จากจุดเริ่มต้นเล็กๆที่ผมกับภรรยาตั้งใจจะพาคุณพ่อคุณแม่ภรรยาวัย 65 ปีที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิตออกไปท่องเที่ยวทวีปยุโรป นี่คือโอกาสในการทดแทนบุญคุณของลูก ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของพระคุณที่ท่านทั้งสองได้ทำงานและเลี้ยงดูครอบครัวมาตลอดชีวิตของท่าน แต่ก็คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้ออกไปเที่ยวด้วยกัน ในทวีปที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดของโลกแบบนี้
ช่วงสงกรานต์ 2014 ที่ผ่านมา ครอบครัวพวกเรา 6 ชีวิต ได้ออกเดินทางไปยังยุโรปตะวันออก 4 ประเทศ ได้แก่ สาธารณะรัฐเช็ก Czech Republic, ออสเตรีย Austria, เยอรมัน Germany และฮังการี Hungary
โดยทริปนี้เป็น Family Trip โดยแท้จริง เนื่องจากลูกทัวร์ของผมมีตั้งแต่เด็กน้อยอายุ 2 ขวบ และคุณพ่อคุณแม่ของภรรยาวัย 65 ปี ไปด้วยพร้อมกัน เมื่อเรามีทั้งเด็กและ สว. ให้ต้องดูแล การแบกเป้เที่ยวจึงเป็นไปไม่ได้เลย เพราะของใช้ต่างๆของเด็กๆย่อมมากมายกว่าปกติอยู่แล้ว และ สว. ก็คงไม่สามารถแบกกระเป๋าหนักๆได้
โจทย์ของผมที่จะต้องจัดทริปครั้งนี้ คือ
– กระเป๋าใหญ่และหนักจะต้องห้ามแบก
– ประหยัด สะดวก และปลอดภัย
– ต้องนอนสบาย ไม่ย้ายที่พักบ่อยเกินความจำเป็น
– ต้องได้ทานอาหารไทย
ผมตั้งงบประมาณไว้ไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน รวมเด็กๆนะครับ
ผมใช้งบจริงไป 56,xxx บาทต่อคน รวมตั๋วเครื่องบิน วีซ่า รถเช่า น้ำมัน ที่พัก(แบบโคตรอลังการ) กินอร่อยทุกมื้อ ขนมนมเนยจัดเต็ม เที่ยวกระจุย และกินกระจายครับ ในก้อนนี้มีของฝากต่างๆรวมอยู่อีก 27,xxx บาทครับ ซึ่งหากใครไม่ช้อปปิ้งนำก้นนี้หักออกจะเหลือเพียงไม่เกิน 53,000 บาทต่อคน (ซึ่งตั๋วเครื่องบินเด็กจะถูกกว่าตั๋วผู้ใหญ่ 10% ส่วนที่นอนมีที่นอนสำหรับ 6 คน) ซึ่งหากจะคำนวณแบบหารเฉลี่ยเฉพาะผู้ใหญ่ 4 คน โดยตัดค่าใช้จ่ายต่างๆของเด็กๆไปแล้วหาร 4 ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ไม่เกิน 70,000 บาทต่อคน (คำนวณคร่าวๆนะครับ)
ทริป 6 ชีวิต คน 3 รุ่น อายุ 2 ขวบยัน 65 ปี กับ 14 วัน 2,500 km พิชิต 4 ประเทศ 11 เมือง ภารกิจคือความสุข รอยยิ้มของคนที่รัก และความตั้งใจในการรีวิวแบ่งปันข้อมูลการเดินทางให้กับทุกครอบครัวสามารถเดินทางตามรอยพวกเราเที่ยวยุโรปตะวันออก 4 ประเทศ สาธารณรัฐเช็ก ออสเตรีย เยอรมัน ฮังการี กับ 11 เมืองที่สวยที่สุดของภูมิภาคนี้
เส้นทางของพวกเราเริ่มจากประเทศสาธารณะรัฐเช็ก Czech Republic เที่ยว ปราก Prague ก่อนออกเดินทางลงใต้ไปยังเมืองเชสกี้ ครุมลอฟ Cesky Khumlov จากนั้นข้ามพรมแดนไปสู่ประเทศออสเตรีย Austria เที่ยวที่เมืองซาลส์บวร์ก Salzburg แวะเที่ยวมรดกโลกทะเลสาปโคนิกส์เซ่ Konigssee Lake
แล้วมุ่งหน้าตะวันตกไปพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศเยอรมัน Germany ที่ยอดเขาซุกสปิตเซ่ Zugspitze แล้วไปเที่ยวปราสาทนอยชวานสไตน์ Neuschwanstein Castle
วนกลับมาประเทศออสเตรียแวะเที่ยวเมืองอินส์บรุค Innsbruck แวะเที่ยวมิวนิค Munich (เปลี่ยนแผนเพราะสภาพอากาศไม่ดี)
ก่อนจะมุ่งหน้าตะวันออกไปพิชิตเมืองฮัลสตัท Hallstatt แวะเที่ยว เวียนนา Vienna แล้วมุ่งหน้าต่อเมืองบูดาเปสต์ Budapest ประเทศฮังการี ก่อนจะวนกลับมาที่ปรากอีกครั้งเพื่อเดินทางกลับประเทศไทย
รวมภาพรวมของทริปเหมือนสามเหลี่ยมนะครับ ระยะทาง 2,146 km ตามระยะ google map แต่ผมขับรถจริงเกือบ 2,500 km รวมหลงทางและขับเที่ยวแวะที่ต่างๆ
ใครจะตามรอยไม่จำเป็นต้องวิ่งตามนี้นะครับ เพราะว่าผมมีตรวจสอบสภาพอากาศ หากที่ไหนอากาศไม่ดี ผมจะเปลี่ยนแผนหน้างานเอา ทำให้บางช่วงจะมีย้อนไปย้อนมาบ้างครับ หากจะดูโปรแกรมการเดินทางของเราจะเป็นอย่างนี้ครับ
วันแรก – เดินทางจากกรุงเทพ ด้วยสายการบิน Ukraine International Airline เปลี่ยนเครื่องที่ Kiev ไปลงที่ Prague เข้าที่พักแล้วเที่ยวได้ครึ่งวัน
วันที่ 2 – เที่ยวปรากทั้งวัน
วันที่ 3 – รับรถเช่าแล้ว เดินทางไป Cesky Krumlov
วันที่ 4 – ออกเดินทางต่อไป Salzburg
วันที่ 5 – เที่ยวทะเลสาบ Konigssee บ่ายๆกลับมาเที่ยว Salzburg
วันที่ 6 – เดินทางไปขึ้นยอดเขา Zugspitze บ่ายไปเที่ยว Neuschwanstein Castle พักที่ Innsbruck
วันที่ 7 – เที่ยว Innsbruck
วันที่ 8 – เดินทางไปมิวนิค (อันนี้เพิ่มจากแผน เพราะเช็กสภาพอากาศที่ Hallstatt มีพายุ) เที่ยวแล้วพักที่ Hallstatt
วันที่ 9 – เที่ยว Hallstatt บ่ายออกเดินทางไป Vienna
วันที่ 10 – เที่ยว Vienna
วันที่ 11 – เที่ยว Vienna
วันที่ 12 – เที่ยว Vienna
วันที่ 13 – เที่ยว Budapest
วันที่ 14 – เดินทางกลับ
ตลอด 14 วันมันเป็นความทรงจำสุดพิเศษจริงๆ ผมมีเรื่องเล่ามากมาย จะให้เล่าหมดอาจจะต้องใช้เวลาอ่านหลายชั่วโมง ขอนำภาพมาสักชุดเพื่อสรุปว่าพวกเราไปทำอะไรที่ยุโรปตะวันออกมาบ้าง
นั่งมองวิวแม่น้ำวัตตาวายามค่ำคืนที่โรแมนติกสุดๆ ที่ปราก Prague
จ้องแสงไฟที่สะพานพระเจ้าชาร์ลส์ Charles Bridge
ไปเดินเล่นในเมืองที่หลุดออกมาจากนิยายอย่าง เชสกี้ ครุมลอฟ Cesky Khumlov
นั่งมองพระจันทร์ที่ปราสาทกรุมลอฟ The Castle Complex
มองวิวเมืองซาลส์บวร์ก Salzburg จากที่สูง
พาภรรยามานั่งเล่นกับดอกไม้สีสันสดใสที่ Mirabell garden
แวะเที่ยวมรดกโลกที่ว่ากันว่าต้องมาดูด้วยตาตัวเองให้ได้ก่อนตาย โคนิกส์เซ่ Konigssee Lake
ให้ครอบครัวนั่งทอดอารมณ์กับทะเลสาปแสนสงบ
พิชิตยอดเขาซุกสปิตเซ่ Zugspitze Top of Germany
ได้อุ้มภรรยาในวิวสุดพิเศษแบบนี้
พาตัวเองย้อนกลับสู่ยุคกลางที่ปราสาทนอยชวานสไตน์ Neuschwanstein Castle
เยือนเมืองท่ามกลางขุนเขาอินส์บรุค Innsbruck
เที่ยวชมเมืองเสือใต้ มิวนิค Munich
เหม่อลอยดูภาพสะท้อนเมืองด้วยกระจกวิเศษจากธรรมชาติในทะเลสาบ ที่ฮัลสตัท Hallstatt
กางแขนสุดกว้างชมวิวที่สุดยอดแบบ Titanic บนเหมืองเกลือ
ผมได้ออกเดทกับนางเอกแห่งทวีปยุโรป กรุงเวียนนา Vienna
นอนเท้าคางบนสนามหญ้ากับวิวพระราชวังเชินบรุนน์ Schonbrunn
ชมวิวแม่น้ำดานูปที่เมืองบูดาเปสต์ Budapest
แสงไฟมันสวยเกินไปจนเผลอใจหลงรักที่นี่
รีวิวตอนนี้จะเป็นตอนที่เล่าถึงภาพรวมของทริป เคล็ดลับการเดินทาง ทำอย่างไรให้ประหยัด เดินทางอย่างไรให้สะดวก และแนะนำการเดินทางกับเด็กๆและผู้สูงวัยนะครับ ส่วนรายละเอียดแต่ละเมืองคงไม่สามารถเล่าได้ทั้งหมด คงต้องติดตามอีกครั้งในรีวิวฉบับเต็มนะครับ
ข้อมูลเบื้องต้นก่อนเดินทาง
วีซ่า
กลุ่มประเทศแชงเก้น ให้ขอวีซ่าประเทศที่เดินทางนานที่สุด เช่นทริปนี้ 14 วัน ผมอยู่ออสเตรียมากสุด 8 วัน จึงต้องไปขอวีซ่าที่สถานทูตออสเตรีย โดยเมื่อเราได้วีซ่าแชงเก้นแล้ว เราสามารถเดินทางผ่านพรมแดนประเทศในกลุ่มนี้ได้ทั้งหมดครับ
เราอาจจะต้องศึกษาระเบียบการขอวีซ่าของแต่ละประเทศให้ดีครับ เช่น ต้องขอที่ไหน ที่สถานทูต หรือว่าต้องขอวีซ่าผ่านตัวแทน อย่างประเทศออสเตรียต้องขอผ่านตัวแทนเค้าครับ ผมก็ต้องเตรียมเอกสารให้พร้อม และทำการนัดวันตามที่เค้ากำหนดไว้
http://www.vfsglobal.com/austria/thailand/thai/
ค่าเงิน
Czech Republic ใช้เงินสกุล โครูนาเช็ก หรือ โครน CZK ครับ อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 1.6-1.8 บาท/โครน (เม.ย. 2014) ไม่ต้องแลกจากไทยไป ให้ใช้เงินยูโรไปแลกตามร้านแลกเงินที่นั่นได้เลย ที่พัก ร้านอาหารและร้านค้าบางร้านก็รับเป็นยูโรนะครับ แต่อาจจะโดนอัตราแพงกว่าปกติ และที่สำคัญเวลาแลกเงินต้องถามก่อนนะครับ บางร้านมี commission fee ซึ่งรวมแล้วแพงเอาการอยู่ เคล็ดลับง่ายๆ คือต้องแลกไกลจากจุดท่องเที่ยวหลักสักหน่อย มีหลายร้านเลย ลองเปรียบเทียบราคาดูนะครับ แต่ถ้าเอาสะดวกจ่ายเป็นยูโรไปเลยก็ดีครับ ไม่ต้องเหลือเศษเงินให้จุกจิกรำคาญใจ เวลาจะใช้ทีเพ่งแล้วเพ่งอีกว่าสกุลเงินอะไร
Austria และ Germany ใช้เงินสกุล ยูโร Euro อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 44.7-45 บาท (เม.ย. 2014) ควรแลกเป็นเงินสกุลหลักในการเดินทาง
Hungary ใช้เงินสกุล โฟรินท์ฮังการี HUF อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 0.15 บาท (เม.ย. 2014) เช่นเดียวกับเช็ก ไม่ต้องแลกจากไทยไป ให้ใช้เงินยุโรปแลกที่นั่นครับ
อากาศ
เว็บนี้ค่อนข้างแม่นยำ มีรายละเอียดเป็นรายชั่วโมงเลย ช่วยให้เราวางแผนเที่ยวได้เหมาะสมกับสภาพอากาศครับ http://www.accuweather.com/th/at/austria-weather
การเตรียมตัวเบื้องต้น
ผมเคยเขียนบทความการเตรียมตัวเดินทางกับครอบครัวหรือเด็กเล็กไว้อ่านได้ที่นี่ครับ
เทคนิควิธีการเตรียมตัวพา เด็กเล็ก ลูกน้อย ไปท่องเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเอง
Checklist การเตรียมตัวการเดินทางแบบครอบครัว มาจัดกระเป๋าเดินทางแบบไม่ตกหล่นกันเถอะ
สิ่งที่ผมขาดไม่ได้เลยในทริปลุยๆแบบนี้ คือ รถเข็นก้านร่มครับ มันเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ เพราะนอกจากจะช่วยทุ่นแรงไม่ต้องอุ้มแบกเด็กๆเวลาที่ต้องเดินเยอะๆแล้ว ยังมีประโยชน์ในการใส่ของ ประหยัดแรงในการถือด้วย
รถเข็นก้านร่มที่ผมแนะนำ จะต้องมีคุณสมบัติที่ดีคือ แข็งแรงแต่น้ำหนักเบา มีที่กันแดดและฝน สามารถปรับเอนนอนได้เยอะๆ และต้องพับเก็บได้ดี ถ้าพับแล้ววางตั้งได้ด้วยจะยิ่งแจ๋วครับ อย่างรถเข็นก้านร่มคันนี้ ยี่ห้อ Fedora ครับ มีคุณสมบัติที่ต้องการทุกประการ ใช้แล้วปลื้มสุดๆ ใครสนใจก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดที่นี่นะครับ https://www.facebook.com/fedorathailand
สิ่งที่เตรียมไปจากเมืองไทย
ผมเตรียมนมกล่องไปให้เพียงพอกับเด็กๆครับ ที่จริงใครไม่อยากแบกสามารถไปหาซื้อที่นั่นได้ แต่ว่าลูกผมค่อนข้างติดยี่ห้อเดิมครับ เลยจำเป็นต้องแบกไปด้วย พวกขนมต่างๆไว้สำหรับเด็กๆในกรณีทานอาหารฝรั่งไม่ได้ก็ให้รองท้องไป
ที่พิเศษหน่อยคือ ผมพกหม้อหุงข้าวและข้าวสารไปด้วยครับ ตวงนับมื้อไปเลย อีกส่วนเป็นเครื่องปรุงต่างๆ เครื่องแกงยี่ห้อรอยไทย Work และสะดวกมากครับ
เคล็ดลับความประหยัดของผมที่จริงส่วนใหญ่ ประหยัดจากมื้ออาหารครับ เพราะถ้าออกไปทานข้างนอก เอาแบบถูกสุดๆยังตกหัวละ 10 ยูโร แบบไม่อิ่มด้วย ถ้าผมไปกัน 6 คน ต่ำๆต้องมี 50 ยูโรต่อมื้อครับ เราจึงทานข้างนอกเฉพาะมื้อกลางวันที่ไปเที่ยว ส่วนมื้อเช้าและเย็นเราเลือกที่จะซื้อของตาม ซุปเปอร์มาร์เก็ตไปทำกินกันเอง มื้อหนึ่งกินกัน 6 ชีวิต ไม่มีเกิน 10 ยูโรครับ ประหยัดไปแค่ไหน ลองคูณส่วนต่างกับจำนวนมื้อสิ เหลือเงินเพียบเลย
ต่างประเทศก็เหมือนประเทศไทยครับ ถ้าคุณกินอาหารตามร้านย่อมแพงกว่าซื้อของจากตลาดไปทำเอง เนื่องจากเราเตรียมพวกเครื่องปรุงที่จำเป็นมาจากประเทศไทยแล้ว เราก็ขาดแค่ของสดเท่านั้น ไปสอยมาตาม Supermarket ถูกมากครับ
ยิ่งประเทศเช็ก ข้าวของที่นี่แทบจะราคาแพงกว่าไทยนิดเดียวเอง
ตัวอย่างเช่น เนื้อไก่ 500กรัม ราคา 39.90 CZK หรือเท่ากับ 64 บาท
ไข่ไก่แผง 30 ฟอง แผงละ 83.9 CZK หรือเท่ากับ 135 บาทเอง
ส่วนสตอเบอรรี่นี่ถูกกว่าไทยเยอะครับ ถาดใหญ่กว่าลูกแตงโม แค่ 200 บาท อร่อยด้วยอ่ะ สุดยอด
เบียร์ยิ่งถูกครับ กระป๋อง 500 ml แค่ไม่ถึง 35 บาท
อยากหยิบอะไรหยิบครับ มาเที่ยวทั้งทีกินกันตามใจ แต่ราคาไม่มีให้ฝรั่งมาฟันนะครับ ราคาซุปเปอร์ในเช็กและฮังการีจะถูกกว่า เยอรมันและออสเตรียนะครับ
ครอบครัวผมโชคดีที่พกแม่ครัวมือฉมังไปด้วยถึง 2 คน คุณแม่ยายและคุณศรีภรรยา รับหน้าที่ทำอาหารมื้อเช้าและเย็น ให้เรากินตลอด 14 วัน
เราห่างบ้านห่างเมืองมา หากต้องกินเบอร์เกอร์ 14 วัน ผมคงขาดใจตายครับ
แต่วิธีนี้ ทั้งครอบครัวได้กินอาหารไทยอร่อยๆทุกวัน อร่อย แถมประหยัดสุดๆครับ
สำหรับคนที่ทำอาหารไม่เป็น คุณสามารถใช้วิธีเดียวกันคือไปซื้ออาหารกึ่งสำเร็จรูปมาทำกินเองง่ายๆ ก็ช่วยประหยัดได้เยอะอย่างแน่นอนครับ
มาคุยกันถึงเรื่องที่พักบ้างดีกว่า ที่พักที่เราเลือกจะเป็นแบบ อพาร์ทเมนต์ 2 ห้องนอนทั้งหมดครับ และต้องมีที่นอนครบ 6 คนให้นอนกันสบายๆ มีห้องรับแขกกว้างๆไม่อึดอัดด้วย โดยสามารถเลือกจองได้เลยจากเว็บต่างๆ เช่น Booking.com ราคาก็ไม่แพงครับ คืนละ 3,000-6,000 บาทแล้วแต่สถานที่ ถ้าเป็นเมืองใหญ่ก็จะแพง แต่ถ้าเมืองชนบทหน่อยจะถูกมากครับ ที่พักแบบนี้อยู่ได้ 2 ครอบครัวสบายๆ
และสำหรับใครที่เช่ารถเที่ยว เคล็ดลับความประหยัดอีกอย่างคือ เช่าที่พักที่นอกตัวเมืองหน่อย แล้วขับรถไปเที่ยวเอา ที่พักจะประหยัดและอลังการแบบผมครับ
ภาพนี้บ้านที่ Hallstatt ครับ ใหญ่มาก ไม่มีเดินชนกัน
ต้องมีครัวพร้อมอุปกรณ์ทำอาหารครบชุด เพื่อทำอาหารเอง
ครัวยุโรปส่วนใหญ่เป็นเตาไฟฟ้าครับ เค้ามีตู้เย็น เตาไมโครเวฟ เครื่องล้างจานให้ครบครับ ไม่ต้องกังวลเลย อุปกรณ์พร้อมมากๆ
ภาพนี้เป็นครัวที่ Vienna ครับ
ภาพห้องนอนที่พักที่ Innsbruck
ห้องน้ำที่พักที่ Cesky Krumlov
ทำไมต้องขับรถเที่ยว? หลังจากผมวางแผนการเดินทางเสร็จ ผมค้นพบเลยว่าไม่สามารถเดินทางด้วยรถไฟได้ เนื่องจากการเดินทางด้วยรถไฟจะบังคับให้พวกเราจำเป็นต้องแบกสัมภาระ กระเป๋าใบใหญ่ ซึ่งผิดกับโจทย์ของพวกเราแต่แรก การเช่ารถขับจึงตอบโจทย์เรามากกว่า เนื่องจากเราสามารถเก็บสัมภาระต่างๆท้ายรถได้ เวลาเข้าที่พักผมแนะนำให้เตรียมกระเป๋าใบเล็กๆถ่ายของจากกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นไปที่พักครับ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยแบกกระเป๋าขึ้น-ลง
การเตรียมตัวไปขับรถที่ยุโรป ต้องไปทำใบขับขี่สากลที่กรมการขนส่งทางบก หากมีใบขับขี่อยู่แล้ว ใช้แค่ใบขับขี่และบัตรประชาชน เสียค่าธรรมเนียม 500 บาท อีกอย่างที่จำเป็นอย่างมากคือ GPS ครับ ซึ่งโดยทั่วไปสามารถเช่าได้จากผู้ให้เช่ารถได้เลย แต่ค่าเช่าแพงครับ เรียกว่าถ้าเช่าหลายๆวันแบบผม นี่ค่าเช่าซื้อเครื่องใหม่ได้เลย ตัวผมเองก็มี GPS ที่ไทยอยู่แล้ว ก็เลยไปหาแผนที่ยุโรปโหลดเข้าเครื่อง ปกติต้องซื้อแผนที่นะครับ แต่ถ้ามีวิชาก็ใช้ยาแก้ไอ Crack แผนที่เข้าเครื่องเลย (ไม่ขอเล่าวิธีนะครับ ลองศึกษาเพิ่มเติมดูครับ)
การเช่ารถ ผมเช่าจากเว็บนี้ครับ http://www.vipcars.com/ เท่าที่หามาเว็บนี้ถูกสุดแล้ว เวลาเราเลือกรถถ้าไปกันหลายคนหลายวัน ต้องเผื่อที่ให้สัมภาระด้วยนะครับ ไม่งั้นใส่กระเป๋าใบใหญ่ไม่พอนะครับ ถ้าไป 7 คนก็ต้องเผื่อไป 9 ที่นั่งเลย และถ้ามีเด็กไปด้วย ตามกฎหมายที่ยุโรปเด็กๆต้องมี Car seat ด้วยนะครับ
ทริปนี้เราใช้รถ Opel Vivaro รถตู้ 9 ที่นั่ง กว้างนั่งสบายๆ แถมด้านหลังจุของได้เพียบครับ
ราคาน้ำมัน ประเทศ Austria ถูกที่สุดครับ ดีเซลอยู่ราวๆ 1.3-1.4 ยูโรต่อลิตร ประเทศอื่นๆก็ไล่เลี่ยกันครับ แต่ก็แพงกว่าเล็กน้อย
การขับรถในยุโรป ผมเกิดมาเพิ่งเคยขับรถพวงมาลัยซ้ายเป็นครั้งแรกเลย แม้จะขับรถที่กรุงเทพมาหลายปีแล้ว แต่พอไปขับพวงมาลัยซ้าย มันจะมึนงงมากๆ ทั้งการควบคุมรถ และถนนที่กลับด้านกัน แนะนำให้เมื่อรับรถให้ขับวนเล่นๆในที่จอดรถเพื่อปรับตัวก่อนสัก 10 นาที ก่อนออกถนนใหญ่ครับ แรกๆมันจะไปกินเลนขวาครับ ต้องค่อยๆปรับสภาพกันไป แต่พอขับไปหลายๆวันจะชินไปเอง แต่เวลากลับมากรุงเทพก็มาปรับตัวกันอีกรอบ 5555
Speed Limit ของที่ยุโรป ก่อนไปได้ยินกิตติศัพท์ถึงความโหดของที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นกล้องจับความเร็ว หรือตำรวจที่คอยยิงปืนจับความเร็วตามท้องถนนต่างๆ ค่าปรับก็มหาโหดครับ ยังไงแล้วควรทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดครับ
วิ่งในเมือง ไม่เกิน 50 กม./ชม. บางที่ตามตรอกซอกซอยในเมืองจำกัดที่ 30 กม./ชม.ก็ยังมี ถนนนอกเมืองไม่เกิน 100 กม./ชม. ถนนไฮเวย์ไม่เกิน 130 กม./ชม. มีบางช่วงก็ห้ามเกิน 70 หรือ 80 ก็มีนะครับแล้วแต่ช่วงครับ
ข้อดีของการขับรถเที่ยวในยุโรปอีกอย่างคือ ภูมิประเทศที่ยุโรปสวยงามมากครับ ถ้าเรานั่งรถไฟอาจจะไม่เห็นทิวทัศน์ต่างๆได้ดีเท่าขับรถเที่ยวเอง
ช่วงที่ขับรถอยู่ในออสเตรีย หิมะตกลงมา พวกเราก็จอดรถลงมาเล่นหิมะกันเลย
ซึ่งถ้านั่งรถไฟคงไม่สามารถลงมาเล่นแบบนี้
การจอดรถ
โดยปกติแล้วหากไม่ใช่ใจกลางเมือง จะสามารถจอดได้ฟรีครับ ยกเว้นเราเข้าไปเมืองใหญ่ๆอย่าง มิวนิค หรือ เวียนนา ต้องเสียค่าจอดครับ โดยอัตราก็แตกต่างกันไป บางที่ก็จะมี Garage หรือที่จอดให้เลย หรือบางครั้งก็ต้องจอดริมถนน อย่างเวียนนาแพงสุดๆครับ ชม.ละ 2 ยูโรครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องไปกดตู้เพื่อเอากระดาษมาวางหน้ารถ หรือที่พิเศษหน่อยคือที่เวียนนา ต้องไปซื้อใบกระดาษจอดรถมาจากร้านขายบุหรี่มาเขียนวางหน้ารถ ขอเตือนไว้เลยว่าตำรวจโหดมาก มีคนมาคอยตรวจตลอด ถ้าเราผิดกฎเค้ามีเจอใบสั่งแน่นอนครับ แต่ส่วนใหญ่วันเสาร์-อาทิตย์จอดฟรีครับ
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางอีกส่วน ที่เป็นก้อนใหญ่มากคือ ตั๋วเครื่องบินครับ โดยปกติค่าโดยสารจะอยู่ราวๆ 3-4 หมื่นบาท แต่ถ้าเราวางแผนล่วงหน้า รอคอยเวลาที่เหมาะสม คุณจะได้โปรโมชั่นจากสายการบินต่างๆ ในราคาประมาณ 27,000-30,000 บาท
ส่วนตั๋วที่ผมไป มีโปรของ Ukraine International Airline บินไปลงปรากแค่ 23,000 บาทเท่านั้น จังหวะนั้นผมไม่คิดมากเรื่องความสะดวกสบายเท่าไหร่หละครับ ขอถูกหน่อย งบที่เหลือเอาไว้เดินทางจะดีกว่า
แต่อย่างว่าแหละครับ สายการบินประหยัดก็ไม่มีอะไรให้เลย PTV ไม่มีครับ อาหารแย่เล็กน้อย ทนหลับๆไปเดี๋ยวก็ถึง 6 คนประหยัดไปหลายหมื่นครับ
เริ่มเที่ยวกันเลยดีกว่านะครับ เริ่มจากเมืองแรกที่เราไปเยือนเลย Prague ปราก
วิธีเข้าเมืองจากสนามบิน
การเดินทางไปยังปรากนั้นสามารถเดินทางได้ทั้งเครื่องบินและรถไฟ หากเดินทางด้วยเครื่องบินจากไทยจะมาลงที่ Prague Airport ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมือง ถึงแม้ว่าปรากจะมีระบบขนส่งทางรถไฟและรถไฟใต้ดิน (Metro) แต่ว่าระบบขนส่งทั้ง 2 ไปไม่ถึงสนามบิน ดังนั้นการเดินทางจากสนามบินไปสู่ใจกลางเมืองนั้นสามารถทำได้โดยรถบัสและ Airport Express Bus เท่านั้น
รถบัสให้บริการจากสนามบินไปยังกลางเมืองอยู่หลายสายดังนี้
- สาย 119 ให้บริการทุกๆ 5 – 20 นาที โดยรถบัสจะให้บริการไปจนถึง Metro สาย A สถานี Dejvicka ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
- สาย 100 ให้บริการทุกๆ 15 – 30 นาที โดยรถบัสจะให้บริการไปจนถึง Metro สาย B สถานี Zlicin ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
- สาย 225 ให้บริการไปจนถึง Metro สาย B สถานี Stodulky ใช้เวลาประมาณ 40 – 55 นาที
- สาย 179 ให้บริการทุกๆ 12 – 30 นาที โดยรถบัสจะให้บริการไปจนถึง Metro สาย B สถานี Nove Butovice ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
- สาย 510 ให้บริการเฉพาะตอนกลางคืน (24.00 – 03.30) เท่าั้นั้น โดยรถบัสจะให้บริการไปจนถึง Tram Stop Stodulky ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
การเดินทางโดยรถบัสสาย 119 และ 100 น่าจะเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด หากต้องการเดินทางเข้าสู่กลางเมืองสาย 119 น่าจะสะดวกกว่า ในขณะที่สาย 100 จะเหมาะสำหรับคนที่ต้องการเดินทางไปด้านตะวันตกของเมือง
ตั๋วโดยสารนั้นจะมีขายที่ร้านค้าหรือว่า Transportation Counters ที่ Terminal 1 และ 2 ช่วงเวลาประมาณ 07.00 – 22.00 หากมาถึงสนามบินในช่วงเวลาที่ร้านปิดต้องไปซื้อตั๋วที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ ซึ่งตั้งอยู่ที่ป้ายรถบัสด้านหน้าของสนามบิน (ถ้าจำไม่ผิดเครื่องจะไม่ทอนเงินในกรณีที่จ่ายเกิน) หรือซื้อกับคนขับรถซึ่งส่วนใหญ่จะไม่รับแบงค์ใหญ่ เนื่องจากไม่มีทอน
ในส่วนของ Airport Express Bus นั้นจะมีให้บริการทั้งที่ Terminal 1 (Exit D) และ 2 (Exit E) โดยจะมีเส้นทางวิ่งผ่านทั้งสถานนี Metro และสถานีรถไฟ ดังนี้ Metro สาย A สถานี Dejvicka -> Masarykovo Train Station -> Main Train Station (Hlavní nádraží) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ค่าโดยสารจะแพงกว่ารถบัสปกติเล็กน้อย
แต่ถ้าเดินทางมาเป็นแบบครอบครัวแล้วไม่ต้องการแบกกระเป๋า เลือกวิธีแบบผมเลยครับ จองรถตู้ส่วนตัวไปส่งที่โรงแรมเลย เค้าคิด 25.3 ยูโร หรือประมาณ 1,130 บาท แพงกว่าแต่ส่งถึงหน้าโรงแรม ไม่ต้องแบกกระเป๋าครับ
https://www.prague-airport-transfers.co.uk/zakaznik/index.php?sekce=cesta&id_objednavky=&cesta[typ_objednavky]=transfer_z_letiste
สะพานชาร์ลส์ (Charles Bridge)
เป็นสะพานเก่าแก่สไตล์โกธิกที่ทอดข้ามแม่น้ำวัลตาวาที่เชื่อมระหว่าง Old Town และ Little Town สะพานสร้างในปี 1357 ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 มาเสร็จสมบูรณ์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 15 มีความยาว 520 เมตร กว้าง 10 เมตร มีตอม่อค้ำยัน 16 ตอ จุดเด่นของสะพานนี้ก็คือรูปปั้นโลหะของเหล่านักบุญสไตล์บารอกที่ตั้งอยู่สองข้างสะพานราว 30 องค์ ซึ่งหนึ่งในจำนวนนี้มีรูปปั้นของเซนต์จอห์น เนโปมุก (St. John Nepomuk) เป็นรูปปั้นที่เก่าแก่ที่สุดบนสะพาน สร้างเมื่อปีค.ศ. 1683 สะพานแห่งนี้เปรียบเสมือนเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของกรุงปราก
เวลาอยู่เมืองไทยเวลาเจอแดดส่องมาต้องรีบหลบ แต่ที่นี่เจอแดดต้องรีบวิ่งเข้าใส่ครับ แดดอ่อนๆยามเช้าที่นี่ แปลกดีครับ เพราะนอกจากจะให้ความอบอุ่นแล้ว ยังมอบความสุขให้กับคนที่ยืนรับแสงด้วยครับ
หอคอยสะพาน Stare Mesto Bridge Tower
ผมเหม่อมองดูผู้คนเดินข้ามสะพาน Charles Bridge คนแล้วคนเล่า ยืนทอดอารมณ์อยู่ตรงจุดนี้เนิ่นนาน ถึงจะเป็นมุมเดิมๆ แต่ก็แปลกที่ไม่รู้สึกเบื่อสักเท่าไหร่
เรือล่องแม่น้ำวัตตาวา (Vltava) ผ่านสะพานไปเป็นระยะๆ ฟ้าเปลี่ยนจากสว่างเป็นมืดลง Prague Castle เริ่มเปิดดวงไฟทำให้ตัวปราสาทยิ่งเด่นชัดขึ้นมาทันใด
เปิด 10.00-22.00 น.
ค่าขึ้น 75 CZK
คุณเคยมีความฝันร่วมกับใครมั้ยครับ?
ผมเองตั้งแต่เด็กฝันไว้หลายเรื่อง แต่มีเรื่องหนึ่งที่เป็นสิ่งที่ผมอยากทำมาโดยตลอด คือการได้เดินทางไปยังสถานที่สวยๆต่างๆทั่วโลก
เป็นโชคของผมที่ภรรยาคู่ชีวิตของผมก็มีความฝันอย่างเดียวกัน เราพยายามสร้างสมดุลระหว่างการทำงาน การวางแผนอนาคตให้ลูกๆและครอบครัว รวมทั้งการทำความฝันให้เป็นจริง
หลายครั้งเหลือเกินที่ความฝันดูจะไกลห่างออกไป เนื่องจากภาระกิจต่างๆที่รัดตัว แต่ทุกครั้งที่มีโอกาส ผมจะพาครอบครัวออกตามความฝันของผมเสมอ
ถึงเวลานี้ผมกับภรรยายังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ เนื่องจากกว่าจะได้เริ่มต้นทำความฝันให้เป็นจริง ก็ถึงวัยกลางคนเสียแล้ว (แม้จะคิดว่าตัวเองวัยรุ่นอยู่ก็เถอะ) ยังมีสถานที่ต่างๆรอบโลกที่เป็นความฝันในการไปเยือน และผมไม่แน่ใจนักว่าเราทั้งคู่จะทำสำเร็จมั้ย
แต่ที่แน่ใจเหลือเกินคือ ลูกๆของผมทั้งสอง น้องเกรซ น้องกาย เกิดมาเป็นนักเดินทางตัวยง สองคนนี้เริ่มต้นเดินทางตั้งแต่ยังเดินไม่ได้ นั่งเครื่องบินมานับครั้งไม่ถ้วน ได้ออกเดินทางตามความฝันของพ่อแม่ไปด้วยกัน และทั้งคู่ก็ชอบการเดินทางเสียด้วย
ผมก็ได้แต่หวังไว้ว่า แม้ผมจะทำความฝันของผมไม่สำเร็จ แต่เชื่อเหลือเกินว่ามันต้องสำเร็จได้ในรุ่นของลูกๆทั้งสองแน่ๆ
พ่อและแม่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ความฝันของหนูทั้งสองจะเหมือนกับพ่อและแม่มั้ย แต่ไม่ว่าอะไรที่เป็นความฝันของหนู พ่อและแม่สัญญาว่ามันจะยังเป็นความฝันร่วมกันของพ่อและแม่เสมอนะ
ฝันไปด้วยกัน ทำมันไปด้วยกัน
Let’s Dream Together… Because It’s a Family Dream.
วิวริมแม่น้ำนี่แหละสุดยอดมาก
พ่อตาแม่ยายผมหวานออกสื่อหน่อยนะ
Kostel svatého Františka z Assisi อยู่ปลายสะพานด้านเมืองเก่า
Old Town Hall Tower
ทีเด็ดของที่นี่คือ นาฬิกาดาราศาสตร์ (Astronomical Clock) โดยทุกๆชั่วโมง นักท่องเที่ยวจะมาคอยดูนาฬิกาเรือนนี้ เพราะจะมี Activity เล็กๆคือ ตุ๊กตาหุ่นอัครสาวกทั้ง 12 องค์จะเริ่มออกมาเต้นรำ ว่ากันว่านาฬิกาเรือนนี้จะหยุดเดินทุกครั้งที่มีเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองปราก เช่น การปฏิวัติครั้งใหญ่ของปราก
เปิดให้ขึ้นไปชม 9.00-20.00 น.
ค่าขึ้นไปชม 105 CZK
จัตุรัสเมืองเก่า Staromestske Namesti
ถือเป็นสถานที่บังคับที่ใครมาปรากแล้วต้องมาเดินเที่ยวกันที่นี่ ไม่งั้นเรียกว่ายังมาไม่ถึงปราก ที่เห็นโดดเด่นกว่าใคร ก็คือ Church of Our Lady Before Tyn หรือ โบสถ์แม่พระ
วิวมุมสูงที่มองจากหอคอย Old Town Hall สุดยอดมาก ห้ามพลาดมุมนี้เด็ดขาดนะครับ
ช่วงที่ผมไปตรงกับเทศกาล Easter เลยมีตลาดนัดมาขายกันตรงจัตุรัสเมืองเก่า ผู้คนมาเดินเล่นเยอะไปหมดเลย บรรยากาศคึกคักไม่น้อย
เอ้า แบบนี้มันต้องกระโดดถ่ายรูปให้ฝรั่ง งงไปเลย
ปราสาทปราก Prague Castle
ปราสาทแห่งกรุงปรากเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่มีผู้คนเข้าเยี่ยมชมมากที่สุด และเป็นจุดสำคัญที่สุดของทั้งเมือง เปรียบดั่งว่าเป็นอัญมณีที่ล้ำค่าแห่งเมืองหลวงของเช็ก ปราสาทแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์อันเก่าแก่ของแผ่นดินเช็ก ส่วนประกอบต่างๆของตัวปราสาททั้งหมดตั้งอยู่บนยอดเนินเขาและลดหลั่นลงมาจนถึงชายฝั่งด้านซ้ายของแม่น้ำวัลตารา (Vltava River) ตัวปราสาทอาจดูไม่เหมือนปราสาทแบบดั้งเดิมเป็นเพราะจากกรสร้างที่ได้กระจายออกไปตามแนวราบมากกว่าแนวตั้ง
เวลาเปิด 6.00-23.00 น. หน้าร้อน 5.00-24.00 น.
มหาวิหารเซนต์วิตัส แคทเทอร์ดรอล (St Vitus cathedral)
สิ่งที่ดึงดูดและสะดุดตาสำคัญๆ ต่อนักท่องเที่ยวคือมหาวิหารเซนต์วิตัส แคทเทอร์ดรอล (St Vitus cathedral) มหาวิหารหลังนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยศัตวรรษที่ 14 เป็นการสร้างแบบสถาปัตยกรรมโกธีก (Gothic) ที่ได้ตกแต่งประดับประดาไปด้วยหัวสัตว์ประหลาดมากมายที่ทำด้วยหินตั้งอยู่บนหลังคาและปากท่อรางน้ำฝน
Toy Museum
รอบปราสาทมีอะไรให้ชมมากมาย แต่ที่ดึงดูดใจเด็กๆมากที่สุดคือ พิพิธภัณฑ์ของเล่น เค้าจัดแสดงของเล่นไว้เยอะมากเลย
ค่าเข้าชม 100 CZK
ถ่ายภาพกับ Superman หน่อย
จุดชมวิวแม่น้ำที่สวยที่สุดของเมืองปราก ผมว่าคือที่นี่ครับ สวนสาธารณะ Letenské sady ตรงจุดนี้สามารถมองเห็นวิวเมืองผ่านโค้งแม่น้ำวัตตาวา สวยสุดๆครับ
สวนสาธารณะ Petřínské sady
ใครๆก็บอกว่าถ้าจะชมดอกซากุระต้องไปที่ญี่ปุ่น แต่ครอบครัว 2 Madames มาชมซากุระที่ปรากจ้า ที่นี่เยอะและสวยไม่แพ้กัน
งามสุดๆ ถ่ายภาพกันมันส์เลยครับ
Petrin Tower หอคอย ลุ๊คเอาท์เปอร์ตริน
เป็นหอคอยที่สร้างขึ้นด้วยเหล็กมีความสูง 60 เมตรสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1891 โดย เอ็ฟ. ปราซิล (F. Prášil) เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการครบรอบ 50 ปีของการแสดงนิทรรศการ ซึ่งได้สร้างเลียนแบหอคอยไอเฟิลในปารีส ด้วยการมีบันได 299 ขั้นสู่พื้นด้านบนสุดของหอคอย
ค่าขึ้นชม 180 CZK
วิวเมืองปรากจากหอคอย Petrin Tower สวยมากครับ
เชสกีกรุมลอฟ Ceský Krumlov
เป็นเมืองขนาดเล็กในภูมิภาคโบฮีเมียใต้ของสาธารณรัฐเช็ก มีชื่อเสียงจากสถาปัตยกรรมและศิลปะของเขตเมืองเก่าและปราสาทกรุมลอฟ ซึ่งเขตเมืองเก่านี้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก
ปราสาทกรุมลอฟ
เป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในสาธารณรัฐเช็ก โดยเป็นรองจากปราสาทฮรัดชานี (Hradčany) ที่กรุงปราก ซึ่งปราสาทจัดว่ามีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับตัวเมืองที่มีพื้นที่น้อย
จัตุรัสกลางเมือง
อาคารบ้านเรือนในเชสกี้ ครุมลอฟ Cesky Krumlov นิยมสร้างหลังคาเป็นสีแดงอมน้ำตาลเป็นเอกลักษณ์ทั้งเมือง
เมืองนี้สวยมากครับ สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกแล้ว
ไม่มีแสงจากหลอดไฟใดจะสว่างเท่าแสงจากดวงอาทิตย์ ไม่มีความรักใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่ารักจากพ่อและแม่
ก็วิวมันสวยอ่ะ จะสวีทกันบ้างคงไม่เป็นไรเนอะ
เมืองซาลส์บวร์ก Salzburg
ซาลส์บวร์ก (salzburg ) คำว่าซาลส์ (Salz) ในภาษาเยอรมันแปลว่าเกลือ ซาลส์บวร์กแปลตามตัวได้ว่าปราสาทเกลือ ดินแดนแถบนี้เป็นแหล่งค้าเกลือเก่าแก่มาแต่โบราณ เกลือในสมัยก่อนเป็นสิ่งที่หายาก ฉะนั้นใครมีเกลือจึงเปรียบเสมือนมีทองคำ ดังนั้นเมืองนี้จึงร่ำรวยมั่งคั่งมาตั้งแต่อดีต
เมืองนี้ตั้งอยู่ประมาณกึ่งกลางระหว่างอินส์บรูคและเวียนนาจึงมีลักษณะที่กึ่งภูเขากึ่งที่ราบตั้งอยู่ที่ระดับ 425 เมตรตรงเชิงเขาด้านเหนือของเทือกเขาแอลป์ด้านตะวันออก มีจุดเด่นคือน้ำในแม่น้ำซาลส์ซักค์ (Salzach) จะมีสีออกเขียวมรกตสวยงามมาก สาเหตุเพราะมีเกลืออยู่มาก ที่นี่เต็มไปด้วยศิลปะแบบบาโรคจนได้ชื่อว่าเป็นนครหลวงแห่งศิลปะบาร็อค และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้เมื่อปี ค.ศ. 1997 เมืองนี้เป็นบ้านเกิดของคีตกวีเอกของโลก วูฟกังก์ อมาเดอุส โมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart) และ เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์อมตะเรื่อง The Sound of Music
ป้อมโฮเฮนซาลส์บวร์ก Festung Hohensalzburg
เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของอำนาจทางโลกของเจ้าชยบิชอป อาร์คบิชอปเกบฮาร์ด ( Erzbischof Gebhard) สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1077 เพื่อเป็นที่พำนักหลวงและป้องกันข้าศึก แต่มาสร้างเสร็จในปีค.ศ. 1681 ปัจจุบันได้รับการยกย่องว่าเป็นป้อมปราการซึ่งหลงเหลือความสมบูรณ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในมี ตำหนักใหญ่ คุกใต้ดิน ห้องทรมานนักโทษ สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือเตาผิงที่ปูด้วยกระเบื้องที่มีความทนทานมาตั้งแต่ปี 1501 ในห้องทอง ( Golden room )และในห้องมีภาพจากคัมภีร์ไบเบิลด้วย
พ.ค.-ก.ย. เวลาเปิด 9.00-19.00 น. เดือนอื่นๆ 9.30-17.00 น.
ค่าเข้าชม 11 ยูโร
ค่ารถรางขึ้นป้อม เที่ยวเดียว 2.4 ยูโร ไปกลับ 3.8 ยูโร
มหาวิหารแห่งเมืองซาลส์บวร์ก( Salzburg Cathedral)
สร้างในสมัยเรอเนซองส์ตอนปลายต่อบาโรคตอนต้น ถือเป็นโบสถ์บาโรคยุคแรก สร้างขึ้นใหม่เพื่อแทนโบสถ์หลังเดิมที่ถูกไฟไหม้ใหญ่จนเกินซ่อมแซม มหาวิหารหลังนี้ถูกระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ถล่มเสียหาย แต่ต่อมาได้รับการบูรณะให้งดงามดังเดิม
จตุรัสเรสซิเดนท์ (Residenzplatz)
เป็นจตุรัสย่านกลางเมืองอยู่ใกล้กับ มหาวิหารแห่งเมืองซาลส์บวร์ก( Salzburg Cathedral) มีน้ำพุสไตล์บาร็อค เป็นจุดเด่นของจตุรัสนี้
สวนมิราเบล Mirabell garden
เป็นสวนสาธารณะที่สวยที่สุดในซาล์ลบวร์ก ซึ่งเดิมทีเป็นสวนในพระราชวังเดิมถูกออกแบบโดย Johann Bernhard Fischer von Erlach สวนสร้างในรูปแบบเรขาคณิต ถูกตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้หลากสี มีรูปปั้นเทพเจ้าและน้ำพุ เป็น “สวนแบบบารอค” ที่สวยงาม เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมความงามของสวนในปี 1858 โดยพระเจ้า Franz Joseph และยังเป็นสถานที่ที่ถ่ายทำเรื่อง The sound of music
ภาพยนตร์ The Sound Of Music สร้างจากหนังสือชื่อ The Von Trapp Family ซึ่งเขียนโดย Maria Von Trap ภาพยนตร์มีความยาว 2 ชั่วโมง 47 นาที นำแสดงโดย Julie Andrew และ Christopher Plummer ออกฉายครั้งแรกในปี 1965 โดยลิขสิทธิ์ของบริษัท Twentieth Century Fox และกวาดห้ารางวัลออสการ์ในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม เพลงประกอบยอดเยี่ยม เสียงยอดเยี่ยม ทิวทัศน์ยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
เรื่องย่อ the sound of music พ่อม่ายนายพันเศรษฐี มีลูกติด 7 คน ซึ่งเลี้ยงลูกด้วยความเข้มงวด ทำให้ลูก ๆ แต่ละคน มีนิสัยก้าวร้าว แข็งกระด้าง ไม่เว้นแม้แต่เด็กหญิงตัวน้อย เป็นผลให้พี่เลี้ยงที่จ้างมาแต่ละคนนั้น ไม่เคยได้อยู่ในบ้านนาน ๆ เลย เป็นต้องลาออกจากงาน ด้วยสารพัดวิธีกลั่นแกล้งของเด็ก ๆ ทั้ง 7 คน
แต่ต่อมา คุณพ่อม่ายก็ได้จ้างแม่ชีสาวสวยนามว่า มาเรีย มาเป็นพี่เลี้ยงคนใหม่ เธอถูกกลั่นแกล้ง แต่เธอก็รับมือกับเด็ก ๆ ได้ และเธอก็กลายเป็นที่ชื่นชอบของเด็ก ๆ เสียด้วย และเธอก็เริ่มสอนเด็ก ๆ ให้รู้จักความมีชีวิตชีวา สอนให้รู้จักการร้องเพลงและการแสดง จนบ้านหลังนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น ในที่สุดผู้พันก็ตกหลุมรักมาเรียและแต่งงานกันในที่สุด
ถนนเกไทรเดร้ ( Getreidegasse) บ้านเรือนที่ตั้งอยู่เรียงรายบนถนนสายนี้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15-18 ลักษณะเด่นคือมีลานบ้านที่มีหลังคาอันสวยงาม ป้ายเหล็กที่ทำด้วยมือและกรอบหน้าต่างเป็นภาพปูนปั้นแกะสลัก ปัจจุบันเป็นย่าน shopping ที่มีร้านค้าแบรนด์เนมมากมายและมีสถานที่ที่น่าสนใจมากได้แก่พิพิธภัณฑ์โมสาร์ท
พิพิธภัณฑ์โมสาร์ทเกบูร์ตสเฮาส์ Mozart Geburtshaus (Mozart Birthplace )
บ้านสีเหลืองเลขที่ 9 เป็นสถานที่ที่โมสาร์ทที่โมสาร์ทเกิดเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มากกว่า 20 ปี ต่อมาเขาย้ายไปอยู่อีกหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้ถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ภายในบ้านหลังนี้ออกแบบโดย Robert Wilson นักศิลปะชาวอเมริกัน โดยมี การออกแบบให้เหมือนตอนที่โมสาร์ทมีชีวิตอยู่มากที่สุด ภายในนี้รวบรวมเรื่องราวและเครื่องดนตรีในสมัยเด็กของโมสาร์ท ไม่ว่าจะเป็นไวโอลินหรือเปียโน นอกจากนั้นยังมีรูปภาพและจดหมายที่เขียนถึงกันในครอบครัว
ช็อกโกแลตโมสาร์ทคูเกิล์น Mozartkugeln หรือ ลูกบอลโมสาร์ท ขายดิบขายดีมาก ที่ดังที่สุดคือยี่ห้อ Mirabell สามารถซื้อเป็นของฝากจาก Salzburg ได้เลยครับ
Konigssee Lake
ทะเลสาบแห่งนี้แปลเป็นไทยคือ ทะเลสาบกษัตริย์ เป็นทะเลสาบในหุบเขา อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นบาวาเรีย เยอรมนี ใกล้ชายแดนประเทศออสเตรีย
ทะเลสาบ เคอนิก อยู่ในเทือกเขาแอล์ปส์ อยู่ใกล้เมือง Berchtesgaden ในรัฐบาวาเรีย เป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดในเยอรมนี ทะเลสาบนี้เกิดจากแม่น้ำน้ำแข็งในสมัยยุคน้ำแข็ง
น้ำในทะเลสาบแห่งนี้ ถือว่าเป็นน้ำที่ใสที่สุดและสะอาดที่สุดในเยอรมนี ด้วยเหตุนี้เองอนุญาตให้เฉพาะเรือพาย และเรือที่ใช้ไฟฟ้าเท่านั้นที่สามารถแล่นไปมาในทะเลสาบได้
น้ำสีเขียวมรกตสวยมากเลยครับ
ค่าล่องเรือ 13.9 ยูโรต่อคน
ข้อมูลเพิ่มเติมและตารางการเดินเรือ http://www.koenigssee.com/en/
ล่องเรือพลังงานไฟฟ้าที่ท่าเรือ นั่งชมความงามแห่งธรรมชาติสองข้างทาง จนกระทั่งถึงท่าเรือ St.Bartholoma ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์ บาโธโลมิว Bartholomew (โบสถ์หัวหอมสีแดง) ซึ่งเป็นเสน่ห์ของที่นี่
เมื่อมีความสุขอยู่ในภาพ ภาพนั้นย่อมงดงาม…
จากท่าเรือโบสถ์หัวหอมแดง เดินไปในป่าสนซึ่งสามารถเดินไปชมธารน้ำแข็งได้ แต่ไกลและใช้เวลาเดินเป็นชั่วโมงเลยนะครับ ครอบครัวเรามีเด็กและผู้สูงวัย ไปไม่ถึงจ้า ใช้เวลาเดินเล่นเสียมากกว่า
คุณพ่อคุณแม่ของภรรยาผม ท่านทั้งสองเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย ต้องทำงานอย่างหนักมาตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว ตลอดชีวิตที่ผ่านมาท่านทั้งสองเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำรงชีวิต ใช้ความขยันหมั่นเพียรสร้างฐานะขึ้นมาด้วยตัวเอง กิจการของท่านเลี้ยงดูทั้งครอบครัวและลูกน้องหลายชีวิตมาตลอดหลายสิบปี
แต่เช่นเดียวกันกับคู่ชีวิตทั่วไป ชีวิตคู่ของคนทั้งสองก็มักจะมีทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างผมมักจะเห็นท่านทั้งสองมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง
ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมและภรรยาได้พาท่านทั้งสองไปเที่ยวยุโรปด้วยกัน คนสองคนที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต ท่านทั้งสองสมควรจะได้รับรางวัลให้กับชีวิตให้สมกับที่เหนื่อยมาทั้งชีวิต ในวัย 65 ปีนี่เป็นการเดินทางครั้งแรกและอาจจะครั้งสุดท้ายที่จะได้ออกเดินทางไปถึงทวีปยุโรป
ตลอดการเดินทางทริปนี้ ผมสังเกตได้ว่าท่านทั้งสองทะเลาะกันน้อยลง นอกจากนี้ผมยังได้เห็นท่านดูแลกันและกัน ซึ่งนั่นเป็นมุมที่ลูกเขยอย่างผมไม่เคยเห็นมาก่อน
ช่วงหนึ่งของทริป ระหว่างที่เดินอยู่กลางป่าสนที่เยอรมัน คุณพ่อก้มเก็บดอกไม้ดอกเล็กๆดอกหนึ่งริมทางขึ้นมา ยื่นและมอบให้กับคุณแม่
“อ่ะ ให้”
“ให้ทำไมอ่ะ”
“รับไปเถอะ แค่อยากจะให้”
คุณแม่รับดอกไม้ดอกเล็กๆไป น้ำตาของผู้หญิงคนหนึ่งไหลรินออกมาพร้อมๆกับรอยยิ้ม
ประโยคง่ายๆกับดอกไม้ริมทางดอกหนึ่ง ช่วงเวลาแห่งความประทับใจนี้ ไม่เพียงแต่ท่านทั้งสองที่ซาบซึ้ง มันยังทำให้ลูกหลานอดรู้สึกตื้นตันตามไม่ได้
ล่าสุดผมได้ยินมาจากพี่ชายของภรรยาผมว่า หลังจากกลับมาจากยุโรป คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ค่อยทะเลาะกันแล้ว แถมเวลาทานข้าวด้วยกัน คุณพ่อจะตักกับข้าวมาใส่จานคุณแม่อีกต่างหาก
น่ารักที่สุดเลย
รอยยิ้มแห่งความประทับใจ
ความทรงจำดีๆเหล่านี้จะคงอยู่ไปนานเท่านาน
ระหว่างทริปยุโรปตะวันออกครั้งนี้ ตรงกับวันเกิดของคุณแม่ภรรยาผมพอดี ที่จริงผมและภรรยาตั้งใจจะ Surprise ฉลองวันเกิดปีที่ 61 พาท่านไปทานร้านเค้กร้านอร่อยที่หาข้อมูลมาก่อนเดินทาง แต่ด้วยตรงกับวันอาทิตย์ ร้านรวงที่นี่จึงปิดเร็วมาก ร้านที่หาข้อมูลไว้ก็ปิด พยายามขับรถวนหาหลายรอบก็หาซื้อเค้กไม่ได้เลย สุดท้ายต้องเพิ่งเค้กจาก Mcdonalds เทียนวันเกิดก็ไม่มี มีแต่ความรักจากลูกๆหลานๆ งานนี้น้ำตาไหลกันใหญ่เลยทั้งคุณแม่ทั้งคุณลูก นับเป็นอีกช่วงเวลาแห่งความประทับใจของทริปครั้งนี้
ใครอยากชมแบบคลิปเชิญที่นี่ครับ https://www.facebook.com/photo.php?v=10151983911051507&set=vb.570031506&type=2&theater
หันหัวรถเลี้ยวเข้าเยอรมันกันต่อนะครับ
ยอดเขา Zugspitze ถือว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศเยอรมัน สูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,962 ม. หรือราวๆ 9,718 ฟุต ในวันที่อากาศดียอดเขาแห่งนี้สามารถมองเห็นยอดเขาต่างๆ ในเทือกเขา alps ไปได้ไกลถึง 250 ก.ม. ซึ่งจะทำให้เห็นยอดเขาได้กว่า 400 ยอดของทั้ง 4 ประเทศ คือ เยอรมัน สวิส ออสเตรีย และ อิตาลี ถือว่าเป็นยอดเขาที่มีวิวสวยมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
สัญลักษณ์ที่สำคัญของ Zugspitze ก็คือไม้กางเขนสีทองปักอยู่บนยอดเขา นอกจากภูมิประเทศที่สวยงามแล้ว ยังเป็นที่นิยมในการเล่นสกีของคนยุโรปด้วย
ค่าขึ้นชม : 41.9 ยูโรต่อคน
ได้มาถ่ายภาพครอบครัวในวิวที่สุดยอดแบบนี้ มันช่างมีความสุขที่สุดเลย
ผมเป็นคนที่ชอบอุ้มภรรยาครับ และผมก็ได้สัญญากับเธอไว้ว่า ผมจะพาเธอไปอุ้มทั่วทุกแห่งของโลกใบนี้
ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาก็เช่นกัน ผมได้อุ้มเธอที่ Zugspitze ยอดเขาที่สูงที่สุดในเยอรมัน ซึ่งถือเป็นอุ้มครั้งที่สวยที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยอุ้มเธอมา
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ฉันไม่เคยนับหรอกนะว่าฉันอุ้มเธอไปกี่ครั้งแล้ว แต่เชื่อฉันนะ ตราบใดที่ฉันยังมีแรง ผู้ชายคนนี้จะยังคงทำตามสัญญาที่ให้เธอไว้อย่างแน่นอน…
My promise is only for YOU… My love
ปราสาทนอยชวานชไตน์ (เยอรมัน: Schloss Neuschwanstein)
เป็นปราสาทตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์แถบแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี สร้างในสมัยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย ในช่วง ค.ศ. 1845-86 เป็นปราสาทที่งดงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก และเป็นต้นแบบของการสร้างปราสาทเทพนิยายเจ้าหญิงนิทรา ที่สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ และโตเกียวดิสนีย์แลนด์
เวลาเปิด : เม.ย.-15 ต.ค. 8.00-17.00 น. 16 ต.ค.-มี.ค. 9.00-15.00 น.
ค่าเข้าชม : 12 ยูโร
ค่ารถขึ้นปราสาท : ไปกลับ 2.6 ยูโร
ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.neuschwanstein.com/englisch/tourist/index.htm
วิวด้านบนนี่สวยงามมากครับ ขนาดผมมาในวันอากาศไม่ดีนะ ที่มองเห็นปราสาทบนเขาคือ ปราสาท Hohenschwangau Castle ซึ่งหากมีเวลาก็สามารถไปเที่ยวได้อีกปราสาทด้วยครับ
อินส์บรุค Innsbruck
เป็นเมืองหลวงของรัฐทิโรล ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของประเทศออสเตรีย ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำอินน์ กลางหุบเขาของเทือกเขาแอลป์ อินส์บรูคแปลว่าสะพานแห่งแม่น้ำอิน
ตรงสุดถนน คือหนึ่งในไฮไลท์ของอินน์สบรูค นั่นคือหลังคาทองคำ(Goldenes Dachl) สถานที่ที่ใครไปใครมาเป็นต้องแวะมาแหงนคอมองอาคารสุดคลาสสิคและเก่าแก่ที่สุดประจำเมืองนี้ ในอดีตเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ทิโรล ที่นี่กษัตริย์แมกซิมิเลี่ยนที่ 1 กับพระนางมาเรียเทเรซ่า เคยใช้เป็นที่ประทับชมการแสดง
ถนนสายหลักของอินน์สบรูคที่ชื่อ มาเรีย เทเรสเซียน ซตราสเซอ( Maria-Theresien- Strasse ) ก็จะพบว่า ถนนสายนี้ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน อาคารสีลูกกวาด ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนแทบไม่อยากตีจากถนนสายนี้ไปไหน
ของฝากที่โด่งดังที่สุดของเมือง Innsbruck คือ คริสตัล Swarovski ครับ เห็นถุงเล็ก นั่นอ่ะหลายตังค์นะครับ
บ้านสีสันสวยริมแม่น้ำ กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง Innsbruck ที่ใครๆมาที่นี่ก็ต้องถ่ายภาพ
มิวนิค Munchen หรือ Munich
เดิมทีเมืองนี้ไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทาง แต่เมื่อสภาพอากาศที่ Hallstatt ไม่อำนวย ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผนมาเที่ยวที่นี่ก่อน ดีกว่าไปติดพายุฝนครับ
มิวนิค (Munich) หรือที่เรียกในภาษาเยอรมันว่ามึนเชน (München) เป็นเมืองใหญ่อันดับสามของประเทศเยอรมนี เป็นศูนย์กลางธุรกิจและคมนาคมในเยอรมนีตอนใต้ เป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย (Bavaria) หรือ บาเยิร์น (Bayern) ในภาษาเยอรมัน ซึ่งมีพรมแดนติดเทือกเขาแอลป์ รัฐบาวาเรียเคยเป็นรัฐอิสระปกครองด้วยกษัตริย์มาก่อน ก่อนที่จะผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนี จึงมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง ทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม และอาหารอันเลื่องชื่อ ซึ่งได้แก่ ไส้กรอกเยอรมัน ขาหมูทอด เพรทเซล และเบียร์
อาคารที่เด่นเป็นสง่าตรงหน้าจัตุรัส คือศาลาว่าการเมืองหลังใหม่ เรียกว่า นอยเยอรัทเฮาส์ (Neue Rathaus) สร้างในสไตล์นีโอโกธิกในกลางคริสตศตวรรษที่ 19 มีหอคอยสูงกว่า 80 เมตร ตรงกลางหอคอยมีหอนาฬิกาที่เรียกว่า Glockenspiel ซึ่งจะมีตุ๊กตาออกมาเต้นระบำให้ชมกันในเวลา 11 นาฬิกา และเที่ยงตรง ในหน้าร้อนจะเพิ่มรอบ 5 โมงเย็นอีกหนึ่งรอบ
สัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดอีกแห่งของเมือง คือโบสถ์เฟราเอน (Frauenkirche ออกเสียงว่า เฟรา เอน เคีย เชอะ) เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในมิวนิก สร้างตามแบบโกธิกในปี ค.ศ. 1468 ด้วยอิฐสีแดง แทนที่จะสร้างด้วยหินเหมือนโบสถ์โกธิกทั่วไป ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 20 ปี จึงแล้วเสร็จ
Max-Joseph-Platz จตุรัสกลางเมือง
Odeonsplatz ที่อยู่ไม่ไกล เดินจาก Max-Joseph-Platz ประมาณ 5 นาทีครับ
เมืองฮัลสตัท Hallstatt
เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลสาบ Hallstatter See ทะเลสาบในเขตภูมิภาคซาลซ์คัมเมอร์กุท (Salzkammergut) ภูมิภาคทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากแห่งหนึ่งของประเทศออสเตรีย สำหรับความโดดเด่นของเมืองนั้น สิ่งแรกที่นักท่องเที่ยวจะสัมผัสได้ก็คือความเป็นเมืองชนบทเล็กๆ ที่มีอากาศแสนบริสุทธิ์ เหมาะอย่างยิ่งที่จะเดินทางมาพักผ่อนตากอากาศ และชมทัศนียภาพสวยๆ ของตัวเมืองที่ถูกโอบล้มไปด้วยทะเลสาบและเทือกเขาสูงตระหง่าน
ที่นี่สวยจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ภาพของหมู่บ้านที่มีเทือกเขาเป็นองค์ประกอบอยู่ด้านหลังที่งดงาม
เห็นภาพพ่อแม่มีความสุข ลูกหลานก็มีความสุขเนอะ
เมืองนี้มีจตุรัสเล็กๆกลางเมืองด้วยครับ
Salt Mine Hallstatt หรือเหมืองเกลือ
เป็นเหมืองเกลือที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ตัวเมืองอยู่บนเขาสูงด้านหลังของเมือง ต้องขึ้นกระเช้าไปด้วยความสูงชันมากๆ ด้านบนนอกจากจะมีเหมืองเกลือแล้วยังเป็นจุดชมวิวแบบพานอรามาของเมือง Hallstatt วึ่งได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดด้วย
ค่าขึ้นกระเช้า : 12 ยูโรต่อคน
รายละเอียดเพิ่มเติม : http://www.salzwelten.at/en/hallstatt/saltmine/
เวียนนา Vienna นางเอกแห่งทวีปยุโรป
เวียนนาเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรียตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศ เวียนนาอาจจะไม่ได้เป็นเมืองที่คนไทยอยากไปเที่ยวมากนัก แต่จริงๆ แล้วเวียนนานั้นเป็นเมืองที่มีความโรแมนติกมากเมืองหนึ่งของยุโรป เมืองสะอาดและมีความสวยงามเป็นอย่างมาก สังเกตุได้จากศิลปะต่างๆ ที่อยู่ทั่วเมืองเต็มไปหมด
นอกจากความสวยงามของเมืองแล้ว เวียนนนายังได้รับการยอมรับในเรื่องต่างๆ จากสากลอีกมากมาย ไม่่ว่าจะเป็นการถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีในอันดับต้นๆ ของโลกในหลายๆ ปี รวมไปถึงได้รับการขึ้นทะเบียนเมืองมรดกโลกจาก UNESCO
นอกจากนี้เวียนนายังได้รับการขนานนามว่า “The city of Music” เนื่องจากความมีชื่อเสียงด้านเพลงคลาสสิค ซึ่งนักดนตรีจำนวนมากมาย ฝันที่จะได้ไปร่ำเรียนและฝึกฝนดนตรีที่เวียนนา ไม่เพียงแค่นั้น เวียนนายังมีอีกชื่อหนึ่งว่า “The City of Dreams” ซึ่งชื่อนี้มาจากการที่เวียนนาเป็นบ้านเกิดของ Sigmund Freud บิดาของวิชาจิตวิเคราห์
พระราชวังฤดูร้อนเบลเวเดียร์ (Belvedere Palace)
ของเจ้าชายออยเกินแห่งซาวอย (Prince Eugene of Savoy)ด้วยค่ะ ท่านเป็นผู้นำกองทัพแห่งราชวงศ์แฮบส์บวร์ก ที่ทำสงครามจนได้รับชัยชนะพวกเติร์กที่เข้ามารุกราน วังแห่งนี้มีสองส่วน คือ เบลเวเดียร์ส่วนบน (Upper Belvedere) และ เบลเวเดียร์ส่วนล่าง (Lower Belvedere)ซึ่งในอตีดเคยเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของเจ้าชายออยเกิน ส่วนเบลเวเดียร์บนนั้นงดงามกว่าใช้เป็นที่รับรองแขกและจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ค่ะ ปัจจุบันวังแห่งนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงงานศิลปะที่มีชื่อเสียงมาก
ว่ากันว่าเจ้าชายออยเกินนั้นอยากเป็นทหาร แต่ไม่มีใครรับท่านนี้เป็นทหารเลย เนื่องจากท่านเป็นคนรูปร่างเล็ก แต่ในที่สุดราชวงค์ฮับสบวร์กแห่งออสเตรียได้รับท่านมาเป็นนายทหาร จนรบชนะสงครามมามากมาย ถือว่าเป็นแม่ทัพคนสำคัญในสมัยนั้น ด้วยคุณความดีทางราชวงค์เลยพระราชทานที่ดินมาให้สร้างพระราชวังนั่นเอง
สวนกว้างใหญ่อลังการมาก
พระราชวังเชินบรุนน์ Schoenbrunn
ในปี ค.ศ. 1569 สมเด็จพระจักรพรรดิแม็กซิมิเลียนที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ได้ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการซื้อที่ดินที่น้ำท่วมถึงริมฝั่งแม่น้ำเวน ตั้งอยู่ระหว่างเขตเมดลิงกับเขตไฮต์ซิง ที่ซึ่งเดิมประชาชนใช้ทำมาหากินงูและในปี ค.ศ. 1548 ได้มีการสร้างพระที่นั่งที่มีชื่อว่า แคตเตอร์เบิร์ก ซึ่งชื่อพระราชวังเชินบุรนน์ (Schönbrunn) แปลว่าน้ำพุอันสวยงาม ซึ่งชื่อนี้มาจากบ่อน้ำบาดาลที่พุดขึ้นมาบริเวณนั้น
สวนสวยอันกว้างใหญ่ของพระราชวัง
ค่าเข้าชมสวน : ฟรี
ถ้าเข้าชมพระราชวัง 11.5 ยูโรต่อคน
ถ่ายภาพมันส์มากเลยครับ ที่นี่
ดอกไม้ก็สวย บอกเลยว่าฟินมากครับ มาเวียนนาห้ามพลาดที่นี่เด็ดขาด
มหาวิหารเซนต์สตีเฟน St. Stephen’s Cathedral
สถาปัตยกรรมที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแบบโรมานเนสก์ และ กอธิค ริเริ่มโดยรูดอล์ฟที่ 4 ดยุคแห่งออสเตรีย วัดปัจจุบันตั้งอยู่บนซากวัดเดิมที่สร้างก่อนหน้านั้นสองวัด วัดแรกเป็นวัดประจำท้องถิ่นที่ได้รับการสถาปนาในปี ค.ศ.1147 มหาวิหารเซนต์สตีเฟนเป็นสิ่งก่อสร้างที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเวียนนาที่เห็นได้อย่างเด่นชัดจากหลังคากระเบื้องหลากสี
ภายในสวยงามมากครับ ในอดีตตรงนี้ใช้ประกอบพิธีสำคัญมากมาย ถ้าเทียบกับกรุงเทพก็น่าจะสำคัญพอๆกับวัดพระแก้วเราเลย
ถนน Graben แหล่งช้อปปิ้ง Brand Name ครับ เสาสีทองนั้นคือ เสาคอลัมน์ Barogue Plague
บนถนนเส้นนี้มีโบสถ์ที่สวยมากแห่งหนึ่งชื่อว่า Peterkirche ด้านในสวยจริงๆนะ
เลี้ยวจากถนน Graben เข้าสู่ถนน Kohlmarkt ร้านค้าเยอะจริงๆ ที่เห็นไกลๆคือ Hofburg Palace ครับ
Hofburg Palace
เป็นพระราชวังที่ครั้งนึงเคยเป็นที่พักอาศัยของราชวงศ์ออสเตรียฮังการี ตั้งอยู่ใกล้กับ Naturhistorisches Museum และ Kunsthistorisches Museum แต่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นที่พักของประธานาธิบดีของออสเตรีย รวมไปถึงเป็นที่ทำงานของหน่วยงานราชการ แต่ว่าก็ยังมีบางส่วนที่ถูกเก็บรักษาไว้และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม มีสถานที่ Highlight อยู่ด้วยกัน 3 อย่างคือ พิพิธภัณฑ์ของ Hofburg Palace, Schatzkammer หรือ Imperial Treasury และ Spanish Riding School
รถม้าเยอะมากเลย อยากนั่งเหมือนกัน แต่ราคาแอบแรงครับ นั่งไม่ลง เดินดีกว่า
เดินต่อมาอีกนิดจะเจอกับพระราชวังใหม่ Neue Burg ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์วัตถุโบราณ มีพระบรมรูปทรงม้าเจ้าชายออยเกินแห่งซาวอยตั้งสง่าผ่าเผยอยู่ด้านหน้า
ยอมให้ภรรเมียกอดจูบผู้ชายคนนี้ได้เท่าที่อยากทำ ^^
ฝั่งตรงข้ามพระราชวังใหม่ Neue Burg ก็เป็นจตุรัสกว้างๆครับ
เดินตรงมาอีกหน่อยจะเจอกับ Maria-Theresien-Platz ซึ่งถูกขนาบด้วยพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ และพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ ครับ
เส้นถนนวงแหวนของกรุงเวียนนา มีอะไรให้เที่ยวเยอะมาก
ภาพนี้คือ Opera สถานที่แสดงดนตรีอันโด่งดัง
ส่วนอันนี้คือ Karlskirche ถ้าเป็นภาษาอังกฤษคือ St. Charles’s Church ครับ
เดินเล่นไปรอบๆมีที่สวยๆอีกเยอะ ภาพนี้คืออาคารรัฐสภา
ส่วนนี่คือ ศาลาว่าการเมืองเวียนนา
เดินจากศาลาว่าการเมือง จะพบกับ Rooseveltplatz ครับ
บูดาเปสต์ Budapest
เป็นเมืองหลวงของประเทศฮังการีที่รวมเอาสองเมืองเข้าด้วยกัน คือเมือง “บูดา” กับเมือง “เปสต์” รวมกันเมื่อปี 1873 บูดาเปสต์นั้นได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่มีความงดงามติดอันดับโลก จนได้รับสมญานามว่า “บูดาเปสต์ ไข่มุกแห่งแม่น้ำดานูบ” ด้วยเพราะทัศนียภาพบนสองฝั่งแม่น้ำดานูบ (Danube) หรือที่คนฮังกาเรียนเรียกขานว่า ดูนา (Duna) เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านกลางเมือง ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำดานูบ มีภูมิประเทศเป็นเนินเขาสลับซับซ้อนเรียกว่าฝั่งบูดา (Buda) เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างสถาปัตยกรรมโบราณและศิลปวัฒนธรรมอันเก่าแก่ ส่วนฝั่งเปสต์ (Pest) มีลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นราบ เป็นย่านธุรกิจการค้าที่สำคัญของเมือง
สะพานเชน (Chain Bridge) หรือสะพานโซ่
เป็นอีกหนึ่งสิ่งก่อสร้างที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของบูดาเปสท์ สะพานเชนแห่งนี้เป็นสะพานถาวรแห่งแรกที่ทอดตัวข้ามแม่น้ำดานูบ สร้างโดยวิศวกรชาวอังกฤชื่อ William Tierney Clark เหล็กทุกชิ้นล้วนนำมาจากอังกฤษ เป็นสะพานที่มีความสวยงามอย่างมาก มีรูปปั้นแกะสลักสิงห์โตที่สะพาน
ยิ่งยามค่ำคืนสะพานจะสว่างไสวไปด้วยไฟราวที่ถูกประดับประดาไว้ยิ่งสร้างความงามตาให้กับสะพานอย่างยิ่งยวด
โบสถ์แมทเทียส (Matthias Church)
เป็นโบสถ์ใหญ่เก่าแก่อายุ 700 ปี ที่ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โบถส์แห่งนี้ตั้งชื่อตามพระนามของกษัตริย์แมทเทียส กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฮังการี เมื่ออดีตโบสถ์แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีเถลิงราชสมบัติของกษัตริย์แห่งฮังการี แต่ในช่วงที่ฮังการีถูกรุกรานจากกองทัพเติร์ก สมบัติส่วนใหญ่ถูกขนออกไป และถูกเปลี่ยนสภาพให้เป็นมัสยิสหลักของเมืองภายใต้การปกครองของตุรกีในปี ค.ศ.1541 และในช่วงสงครามขับไล่กองทัพเติร์ก โบสถ์แมนเทียสได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก กระทั่งเมื่อสงครามสงบลงจึงมีการบูรณะโบสถ์แมทเทียสให้กลับมายิ่งใหญ่และงดงามดังเดิม มีหลังคาสลับสีอันสวยงามตามสไตล์นีโอ-โกธิค ส่วนด้านโบสถ์ประดับประดาไปด้วยภาพเขียนสี และกระจกสีที่บอกเล่าเรื่องราวทางศาสนาที่งดงามเกินคำบรรยาย
อนุสาวรีย์ของพระเจ้าสตีเฟ่นที่ 1 ตั้งเด่นเป็นสง่าให้ได้ชมกันเป็นอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าผลงานประติมากรรมที่งดงามของศตวรรษที่ 11 ตั้งอยู่หน้าป้อมชาวประมง (Fishermen’s Bastion) ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.1905 โดยกลุ่มชาวประมงฮังกาเรียน สร้างขึ้นไว้เพื่อรำลึกถึงความกล้าหาญของชาวประมงผู้เสียสละชีวิตปกป้องบ้านเมืองในคราวที่ถูกพวกมองโกลเข้ามารุกรานเมื่อปี 1241 – 1242
บนป้อมชาวประมงนี้ถือว่าเป็นจุดชมวิวรอบเมืองบูดาที่สวยที่สุด สามารถชมความงามของแม่น้ำดานูบได้แบบพาโนรามา มองเห็นสะพานเชน และอาคารรัฐสภาฮังการีริมแม่น้ำดานูบที่งดงามตรึงตา ประทับใจกับการที่ได้มาเยือน “บูดาเปสต์” นครหลวงอันงดงามแห่งสาธารณรัฐฮังการี
อาคารรัฐสภาฮังการี (Hungary Parliament)
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันตระการที่ไม่ควรพลาดมาเที่วชม ถือว่าป็นสัญลักษณ์ของฮังการี อาคารรัฐสภาตั้งโดดเด่นอยู่ริมแม่น้ำดานูบบนฝั่งเปสต์ เป็นอาคารรัฐสภาที่ชาวฮังกาเรี่ยนภูมิใจว่าเป็นอาคารรัฐสภาที่สวยที่สุดในโลก เพราะตัวอาคารมีความสวยงามด้วยสภาปัตยกรรมแบบนีโอโกธิคที่ดูคลาสสิคด้วยหลังคาสีแดง อาคารรัฐสภาแห่งนี้เริ่มสร้างเมื่อปี ค.ศ.1885 และใช้เวลากว่า 20 ปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ โดยรูปแบบอาคารได้รับอิทธิพลมาจากอาคารรัฐสภาแห่งลอนดอน สหราชอาณาจักร
เจ้าตัวน้อยถึงตัวจะเล็กแค่นี้ แต่เปรียบเสมือนเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของผมเลย
ในชีวิตนี้ไม่ได้หวังอะไรมากมาย ขอแค่เพียงลูกผมยิ้มได้ ผมก็สุขใจเกินพอแล้ว
มหาวิหารเซนต์สตีเฟน (St.Stephen Basilica)
ตั้งอยู่ใจกลางเมืองสูงโดดเด่นเป็นสง่าในฝั่งเปสต์ เป็นมหาวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เซนต์สตีเฟน กษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชอาณาจักรฮังการี สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1851 เสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ.1905 ใช้เวลากว่า 54 ปีในการก่อสร้าง มหาวิหารแห่งนี้มีความสูงถึง 96 เมตร ถือว่าป็นอาคารที่มีความสูงที่สุดในบูดาเปสต์
ภายในมหาวิหารโอ่โถงอลังการท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ การตกแต่งภายในถึงแม้จะดูเรียบง่ายแต่ก็แฝงไว้ด้วยความงดงามทางสถาปัตยกรรม
ฮีโร่สแควร์ (Hero Square)
สถานที่แห่งนี้เป็นลานโล่งกว้างขนาดใหญ่ ที่มีอนุสาวรีย์แห่งสหัสวรรษ (Millennium Memorial) ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานฮีโร่สแควร์ อนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการก่อตั้งอาณาจักรฮังการีครบรอบหนึ่งพันปี เสาสูงตระหง่านของอนุสาวรีย์ เป็นที่ตั้งของรูปหล่อเทวทูตกาเบรียล อันเป็นสัญลักษณ์ของคริสตจักรโรมันคาทอลิกที่เป็นดั่งหลักของอาณาจักรฮังการี รอบเสาสูงเป็นที่ตั้งของรูปหล่อผู้นำของชนเผ่าทั้ง 7 ที่ร่วมกันก่อตั้งอาณาจักรฮังการีขึ้นเมื่อคริสตศวรรษที่ 9
นอกจากนี้ยังมีเสาระเบียงโดยรอบที่ประดับประดาไปด้วยรูปหล่อของบุคคลสำคัญของฮังการี ไม่ว่าจะเป็นอดีตกษัตริย์ นักปราชญ์ และบุคคลในประวัติศาสตร์ของฮังการี ซึ่งในช่วงที่มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้ขึ้น ฮังการียังคงอยู่ภายใต้จักรวรรดิออสเตรีย ดังนั้นรูปหล่อบางรูปในขณะนั้น จึงเป็นบุคคลจากราชวงศ์ฮับสบวร์กแห่งออสเตรีย แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง อนุสาวรีย์แห่งนี้ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก การบูรณะหลังจากนั้นได้มีการเปลี่ยนรูปหล่อของบุคคลจากราชวงศ์ฮับสบวร์กทั้งหมดให้เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ฮังการี สอดคล้องกับสภาพการเมืองในขณะนั้นที่จักรวรรดิออสเตรียล่มสลายลง และฮังการีได้แยกตัวออกมาเป็นประเทศเอกราช
สองคุณนายนั่งเล่นกันสบายใจเลย
ปราสาท Vajdahunyad Castle
อยู่ถัดไปด้านหลังของ Hero Square สร้างเพื่อเฉลิมฉลองครบ 1,000 ปี ของอาณาจักรฮังการี ได้จำลองส่วนสำคัญๆของสถานที่ต่างๆในประเทศฮังการีมารวมไว้ที่นี่ และได้ผสมผสานกับปราสาท Hunyad Castle หรือปราสารทแดร็คคิวล่าในโรมาเนียมารวมไว้ด้วย ปัจจุบันด้านในเป็นพิพิธภัณฑ์การเกษตรครับ
ค่าใช้จ่ายของทริปนี้รวม 6 ชีวิต 14 วัน 2,500 km พิชิต 4 ประเทศ 11 เมือง คือ 338,581.17 เฉลี่ย 6 คน = 56,430.19 (รวม ตั๋วเครื่องบิน วีซ่า ที่พัก อาหาร รถเช่า น้ำมัน ขนม ของฝาก ทุกสิ่งอย่าง
– ตั๋วเครื่องบิน 149,021.59 บาท
– วีซ่าและประกันการเดินทาง 15,302 บาท
– ที่พัก 57,547.48 บาท
– อาหาร 23,230.48 บาท
– ค่าเช่ารถและการเดินทาง 30,309.29 บาท
– น้ำมันรถ 13,422.03 บาท
– ค่าจอดรถ 1,888.45 บาท
– ของว่าง น้ำดื่มระหว่างวัน 1,720.20 บาท
– ของฝาก 27,502.89 บาท
– ห้องน้ำและค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด 334.68 บาท
หากใครไม่ช้อปปิ้งของฝาก หรือไม่ทานขนมและน้ำอัดลม น่าจะประหยัดกว่าที่ผมทำได้นะครับ
ค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทางแบบละเอียดยิบไว้แตกย่อยในตอนย่อยของรีวิวฉบับเต็มนะครับ
จากทริปเดินทางท่องเที่ยวยุโรปตะวันออกด้วยตัวเองทริปนี้ ผมมีเรื่องเล่ามากมายที่จะอยากเล่าให้ฟัง แต่คงไม่สามารถเล่าได้จบในตอนเดียว ตอนนี้จึงขออารัมภบทไว้เพียงเท่านี้ก่อน
แล้วพบกับฉบับเต็มของรีวิวขับรถเที่ยวยุโรปตะวันออก : 6 ชีวิต คน 3 รุ่น อายุ 2 ขวบยัน 65 ปี กับ 14 วัน 2,500 km พิชิต 4 ประเทศ 11 เมือง ไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน ในตอนถัดไปนะครับ
ตอนที่ 2 มาแล้วจ้า –> เที่ยวปรากด้วยตัวเอง Prague : 6 ชีวิต คน 3 รุ่น อายุ 2 ขวบยัน 65 ปี กับ 14 วัน 2,500 km พิชิต 4 ประเทศ 11 เมือง ไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน
ขอขอบคุณพระคุณของบิดามารดาที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดู หากมีบุญกุศลใดๆที่เกิดจากการแบ่งปันข้อมูลการเดินทางครั้งนี้ ลูกขออุทิศบุญกุศลนั้นให้แด่บิดามารดาของผมและภรรยาด้วยเทอญ
ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมชมรีวิว หวังว่าคงจะได้รับข้อมูลในการเดินทาง ความสุขแบบครอบครัว และแรงบันดาลใจเพื่อออกไปท่องโลกกว้างกันไม่มากก็น้อย
ปล.หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share
หรืออยากใกล้ชิดกันมากขึ้น แอด Line มาได้เลย มีรีวิวใหม่จะส่งไปบอก อยากคุยกับแอดมิน Line มาคุยเลยจ้า ID : @2Madames กดตรงนี้ก็ได้
หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป