาทได้รับการซ่อมแซมใหม่ในปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) การซ่อมแซมในครั้งนี้ได้นำโครงสร้างอันงดงามของกำแพงความบริสุทธิ์และความสุกใสของทองคำกลับมาให้เราเห็นอีกครั้ง ความงดงามของปราสาทจึงได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโอซะกะ
ขอบคุณข้อมูลจาก th.wikipedia.org
การเดินทาง : – JR Osaka loop line ลงสถานี Osakajokoen หรือ Morinomiya เดินไกลพอๆกันประมาณ 10 นาที
– Tanimachi Line ลงสถานี Temmabashi ทางออก 3 หรือ Tanimachi4-chome เดินประมาณ 15 นาที
ค่าเข้าชม : 600 เยน
Kaiyukan
ไคยูคังเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 กรกฏาคม พ.ศ.2533 เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำของเมืองในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีปริมาณน้ำรวมทั้งหมด 11,000 ตัน การจัดแสดงจะเป็นการแสดงสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติของพื้นที่ 10แห่ง ที่อยู่ล้อมรอบมหาสมุทรแปซิฟิกด้วยแทงก์น้ำขนาดใหญ่จำนวน 14 แทงก์ จัดแสดงโดยใช้หัวข้อว่า วงแหวนแห่งไฟ และ วงแหวนแห่งชีวิต ซึ่งมีพื้นฐานแนวความคิดที่ว่าโลกที่มีแผ่นดินไหวและภูเขาไฟประทุกับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนโลกเป็นระบบสิ่งชีวิตหนึ่งที่ต่างก็เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ซึ่งมีพื้นฐานแนวความคิดที่ว่าโลกที่มีแผ่นดินไหวและภูเขาไฟประทุกับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนโลกเป็นระบบสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ต่างก็เกื้อกูลซึ่งกันและกัน การเข้าชมในไคยูคังจะเริ่มต้นจาก “ถ้ำทะเล?ประตูน้ำ” จากนั้นต่อไปที่ “ป่าญี่ปุ่น” ที่มีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมา แล้วเดินวนเป็นวงกลมจากชั้นบนลงมาจนถึงด้านล่าง ซึ่งการเดินลงมานี้จะเป็นการเดินวนรอบแทงก์ “มหาสมุทรแปซิฟิก” ที่ตั้งอยู่บริเวณศูนย์กลางของพิพิธภัณฑ์เป็นจำนวน2รอบ แทงก์ “มหาสมุทรแปซิฟิก” นี้มีปริมาณน้ำ 5,400 ตันและมีปลาฉลามวาฬซึ่งเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแหวกว่ายอยู่
ส่วนตัวผมและสองคุณนายชอบที่นี่มากๆครับ โดยเฉพาะคุณนายเล็กพูด ปลาๆ ตลอดงานเลย สนุกกว่า Disneyland อีกครับ
การเดินทาง : Chou line ลงสถานี Osakako ทางออก 1 หรือ 2 เดินประมาณ 15 นาที
ค่าเข้าชม : 2,000 เยน
Namba / Dotonbori / Shinsaibashi
ถนนย่านนี้เป็นย่านกินที่อร่อยมากๆครับ รวมทั้งมีถนนช็อปปิ้งให้เดินกันได้ทั้งวันครับ ที่เป็นที่จดจำคือร้านขาปูยักษ์ ปลาปักเป้า ปีศาจแดง ฯลฯ และป้ายไฟกูลิโกะยักษ์ที่ต้องมาดูและถ่ายรูปกันไว้ทุกคน
การเดินทาง :
– JR Namba ลง Namba ต้องไปเปลี่ยนมาจากสถานี Imamiya, Shin-Imamiya หรือ Tennoji
– Midosuji Line ลงสถานี Namba
Nara Park
สวนสาธารณะนาระ (Nara Park) มีพื้นที่กว้าง 2 กิโลเมตร ยาว 4 กิโลเมตร ตั้อยู่ทางตะวันออกของเมืองติดกับเชิงเขาวาคาคุสะยาม่า (Wakakusa-yama Hill) นอกจากพื้นที่สีเขียวซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้แล้ว ยังเป็นสถานมรดกโลกของวัดโทไดจิ (Todaiji) วัดโคฟุกุจิ (Kofukuji) และศาลเจ้าคาสุกะไทซะ (Kasuga Taisa) โดยมีฝูงกวางอาศัยอยู่อย่างอิสระ มีโคมหินเรียงอยู่กว่า 20000 ต้น การเที่ยวชมต้องเดินเท้า
การเดินทาง : JR Nara Line ลงสถานี Nara
Tips : หากไม่ต้องการให้ถูกกวางน้อยเหล่านี้รุมและเดินตาม โปรดอย่าให้อาหารมัน เพราะจะมีกลิ่นติดท่าน และกวางน้อยเหล่านี้จะเข้ามารุมท่านจากทุกที่ที่ท่านไป
Kofukuji Temple
วัดโคฟุกุจิ ( Kofukuji Temple) สร้างตั้งแต่ พ.ศ.1253 ถือเป็นวัดประจำตระกูลฟูจิวารา(Fujiwara) ที่ขึ้นครองอำนาจในกลางศตวรรษที่ 17 สืบทอดมาหลายรุ่นกว่า 500 ปี แม้จะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่โตเกียวแล้ว ตระกูลนี้ก็ยังให้การอุปถัมป์ทำนุบำรุงวัดนี้อยู่มิได้ขาด
Todaiji Temple
วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) สร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 1286 วัดโทไดจิอยู่ทางทิศเหนือของสวนนาระ เป็นวัดที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดของเมืองนาระ โดยจะมีซุ้มประตูนันไดมง (Nandaimon-gate) มีต้นเสารรองรับน้ำหนักหลังคาที่เก่าแก่และสวยงาม ถึง 18 ต้น ด้านในมีพระใหญ่เป็นประธาน ด้านข้างมีรูปแกะสลักเป็นรูปยักษ์เฝ้าประตูทางเข้าวัดอยู่ 2 ตน
ค่าเข้าชม : 500 เยน
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้ 13 วัน
โดยสรุปนะครับ รายละเอียดจะแตกให้อีกทีตอนรีวิวฉบับเต็ม
ค่าตั๋วเครื่องบิน UA : (17,790×2)+1,300 Infant = 36,880 บาท
Visa : 1,000×3 = 3,000 บาท
JR Pass : 9,700 x 2 = 19,400 บาท
ที่พัก 12 คืน : 73,300 เยน (House Ikebukuro คืนละ 6,000×5 ; Kwawaguchiko station Inn 8,000 ; Kappa 6,300 ; K’s house Kyoto 5,800 x 5)
ค่าเดินทางไม่รวม JR Pass : 26,560 เยน (Fuji Hakone Pass 7,200 x2 ; Odaiba Pass 800 x 2 ; Metro Pass 980 x 2 + 600 x 2 ; Kyoto Bus Pass 500 x 2 x 2)
ค่าเข้าชม ค่าผ่านสวนสนุก : 26,120 เยน (Disney land 5,800×2 ; Kaiyukan 2,000×2)
ค่าอาหาร : 46,813 เยน (กินอร่อยมีตั้งแต่ 7-11 ยันภัตตาคารหรู)
ของว่างน้ำดื่ม ขนมนมเนยระหว่างวัน : 7,717 เยน
Shopping : 55,495 เยน
ค่าขนส่งกระเป๋าและอื่นๆ : 4,980 เยน
รวม เงินไทย 59,280 บาท เงินเยน 240,985 เยน
แลกเงินไปแพงครับ เจ็บใจมาก 0.365 x 240,985 = 87560 บาท
รวมเบ็ดเสร็จ 147,240 บาทครับ
คุ้มจริงๆ 3 ชีวิตกับประสบการณ์ใหม่ๆ ผมเชื่อว่าราคานี้ไม่มีทัวร์ไหนทำได้ 13 วันในญี่ปุ่น
โดยเฉพาะหากตัดค่าช็อปปิ้งและการกินแบบประหยัดลง ลดขนมนมเนยลง น่าจะถูกลงกว่านี้เยอะครับ
เขียนมาถึงตรงนี้เริ่มเหนื่อยและสังเกตว่าเริ่มจะยาวเกินไปละ
นี่ขนาดแค่ Review ภาพรวมยังยาวขนาดนี้ รีวิวฉบับเต็มปีนี้จะจบมั้ยเนี่ย
จึงขอจบรีวิวตอนนี้ไว้เท่านี้ดีกว่าครับ
ทิ้งท้ายไว้กับภาพสองแม่ลูกคู่นี้ เป็นภาพที่ผมประทับใจมาก
ความสุขของการเดินทางก็อยู่ตรงที่ได้เห็นคนที่เรารักและรักเรามีความสุขแหละครับ
ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ขอบอกเลยว่าผมได้ใช้เวลาและพลังงานมหาศาลในการเขียนรีวิวข้อมูลต่างๆนี้ไว้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านที่กำลังจะเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น
โปรดคอมเม้นท์ หรือ กด Like หรือ กด Share หรือ กรอก email เพื่อติดตามเรา แค่นี้ก็ถือว่าเป็นกำลังใจแก่คนทำรีวิวแล้วครับ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม
ขอบคุณสองคุณนายด้วย ผมรักพวกเค้าจริงๆ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการท่องเที่ยวและเดินทาง
รีวิวฉบับเต็มเชิญรับชมบน Pantip.com ได้เลยจ้า
Review : 2 Madames in Japan : เมื่อสองคุณนายตกหลุมรักญี่ปุ่น ตอนที่ 2 ## พาหัวใจไปญี่ปุ่น ##
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E9255712/E9255712.html
Review : 2 Madames in Japan : เมื่อสองคุณนายตกหลุมรักญี่ปุ่น ตอนที่ 3 ## ซากุระเบ่งบานในหัวใจ ##
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E9314232/E9314232.html
2 Madames in Japan : เมื่อสองคุณนายตกหลุมรักญี่ปุ่น ตอนที่ 4 ## Disneyland ดินแดนแห่งความฝัน ##
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E9457027/E9457027.html
2 Madames in Japan เมื่อสองคุณนายตกหลุมรักญี่ปุ่น ตอนที่ 5 ## ฟูจิซัง ฉันรักเธอ ##
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E9606575/E9606575.html
2 Madames in Japan เมื่อสองคุณนายตกหลุมรักญี่ปุ่น ตอนที่ 6 ## เกียวโต มนต์เสน่ห์เมืองหลวงเก่า (1) ##
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E9843001/E9843001.html
2 Madames in Japan เมื่อสองคุณนายตกหลุมรักญี่ปุ่น ตอนที่ 7 ## ปฏิบัติการอิ่มบุญ 5 วัด ดื่มด่ำความงามซากุระที่เกียวโต ##
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10212868/E10212868.html
2 Madames in Japan เมื่อสองคุณนายตกหลุมรักญี่ปุ่น ตอนที่ 8 ## ตะลอนเที่ยวเมืองโอซาก้าและนาระ ##
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10312894/E10312894.html
ชอบรีวิวหรือบทความของเราอย่าลืมให้กำลังใจเล็กๆด้วยการกด Like, Share หรือ Comment หน่อยนะครับ ไม่อยากพลาดทุกรีวิวฝากอีเมล์ไว้เลยที่ http://www.2madames.com/followus/ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังนะจ๊ะ
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป