ทริปพาครอบครัวใหญ่เที่ยวประเทศออสเตรเลีย Australia เกิดจากความตั้งใจที่จะพาครอบครัวที่ประกอบด้วยคน 3 รุ่น คือรุ่นปู่ย่า รุ่นผู้ใหญ่ และรุ่นเด็กๆ กับการไปเที่ยว 12 วัน ในงบประมาณไม่เกิน 50,000 บาทต่อคน ถึงงบประมาณจะไม่สูงแต่ต้องกินกระจุย เที่ยวกระจาย ที่พักต้องมีห้องนั่งเล่นและครัว ต้องนอนสบายทุกคืน เช่ารถขับจะได้ไม่ต้องแบกกระเป๋าหนักๆขึ้นรถไฟ ทริปนี้เราใช้เงินไปทั้งหมด 342,856 บาท รวมตั๋วเครื่องบิน, วีซ่า, อาหาร, การเดินทาง, ค่าท่องเที่ยวทุกสิ่งอย่าง สำหรับสมาชิก 7 คน หากนำค่าใช้จ่ายมาหาร จะเท่ากับ 48,979 บาทต่อคน แต่ถ้านับเด็ก 2 คนเป็นผู้ใหญ่ 1 คน หาร 6 จะเท่ากับ 57,143 บาทต่อคนครับ
ความตั้งใจในทริปนี้ของผม คือการพาอาม่าอากง (คุณพ่อคุณแม่วัยหกสิบปี) ไปเที่ยวในยามที่ยังสามารถเที่ยวไหว และพาลูกสาวลูกชายไปเปิดประสบการณ์โลกใบใหญ่กว่าเดิมให้กับชีวิตของพวกเค้า กับการท่องเที่ยวในทวีปที่ผสมผสานธรรมชาติและความเจริญของเมืองใหญ่เข้าด้วยกันอย่าง Australia
ภารกิจ คือ ความสุขและความประทับใจของทุกคนในครอบครัว การเดินทางในออสเตรเลียต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง จะสนุกแค่ไหน มีอะไรเที่ยวบ้าง ตามไปชมรีวิวกันเลยนะครับ
แผนการเที่ยวครั้งนี้ เราบินลงและกลับที่ Sydney แต่มีการไป Melbourne ด้วย การเดินทางระหว่างสองเมืองใหญ่ เราใช้วิธีนั่งเครื่องบินของ Tiger Air นะครับ โดยรวมแผนเป็นแบบนี้
8 เม.ย. นั่งเครื่องบินสายการบิน Air Asia X ไปยัง Sydney
9 เม.ย. ถึง Sydney รับรถเช่า ไปเที่ยวในเมืองชมวิว Opera House แถว Mrs. Macquarie’s chair
10 เม.ย. บินจาก Sydney ไปยัง Melbourne รับรถเช่า แล้วตรงไปดู Penguin Parade ที่ Phillips Island ระหว่างทางแวะเที่ยว MARU Koala & Animal Park
11 เม.ย. เที่ยวฟาร์มสตอเบอร์รี่ที่ Sunny Ridge Strawberry Farm แล้วตรงเข้าที่พักที่ Melbourne ขึ้นชมวิวมุมสูงของเมืองที่ตึก Eureka Skydeck
12 เม.ย. เที่ยวในเมือง Melbourne นั่งรถ Tram ชมเมือง แวะดู Parliament, โบสถ์ St.Patrick, Shot Tower, Federation square แล้วเดินเล่น Queen victoria market แล้วถ่ายรูปย่าน Web Bridge แล้วไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ St Kilda Pier
13 เม.ย. ออกเดินทางสู่ Great Ocean Road ชมประภาคาร Otway Lighthouse
14 เม.ย. ครึ่งเช้าเก็บตก 12 Apostles, London Bridge, Loch Ard Gorge, The Arch ขับรถเที่ยวเมือง Cowboy Ballarat sovereign hill
15 เม.ย. บินกลับสู่ Sydney เดินเล่นย่าน Thai Town, St.Mary’s Cathedral, ข้ามสะพาน Harbour Bridge ชมวิวอ่าวเมืองซิดนีย์ที่ Milsons Point
16 เม.ย. ออกนอกเมืองไปเที่ยว Featherdale Wildlife Park และ Scenic World
17 เม.ย. เดินเล่นย่าน The Rocks เดินเล่น Shopping ในเมือง เดินเล่นห้าง David Jone และ Queen Victoria Building
18 เม.ย. ออกเดินทางกลับสู่ประเทศไทย
19 เม.ย. ถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ
การเตรียมตัวเดินทาง
1.) วีซ่า สามารถยื่นผ่านตัวแทน VFS รายละเอียดเอกสารที่ต้องเตรียม http://www.vfsglobal.com/Australia/Thailand// มีค่าธรรมเนียมเล่มละ 3,900 บาท และ VFS คิดค่าบริการอีก 600 บาท รวมเป็น 4,500 บาทต่อคน
หรือใครอยากประหยัดไม่อยากเสียค่าธรรมเนียมให้ VFS จะส่งเอกสารไปยังสถานทูตเองก็ได้ครับ
2.) อากาศ
ฤดูใบไม้ผลิ กันยายน-พฤศจิกายน อากาศดี ดอกไม้บานสวยงาม
ฤดูร้อน ธันวาคม-กุมภาพันธ์ อากาศร้อนและแห้งแล้ง บางแห่งร้อนจัดและอาจมีไฟป่า
ฤดูใบไม้ร่วง มีนาคม-พฤษภาคม อากาศเริ่มเย็นลง ตามเมืองชายฝั่งทางตอนใต้และเมืองในเขตป่า ฝนจะตกชุก บางแห่งอาจมีน้ำท่วม
ฤดูหนาว มิถุนายน-สิงหาคม อากาศเย็นจัดมีหิมะตกบนเขตภูเขาสูงโดยทั่วไป
3.) ค่าเงิน 1 Australia Dollar เท่ากับ 25.45 บาทไทย (เม.ย. 58) ดูอัตราแลกเปลี่ยน http://superrichthai.com/exchange.aspx
อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ไม่อยากพกเงินสดเวลาเดินทางต่างประเทศ คือ การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ไม่ต้องเสี่ยงกับการพกเงินสด ซึ่งเวลาถูกล้วงกระเป๋าก็ไม่มีใครมารับผิดชอบแทนเราได้ แถมใช้จ่ายทานอาหารหรือช้อปปิ้งแล้วยังได้คะแนนเพื่อไปแลกเครดิตเงินคืนอีกด้วย
ช่วงนี้มีโปรของบัตรเครดิตธนชาต รับเงินคืนสูงสุด 11,520 บาท หรือ 115,200 คะแนน เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรที่ต่างประเทศ
ใช้จ่ายสะสมครบ รับคะแนนสะสมเพิ่มเป็น
10,000 บาท ต่อเดือน X2
50,000 บาท ต่อ เดือน X4
120,000 บาท ต่อ เดือน X6
โปรโมชั่นนี้ถึง 30 มิ.ย. 58 นะครับ
รายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครบัตร : http://www.thanachartcreditcardworld.com/
4.) หัวปลั้กไฟ ไม่เหมือนไทยนะครับ ต้องเตรียมหัว International Adapter ไปด้วยนะ แต่กระแสไฟ Volt เหมือนไทยนะครับ
5.) Internet ทริปนี้ผมเช่า Pocket Wifi จากไทยไปครับ ผมเลือกใช้ของ Global Wifi http://globalwifi-thai.com/ เพราะครอบครัวใช้มือถือกันหลายเครื่องจะซื้อ Sim ให้ทุกเครื่องคงจะไม่คุ้มเท่าเช่า Pocket Wifi ไปเลยดีกว่า สัญญาณอินเตอร์เนตดีงามตลอดทริป ใช้ได้วันละ 500 Mb ครับ
6.) เวลา ฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย เร็วกว่าไทย 3 ชั่วโมงครับ เช่น ไทย 8:00 น. ที่ Australia จะคือ 11:00 น.
7.) อาหารและเสบียงที่เตรียมไปจากไทย
การจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเวลาไปต่างประเทศ หนึ่งอย่างเลยที่มีผลเยอะที่สุดคือ ค่าอาหารครับ ถ้าเราไปทานตามร้านอาหารในต่างประเทศ จานหนึ่งต่อคนที่ออสเตรเลียประมาณ 10-30 เหรียญ (250-750 บาท) กินเจ็ดคนก็หลายพันบาทต่อมื้อ ซึ่งเราจะซื้อทานเฉพาะมื้อกลางวัน ที่ออกเที่ยวจำเป็นต้องซื้อเท่านั้น
ส่วนมื้อที่เหลือเราจะทำกินกันเองจากที่พัก (จองที่พักแบบที่มีครัวไว้ทุกคืน) เครื่องปรุงเช่นเครื่องแกง น้ำมัน ซีอิ้ว มาม่า โจ๊กซอง ขนไปจากไทยครับ ส่วนของสดเดี๋ยวไปสอยตาม Supermarket ที่นั่นครับ ราคาก็ถูกกว่าตามร้านอาหารมาก แค่นี้ก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปอย่างมากมายมหาศาลครับ
นอกจากประหยัดแล้ว การได้ทานอาหารไทยก็ยังถูกปาก ช่วยลดอาการคิดถึงเมืองไทยไปได้บ้าง ดีกว่าไปกินเบอร์เกอร์ ขนมปังติดๆกันหลายๆมื้อคงแย่ครับ
วิธีการนำอาหารเข้าออสเตรเลีย
ภรรยาผมจัดเตรียมเสบียงขนไปทำอาหารกันที่ออสเตรเลีย 1 กระเป๋าเดินทางเลย ได้ยินข่าวว่า Customs ที่นั่นโหดมาก เราจึงเขียนเอกสาร 1 ใบ Declare ทุกสิ่งอย่างไว้เลย อันไหนเข้าได้ก็ดี อันไหนเข้าไม่ได้ก็ทิ้งจ้า ทำใจไว้แล้ว แต่พอเดินทางจริงผ่านเกือบหมดครับ ยกเว้นยี่ห้อโรซ่าที่เป็นอาหารปรุงสำเร็จพร้อมทานที่โดนทิ้งหมดครับ Customs ให้เหตุผลว่าจับดูแล้วมันเป็นเนื้อๆแฉะๆเลยไม่อนุญาตินะจ๊ะ
ด้วยการเดินทางรั้งนี้มีสมาชิกหลายคน แถมยังมีเด็กและ สว. (สูงวัย) เดินทางไปพร้อมกัน คงไม่สะดวกที่จะแบกกระเป๋าเดินทางหนักๆขึ้นรถไฟ ทริปนี้ทั้งทริปเลยใช้วิธีเช่ารถตู้ขับครับ ทริปนี้ใช้บริการของ East Coast ข้อดีคือ ถูกสุดครับ แต่ข้อเสียคือ ไม่มีศูนย์ที่สนามบิน ต้องรับและคืนรถที่ศูนย์ที่ห่างจากสนามบินประมาณ 10 นาที แต่เค้าจะมีบริการรับ-ส่งที่สนามบินนะ โดยพอเราถึงสนามบินก็โทรไปบอกเค้า เค้าจะส่งรถมารับครับ บอกตรงๆว่าหลังจากลองแล้ว ต้องบอกเลยว่าถ้าไม่รีบเร่งก็ยังพอโอเค แต่ถ้าต้องทำเวลาไปสนามบิน มันไม่สะดวกเลยครับ แนะนำให้ใช้บริการเช่าจากแบรนด์ใหญ่ๆที่มีศูนย์ที่สนามบินเลยจะดีกว่า
ในภาพเป็น Toyota Commuter 12 ที่นั่งที่ผมเช่าที่ Sydney
ส่วนที่ Melbourne เราเช่ายี่ห้อ Hyundai Imax นั่งได้สูงสุด 8 คน
Tip : เวลาจองรถเช่าไปต่างประเทศหลายๆวัน อย่าจองรถที่นั่งพอดีมากเกินไปนะครับ เพราะเราอย่าลืมว่าเรามีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปด้วย อาจจะทำให้ใส่สัมภาระไม่พอได้ เวลาผมจองผมจะเผื่อไปอย่างน้อย 1 ที่นั่งเสมอ เช่น เดินทาง 7 คน จะจองรถ 8 ที่นั่งครับ
นี่ไงครับ เดินทางสิบกว่าวัน กระเป๋าใบใหญ่เยอะมาก คำนวณไม่ดี รถอาจจะไม่พอนะ
การเติมน้ำมันที่ Australia ไม่มีเด็กปั้มครับ ต้องเติมเองนะ บางคนที่ไม่เคยอาจจะกังวล แต่ที่จริงไม่ยากหรอก เติมเสร็จแล้วก็จำหมายเลขหัวจ่ายไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ได้เลยครับ
การจอดรถ หากคุณขับรถเที่ยวในเมือง ป้ายระเบียบการจอดในเมืองเป็นสิ่งจำเป็นต้องรู้ไว้ครับ
S คาด หมายถึงห้ามจอดทุกกรณี และเครื่องหมายลูกศรก็มีความสำคัญนะ กรณีนี้บ่งบอกว่าห้ามจอดตั้งแต่ด้านซ้ายมือของป้ายนี้เป็นต้นไป
4P Ticket หมายถึง จอดได้สูงสุด 4 ชั่วโมง ต้องหยอดเงิน Ticket ที่เครื่อง ในช่วงเวลาที่กำหนดคือ 7.30น.-18.30น. เฉพาะวันจันทร์-ศุกร์
2P หมายถึง จอดได้สูงสุด 2 ชั่วโมง ไม่ต้องเสียเงิน ในช่วงเวลาที่กำหนด คือ 7.30น.-12.30น. ทุกๆวันเสาร์
ถ้าไม่มีระบุอะไรเลยแปลว่าจอดได้ฟรีๆ เช่น ช่วงค่ำๆวันธรรมดา, บ่ายๆเย็ยๆวันเสาร์ หรือ วันอาทิตย์จอดได้ทั้งวัน
หน้าตาเครื่องจ่ายเงินค่าจอดรถครับ รับแค่เหรียญกับบัตรเครดิตนะครับ แนะนำให้ทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดนะครับ เพราะที่นี่มีคนเดินตรวจอยู่ตลอดเวลา การลักไก่อาจจะทำให้ท่านโดน Ticket ค่าปรับมหาศาลแทนได้
หลังจากเราเตรียมเครื่องปรุงมาจากไทยแล้ว แต่ของสดจำเป็นต้องซื้ออาจาก Supermarket ครับ Supermarket ที่มีเยอะก็พวก Coles, Woolworths คล้ายๆ Lotus, Big C บ้านเราครับ
ราคาก็จะประหยัดกว่าการไปซื้อกินจากร้านอาหารมากโข มาดูตัวอย่างราคากันนะครับ
อาหารกึ่งสำเร็จรูปแบบพวกเอาเข้าไมโครเวฟได้เลย (เหมาะกับคนที่ไม่อยากปรุงอาหารขั้นตอนเยอะๆ) ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 7 เหรียญ (175 บาท) ในขณะที่ตามร้านอาหาร ราคาอาหารจะประมาณ 15-30 AUD/จาน ทานกันครอบครัวใหญ่ก็ช่วยประหยัดต่อมื้อได้เยอะอยู่
หมูสับ 11 AUD ต่อกิโล หรือประมาณ 275 บาทต่อกิโลครับ
พวกเนื้อ Beef ของ Australia อร่อยมาก หากเช่าที่พักที่มีครัว ส่วนใหญ่จะมีเตาอบมาให้ด้วย เราสามารถซื้อไปอบเองได้ที่บ้านเลย ปกติกินเนื้อนำเข้าที่ไทยจานละเป็นพัน แต่ทานที่ออสเตรเลียแท้ๆ ไม่ต้องนำเข้า ถูกมากอ่ะ บางครั้ง 200 บาทก็ฟินได้แล้ว
ผักต่างๆที่ออสเตรเลีย มีให้เลือกน้อยมากอ่ะ แถมแพงครับ พวกบล็อกโคลี่หัวละประมาณ 3 เหรียญ เทียบกับไทยก็แพงอยู่
ผลไม้ที่นี่สิ ถูกและอร่อยจริงๆ สตอเบอร์รี่ถูกและอร่อยมาก
แต่ที่ครอบครัวผมชอบมากคือ ลูกพลับครับ อร่อยหอมหวาน แถมถูกเหลือเชื่อ ซื้อกลับขนกลับมากินที่ไทยเยอะเลย ห้ามพลาดขอบอก
การจองที่พักในทริปนี้ เราจองผ่านเว็บ Airbnb เป็นส่วนใหญ่
สำหรับใครยังไม่รู้จัก airbnb อธิบายง่ายๆก็คือ เป็นเว็บตัวกลางระหว่างคนที่มีบ้านหรือห้องให้เช่ากับคนที่กำลังหาที่พัก ดังนั้นลักษณะที่พักแต่ละที่จึงมีลักษณะคล้ายบ้านมากกว่าโรงแรม ขนาดห้องพักก็จะใหญ่กว่า บางที่ก็อยู่ในทำเลดีมาก แถมตกแต่งน่ารักไม่เหมือนใครด้วย ข้อเสียก็คือ จะไม่มีอาหารเช้า และสิ่งอำนวยความสะดวกแบบโรงแรม แต่ถ้าใครไม่แคร์ผมว่าดีกว่านอนโรงแรมเยอะครับ
Sydney และ Melbourne สองเมืองประเทศ Australia ที่มีค่าครองชีพแพงระดับต้นๆของโลก โรงแรมระดับ 3-4 ดาวของทั้งสองเมืองจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3,000-5,000 บาทต่อคืนต่อห้องพักที่นอนได้ 2 คน ถ้าหากคุณเดินทาง 6 คนอาจจะต้องเตรียมงบหมื่นกลางๆขึ้นไป
แต่บ้านพักที่ Sydney จองผ่าน Airbnb มา บ้านพัก 3 ห้องนอนพร้อมห้องนั่งเล่น และห้องครัวน่ารักๆพร้อมอุปกรณ์ครบชุด บ้านหลังนี้ใหญ่พอสมควร ตั้งในทำเลที่ห่างจากแหล่งท่องเที่ยวของ Sydney ไม่เกิน 10 นาทีขับรถ ราคาคืนละ 10,384 บาท ค่าทำความสะอาด 1,247 บาท รวมเป็น 11,632 บาทต่อคืนครับ (ค่าทำความสะอาดจะเก็บเพียงครั้งเดียว ดังนั้นถ้าจองที่พักหลายคืน เมื่อนำค่าทำความสะอาดมาเฉลี่ย ก็จะได้ราคาต่อคืนถูกลงไปอีกครับ)
ห้องครัวสวยงามมาก อุปกรณ์จัดเต็มมากมีหมดครับ ทั้งเตาแก๊ส, เตาไมโครเวฟ, เตาอบ, เครื่องล้างจาน, ตู้เย็น, จานชามช้อนส้อม และหากใครอยากจะซักผ้า เค้ามีเครื่องซักผ้าและตู้อบผ้าไว้ให้ด้วย เรียกว่าครบถ้วนยิ่งกว่าอยู่ที่บ้านอีก
ภาพนี้คือห้องนั่งเล่นครับ นั่งกันได้ทั้งครอบครัว
ห้องนอนน่ารักมาก
ทางเข้าบ้านมีสวนหย่อมเล็กๆ เด็กๆชอบบ้านแบบนี้มาก
ผู้ใหญ่ก็ชอบเช่นกัน เพราะมีช่วงเวลาอาหารเย็นที่เหล่าอาม่าและคุณนายแอนภรรยา สามแม่ครัวปรุงง่ายๆจากครัวของที่พัก น่ากินมาก วัตถุดิบก็ซื้อมาจาก Supermarket แสนประหยัด
ส่วนคนกินอย่างผมก็มีความสุขกับอาหารไทยที่ทำให้หายคิดถึงบ้านไปด้วย
อาหารทะเลก็ทำได้นะ ไปซื้อกุ้งและปลามาจาก Fish Market อร่อยและประหยัดสุดๆ
ตัวอย่างอาหารที่ทำทานกัน ถ้าใครเคยไปต่างประเทศคงน่าจะคิดเหมือนผมนะว่า อาหารไทยที่ต่างประเทศมันช่างอร่อยเป็นสองเท่าเลย
นอกจากรสชาติอาหารที่คุ้นเคยแล้ว การได้นั่งทานอาหารร่วมโต๊ะกันกับครอบครัว จะบอกว่ามันอบอุ่นที่สุดเลย
ใครสนใจจองที่พักแบบนี้ สามารถเข้าไปชมวิธีการจองได้เลยที่ แนะนำ Airbnb เว็บจองที่พักสำหรับครอบครัว บ้านน่ารักๆกับราคาเป็นมิตรสบายกระเป๋า
เขียนเกี่ยวกับการเตรียมตัวมาเยอะแล้ว เริ่มเดินทางเที่ยวกันเลยดีกว่า ทริปนี้ใช้บริการสายการบิน Air Asia X บินจากสนามบินดอนเมืองไปเปลี่ยนเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ 1 ตุ๊บ แล้วบินยาวๆไปซิดนีย์ครับ
บนเครื่อง Air Asia X ก็ตามสไตส์ Low Cost ครับ ไม่มี TV หรือความบันเทิงใดๆเลย อาหารและเครื่องดื่มจ่ายเพิ่มต่างหากครับ แต่จองครั้งนี้ได้โปรบินไปกลับถูก แค่คนละ 13,xxx บาทต่อคน ก็ถือว่ายอมๆครับ นั่งไปหลับไปเด๋วก็ถึง
เริ่มเที่ยวกันที่เมืองแรกของเรากับเมืองซิดนีย์
ซิดนีย์ เป็นเมืองหลวงของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย มีประชากรมากว่า 4 ล้านคนและเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในออสเตรเลีย[1] ซิดนีย์ ตั้งเมืองขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2331 บนหาดฝั่งทางตะวันออกของออสเตรเลียเมื่ออาร์เธอร์ ฟิลิปป์ และลูกเรือขึ้นฝั่งและอ้างกรรมสิทธิของอังกฤษเหนือดินแดนออสเตรเลีย
มุมมหาชนที่หากใครเดินทางมาเยือนที่ซิดนีย์ แล้วต้องการจะชม Opera House และสะพาน Harbour Bridge ชัดๆ ให้มาที่ Mrs. Macquarie’s chair ครับ
มุมนี้มันสวยแบบนี้นี่เอง
ผมได้สัญญากับภรรยาไว้ว่า จะพาเธอไปอุ้มทั่วทุกที่บนโลกใบนี้ และครั้งนี้ก็เป็นการอุ้มอีกครั้งที่สวยงามที่สุดครั้งหนึ่ง
จากตรงนี้จะสามารถมองไปเห็น CBD ย่านธุรกิจของเมือง Sydney ด้วยครับ
St. Mary Catherdral มหาวิหารเซนต์แมรี่ ตั้งโดดเด่นอยู่บน College Street ข้างๆ Hyde Park วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นโดยการริเริ่มของ Governor Macquarie เพื่อมอบให้หลวงพ่อ Joseph Therry บาทหลวงผู้ซึ่งเข้ามาที่นิคมแห่งใหม่ของ NSW ในปี 1820 Governor Macquarie เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ด้วยตนเอง แต่โบสถ์แห่งนี้ถูกไฟไหม้เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 1865 ชิ้นส่วนของโบสถ์ดั้งเดิมที่เหลืออยู่มีเพียงส่วนหนึ่งของเสาทางด้านตะวันออกของตัวโบสถ์หลังใหม่เท่านั้น
โบสถ์ที่เราเห็นในปัจจุบันออกแบบโดย William Wardell การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี 1868 เปิดให้บริการทางศาสนาในปี 1882 การบูรณะปฎิสังขรณ์เสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 2 กันยายน 1928 และมีการสร้างส่วนของอาคารที่มียอดแหลมของโบสถ์อีก 2 อาคารทางด้านใต้ ซึ่งพึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2000 นี่เอง โบสถ์แห่งนี้ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 132 ปีทีเดียว นับเป็นความพยายามของผู้ปกครองเมืองที่ต้องการบูรณะให้ความรุ่งโรจน์ที่เสียหายให้กลับมามีชีวิตที่งดงามอีกครั้งหนึ่ง
ตัวโบสถ์ของ St. Mary Cathedral ดูเหมือนเป็นศิลปะแบบโกทิกสีปูนเข้มที่เห็นในลอนดอน ส่วนยอดตรงทางเข้าของโบสถ์มียอดแหลมสองมุมที่แทรกตัวขึ้นไปตัดกับสีน้ำเงินเข้มของท้องฟ้าดูสวยงาม
เมื่อผ่านประตูไม้รูปโค้งบานใหญ่ด้านข้างของโบสถ์เข้าไป มีรูปแกะสลักด้วยหินอ่อนสีขาวเลียนแบบรูป La Pieta ของ ยอดศิลปินชาวอิตาลี Michel Angelo บอกเรื่องราวของศาสดาที่อยู่ภายในอ้อมกอดของพระแม่มารีหลังการตรึงไม้กางเขน ความอ่อนช้อยของรูปสะท้อนให้เห็นถึงความละเมียดละไม วิถีแห่งความเชื่อ สายธารแห่งศรัทธา และการอุทิศตนของช่างฝีมือชั้นครูที่บรรจงสอดใส่ทุกรายละเอียดในการบอกเรื่องราว
สะพานฮาร์เบอร์ (อังกฤษ: Harbour Bridge) มีโครงสร้างผิวจราจรพาดผ่านโครงเหล็กถักรูปโค้ง (แบบ Trussed Through Arch) ตั้งอยู่บนอ่าวซิดนีย์ กลางเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นสะพานระนาบเดี่ยว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในทศวรรษ 1930 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง เปิดใช้ในปีค.ศ. 1932
มุมมหาชนอีกมุมจาก Milsons Point
ข้างๆ Milsons Point จะเป็นสวนสนุก Luna park
ที่ซิดนีย์ มีคนไทยอยู่เยอะมากขนาดที่ว่าบน ถนน Campbell Street จะมีชุมชนชาวไทย หรือที่เรียกว่า Thai Town ตั้งอยู่เลยครับ บริเวณนี้จะสามารถพบเจอคนไทยมากเป็นพิเศษ นอกจากนั้นจะมีร้านค้าไทย ร้านอาหารไทย โดยมีป้ายร้านภาษาไทยเขียนให้อ่านจากท้องถนนได้
บรรยากาศภายในร้านพรทิพย์ ร้านขายของไทย มีสินค้าฉลากภาษาไทยเยอะมาก เครื่องปรุง น้ำปลา น้ำพริก ตลอดไปจนขนมและเครื่องดื่มจากเมืองไทยเลยทีเดียว
เวลาคิดเงินก็คุยกับพี่คนไทยที่ดูแลร้านได้เลย สบายๆสไตส์ไทยๆครับ
ร้านชาติไทย เป็นร้านอาหารไทยที่ดังมากๆของ Sydney มีอาหารไทยนานาชนิดที่หาทานได้ยากเวลาอยู่ต่างประเทศ เช่น ขนมครกด้วยนะ รสชาติโอเคจัดว่าอร่อยเลยแหละครับ ราคาสมเหตุสมผล แวะมาลองทานกันได้เลย
แต่หากใครที่อยากชมวิวอ่าวซิดนีย์แบบกว้างๆ แนะนำให้ขับรถมาย่านตะวันออกของเมือง บนถนน New South Head Road ตัดกับถนน Towns Rd. ครับ วิวตรงนี้สวยมากๆ
ผมใช้เวลานั่งชมวิวกับภรรยาเงียบๆ
บางครั้งการสนทนาที่ดีที่สุด ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดแม้สักคำ
แหล่งช้อปปิ้งของ Sydney จะอยู่บริเวณข้างๆ Hyde Park เป็นที่ตั้งของห้าง David Jones บริเวณนี้มีทั้งศูนย์การค้าและถนนคนเดิน
ตรงไปอีกหน่อยก็จะเจอกับ Queen Victoria Building ห้างนี้ข้างในสวยมากครับ ตกแต่งแนวย้อนยุคเล็กน้อย เดินเล่นไม่ต้องซื้อของยังฟินเลย ชอบมากๆครับ แถมชั้นใต้ดินของห้างในละแวกนี้ยังทำทางเดินเชื่อมต่อถึงกัน มีร้านรวง ร้านอาหร ร้านขายของอีกเพียบ เดินกันสบายๆไม่ต้องระวังรถเลยล่ะครับ
เดอะ ร็อคส์ (The Rocks) คือย่านชุมชุนแห่งแรกที่ชาวยุโรปมาตั้งถิ่นฐานในออสเตรเลียเมื่อกว่าสองร้อยปีที่แล้ว ปัจจุบันบริเวณนี้กลายเป็นย่านเก่าแก่และมีเสน่ห์ บ้านเรือนโบราณยังคงมีให้เห็นทั่วไป แต่ถูกปรับเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟน่านั่งแถมยังมีแหล่งช็อปปิ้งแบบวอล์คกิ้งสตรีท หรือถนนคนเดินสไตล์ชิดนีย์ บรรยากาศสบาย ๆ
มาย่านเดอะร็อคส์ ให้แวะมาชิมอาหารและขนมจาก ร้านดัง Pancakes on the rocks ร้านนี้มีคอนเซปว่าเปิดตลอด 24 ชม. ครับ แหม… อย่างกับ 7-11 แน่ะ
หลังจากการชิมแล้ว Rib รสชาติไม่เลว แต่ก็ไม่ได้ว้าวมากมาย
ส่วนแพนเค้กอร่อยดีนะ แต่ถ้าเทียบกับเมืองไทยแล้ว ของอร่อยเมืองไทยอร่อยกว่านี้ก็ยังมีครับ
มาย่าน The Rocks ก็ใกล้เดินมาแถวๆริมน้ำนะ จะมีมุม Opera House สวยๆให้ถ่ายรูปกันด้วย
ใกล้ๆกันก็เป็น Circular Quay ท่าเรือหลักในการเดินทางของชาว Sydney
ส่วนใครที่ชอบทานอาหารทะเลสดๆ แนะนำให้มาที่ Sydney Fish Market ครับ
ที่นี่มีร้านขายส่งอาหารทะเลอยู่หลายร้าน แต่เค้าก็แยกแบ่งขายปลีกนะ ราคาก็ไม่แพงมาก คุณภาพสดมากๆเลยหละ และยังมีร้านอาหารบริเวณริมน้ำรับบริการปรุงอาหารให้ได้นั่งทานกันฟินๆด้วย แต่ผมไปเย็นมากๆแล้วเลยต้องกลับไปปรุงเองตามระเบียบ
สำหรับ Side Trip ที่ไม่ไกลจาก Sydney เท่าไหร่ แนะนำให้มาเที่ยว Featherdale Wildlife Park โดยอยู่ห่างจากเมืองประมาณ 1 ชั่วโมงครับ
ที่ Featherdale Wildlife Park มีสัตว์อยู่หลายประเภททั้งเพนกวิน, ค้างคาว, นกต่างๆ แต่ถ้ามาถึงออสเตรเลียทั้งทีก็ต้องป้อนอาหารจิงโจ้ด้วยมือกันนะ
อีกส่วนที่ดีงามมากๆ คือที่นี่มี หมีโคล่า ให้ไปยืนถ่ายรูปใกล้ๆ รวมทั้งเราสามารถลูบขนของมันได้ด้วย เด็กเล็กเด็กโต แม้กระทั่งผู้ใหญ่ ใครๆก็ชอบครับ
ค้างคาวห้อยหัวเพียบเลยครับ มีสัตว์อีกหลายประเภทนะ อ๋อ อย่าลืมไปดูเจ้า Tasmanian devil ด้วยนะครับ
ค่าเข้าชม :
ผู้ใหญ่ : 29.5 AUD
เด็ก : 16 AUD
Family ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2 : 83 AUD
ไม่ไกลจาก Featherdale จะมี Fruit Market อยู่
แนะนำให้ไปซื้อผลไม้ทานกันครับ ขายถูกเวอร์ อร่อยด้วยครับ
สถานที่เที่ยวนอกเมืองที่ไม่ควรพลาดอีกที่คือ Scenic World Blue Mountains ครับ ขับเลยมาจาก Featherdale ประมาณชั่วโมงกว่าๆ
ค่าเข้าชม : รวม Skyway-Railway-Cableway
ผู้ใหญ่ : 35 AUD
เด็ก : 18 AUD
Family ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2 : 88 AUD
ที่นี่จะมีกิจกรรมอยู่ 4 ส่วนหลักๆคือ
– นั่ง Cable Skyway ชมวิวสูง
– นั่ง รถไฟทิ้งดิ่งลงไปชมเหมืองเก่า ซึ่งเค้าเคลมว่ารถไฟทิ้งดิ่งเค้าชันที่สุดในโลกเลยนะ
– เดินเล่นชมเหมืองเก่าท่ามกลางธรรมชาติ
– กลับขึ้น Cable Car มาอีกครั้ง
บรรยากาศสูงๆมองเห็น Three Sister และวิวของอุทยานแห่งชาติ Blue Mountains จากมุมสูงครับ
เคล็ดเล็กน้อยสำหรับชื่อ Blue Mountains ซึ่งแปลเป็นไทยว่าภูเขาสีน้ำเงิน ที่มาของชื่อเค้าว่ากันว่าแถวนี้มีการปลูกยูคาลิปตัสกันเยอะ ทำให้น้ำมันยูคาลิปตัสที่ระเหยบนอากาศทำปฏิกิริยากับแสงจนเกิดเป็นสีฟ้า โดยเราจะสามารถเห็นท้องฟ้าบริเวณอุทยานแห่งชาติ Blue Mountains เป็นสีฟ้ากว่าปกติครับ
Three Sister Rocks ด้วยรูปร่างของภูทั้งสามที่ตั้งตระหง่าน มองคล้ายคนในจินตนาการ จึงเป็นที่มาแห่งตำนานของชนเผ่าที่ครอบครองแผ่นดินมาก่อน 2 เผ่าซึ่งเป็นศัตรูกัน มีข้อห้ามเรื่องการแต่งงานข้ามเผ่า อันเป็นสาเหตุแห่งตำนานความเศร้าของสามอนงค์นางพี่น้องอันเป็นที่มาแห่งชื่อ ทรีซิสเตอร์ร็อคนี้
สามอนงค์นางพี่น้องเป็นลูกสาวแสนสวยของชาวเผ่า Katoomba ซึ่งอาศัยในถิ่นที่ปัจจุบันคือ หุบเขา Jamison ชื่อของทั้งสามคือ Meehni, Wimlah และ Gunneedoo เรื่องเศร้าเกิดขึ้นเนื่องด้วยความงามของทั้งสามสาวไปต้องตาต้องใจหนุ่มต่างเผ่าสามพี่น้องจากเผ่า Nepean ซึ่งยอมรับไม่ได้กับข้อห้ามไม่ให้เขาแต่งงานกัน เลยเกิดสงครามเพื่อแย่งชิงสาวงามขึ้น
ผลจากสงครามไม่ว่ายุคสมัยใดก็ย่อมคล้ายกัน คือความสูญเสีย, ความพลัดพราก ผู้เฒ่าประจำเผ่าของสามสาวอนงค์นางพี่น้องเองจึงทำการสาปทั้งสามอนงค์ให้กลายเป็นหินไปรู้แล้วรู้รอดเพื่อระงับสงคราม และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อปกป้องพวกเธอให้บริสุทธิ์ตลอดกาล รักษาความศักดิ์สิทธิ์ข้อห้ามกฎเกณฑ์ของชาวเผ่าไว้ชั่วฟ้าดิน(หิน)สลายเลยทีเดียว
อีกด้านสามารถมองเห็น Katoomba Falls ครับ
ทีเด็ดไฮไลท์ของที่นี่อีกอย่าง คือ การนั่งรถไฟทิ้งดิ่งครับ มันชันและเร็วกว่าที่คิดไว้มากเลย
แต่ก่อนไม่มีรถไฟปลอดภัยๆแบบปัจจุบันนะครับ เป็นกล่องเหล็กแบบในภาพนะครับ เค้าจำลองมาให้ถ่ายภาพเล่นกัน (ให้นั่งแบบนี้ก็ไม่ไหวนะ)
ลงมาถึงก็จะสามารถเดินเล่นชมเหมืองเก่าได้
มีหลายเส้นทางมากครับ เลือกได้จะเอาใกล้เอาไกล เริ่มต้น 10 นาที ไปยันเป็นชั่วโมงครับ ผมมีเด็กๆกับ สว มาด้วย ขอเอาสัก 30 นาที กลางๆแล้วกัน
เดินชมธรรมชาติกันพักใหญ่ก็ได้เวลาขึ้น Cableway กลับไปด้านบน
เหินฟ้าสู่เมือง Melbourne มาชมที่เที่ยวที่ Phillips Island กันบ้าง เรามีนัดกับ Penguin Parade มหัศจรรย์ธรรมชาติที่น่ารักมากๆ
ราคาเข้าชมแบบธรรมดา
ผู้ใหญ่ : 24.5 AUD
เด็ก : 12.25 AUD
Family ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2 : 61.25 AUD
Penguin Parade คือการเฝ้าดูนกเพนกวินที่กลางวันออกไปหากิน แล้วพอพระอาทิตย์ตกดิน พวกมันจะรวมตัวกันเพื่อเดินกลับบ้านบนชายหาดขึ้นมาบนภูเขาครับ
ปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบนี้เกิดขึ้นทุกวัน ด้วยความอนุรักษ์ไม่อยากให้เกิดการรบกวนสัตว์น่ารักๆแบบนี้มากเกินไป ทางเจ้าหน้าที่จึงงดการถ่ายภาพทั้งมีหรือไม่มีแฟสซก็ตาม ผมจึงต้องทำตามระเบียบของเค้า ไม่มีภาพที่ถ่ายมาเองนะครับ ยืมภาพจากในอินเตอร์เนตมา เครดิตตามในภาพเลยครับ
ชมคลิปวีดิโอนกเพนกวินนับพันๆตัวเดินกลับบ้านกันจ้า
บนเกาะ Phillips Island มี Wildlife Park อยู่มากมาย แต่ครอบครัวเราได้ไปเที่ยวที่ Maru Koala and Animal Park ครับ
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ : 20 AUD
เด็ก : 11 AUD
Family ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2 : 54 AUD
ภายในมีกิจกรรมหลายอย่างทั้งการถ่ายภาพกับหมีโคล่า (ต้องจ่ายตังเพิ่มนะ 20 AUD สำหรับคนแรก คนต่อๆไปคนละ 10 AUD) ป้อนอาหารจิงโจ้แบบตัวๆเลย สนุกมากๆ แต่ถ้าใครมีแผนจะเที่ยว Featherdale แถวๆ Blue Mountain อยู่แล้ว ตรงนั้นใหญ่และดีกว่า Maru นะ ข้าม Maru ไปได้เลย
เที่ยวฟาร์มสตอเบอร์รี่ Sunny Ridge Strawberry Farm
ฟาร์มแห่งนี้เปิดรับนักท่องเที่ยวให้ไปเที่ยวเชิงเกษตร นอกจากเดินเที่ยวชมฟาร์มสตอเบอร์รี่แล้ว ยังสามารถเก็บใส่กล่องกลับบ้านได้ด้วย
ค่าเข้า+สตอเบอร์รี่คนละ 1 กล่อง
ผู้ใหญ่ : 9 AUD
เด็ก : 4 AUD
Family ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2 : 22 AUD
สตอเบอร์รี่ที่เด็ดสดๆออกจากต้นหวานฉ่ำ อร่อยมากๆ ได้ทั้งความเพลิดเพลิน สนุกสนาน แถมได้ชิมของอร่อยด้วย เด็กๆชอบมากขอบอกเลย
ออกมาอย่าลืมทานไอศกรีมกับ Chocolate Fondue ด้วยนะ อร่อยมากๆ
Great Ocean Road อยู่ในรัฐ Victoria เป็นถนนยาว 243 กิโลเมตรลัดเลาะไปตามชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรเลีย เริ่มต้นที่เมือง Torquay สิ้นสุดที่เมือง Warrnambool แต่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมักจะเริ่มต้นการเดินทางจากเมืองเมลเบิร์น (Melbourne) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุด ความสวยงามของ Great Ocean Road นอกจากทัศนียภาพถนนเลาะเลียบชายฝั่งแล้ว ก็คงเป็นความตระการตาของแท่งหินขนาดใหญ่รูปทรงประหลาดตั้งตระหง่านอยู่ใกล้ฝั่งซึ่งเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเส้นทางสายนี้ รูปทรงของแท่งหินเหล่านี้เกิดจากการกัดกร่อนของกระแสลมและกระแสน้ำตามธรรมชาติ
ระหว่างทางแวะจอดซื้อเสบียงเพิ่มเติม ได้มีโอกาสทักทายนกเจ้าถิ่นแบบถึงเนื้อถึงตัวสุดๆ
นกพวกนี้ตีซี้กับเราสุดๆครับ ไม่มีกลัวคนเลย
ตลอดเส้นทางเลียบชายฝั่งจะมีวิวให้แวะจอดถ่ายรูปเป็นระยะ
แล้ววิวมันก็สวยเทพมากด้วยนะ บอกเลย
จุดแวะพักทานอาหารที่เมืองน่ารักๆอย่าง Lorne ครับ
ใครขับมา Great Ocean Road แนะนำให้แวะเลี้ยวเข้าไปบนถนน Otway Lighthouse Rd. ขับเข้าไปสัก 10 นาที ในป่าแถวนี้จะสามารถพบเห็นเจ้าหมีโคล่าที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติได้แบบตัวเป็นๆเลย
เด็กๆสนุกสนานกับการมองหาหมีโคล่ามากๆ
เข้าไปอีกหน่อย เจอป่าไร้ใบไม้ สวยแปลกตาไปอีกแบบ
วิวที่นี่มันสวยจริงๆนะ
คุณพ่อตาคุณแม่ยายหยอกล้อกันท่ามกลางวิวธรรมชาติสวยๆ
ผมพาครอบครัวแวะเที่ยวประภาคาร Cape Otway Lightstation ไปเลย ที่นี่แม้จะไม่ได้ใช้งานเหมือนในอดีตแล้ว แต่ก็ได้จำลองวิถีชีวิตของผู้ดูแลในสมัยก่อนไว้ด้วย ทั้งที่ทำการของที่นี่ที่มีโทรเลขเก่าที่ใช้ติดต่อสื่อสารในยุคนั้น
และประภาคารอันนี้ก็สวยงามไม่ทำให้ผิดหวังครับ
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ : 19.5 AUD
เด็ก : 7.5 AUD
Family ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 4 : 49.5 AUD
และไฮไลท์สำคัญที่สุดบนเส้นทางการท่องเที่ยว Great Ocean Road ก็คือ หิน 12 นักบุญ (12 Apostles)
Twelve Apostles ซึ่งเป็นหินสิบสองก้อน ที่เกิดจากชายฝั่งที่ถูกกัดเซาะจะเป็นหินที่แยกจากชายฝั่ง แม้ว่าปัจจุบันจะมีหินก้อนหนึ่งถูกกัดเซาะจนพังทลายไปแล้ว ก็ยังเรียกเป็น Twelve Apostles กันอยู่ดี
สาวๆสวยๆที่วันๆเอาแต่รักสวยรักงาม หรือจะมาสู้เมียคู่ทุกข์คู่ยาก
มือที่เต็มไปด้วยครีมบำรุงผิวไม่สู้งาน หรือจะมาสู้มือที่ต่อสู้ชีวิตเหนื่อยยากมาด้วยกัน
สำหรับผมชีวิตคู่ก็แค่การจับมือใครสักคน แล้วผ่านกาลเวลาแก่เฒ่าไปด้วยกัน โดยที่ไม่มีวันที่จะปล่อยมือจากกันไป
คุณพ่อตากับคุณแม่ยายยืนชมพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน ช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความทรงจำจริงๆ
นอกจาก 12 Apostles แล้วยังมีก้อนหินชื่อดังอีกหลายแห่ง เช่น London Bridge (แต่สะพานถูกน้ำและลมพังถล่มไปด้านหนึ่งแล้วนะครับ)
ส่วนก้อนนี้เรียกว่า The Arch
Loch Ard Gorge แถวนี้เป็นที่อับปางของเรือสำเภาอังกฤษ แล้วมีตำนานว่ามีหนุ่มสาวรอดชีวิตมาคู่หนึ่งครับ
วิวธรรมชาติอลังการมากครับ สุดๆอ่ะ
ขากลับจาก Great Ocean Road เราขอขับรถกลับอีกเส้นทาง เพราะมีคิวเที่ยว Ballarat Sovereign Hill
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ : 52.5 AUD
เด็ก : 23.8 AUD
Family ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 4 : 132 AUD
เมืองนี้เป็นอีกเมืองที่ได้รับความเจริญมาจากยุคตื่นทองครับ ผู้แสวงหาโชคต่างเข้ามาตั้งรกรากเพื่อขุดทองกัน
มี Bowling ยุคโบราณให้เล่นกันฟรีด้วยนะ
เราสามารถเข้าไปชม Gold Museum ฟรีซึ่งรวมค่าเข้าอยู่ในราคาของ Ballarat Sovereign Hill ไว้แล้ว
หลังจากดูที่เที่ยวนอกเมืองมาเยอะแล้ว มาเที่ยวเมืองใหญ่อีกเมืองอย่าง Melbourne กันบ้าง
เมลเบิร์น (อังกฤษ: Melbourne, ออกเสียงว่า /ˈmel.bən/ หรือ /ˈmæl.bən/) เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศออสเตรเลีย รองจากนครซิดนีย์ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ มีประชากรประมาณ 3,806,092 คน (พ.ศ. 2549)[1] เมลเบิร์นเป็นเมืองหลวงของรัฐวิกตอเรีย เมลเบิร์นก่อตั้งใน พ.ศ. 2378 (ค.ศ. 1835)
วิธีที่ได้รับความนิยมของเมลเบิร์นมากๆ คือการนั่งรถราง ซึ่งนั่งฟรีครับ รอที่ป้ายแล้วกระโดดขึ้นนั่งได้เลย Free Tram จะวนรอบเมือง และมีเสียงคอยบรรยายให้เราฟังด้วย อยากแวะลงจุดไหนก็ลงไปเที่ยวก่อน เที่ยวเสร็จก็โดดขึ้นรถมาใหม่ได้เลย
Federation Square อาคารแปลกตาที่เป็นศูนย์รวมของเหล่าวัยรุ่น ถ้าเทียบไปก็เหมือนสยามแสควร์บ้านเราละครับ เค้าจะมีลานกว้างไว้เป็นจุดนัดพบของบรรดาทัวร์ต่างๆด้วยเป็นจุดเชื่อมกลางเมืองกับแม่น้ำ Yarra River เป็นแหล่งรวมศิลปะ สถาปัตยกรรม งานเทศกาล วัฒนธรรม ที่พัก ลานเปิดกว้างสำหรับเป็นที่สาธารณะ Federation Square เป็นี่ตั้งของศูนย์รวมศิลปะของออสเตรเลีย มี The Ian Potter Centre :NGV Australia และ แกลลอรี่อาร์ด 20 แกลลอรี่ก็ตั้งอยู่ที่ Federation Square แห่งนี้
ตรงข้ามกันก็เป็น Landmark สำคัญอีกแห่งของเมลเบิร์น ได้แก่ สถานีรถไฟ Flinders Street Station เป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่และเก่าแก่ แห่งหนึ่งของเมืองเมลเบิร์น ตั้งอยู่บริเวณ Flinders Street ซึ่งคล้ายๆกับสถานีรถไฟหัวลำโพงของไทยครับ
St Patrick’s Cathedral มหาวิหารนักบุญแพทริค แห่งเมืองเมลเบิร์น ตั้งอยู่โดดเด่นบนเนินเตี้ยๆด้านตะวันออกริมขอบ City of Melbourne (เขตกลางเมืองเมลเบิร์น) มหาวิหารแห่งนี้ได้ชื่อว่ามีขนาดใหญ่ที่สุด และมีความสูงที่สุดในทวีปออสเตรเลีย และเป็นสัญลักษณ์และจุดเที่ยวชมสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองนี้
มหาวิหารแห่งนี้เป็นวิหารสำหรับคริสตศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิก เริ่มงานก่อสร้างต้ังแต่ปี คศ 1858 ในพื้นที่ที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลอาณานิคมในสมัยนั้น ซึ่งเป็นที่ดินผืนงามติดกับตัวเมือง หลังรัฐสภา และย่านที่พักอาศัยชื่อ East Melbourne ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ของข้าราชการและพ่อค้ามั่งคั่ง ชื่อเซนต์แพทริคนี้ ก็มาจากชื่อนักบุญชาวไอริช ซึ่งผู้อพยพที่มาจากไอร์แลนด์ในอาณานิคมแห่งใหม่ (รัฐวิคตอเรีย) ให้ความเคารพนับถือ
รูปแบบของสถาปัตยกรรมเป็นแบบโกธิค (Gothic) ตามแบบวิหารยุคกลางในประเทศอังกฤษ ตัวแผนผังวางแนวเป็นรูปไม้กางเขน แนวยาวจากตะวันตกสู่ตะวันออก โดยที่แท่นบูชา (altar) ประดิษฐานอยู่ด้านตะวันออกสุดของวิหาร
การก่อสร้างดำเนินไปอย่างเชื่องช้าโดยเฉพาะในระยะแรก เนื่องจากขาดแรงงาน สาเหตุของการขาดแรงงานก็คือเกิดการตื่นทองในรัฐวิคตอเรีย ที่ทำให้ผู้คนจากทั่วสารทิศไปแสวงโชคขุดทองอยู่กลางทุ่งในแถบรัฐวิคตอเรียนั่นเอง กว่าการก่อสร้างจะสำเร็จเสร็จสมบูรณ์ก็ล่วงเลยมาจนถึงปี คศ 1939 รวมเวลาที่ใช้ในการก่อสร้างกว่า 80 ปี
ปัจจุบันมหาวิหารแห่งนี้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งหนึ่งของเมลเบิร์น หากมองจากทางด้านใต้ของเมืองข้ามฝั่งแม่น้ำยาร์ร่า (Yarra) จะเห็นยอดหอคอยแหลมสามยอดของวิหารอยู่ขอบด้านซ้ายของกลุ่มตึกระฟ้าในเมืองเมลเบิร์น บริเวณโดยรอบยังมีสวนสาธารณะที่มีชื่อเสียง เช่นสวนฟิตซรอย (Fitzroy Gardens) และอาคารสำคัญๆเช่นรัฐสภา อยู่ใกล้เคียง
Parliament House คือ อาคารรัฐสภาของรัฐวิคตอเรีย ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ของเมลเบิร์น และยังเป็นอาคารรัฐสภาแห่งแรกของออสเตรเลีย ตั้งอยู่ริมถนน Spring Street ซึ่งด้านหน้าของอาคารรัฐสภานี้คือปลายสุดของถนน Bourke Street
Queen Victoria Market ตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ CBD ห่างไปไม่ไกลนัก พอเดินได้ไม่เหนื่อย เป็นแหล่งซื้อของฝากราคาถูกที่ใหญ่ที่สุดในนครเมลเบิร์นเลยก็ว่าได้
ในตลาด Queen Victoria Market นี้ มีทั้งของฝากที่ระลึก อาหารสด ผลไม้ สินค้าต่างๆขายในราคาถูก ถ้าเทียบกับบ้านเราก็คงเรียกว่า เจเจ ละครับ (แต่เล็กกว่าเจเจเยอะนะ)
Shot Tower Museum ศูนย์การค้าขนาดใหญ่กลางใจเมือง Melbourne ตรงกลางห้างจะเป็นโดมขนาดใหญ่ และมีอาคารเก่าแปลกตาตั้งอยู่กลางโดมเลย ถือเป็นอีกหนึ่ง Landmark ที่มาเที่ยวก็ได้ หรือจะมาเดินเล่นช้อปปิ้งก็ได้
แวะชิมไก่ Hot Star เสียหน่อย เมืองไทยคิวยาวเกิน
Yarra River เป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านตัวเมืองเมลเบิร์น
สะพานข้ามแม่น้ำตรงนี้เรียกว่า Web Bridge ครับ
และการจะชมวิวทิวทัศน์ของเมืองเมลเบริน์ที่ดีที่สุด ก็ต้องขึ้นมาชมที่บนตึก Eureka Skydeck 88
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ : 19.5 AUD
เด็ก : 11 AUD
Family ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2 : 44 AUD
และอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่ได้แก่ Edge Experience คือ การออกไปยืนระเบียงใสที่สามารถมองทะลุไปเห็นพื้นดินได้
ส่วนภาพที่เห็นเป็นภาพจากกิจกรรม Eureka Vertigo พวกเราถ่ายภาพในฉากหลังสีเขียว แล้วเค้าจะจำลองภาพขึ้นมาเป็นภาพตกลงจากตึก ซึ่งสนุกมากครับ
ปล.น้องกายแสดงเหมือนมากอ่ะ
Eureka Vertigo ค่าถ่ายภาพ 12 AUD
ใครไม่ชอบกระจก อยากโต้ลมบนตึกสูง เชิญด้านนอกนะครับ หนาวชะมัดเลย
St. Kilda Pier อยู่ห่างจากตัวเมือง Melbourne ลงมาทางใต้ จากตรงนี้จึงสามารถมองเห็นเมืองผ่านเรือมากมายที่จอดเรียงรายกันครับ
ที่ St. Kilda มีชื่อเสียงเรื่องการรอชมนกเพนกวิน คล้ายๆที่ Phillips Island ครับ แต่น้อยกว่ามาก ดีตรงที่มันชมฟรีนั่นเอง
ที่นี่เค้ายอมให้ถ่ายภาพ Penguin ได้แต่ห้ามเปิด Flash เด็กๆชอบกันใหญ่เลย จะมีอาสาสมัครเป็นชาวบ้านผลัดกันมาส่องไฟสีแดงหาตัวเจ้าเพนกวินน้อยให้เราดูด้วย
แถวนี้มีคนมานั่งตกปลาเพียบเลยครับ บางคนตกปลากะเบนได้ด้วยอ่ะ พอเค้าตกได้แล้ว ก็มายืนถือโชว์ถ่ายภาพแล้วก็โยนปลากลับลงทะเลไป
น้องกายหอมแก้มเป็นการขอบคุณมะม้าที่พาหนูมาเที่ยวที่สนุกๆแบบนี้
ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 12 วัน 342,856 บาท สำหรับ 7 คน ผู้ใหญ่ 5 คน เด็ก 2 คน
เฉลี่ย 7 คน เท่ากับ คนละ 48,979 บาท
เฉลี่ย 6 คน (นับเด็กเป็นครึ่งคน) คนละ 57,143 บาท
ถ้าไม่ทานของว่าง+ผลไม้ หรือน้ำอัดลม ก็สามารถประหยัดลงไปได้อีกครับ
ตั๋วเครื่องบิน 142,388
วีซ่า 31,500
ประกันการเดินทางและประกันต่างๆ 6,630
ที่พัก 71,692
ที่เที่ยว 25,492
อาหาร 23,203
รถเช่า 31,309
น้ำมันรถ 5,604
จอดรถ 1,313
ของว่าง+ผลไม้+น้ำอัดลม 3,725
และทั้งหมดนี่ก็คือ Australia ในฤดู Autumn ของพวกเราครับ
12 วันในออสเตรเลีย ผมมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเล่าให้ฟัง แต่คงไม่สามารถเล่าให้ฟังทั้งหมดในตอนเดียวได้ ไว้รอติดตามได้ในรีวิวฉบับเต็มในตอนต่อๆไปนะครับ
หากมีบุญกุศลใดๆที่เกิดจากการแบ่งปันข้อมูลการเดินทางครั้งนี้ ลูกขออุทิศให้กับคุณพ่อและคุณแม่ของพวกเรา อยากให้ท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรง อยู่กับลูกๆหลานๆไปนานๆ
ปล.หากคุณอ่านรีวิวมาถึงตรงนี้ ผมได้ใช้เวลาและพลังงานมากมายในการเขียนรีวิวเพื่อเป็นข้อมูลและประโยชน์แก่ทุกคน หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป