เที่ยวปักกิ่งด้วยตัวเอง เป็นทริป 7 วัน 6 คืน ที่ผมกับภรรยาออกเดินทางไปท่องเที่ยว Beijing เมืองหลวงของประเทศจีน เราได้ไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าทึ่งหลายที่ เช่น กำแพงเมืองจีน, หอฟ้าเทียนถาน, พระราชวังต้องห้าม, สนามรังนก, วัดลามะ รวมทั้งไปแหล่งช้อปปิ้งและแหล่งกินต่างๆ อย่าง ถนนคนเดินหวังฟู่จิ่ง, ตลาดรัสเซีย, ถนนคนเดินเฉียนเหมิน, บ้านโบราณหูท่ง ถนนคนเดินหนานหลัวกู่เซี่ยง, ห้าง The Place ที่มีเพดาน LED อันสวยงาม นอกจากนี้ทริปนี้ได้รวมร้านอร่อยที่ไม่ควรพลาดในเมืองปักกิ่งไว้ด้วย ออกเดินทางกันเลยนะครับ
ทริปนี้เดินทางด้วย Malaysia Airline ชั้นธุรกิจครับ ซึ่งเป็นรูทที่เดินทางไปเปลี่ยนเครื่องที่ KL ก่อน แล้วบินจาก KL ไปปักกิ่งอีกที
ด้วยที่ต้องการใช้บริการ Lounge ของ Business Class ภรรยาผมเลยประหยัดเวลาช้อปปิ้ง Duty Free ของ King Power Online มาก่อนจากบ้านเลยครับ
King Power Online คือช่องทางบริการใหม่ล่าสุดจาก King Power ลูกค้าสามารถทำการพรีออเดอร์สินค้าปลอดภาษี และสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทันที
ซึ่งในการรับสินค้าปลอดภาษี ลูกค้าสามารถไปรับสินค้าได้ที่ จุดรับสินค้า ณ สนามบิน ก่อนการเดินทางออกจากราชอาณาจักรไทย ส่วนสินค้า Non-Duty Free ลูกค้าสามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ และทางเค้าจะทำการจัดส่งให้ท่านถึงหน้าบ้านได้อีกด้วย
ข้อดีของการช้อปปิ้งผ่าน King Power Online คือ เราได้ประหยัดเวลาในการเลือกของ ไม่ต้องเปลืองพลังงานเดินดู ไม่เสียค่าใช้จ่ายไปช้อปปิ้งที่ซอยรางน้ำ เปิดคอมอยู่กับบ้านก็ช้อปปิ้งได้ พอมาถึงสนามบินก็เดินไปรับสินค้าที่สั่งซื้อไว้ได้เลย เอาเวลาไปนั่งชิลด์ที่เลาจน์รอเครื่องบินขึ้นดีกว่าครับ
ส่วนสินค้าบางแบรนด์อย่าง Gucci มีบาง Item ที่วางจำหน่ายเฉพาะที่ Online เท่านั้นด้วย ไม่มีขายใน Shop จึงต้องซื้อผ่านเว็บไซค์เท่านั้นจ้า
ใครสนใจก็ลองช้อปปิ้งออนไลน์กันได้ที่ http://kingpoweronline.com/webapp/wcs/stores/servlet/TopCategoriesDisplay?storeId=10151&catalogId=10551&langId=-1001
ทริปนี้บินหรูหน่อยนะ กับชั้นธุรกิจของมาเลเซียแอร์ไลน์ ใครสนใจก็ตามไปชมรีวิวได้ที่ รีวิว Malaysia Airlines’s Business Class BKK-KUL-PEK
ก้าวแรกที่ถึงกรุงปักกิ่ง เนื่องจากเป็นต้นเดือน ก.พ. อยู่ในฤดูหนาวพอดี อากาศจึงหนาวมาก เช้าๆกับกลางคืน อุณหภูมิจะติดลบตลอด ประมาณ -7 ส่วนกลางวันจะอยู่ราวๆใกล้ๆ 0 องศาครับ
พวกเราเลือกเข้าเมืองด้วยวิธี Taxi ครับ วิ่งจากสนามบินเสียไป 110 หยวน สัมผัสแรกที่ปักกิ่ง ผมค่อนข้างแปลกใจกับบ้านเมืองที่สะอาดเรียบร้อย (สะอาดกว่า กทม. เยอะ พอๆกับสิงคโปร์เลย) เสียงบีบแตรของรถพร่ําเพรื่อ ทริปนี้ไม่ได้ยินเลยครับ ผู้คนที่นี่ก็มีมารยาทมากกว่ามณฑลอื่น รู้จักต่อคิวแล้ว
มาถึงที่พักก็มืดค่ำแล้ว ใกล้ๆที่พักมีโบสถ์คริสต์สวยมากเลย
ที่พักของผมอยู่ใกล้กับถนนคนเดินหวังฟู่จิ่ง Wang Fu Jing เป็นแหล่งช้อปปิ้งและแหล่งร้านอาหารสำคัญของเมืองเลย
บนถนนมีประดับตกแต่งด้วยของตกแต่งต่างๆ ให้เราถ่ายภาพเล่นได้ด้วย
และค่ำๆจะมี Food Stall เรียงขายของกินเป็นตับเลยครับ
ที่น่าสนใจคือ มีอาหารแปลกๆอย่าง งู, แมลง, แมงป่อง, ตะขาบ, ปลาดาว, แมงมุม ฯลฯ
ร้านนี้มีหอยเม่น และปลาฉลามด้วย แหม… คนจีนนี่สารพัดจะกินจริงๆ
ที่พักของพวกเรา 5 คืน พักที่โรงแรม Novotel Beijing Peace ที่พักโอเคเลยครับ พนักงานพูดอังกฤษได้ ทำเลดีมาก ราคาก็ตกสองพันต้นๆต่อคืนครับ
หลังจากวันแรกหมดไปกับการเดินทาง รุ่งเช้าวันใหม่ก็ได้เวลาเที่ยว Beijing เสียที
จุดหมายของพวกเราวันแรกคือการไปชมกำแพงเมืองจีนครับ ที่จริงมีวิธีการเดินทางหลายวิธีทั้งรถบัส, เหมา Taxi แต่อาจจะมีค่าใช้จ่ายแพง เพราะ Taxi ที่จีนนี่นิสัยไม่ค่อยจะดีครับ ปฏิเสธผู้โดยสารตลอด เห็นเราเป็นคนต่างชาติก็จะเอาเหมาแพงๆอย่างเดียว เราเลยเลือกวิธีไปด้วยรถไฟครับ ในภาพคือตึกหน้าสถานีรถไฟ Beijing North Railway Station (XiZhiMen St.)
โชคไม่ดีนักที่คนซื้อตั๋วเยอะมาก ทำให้ตั๋วช่วงสิบโมงกว่าๆเต็มไปถึงบ่ายโมงกว่าๆ เราจึงเดินเล่นหาอะไรกินที่ห้างข้างสถานีรถไฟครับ มื้อแรกลองร้านข้าวแกงคนจีนเสียเลย
ได้เวลาขึ้นรถไฟ คนจีนต่างรีบวิ่งขึ้นรถไฟกัน ไอ้เราไม่เคยมาก็เลยตกใจนึกว่ามันต้องแย่งเก้าอี้กันหรือไงฟะ งั้นวิ่งก็วิ่ง จากชานชราถึงรถไฟประมาณ 150 ม. ได้ วิ่งอย่างเหนื่อยเลยครับ
พอมาถึงรถไฟ แม้จะไม่มีการ Reserve ที่นั่งไว้ แต่ก็มีที่นั่งมากมาย ไม่เห็นต้องวิ่งแย่งกันเลย สุดท้ายเหนื่อยฟรีครับ 555
ค่ารถไฟคนละ 6 หยวนเองหรือประมาณสามสิบกว่าบาทไทย แหม… เห็นราคาแล้วตอนแรกนึกว่าจะเป็นรถไฟแย่ๆ แต่ที่ไหนได้ รถไฟดีมาก นึกว่านั่งรถไฟที่ประเทศญี่ปุ่น แถมไม่ได้วิ่งสั้นๆนะ วิ่งไปเกือบชั่วโมงครึ่งแน่ะ ค่าเดินทางถูกมากจริงๆ
ที่จริงกำแพงเมืองจีนไปชมได้หลายจุดครับ แต่จุดที่สะดวกมากคือ Badaling ครับ ลงสถานีรถไฟมาก็เจอกับรูปปั้นขุนนางอยู่เลย
แผนที่โดยรวมครับ
เมืองจีนมีอูฐด้วยแฮะ ค่าถ่ายภาพ 20 หยวนจ้า (ต่อจาก 30 หยวนนะ)
ที่จริงมีจุดเดินขึ้นกำแพงฟรีอยู่ แต่ต้องเดินไกลและขึ้นบันไดเหนื่อยเสียเวลามาก เราเลือกขึ้นด้วย Cable Car ราคาอยู่ที่คนละ 100 หยวน รวมไปและกลับแล้ว
บรรยากาศบนกระเช้าจ้า มองเห็นกำแพงเมืองจีนแล้ว ตื่นเต้นๆ
กำแพงเมืองจีนสร้างเมื่อกว่า 2,500 ปีมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกในประวัติศาสตร์จีน จุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าทางตอนเหนือ โดยมีการก่อสร้างเพิ่มเติมโดยฮ่องเต้องค์ต่อมาอีกหลายพระองค์ จนสำเร็จในที่สุด กำแพงเมืองจีนถือเป็นงานก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเท่าที่เคยมีมา
มีข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีนดังนี้
1.) เราไม่สามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนจากดวงจันทร์ ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยมนุษย์ แม้แต่อย่างเดียวที่สามารถมองเห็นจากดวงจันทร์ ในระดับ low earth orbit เราสามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนโดยใช้ radar การมองเห็นกำแพงเมืองจีนเป็นไปได้ยากเนื่องจาก สีของกำแพงเมืองจีนจะกลืนไปกับสีของธรรมชาติ ก็คือสีของดิน หิน
2.) กำแพงเมืองจีนไม่ใช่กำแพงยาวตลอด ความจริงแล้วกำแพงเมืองจีน ถูกสร้างขึ้นในหลายยุคหลายสมัยกินเวลานับพันปี โดยเป็นการเชื่อมต่อกำแพงแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน จนเป็นแนวทอดยาวหลายพันกิโลเมตร
3.) กำแพงเมืองจีนเป็นเสมือนสุสานของผู้ก่อสร้าง มีการบันทึกไว้ว่า นักโทษจากสงครามและทาสกว่า 1 ล้านคนถูกใช้เป็นแรงงงานเพื่อก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ซึ่งจำนวนมากเสียชีวิตลงเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย และความหิวโหย ซึ่งศพผู้เสียชีวิตก็จะถูกฝังอยู่ข้างใต้กำแพงนั่นเอง นานนับศตวรรษแล้ว ที่กำแพงเมืองจีนได้ชื่อว่าเป็นสุสานที่มีความยาวที่สุดในโลก เป็นที่กล่าวขานกันว่าทุกๆ หนึ่งฟุตของกำแพงเมืองจีนก็คือหนึ่งชีวิตของผู้ก่อสร้างกำแพง
4.) ความยาวของกำแพงเมืองจีน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครทราบความยาวที่แท้จริงของกำแพงเมืองจีน ในภาษาจีน จะเรียกกำแพงเมืองจีนว่า “กำแพงยาวหมื่นลี้” (หนึ่งลี้มีความยาวประมาณ 1/3 ไมล์) โดยคร่าวๆ กำแพงเมืองจีนมีความยาวประมาณ 4 พันไมล์ หรือ 6,350 กิโลเมตร ทอดผ่านทุ่งหญ้า ทะเลทราย และเทือกเขาสูง ความสูงของกำแพงคือ 7 เมตร และกว้าง 5 เมตร
5.) การก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ช่วยป้องกันการรุกรานได้หรือไม่ การเข้าครองอำนาจของมองโกล และแมนจู ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นจากความอ่อนแอ ของราชวงศ์ที่ปกครองประเทศจีนในขณะนั้นๆ พวกเขาใช้โอกาสในขณะที่เกิดกบฏภายใน เข้ายึดครองประเทศจีน โดยมีการต่อต้านที่น้อยมาก
6.) กำแพงเมืองจีนไม่ได้เป็นแค่กำแพง ทุกๆ 300 ถึง 500 หลา จะมีฐานบัญชาการเพื่อใช้สับเปลี่ยนเวรยามและใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ มีหอสังเกตการณ์กว่า 1 หมื่นแห่ง
7.) กำแพงเมืองจีนเป็นเส้นทางคมนาคม ในระยะแรก ประโยชน์ของกำแพงเมืองจีนก็คือ มันช่วยให้การคมนาคมและขนส่งในเส้นทางทุรกันดาร เช่นตามเทือกเขาเป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้น
8.) กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นโดยใช้อะไรเป็นส่วนประกอบ ก่อนที่จะมีการใช้อิฐในการก่อสร้าง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้น โดยใช้หิน ดิน และไม้ บางครั้งมีการแพ็คดินไว้ระหว่างไม้แผ่นใหญ่ และมัดไว้ด้วยกันโดยเสื่อทอ บริเวณใกล้กรุงปักกิ่ง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างโดยใช้หินอ่อน ในบางสถานที่กำแพงถูกสร้างโดยใช้หินแกรนิต บางแห่งก็ใช้ดินเผา ทางตะวันตกของจีน กำแพงถูกสร้างโดยใช้โคลน ทำให้ชำรุดได้ง่ายกว่า กำแพงเมืองจีนที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ถูกสร้างในราชวงศ์หมิง โดยใช้วัตถุที่ทนทานกว่าเช่นหิน
9.) สภาพของกำแพงเมืองจีนในขณะนี้ รายงานผลการสำรวจของนักอนุรักษ์เมื่อปี 2004 กล่าวว่า ขณะนี้ กำแพงเมืองจีนที่ยาว 6,350 กิโลเมตร เหลือให้เห็นเพียง 1/3 เท่านั้น และกำลังสั้นลงเรื่อยๆ ปัญหาเกิดขึ้นเนื่องจากการขาดการดูแลและอนุรักษ์ โดยเฉพาะจากชาวไร่ชาวนาซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กำแพงเมืองจีน ไม่สนใจประกาศของรัฐบาลที่กำหนดให้กำแพงเมืองจีนเป็นสมบัติของชาติ
ผมได้สัญญากับภรรยาไว้ว่าจะอุ้มเธอไปทุกแห่งบนโลกใบนี้ และตราบที่ผู้ชายคนนนี้ยังมีแรง จะรักษาสัญญาที่ได้ให้ไว้อย่างแน่นอน
บางครั้งมีผู้คนมากมายในโลก แต่เราขอแค่ใครสักคนที่จะคอยอยู่เคียงข้างกัน จะทุกข์จะสุขก็แค่ผ่านไปด้วยกัน ไม่ทิ้งกันไปไหนก็พอแล้ว
เบื้องหลังการถ่ายทำภาพอุ้มภรรยาครับ ผมนี่ตะคริวขึ้นเลยครับ
นั่งรถไฟกลับเมือง Beijing ถึงแล้วตรงเวลามื้อเย็นพอดี กลับไปหาอะไรกินที่ห้างเดิมข้างๆสถานีรถไฟ เจอร้านอาหารญี่ปุ่นคนรอกินเยอะดี แบบนี้ต้องลองครับ ต่อคิวกว่าจะได้กิน 40 นาทีแน่ะ
แซลมอนจัด Display จานได้สวยมาก เนื้อปลาก็คุณภาพดี อร่อยเลยหละ จานละ 68 หยวนครับ
กุ้งมังกรครึ่งตัว 128 หยวนครับ เนื้ออร่อยเลยหละ
เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราไปเที่ยวหอฟ้าเทียนถาน Tian Tan Temple of Heaven กัน
หอสักการะฟ้า ตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน สร้างในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง เมื่อ พ.ศ. 1963 (ค.ศ. 1420) โดยมีชื่อว่า เทียนตี้ถัน แปลว่า หอสักการะฟ้าดิน ต่อมาใน พ.ศ. 2077 (ค.ศ. 1534) ได้มีการสร้างหอสักการะดินขึ้นอีกแห่ง หอฟ้าดินจึงเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนชื่อเป็นหอสักการะฟ้าเพียงอย่างเดียว ครั้น พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) ฟ้าผ่าหอเสียหาย จึงสร้างขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906)
ตัวหอมีเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 32.5 เมตร และ สูง 38 เมตร โดยมิได้ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว หอนี้ได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อ พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998)
เค้าว่ากันว่าถ้าคุณมีภรรยาสวยคุณจะมีความสุขไปครึ่งชีวิต แต่ถ้าคุณมีภรรยาดีคุณจะมีความสุขทั้งชีวิต
ถ้างั้นชีวิตผมคงโชคดีเหลือเกิน เพราะคงจะมีความสุขไปชีวิตครึ่งเลย เพราะภรรยาผมทั้งสวยและดี
เธอไม่ค่อยบอกรักผมเท่าไหร่ แต่ผมก็รู้ว่าเธอรักผม เพราะสิ่งที่เธอทำมาตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน มันช่างแสนดี และทำให้เรียนรู้ว่าชีวิตคุ้มค่าแค่ไหนที่ได้มีคู่ชีวิตดีๆเช่นนี้
ถ่ายย้อนแสงแบบนี้ก็ Art ดีเนอะ
เดินเล่นในหอสักการะฟ้าเทียนถาน Tiantan Temple of Heaven ไปมีร้านรับจ้างถ่ายภาพฮ่องเต้ ค่ายืมชุดถ่ายภาพ 30 หยวนครับ ได้มา 2 ภาพ และขอถ่ายเองได้ 1 ภาพ
นอกจากตัววิหารหลักแล้ว ยังมีอีกหลายวิหารครับ เช่น Imperial Vault of Heaven
ใกล้ๆกันไปทางทิศใต้ มีแท่นบูชาที่เรียกว่า The Circular Mound Altar ครับ
ตรงกลางลานเลยจะมีวงกลมที่เค้าว่าเป็นจุดรับพลังจักรวาลครับ
ภายในพื้นที่ของเขตหอสักการะฟ้าเทียนถานนี่กว้างใหญ่จริงๆครับ เดินจนเมื่อยแล้วยังไม่ถึงทางออกเสียที แต่ก็มีมุมถ่ายภาพเยอะแยะไปหมดนะครับ
มื้อเที่ยงวันนี้ ขอแนะนำร้านติ่มซำในตำนานของเมืองปักกิ่ง กับร้านที่ชื่อว่า ร้าน Jin Ding Xuan แถวๆ Lama Temple คนเยอะแน่นร้านตลอดวัน
วิธีเดินทางมาที่ร้านให้ลงสถานี Lama Temple ออกทางออก A แล้วเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำเดินไปสัก 100 ม.ครับ
เมนูติมซำ ก๋วยเตี๋ยวหลอดนี่ห้ามพลาด ชิมอาหารแล้วบอกเลยว่า “กินแล้วลืมไม่ลง”
ถือเป็นร้านห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงจริงๆ
อิ่มกันแล้วก็มาเที่ยวกันต่อที่วัดลามะ Lama Temple
วัดลามะหรือ ยงเหอกง เป็นวัดหนึ่งของศาสนาพุทธนิกายทิเบตอันลือชื่อ กินเนื้อที่กว่า 6 หมื่นตารางเมตร ตำหนักต่าง ๆมี กว่า 1000 ห้อง วัดลามะนี้แต่เดิมเป็นพระตำหนักที่เฉียนหรงฮ่องเต้กษัตริย์องค์ที่สองของราชวงศ์ชิงสร้างให้องค์ชายสี่หรือหย่งเจิ้ง ปีค.ศ 1723 องค์ชายสี่ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ์องค์ที่ 3 จึงย้ายเข้าไปประทับในพระราชวังโบราณ ส่วนพระตำหนักนี้มีพื้นที่ครึ่งหนึ่งปรับเป็นที่พักผ่อนอิรอยาบถนอกวังขององค์ชายสี่ อีกครึ่งหนึ่งถวายพระลามะจังเจียฮูถูเค่อถู จึงกลายเป็นวัดลามะของทิเบตนิกายหมวกเหลือง
นิกายหมวกเหลืองเป็นนิกายย่อยนิกายหนึ่งของศาสนาพุทธนิกายทิเบต ผู้ก่อตั้งชื่อ หลัวปู้จ้าง จงเค่อปา เริ่มบวชตั้งแต่อายุ 8 ขวบ พออายุ 17 ปีก็เดินทางไปทิเบตเพื่อศึกษาคัมภีร์นิกายลามะ ต่อมาได้เป็นนิกายศาสนาพุทธที่ปกครองทิเบต เนื่องจากพระภิกษุของนิกายนี้สวมจีวรสีเหลือง จึงได้ชื่อว่านิกายเหลือง พระลามะองค์นี้มีคุณูปการสำคัญต่อการปฏิรูปนิกายลามะ ทั้งพระทะไลลามะและพระปันเชนลามะล้วนเป็นลูกศิษย์ของท่าน
แวะไปเที่ยวกันต่อนะครับ กับสนามรังนก ที่ใช้จัดพิธีเปิดโอลิมปิก ปี 2008
สนามรังนกในฤดูหนาวจะถูกแปลงร่างให้เป็นลานหิมะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปเล่นหิมะได้
มีเครื่องเล่นให้เด็กๆเล่นเพียบเลยครับ
คุณนายแอนกับ Mr.Snowman ตัวใหญ่
มีสไลด์เดอร์ที่ทำจากน้ำแข็งด้วย
คนเราเกิดมามีสองตาสองแขนสองขา
แต่ทำไมเน้อจึงมีหัวใจแค่ดวงเดียว
แท้จริงแล้วเราต่างมีหัวใจอีกดวงเช่นกัน
เพียงแค่เราต้องออกค้นหาอีกดวงที่คู่กันให้เจอเท่านั้นเอง
เอาห่วงยางมาสไลด์ลงจากเนินกัน
รถวิ่งบนหิมะก็มีให้เล่นนะ
การที่ได้มานอนเล่นบนหิมะกับภรรยาแบบนี้มันช่างสุขใจเสียจริง
ออกจากสนามด้านหลัง มีแม่น้ำที่แข็งเป็นน้ำแข็งอยู่ เด็กๆลงไปเล่นรถไถกันอย่างสนุกเลยครับ
มาชมบรรยากาศของสนามรังนกด้านนอกกันบ้าง
ด้านหนึ่งของสนามรังนกจะเปิดจอ LED สร้างความสวยงามให้ตัวสนามยิ่งขึ้น
หนาวจังเลย กอดกันๆ
ที่อยู่ตรงข้ามกัน คือ Water Cube สนามแข่งกีฬาทางน้ำครับ
รุ่งเช้าวันใหม่ ได้เวลาไปเที่ยวพระราชวังต้องห้าม Forbidden city ไม่ไกลกันคือ จัตุรัสเทียนอันเหมินครับ
จัตุรัสเทียนอันเหมินเป็นจัตุรัสที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีความยาวตั้งแต่ทิศเหนือจรดทิศใต้ 880 เมตร ทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตก 500 เมตร พื้นที่ทั้งสิ้น 440,000 ตารางเมตร สามารถจุประชากรได้ถึง 1,000,000 คน ปัจจุบันจัตุรัสเทียนอันเหมินนับเป็นจัตุรัสใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก
พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจตุรัสเทียนอันเหมิน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามได้ทางจตุรัสนี้ ผ่านประตูเทียนอันเหมิน บริเวณรอบจตุรัสเทียนอันเหมิน เรียกว่า อาณาเขตหลวง โดยมีสิ่งก่อสร้างสำคัญอยู่โดยรอบ เช่น มหาศาลาประชาคม ในอดีต พระราชวังแห่งนี้ เป็นเขตหวงห้ามไม่ไห้ประชาชนเข้า แม้ข้าราชการชั้นสูง ยังต้องขออนุญาต เป็นกรณีพิเศษ จึงเรียกพระราชวังนี้ว่า “พระราชวังต้องห้าม” จักรพรรดิจะทรงประทับอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ กั้นพระองค์จากโลกภายนอก โดยมีสนมกำนัล ขันที และข้าหลวงรับใช้ ซึ่งคนเหล่านี้ต้องอาศัยอยู่ในนครต้องห้ามตลอดชีวิต เพื่อความสำราญของจักรพรรดิ ในวังจะมีวิเสท 6,000 คน ประกอบพระกระยาหาร มีสนมกำนัล 9,000 นาง ซึ่งมีขันที 70,000 คน คอยดูแลให้ มีคำเล่าลือกันว่า พระนางซูสีไทเฮา เวลาเสวยก็จะมีพระกระยาหารถึง 148 ชุด และทรงส่งขันทีไปเสาะหาชายหนุ่มซึ่งเข้าวังแล้วจะไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลย
แม้ว่าประเทศจีนจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว พระราชวังต้องห้ามก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีน และภาพประตูเทียนอันเหมินก็ยังปรากฏอยู่ในตราประจำสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย นอกจากนี้ พระราชวังต้องห้ามยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งไม่นานมานี้ ทางรัฐบาลจีนได้มีนโยบายจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวเพื่อจะอนุรักษ์สภาพของอาคารและสวนหย่อมไว้
ด้านในยิ่งใหญ่อลังการมากครับ
มาช่วงฤดูหนาวแบบนี้ แม่น้ำเป็นน้ำแข็งหมด ก็สวยไปอีกแบบนะ
ด้านในของพระราชวังต้องห้ามนี่กว้างใหญ่จริงๆครับ ตัวอาคารก็อลังการงานสร้างมากๆ แต่ผมว่ามันจำเจไปหน่อย ส่วนตัวชอบหอสักการะฟ้าเทียนถานมากกว่าครับ
Jump Jump กันหน่อยนะ
และแล้วก็ถึงเวลาฮ่องเต้ ฮองเฮาเสด็จกลับวังแล้ว…
ค่าแต่งชุดเหล่านี้ ผมต่อรองมาได้แต่งตัว 4 คน (เพื่อนร่วมทริปอีก 2 คน) คนละ 25 หยวนครับ
ในแพกเกจได้ถ่ายวีดีโอใส่ DVD แบบนี้กลับบ้านด้วย อย่างถูกเลย
เดินผ่านบ้านเมีย 1 เมีย 2 ยันเมียคนที่ 50 ก็ยังไม่ถึงทางออกวังเลยครับ ต้องเดินไปนั่งพักไป ค่อยๆไปครับ เมื่อยมาก
ใกล้ๆทางออกจะมีสวนหย่อมอยู่
ตกบ่ายมาเดินเล่นที่ Qian Men Da Jie หรือ Asiatique ของปักกิ่งครับ
ถนนเฉียนเหมิน (Qianmen Street) เป็นถนนสายวัฒนธรรมซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาเยือนกรุงปักกิ่ง ถนนสายนี้ตั้งอยู่ ณ ใจกลางกรุงปักกิ่ง ใกล้กับจัตุรัสเทียน อันเหมิน มีความยาว 845 เมตร กว้าง 21 เมตร
ถนนเฉียนเหมิน มีประวัติความเป็นมากว่า 600 ปี นับตั้งแต่ ค.ศ.1550 ในสมัยราชวงศ์หมิง เมื่อฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิงย้ายเมืองหลวงกลับมาอยู่ที่ปักกิ่ง พระองค์ได้ใช้ถนนเส้นนี้ ในการเสด็จจากพระราชวังต้องห้ามไปยังหอฟ้าเทียนถาน เพื่อทำพิธีบวงสรวงสวรรค์และเซ่นไหว้บูชาท้องฟ้าให้ลมฝนราบรื่น ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์
ต่อมาภายหลัง เมื่อกรุงปักกิ่งสร้างเมืองรอบนอกพระราชวังต้องห้ามเสร็จ ถนนสายนี้ก็กลายเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญของเมืองรอบนอก และเป็นถนนการค้ามาโดยตลอด จน กระทั่งไม่นานมานี้ ทางการกรุงปักกิ่งได้ปิดถนนเพื่อทำการบูรณะให้กลับไปสู่สภาพโบราณโดยทำการออกแบบตามภาพถ่ายเก่าแก่ดั้งเดิมของถนนสายนี้ การบูรณะครั้งนี้ใช้เวลา ทั้งหมด 1 ปี และแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม ปี 2008
นอกจากร้านค้าร้านอาหารที่มีอยู่มากมายแล้ว ยังมีมุมถ่ายรูปสวยเยอะเลยครับ
กลมกลืนมากๆ เนียนเลยนะ ภรรยาผม
หินสีนำโชคที่กำลังนิยมอยู่ที่ไทย ที่ถนนเฉียนเหมินถูกมากๆครับ
แวะทานอาหารกันก่อนนะ ร้านนี้มีคนแนะนำมาว่าอร่อย
เป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นนุ่มเหนียว น้ำซุปเข้มข้น รสชาติใช้ได้ครับ
เย็นแล้วแวะมาชมจอ LED บนเพดานที่ห้าง The Place กัน เพดาน LED กันนี้ถือว่าเป็นจอที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน และใหญ่ที่สุดของเอเชียด้วย มีความยาว 250 ม. กว้าง 30 ม.
จอจะมีภาพเคลื่อนไหวสวยงาม เป็นปลาวาฬบ้าง หรือบางทีก็เป็นมิวสิควีดีโอเลย
แวะมาทานร้านซูชิสายพานชั้นใต้ดินของห้าง The Place
ร้านนี้ทุกอย่างจานละ 6 หยวน หรือประมาณ 30 บาทไทย
รสชาติดีงามมากครับ ราคาก็ประหยัดด้วย อิ่มมากๆ
เปรยๆตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทางว่าทริปนี้อยากจะกอดภรรยาท่ามกลางหิมะสักครั้ง
เดินทางมา 3 วันอากาศที่ปักกิ่งติดลบทุกวัน แต่ไม่มีหิมะตกเสียที แอบหวังเล็กๆให้ฟ้าเป็นใจให้คู่เราบ้าง
และในที่สุดคืนนี้ หิมะก็โปรยปรายลงมาสมใจ เป็นหิมะที่สวยงามในหัวใจเราทั้งสองคนมากๆ
ที่ผ่านมาหลายปี ไม่รู้ว่าอุ้มเธอไปทั้งหมดกี่ครั้งแล้ว รู้แต่ทุกครั้งก็มีความสุขมากมายทุกครั้ง
ขอบคุณแอนนะสำหรับอ้อมกอดที่อบอุ่นเสมอที่มีให้กับอิน หนาวที่กาย แต่ก็อบอุ่นในหัวใจเหลือเกิน
ที่เดินเล่นอีกที่ในปักกิ่งคือ บ้านโบราณหูท่ง ถนนคนเดินหนานหลัวกู่เซี่ยง
ถ้าเฉียนเหมิน คือ เอเชียทีค ที่หนานหลัวกู่เซี่ยงก็เหมือน เจเจ บ้านเราหละครับ
แวะมาดู Starbucks ปักกิ่งกันบ้าง
ที่นี่ตกแต่งในแบบสไตส์ของตัวเอง
เท่ไปอีกแบบนะ
แวะมาช้อปปิ้งกันต่อที่ตลาดรัสเซีย
ที่นี่เป็นห้างขายส่งคล้ายๆประตูน้ำครับ ราคาข้าวของต้องต่อกันสุดริด บางครั้งเปิดมา 100 จบที่ 10 เลย ขายนะ แต่แม่ค้าบ่นอุบเลย
เจอร้านอาหารถูกอร่อยในตำนานที่ปักกิ่งอีกแล้ว ร้าน The Grandma’s ในห้างหัวมุมถนน Wangfujing ร้านนี้ต่อคิวชั่วโมงครึ่งกว่าจะได้กิน ทำไมมันถึงคนเยอะแบบนี้น่ะหรอ…
หลังจากได้ลองทาน ต้องบอกเลยว่าอาหารอร่อยและถูกเว่อร์ครับ ตัวอย่างเช่น กุ้งอบกระเทียม 18 ตัว ราคา 35 หยวน (ประมาณ 182 บาท) หอยเชลล์ตัวใหญ่บึ้มตัวละ 8 หยวน(ประมาณ 40 บาท)
เป็ดครึ่งตัว 32 หยวน (166 บาท)
กุ้งเยอะมาก 35 หยวน (180 บาท)
ชามะนาวเหยือกละ 8 หยวน(40 บาท) เป็นต้น นอกจากนั้น ยังมีกับข้าวอย่างละ 6-8 หยวนให้สั่งเพียบเลย
สรุปคือคุ้มค่าแก่การรอคิวกินมากมายมหาศาสก่ายกอง ใครมาปักกิ่ง ปักหมุดด่วนครับ มันดีงามมากจ้า
เดินทางกลับแล้วจ้า ทริปนี้สนุกครบรสชาติจริงๆ
จากทริปปักกิ่ง 6 วัน 5 คืน สรุปได้ว่า
- ผู้คนที่ปักกิ่งเจริญขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมการบีบแตรพร่ำเพรอ ครั้งนี้แทบไม่ได้ยิน // รู้จักเข้าแถว มีมารยาทมากขึ้น
- ปักกิ่งมีรถไฟใต้ดิน 15 สายแล้ว ในขณะที่กรุงเทพมี 2 สาย
- บ้านเมืองสะอาดกว่ากรุงเทพเยอะ คล้ายๆสิงค์โปรเลยทีเดียว
- Taxi พอเจอชาวต่างชาติ จะลูกเล่นขึ้นมาทันที ทั้งจะเหมา ทั้งเรียกยาก มันจะเป็นกันทุกชาติเลยใช่มั้ย พี่คนขับแท็กซี่เนี่ย
- อาหารการกินอร่อยและไม่แพง ติ่มซำเทพมาก
- ที่เที่ยวส่วนใหญ่ถูกยึดครองโดยนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นหลัก แทบจะไม่มีฝรั่งหัวทองเลย ดูแลความปลอดภัยดีเยี่ยม X-Ray ทุกทางเข้า แม้กระทั่ง Subway
- สถาปัตยกรรมของปักกิ่งยิ่งใหญ่ มีเอกลักษณ์ มีที่เที่ยวแน่นๆ แถมปักกิ่งยังร่ำรวยประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากมาย
- ภาษาอังกฤษมีใช้เฉพาะ รร. เจ้าหน้าที่ตามสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น นอกนั้นพูดจีนไม่ได้จะลำบากมาก
- Malaysia Airline ไม่น่ากลัวอะไรเลย คนแน่นลำ อาหารและบริการดี (Business Class)
ลากันไปก่อนนะครับ หวังว่ารีวิว Beijing is so Sweet จะได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการเดินทางเที่ยวปักกิ่งด้วยตัวเองบ้างไม่มากก็น้อย
ปล.หากคุณอ่านรีวิวมาถึงตรงนี้ ผมได้ใช้เวลาและพลังงานมากมายในการเขียนรีวิวเพื่อเป็นข้อมูลและประโยชน์แก่ทุกคน หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป