เบปปุ ออนเซ็น ทัวร์บ่อนรก อบทรายร้อน ภูเขาลิง อควาเรียม Harmonyland สถานที่เหล่านี้คือสถานที่ท่องเที่ยวที่หาข้อมูลได้จาก internet แต่ข้อมูลแบบละเอียดๆ เจาะลึกๆ ยังไม่ค่อยจะมี ผมจึงขออนุญาติมาแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาที่เบปปุ เมืองหลวงแห่งออนเซ็นให้กับทุกๆท่านนะครับ ผ่านวันแรกในคิวชูไปอย่างสนุกสนานทั้งการช๊อปปิ้ง และ การอิ่มอร่อยกับปูแบบไม่อั้น วันที่สองของทริปคิวชูนี้เราจะไปเมืองหลวงแห่งออนเซ็นกันครับ มาติดตามความสนุกกันได้เลยครับ
สำหรับท่านที่ยังไม่ได้ติดตามตอนแรก – การเตรียมตัว และ สิ่งที่ควรรู้ก่อนเที่ยวฟุกุโอกะ ติดตามที่ link นี้เลยครับ
http://www.2madames.com/bljourney_fukuoka_kyushu/
รบกวนขอฝากรีวิวทริปญี่ปุ่นคราวที่แล้วด้วยนะครับ 4 ตอน
การเตรียมตัวก่อนไปญี่ปุ่น วัดอาซาคุซะ โตเกียวสกายทรี
http://www.2madames.com/japan_by_bljourney/
เจาะลึกโอไดบะ
http://www.2madames.com/japan_by_bljourney2/
ตามหาฟูจิซัง ที่ คาวากูจิโกะ
http://www.2madames.com/japan_by_bljourney3_fuji_kawaguchiko/
Yokohama Sea Paradise และ Tokyo Disneyland
http://www.2madames.com/japan_by_bljourney4_yokohama-sea-paradise-tokyo-disneyland/
สำหรับท่านที่สนใจเช่ารถขับเที่ยวคิวชู ขอแนะนำรีวิวของคุณอินเลยครับ
http://www.2madames.com/kyushu-japan-family-trip-travel-by-car/
ในวันที่สองในทริปคิวชูนี้ เราจะ ออกเดินทางไปในเส้นทางรถไฟสายพิเศษของคิวชูอีก 1 เส้นทางครับ นั่นก็คือรถไฟสาย Sonic ออกเดินทางจาก Hakataไป Oita ซึ่งเป้าหมายการท่องเที่ยวที่วางไว้ เส้นทางวันนี้จะไปที่เบปปุครับ
“เบปปุ (Beppu)” เบปปุคืออะไร? เบปปุอยู่ที่ไหน? แล้วมีดีอะไร?สิ่งเหล่านี้คือคำถามที่ผุดขึ้นในสมองผมทันที มาทำความรู้จักกับเมืองนี้กันนะครับ
เบปปุ (Beppu) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดโออิตะ (Oita) อยู่ชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ฟุกุโอกะ ถือเป็นเมืองที่มีบ่อน้ำร้อนมากที่สุดในญี่ปุ่น เมืองเบปปุ ขึ้นชื่อในเรื่องบ่อน้ำพุร้อนจากธรรมชาติ (Onsen หรือ Hot Springs) จนได้ชื่อว่าเป็น เมืองหลวงออนเซ็นของญี่ปุ่น มีแหล่งน้ำแร่จากธรรมชาติกระจายอยู่ทั่วไป เนื่องจากสถานที่ตั้งของเมืองนี้อยู่ใกล้กับภูเขาไฟอะโสะ หากใครมาเมืองนี้แล้วไม่ได้แช่ออนเซ็น ก็อาจพูดได้ว่ามาไม่ถึงเมืองเบปปุกันเลยครับ และขณะนั่งรถผ่านหรือมองจากมุมสูง จะเห็นควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นมาเหนือหลังคาบ้านเต็มไปหมด ซึ่ง ณ ตรงจุดนั้นจะเป็นจุดที่มีน้ำพุร้อนผุดขึ้นมาจากพื้นดิน เจ้าของบ้านจึงทำเป็นบ่ออาบน้ำร้อนจากธรรมชาติใช้ในบ้านและใช้บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งวิวที่มีไอน้ำร้อนพวยพุ่งขึ้นมาจากจุดต่างๆของเมือง ในช่วง โพล้เพล้ของวัน ไอน้ำสีขาว กับ แสงสุดท้ายสีทองของวันถูกยกให้เป็นวิวที่สวยที่สุดวิวหนึ่งของญี่ปุ่นเลยครับ รูปนี้จาก http://alljapantours.com/ นะครับ
ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า น้ำพุร้อนธรรมชาตินั้นมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่าง ๆ และการแช่ออนเซ็นนี้ก็ทำให้ผิวพรรณดี สุขภาพดีและช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทางได้อีกด้วย น้ำแร่ธรรมชาติที่เมืองเบปปุนี้เป็นน้ำแร่ธรรมชาติ ที่ไม่มีอะไรเจือปน โดยการที่จะนิยามว่า สถานที่ใดสถานที่นึงเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติได้นั้น น้ำในบ่อต้องมีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสและมีแร่ธาตุอย่างน้อย 1 ใน 19 ชนิด ซึ่งเมืองเบปปุแห่งนี้มีคุณสมบัติครบถ้วนส่วนใหญ่ออนเซ็นที่เมืองเบปปุนี้จะเป็นแบบรวม แต่ก็แยกชายและหญิงชัดเจน มีหลากหลายแบบให้เลือก ทั้งแบบถังไม้ ซึ่งอาบได้ครั้งละ 3-4 คน หรือ แบบสระทั้งภายในและนอกสถานที่ หรือจะแบบกลางแจ้งสัมผัสกับบรรยากาศข้างนอก บางแห่งเสริมความพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้าด้วยการใส่สมุนไพร มีน้ำวนหรือน้ำเกลือ นอกจากประเภทสาธารณะแล้วยังมีประเภทในบ้าน ซึ่งกฎทางเบปปุนั้น หากบ้านใดมีบ่อน้ำแร่จะต้องแบ่งเพื่อนบ้านอาบด้วยไฮไลท์อีกอย่างของเมืองเบปปุที่ขึ้นชื่อนั้น ก็คือ ทัวร์บ่อนรก 8 บ่อ โดยเฉพาะบ่อน้ำพุร้อนสีแดงคล้ายเลือด ชื่อว่า “Chinoike-jigoku” หรือชาวฝรั่งนามให้ว่า “Bloody Hell Pond” ซึ่งถูกยกให้เป็นหนึ่งใน Most Mysterious Place on Earth กันเลยครับ สาเหตุที่เรียกว่า Bloody Hell Pond นั้น ที่มามาจากชาวญี่ปุ่นโบราณตั้งชื่อบ่อแห่งนี้โดยอิงจากรูปนรกตามที่มีบรรยายไว้ในศาสนาพุทธ โดยบ่อนี้มีอายุมากกว่า 1,300 ปี มีอุณหภูมิความร้อนถึง 78 องศาเซลเซียส และมีความลึกกว่า 27 เมตร
ข้อมูลท่องเที่ยวเบปปุ ดูได้จาก เวบนี้ครับ http://www.beppu-navi.jp/photo/site/tl_genre.html เป็นภาษาไทยด้วยครับ
รู้จักกับเบปปุกันไปแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาออกเดินทางครับ ตารางการเดินทางในวันนี้ จากที่เราได้จองที่นั่งไว้เรียบร้อยแล้วเมื่อวานนี้ ขบวนที่เราเลือกจะเป็นขบวนที่เดินทางรวดเดียวจาก Hakataไปถึง Beppuได้เลย ขบวนรถ Sonic 5 ออกจากสถานี Hakata 8โมง ถึง Beppu 10 โมง โดยประมาณครับ จริงๆจะมีอีกทางคือนั่ง Shinkansen ไปที่ Kokura แล้วค่อยต่อ Sonic จะเร็วกว่านิดหน่อย แต่เราขอไม่เปลี่ยนสายดีกว่าครับ เราจะเริ่มจาก Gion นะครับ ซึ่งคือตรงที่พัก Jr Pass ใช้ขึ้น Subway ไม่ได้นะครับ ค่าตั๋ว 100 เยน ครับ
Sonic เจ้ารถไฟชื่อสุดเท่ ขบวนนี้ ความพิเศษก็คือ sonic 883 เจ้ารถไฟสีน้ำเงิน ซึ่งอาจารย์เอจิ มิโตะโอะกะ ได้ออกแบบโดยเน้นความสนุกสนานและประหลาดใจ ดีไซน์หัวเก้าอี้เป็นมิกกี้เม้าส์ เวลาพิงลงไปก็จะรู้สึกเหมือนเป็นตัวการ์ตูนชื่อดังนั่นเอง (รูปจาก http://bloodriceandnoodles.blogspot.com/2010/10/japan-part-4-monkey-mountain-and-beppu.html )
แต่ขบวนที่เราจองได้เป็น sonic 885 express นับได้ว่าเป็นน้องของเจ้า 883 มิกกี้เม้าส์ ขบวนนั้น เป็นซีรีย์ต่อกัน แต่ออกแบบแตกต่างจาก Sonic สีน้ำเงิน แบบคนละรูปแบบกันเลยครับ จากความสนุกสนานสดใส มาเป็นความสวยสง่าแบบเรียบๆ หลักๆจะวิ่งเส้นทางของนางาซากิ โดยจะมีชื่อเรียกว่า Kamome
Kamome เจ้านกนางนวลขาว พอมาวิ่งเสริมในเส้นทาง Oita ก็จะเรียกว่า Sonic เหมือนกันครับ เจ้านางนวลสีขาวจะออกแบบลวดลายภายในด้วยลวดลายตัวหนังสือญี่ปุ่น เป็นความหรูดูคลาสสิคมากๆ อาจารย์เอจิ ตั้งใจออกแบบในบรรยากาศแบบเน้นการเคลื่อนไหวและความเร็วแต่ก็ยังคงความรู้สึกผ่อนคลาย ด้วยการใช้ไม้เป็นองค์ประกอบหลัก และกระจกที่ทำให้นึกถึงกระดาษญี่ปุ่น และเบาะหนังชั้นดีสีดำ นั่งสบายมากๆ อีกจุดเด่นของเจ้านางนวลขาวก็คือมีช่องเสียบตั๋วไว้ให้ พนักงานตรวจ อยู่ด้านหลังเบาะหน้า เผื่อกรณีจะพักสายตาสักแปป จะได้ไม่ต้องถูกรบกวนครับ และเนื่องจากรถขบวนนี้เป็นสีขาว จะทำให้เปื้อนง่ายจึงต้องมีการเคลือบสีขาว 2 ชั้นที่หัวรถไฟ และทำความสะอาดทุกวัน อีกจุดเด่นสำคัญของ sonic ทั้งสองขบวนคือการออกแบบด้านวิศวกรรมครับ ในการเข้าโค้ง sonic ถูกออกแบบมาให้เข้าโค้งได้ด้วยความเร็วสูง โดยจะมีการเอียงตัวของตัวขบวนให้เป็นระดับตรงเพื่อสามารถใช้ความเร็วในการเข้าโค้งได้เต็มที่ เรียกว่าเป็นรถไฟด่วนพิเศษที่จะเอียงเข้าหาจุดศูนย์กลาง Tilting Train และเจ้า Sonic ขาว นี้ ทำจากอลูมีเนียมอัลลอย ตีให้โป่งด้วยเทคโนโยีที่ทันสมัย จึงทำให้มีน้ำหนักเบา ช่วยประหยัดพลังงาน และ ทรัพยากร มีระบบควบคุมแรงเหวี่ยงจึงเข้าโค้งได้ที่ความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
จากการเดินทางแต่เช้าตรู่ เราจึงจะฝากท้องกันด้วย เอกิเบ็น ข้าวกล่องสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งมีให้เลือกกันมากมายที่สถานี Hakata เลยครับ ราคาตั้งแต่ 700-2000 เยน มีเบนโตะที่น่าสนใจกล่องนึงสำหรับผมคือ เบนโตะรูปชินคันเซนครับ เสียดายที่ลืมซื้อ มานึกออกตอนหลังแล้ว ><
บัตรที่นั่งจะมีการระบุตู้ที่นั่ง หมายเลข ไว้เรียบร้อย นะครับ ของเราก็จะเป็น Sonic 5 วันที่ 19 เวลา 8.02 ตู้ 2 ที่นั่ง 11c ที่นั่งแบบReserved Seat
มาสำรวจรถไฟขบวนนี้กันครับ ตู้เราคือตู้ 2 จะมีห้องน้ำของเด็กกับคนพิการอยู่ตู้นี้ครับ ตู้ Vending Machine อยู่ ตู้ 5
ลวดลายตัวหนังสือญี่ปุ่นภายในช่วงระหว่างตู้ครับ
ห้องน้ำสำหรับเด็ก และ ผู้พิการ ครับ
ตู้ Vending Machine ครับ 1 ตู้ >< เดินมาซะไกลเลย
ได้เวลาอาหารเช้าแล้วครับ สำหรับมารยาทในการรับประทานเบนโตะ บนรถไฟก็คือ ในชินคังเซ็นหรือรถด่วนพิเศษที่เดินทางในระยะไกลนั้น สามารถทานอาหารและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ และภายในรถไฟนั้นก็มีจำหน่ายเบนโตะ หรืออาหารกล่อง เครื่องดื่มต่าง ๆ รวมไปทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย แต่ทว่าภายในรถไฟปกติที่สำหรับเดินทางทำงาน หรือเดินทางไปเรียนนั้นนอกจากเครื่องดื่มแล้วไม่อนุญาติให้ทานอาหารบนรถไฟซึ่งในการทานอาหารบนรถไฟก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นรุนแรง ซึ่งอาจรบกวนผู้โดยสารท่านอื่นๆได้ครับ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าจะรบกวนคนข้างๆหรือไม่จึงผลัดกันไปทานตรงทางเดินระหว่างตู้ครับ จะมีโต๊ะเป็นเคาน์เตอร์ และก็มีห้องอเนกประสงค์อยู่ด้วย
เราซื้อมา2กล่องครับ ของหม่าม้าเล้งจะเป็นแบบนี้ครับ ภายในไม่ได้ถ่ายมา เล้งโซโล่เรียบ
ส่วนของผมก็เป็นข้าวหน้าเนื้อครับ
อร่อยมากครับ ถึงแม้ไม่ได้กินแบบร้อนๆ แต่ความกลมกล่อมลงตัวของเนื้อ ซอส และ ข้าว ครับ หลังจากที่เล้งได้กินทั้งสองกล่องก็สรุปว่า ข้าวหน้าเนื้ออร่อยกว่าแบบแรกมากๆๆๆๆ เลยครับ
สำหรับท่านที่จะซื้ออาหารบนรถ สักพักพนักงานจะเข็นมาจำหน่ายนะครับ
สักพักก็จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋วครับ
อย่างที่บอกว่า รถ ขบวนนี้จะมีช่องเสียบตั๋ว ไว้ให้ เผื่อใครอยากจะหลับก็จะได้ไม่ต้องปลุกครับ
Kokura เสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่แว่วมา ความวุ่นวายบังเกิดครับ ทุกคนลุกพรึ่บพรั่บ ต้องหมุนเก้าอี้ครับ ลุกขึ้นมาแล้วเหยียบตรงนี้ครับ เพื่อหมุนเก้าอี้ครับ พวกเราก็งกๆเงิ่นๆ แบบไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ครับ
นั่งชมวิวสองข้างทางเพลินๆไปครับ ทุกทีมาญี่ปุ่นจะเที่ยวแต่ในเมืองไม่ค่อยได้เจอภาพแบบนี้เท่าไหร่เลยครับ
นั่งต่อไปอีกสักพักก็มาถึง อเมริกา USA ครับ ^^
ช่วงเวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงหน่อยๆ เด็กๆก็ชาร์จแบตกันเต็มที่ครับ
เบ๊ปปุวววว เราก็มาถึงสถานี Beppu ครับ สายฝนโปรยปรายกันตลอดเลยครับ และที่ญี่ปุ่นนี่เวลาฝนตกก็ตกลากยาวทั้งวันเลยครับ
Tourist Information Center อยู่ตรงทางออกเลยนะครับ ก่อนออกจากสถานี อย่าลืมแวะที่ Tourist Information Center นะครับ แนะนำให้ซื้อ My Beppu Free Pass ราคา 900 เยน ในการขึ้นรถบัส เที่ยวในตัวเมืองเบปปุ ได้ไม่จำกัดครับ แต่ก็มีบัตรแพคเกจตั๋วรถไปกลับ ร่วมกับ บัตรผ่านประตู Umitamago Aquarium กับ Takasakiyama (Mount Takasaki)เรียกว่า “Monkey Marine Ticket” ราคาอยู่ที่ประมาณ 2260 เยนครับ นอกจากนี้ยังมี One-Day Wide Pass ราคา 1,600 เยน ใช้ขึ้นรถเมล์ได้ไม่จำกัดในเมืองเบปปุและพื้นที่รอบนอกเช่น เมืองยุฟุอิน หรือสถานีกระเช้าขึ้นเขา Tsurumi และ Two-Day Wide Pass ใช้ขึ้นรถเมล์ได้ไม่จำกัดในเมืองเบปปุและพื้นที่รอบนอกภายในเวลา 2 วัน
จากที่เราได้จองโรงแรม Nogami Honkanไว้ รายละเอียดโรงแรมนะครับ http://www008.upp.so-net.ne.jp/yuke-c/thai.html เราสามารถเดินไปจากสถานีรถไฟ ได้เลยครับ ระยะทางอยู่ห่างจากสถานี ประมาณ 650 เมตร ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
แต่เนื่องจากฝนตกเราจึงตัดสินใจขึ้น taxi จากหน้าสถานีเลยครับ มิเตอร์ที่นี่รู้สึกจะเริ่มที่ 640 เยนครับ จากสถานีไปโรงแรม ก็ตรงตามถนนเส้นหลักไปเลยครับ ผ่าน Yamazaki daily ทางซ้ายมือ ผ่านถนนคนเดิน แล้วเลี้ยวขวาเข้าซอยซอยจะอยู่ตรงข้ามห้างชื่อ Tokiwa ปากซอยมีตู้โทรศัพท์อยู่ ตรงไปประมาณ 100 เมตร ผ่านสี่แยกเล็กๆ ก็จะเจอโรงแรมอยู่ทางซ้ายมือครับ
ฝั่งตรงข้ามโรงแรมจะเป็นห้องออนเซนรูปจากคุณ Ylouis Louis หรือ monkichi keroppi ใน pantip นะครับ ตอนผมไปไม่ได้ใช้ห้องนี้เลยครับ
เราจองห้องพักแบบรวมอาหารเย็นและเช้าอีกวันนึงมาครับ สนนราคาอยู่ที่ 12960 เยน ต่อห้องต่อคืน ครับ มีค่าภาษีบ่อน้ำร้อนอีก 150 เยนต่อคน ระหว่างเช็คอินก็จะสามารถเลือกเวลาทานอาหารเย็นได้เริ่มตั้งแต่ 6 โมง และก็สามารถเลือกใช้ ออนเซนส่วนตัวได้ 50 นาทีครับ อีก 10 นาที ทางโรงแรมจะไว้ทำความสะอาด ที่โรงแรมนี้จะมี ออนเซ็นส่วนตัวอยู่ 3 แบบครับ นอกจากออนเซ็นชาย หญิงปกติ ออนเซ็นส่วนตัวที่นิยมสุดก็จะเป็นห้องชั้นสองครับ อ้อห้องออนเซ็นส่วนตัวที่ชั้นสองจะอยู่ใกล้ๆกับออนเซ็นรวมหญิง อย่าเข้าผิดนะครับ ห้องส่วนตัวจะอยู่ทางขวา ล็อคกุญแจไว้
เช็คอินเรียบร้อยก็ได้เวลาออกเที่ยวครับ มาดูกันว่าเบปปุมีอะไรเที่ยวกันบ้างครับ
สำหรับการเดินทางโดยรถบัสแถว Oita สามารถใช้เวบนี้ได้นะครับ พิมพ์สถานีรถบัสต้นทางกับปลายทางแล้วกด Search เหมือน Hyperdia ครับ
http://www.busnavi-oita.com/locale/?localize=en
อย่างที่บอกว่า เบปปุเป็นเมืองแห่งบ่อน้ำร้อน สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองนี้ก็คือทัวร์บ่อนรก 8 บ่อ ซึ่งจะเป็นบ่อน้ำพุร้อน 8 บ่อ 8 ลักษณะต่างๆกันครับ โดย บ่อนรกทั้ง 8 จะมีบ่อนรก อยู่ใกล้ ๆกัน 6 บ่อ และ อีกที่ จะมี 2 บ่อ ครับ ตั๋วค่าเข้าบ่อน้ำพุร้อน ซื้อแบบเหมาจ่ายทั้งแปดแห่ง ราคาคนละ 2,000 เยน ถ้าแยกจะบ่อละ 400 เยน
สามารถดูแผนที่ตามรูปเพื่อความเข้าใจมากขึ้นครับ
รายละเอียดเป็นดังนี้ครับ (ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thaventure.com/2014/09/beppu-jigoku-meguri/ รูปจาก japan-guide.com ครับ )
- ยูมิ จิโกกุ (UmiJigoku) หรือ “บ่อทะเลเดือด (Sea Hell)” เป็นบ่อที่นักท่องเที่ยวนิยมไปชมมากที่สุด เพราะมีความสวยงามมาก ดูเป็นนรกน้อยกว่าแห่งอื่น ๆ จัดภูมิทัศน์ได้ร่มรื่น ยูมิ จิโกกุ เป็นบ่อน้ำร้อนสีฟ้าเหมือนน้ำทะเล ด้วยความลึก 150 เมตร กำเนิดขึ้นหลังจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อ 1,200 ปีก่อน มีส่วนประกอบของแร่โคบอลต์ (Cobalt) ควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นมารอบ ๆ บ่อตลอดเวลา อุณหภูมิของน้ำสูงถึง 98 องศาเซลเซียส บ่อนี้แม้น้ำจะร้อนเกินกว่าจะลงไปแช่ได้ แต่ก็มีผงน้ำแร่ (Maguma-Onsen) วางจำหน่ายในร้านขายของที่ระลึก ให้นำไปละลายน้ำอาบเองที่บ้านได้ สรรพคุณทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งและรักษาโรคผิวหนังได้ ก่อนออกมาอย่าลืมไปนั่งแช่เท้าในบ่อน้ำร้อนใต้ศาลา(ออนเซ็นเท้า)จะทำให้รู้สึกสบายเท้า ให้บริการแบบฟรี ๆ ด้วยครับ
- โอนิอิชิโบสุ จิโกกุ (OniishibozuJigoku) หรือ “บ่อโคลนเดือด” (Monk’s Hell หรือ Mud Bubbles) ลักษณะคล้ายโคลนสีเทาเดือดปุด ๆ ขึ้นมาเป็นฟองกลมอยู่กลางวงมองดูคล้ายปุ่มบนเศียรพระพุทธรูปญี่ปุ่น มีหลายบ่อให้ชม แต่ละบ่อมีโคลนเดือดปุดขึ้นมาหลายวง ที่นี่มีสระเล็ก ๆให้ได้ห้อยขาเอาเท้าแช่น้ำร้อนอีกด้วยครับ
- ยามะ จิโกกุ (Yama Jigoku) หรือ “หุบเขานรก (Mountain Hell)” ตั้งอยู่ใกล้บ่อทะเลเดือดและบ่อโคลนเดือด ที่นี่จะมีน้ำพุร้อนพุ่งออกมาจากโขดหิน เกิดกลุ่มควันขาวปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้าเสียงดังฟู่ ๆ อยู่ตลอดเวลา บางคนบอกว่าเป็นเสียงจากนรก บ่อนี้มีสวนสัตว์เล็ก ๆ ให้ชมอีกด้วย
- คามาโดะ จิโกกุ (KamodoJigoku) หรือ “นรกกระทะทองแดง (Oven Hell หรือ Cooking Pot Hell)” ชื่อนี้มีความหมายว่า บ่อนรกเตาอบ เพราะโดยในอดีตที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่ใช้ในการปรุงอาหารนั่นเอง ยักษ์ที่ยืนอยู่บนหม้อปรุงอาหารนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ ตั้งอยู่ห่างบ่อทะเลเดือดและบ่อโคลนเดือดออกไปเล็กน้อย ที่นี่จะมีแอ่งน้ำพุร้อนอุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส ด้านในมีทั้งหมด 6 บ่อเล็ก ซึ่งจะมีลักษณะต่างกันออกไป มีน้ำร้อนจากบ่อนรกให้ชิมด้วย
- โอนิยามะ จิโกกุ (OniyamaJigoku) หรือ “หุบเขาปีศาจ (Devil’s Mountain Hell)” บ่อนี้เค้าเลี้ยงจระเข้เอาไว้ด้วย แต่ไม่ได้เลี้ยงไว้ในน้ำพุร้อนนะครับ เจ้าจระเข้เหล่านี้ชอบอาศัยอยู่ในน้ำอุ่นครับ เรียกว่ามาที่เดียวก็ได้ดูฟาร์มจระเข้ไปในตัวด้วย ที่นี่เค้ามีรอบเวลาให้อาหารเหมือนกันนะ ถ้าใครไปตรงช่วงก็อาจจะได้ชมให้อาหารจระเข้ด้วยครับ
- ชิราอิเกะ จิโกกุ (ShiraikeJigoku) หรือ “นรกสีขาว (White Pond Hell)” เป็นบ่อน้ำพุร้อนสีขาวคล้ายน้ำนม บ่อนี้มีสวนตกแต่งสวนสไตล์ญี่ปุ่นรอบๆ บ่อ ทำให้วิวทิวทัศน์ของบ่อนี้สวยงามมากครับ
อีก 2 บ่อที่เหลือจะโซนนึงนะครับ ต้อง นั่งรถต่อไปประมาณ 10 นาที
- ชิโนอิเกะ จิโกกุ (ChinoikeJigoku) หรือ “บ่อสีเลือด (Blood Pond Hell)” ชื่อฟังดูน่ากลัว เป็นบ่อน้ำพุร้อนสีแดงคล้ายสีเลือด ที่เห็นเป็นสีแดงเพราะมีส่วนประกอบของสนิมเหล็กอยู่มาก ปฏิกิริยาร้อนระอุถึง 78 องศา เลยกลายเป็นที่มาของบ่อน้ำพุร้อนสีแดงแห่งนี้ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Akayusen
- ทัตสึมากิ จิโกกุ (TatsumakiJigoku) หรือ “น้ำพุนรก (Spout Water Hell)” ไม่น่าจะเรียกบ่อน้ำร้อน แต่น่าจะเป็นน้ำพุร้อนมากกาว่า จะเห็นนักท่องเที่ยวนั่งรอชมกันครับ โดยน้ำพุร้อนจะพุ่งขึ้นมาเป็นเวลา โดยระยะห่างของแต่ละช่วงคือ 30-40 นาที และระยะเวลากระแสน้ำที่พุ่งขึ้นนั้น ประมาณ 6-10 นาที
ใช้เวลารวมๆ ทั้ง 8 บ่อ ประมาณ 2-3 ชั่วโมงครับ ผมเอาบัตรลดชมบ่อนรกทั้ง 8 บ่อมาฝากครับ http://www.beppu-jigoku.com/waribiki.htm
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ http://www.tiewyeepoon.com/review/beppu-jigoku-meguri-pt1/ , http://japan-guides.blogspot.com/2013/04/beppu_8.html , http://www.japan-guide.com/e/e4702.html
ทัวร์บ่อนรกทั้ง 8 นี้ ถือเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวกันเลยครับ แต่บางคนก็จะไม่ค่อยชอบเพราะมี ทัวร์ไปลง เยอะ ครับ
นอกจากบ่อน้ำร้อนแล้ว เบปปุยังมีที่เที่ยวอีกมากมายสำหรับเด็กๆครับ ที่เที่ยวอื่นๆก็จะมี (ข้อมูลบางส่วนจากคุณ macpro777 ครับ http://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12868212/E12868212.html )
- Harmony Land ครับ สวนสนุกของผองเพื่อน Sarioจะเป็นแนว outdoor เน้นเครื่องเล่น และดูเล็กๆกว่าที่ SarioPuroLandที่ โตเกียว ครับ http://www.harmonyland.jp/english/harmony/harmony.html
- African Safari สวนสัตว์ซาฟารี จะเป็นแนวนั่งรถ Jungle Bus ไปชมชีวิตสัตว์ในทุ่งกว้างครับ http://www.africansafari.co.jp/ จาก Beppu Station West Exit ขึ้นรถ Kamenoi Bus เบอร์ 41 หรือ 43 ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีครับ
- สวนสนุก Rakutenchi ที่นี่ก็จะมี สวนสนุกพวกเครื่องเล่นต่างๆ สวนสัตว์ สวนน้ำและก็แช่ออนเซน ด้วยครับ http://www.rakutenchi.jp/ วิธีเดินทางก็นั่งรถ Taxi หรือรถบัส Kamenoi Bus จาก Beppu Station นะครับ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
- Kijima Kogen Park มีทั้งสวนสนุก, สนามกอล์ฟ, โรงแรมและออนเซนครับ http://www.kijimakogen.jp/ วิธีเดินทางก็นั่งรถบัส Kamenoi Bus จาก Beppu Station นะครับ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ตอนแรกเราก็ตั้งใจจะไป ทัวร์บ่อนรก กับ Harmony Land แต่เนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย มีฝนปรอยๆไม่น่าไป Outdoor และเรารู้สึกว่าเด็กเล็กๆคงไม่สนุกกับบ่อน้ำร้อนเราจึงตัดสินใจไปเที่ยว Umitamago Aquarium และ Takasakiyama Monkey Mountain ครับ
Umitamago Aquarium และ Takasakiyama Monkey Mountain เป็นสถานที่เที่ยวสองแห่งที่อยู่ตรงข้ามกันครับ และมีตั๋วแพคเกจรวมค่าบัตรผ่านประตูกับรถบัสไว้เรียบร้อย ซื้อได้ที่ tourist center ที่สถานีรถไฟครับ ราคา คนละ 2260 เยน
จุดเด่นของ Aquarium แห่งนี้ก็จะมี Molamola มีการแสดงของโลมา สิงโตทะเล วอลรัส และมีปลาแปลกๆให้ดูหลายชนิดกันเลยครับ
ส่วน Takasakiyama Monkey Mountain จะเป็น ประมาณอุทยานที่มีฝูงลิงนับพันตัวอาศัยอยู่ โดยจะมี เจ้าหน้าที่คอยดูแลให้อาหารตลอด จุดน่าสนใจก็คือเวลาให้อาหาร ที่ฝูงลิงจะวิ่งมาจากทุกทิศทาง เข้าไปกินอาหารกันครับ ไปอ่านใน Tripadvisor ดูน่าสนใจทีเดียวครับ
จากโรงแรม Nogami Honkan เดินย้อนขึ้นมาปากซอยเลี้ยวขวาก็จะเจออุโมงค์ไว้สำหรับข้ามถนนครับ ลงอุโมงค์ข้ามไปฝั่งตรงข้ามก็จะถึง Kitahama Bus Center ป้ายรถบัสหลักของที่นี่เลยครับ สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถบัสของที่นี่ก็ดูตารางเวลาดีๆนะครับ รถบางสายเยอะบางสายน้อย
เส้นทางก็จะมีประมาณนี้ครับ สามารถหาข้อมูลจากเวบนี้ได้ครับ http://www.busnavi-oita.com/locale/?localize=en หรือจะดูแผ่นพับที่ทาง tourist center ให้มาก็ได้ครับ จะมีรายละเอียดบอกว่ารถจากไหนไปไหน มาตอนกี่โมง ถึงป้ายไหนกี่โมง
วิธีขึ้นรถเมล์ ก็ขึ้นที่ประตูตรงกลางรถ เวลาลงก็ลงด้านหน้า เอาตั๋วที่มีให้คนขับ หรือจ่ายเงินกับคนขับไปครับ
แต่ท้ายที่สุดด้วยความประมาท เราต้องขึ้นรถรอบ 12.44 พอถึงเวลารถเข้ามาที่สถานี เราก็ขึ้นเลยทันทีที่ประตูตรงกลางรถ ลืมถามคนขับก่อน แต่รถคันนี้วิ่งไปคนละทางกับที่เราจะไป กลับมาสุดทางที่สถานีรถไฟเบปปุอีกครั้ง สรุปคือรถคันนี้มาเลท แต่ดันมาที่ Bus Center เวลาเดียวกับอีกคันที่จะไป Aquarium พอดี ดังนั้นก่อนขึ้นจึงต้องดูป้ายที่หน้ารถด้วยครับว่ารถคันนี้มุ่งหน้าไปไหน รถเบอร์อะไร หลังจากหลงไป 1 รอบ คราวนี้เราก็เริ่มระวังมากขึ้น ถามย้ำคนขับอีกครั้งว่าจะไป Umitamagoก่อนที่รถจะออก
ใช้เวลา 20 นาที โดยประมาณก็จะเห็นสะพานนี้แต่ไกล พอถึงสะพานตรงนี้ก็ถึงที่หมายแล้วครับ ลงได้เลย เราลงรถที่หน้า Aquarium ส่วนขากลับก็จะข้ามไปอีกฝั่งตรงด้านหน้า Takasakiyama
สาเหตุที่เราเที่ยว Aquarium ก่อน เพราะว่าทาง Aquarium มีเวลาโชว์เป็นรอบๆ ถ้าพลาดแล้วก็พลาดไปเลย แต่ทาง Takasakiyama มีให้อาหารลิงทุกๆครึ่งชั่วโมงอยู่แล้ว โชว์ที่นี่ค่อนข้างต่อเนื่องกันตลอดเลย แต่จะอยู่คนละที่กัน ทั้งลานแสดงโชว์ บ่อโลมา และในแทงก์ต่างๆ ตารางเวลาโชว์ที่เราดูจากหน้าเวบ กับ ที่สถานที่จริงไม่ตรงกันด้วยครับ เลยพลาดโชว์ไปบางอย่าง
ทางเข้าจะอยู่ที่ชั้นสองนะครับ แต่มีลิฟท์อยู่ด้านหลังบันได
เรามาถึงก็ได้เวลาโชว์พอดีครับ เข้าประตูไปก็เจอลานแสดงโชว์พอดี
พึ่งเคยเจอโชว์นก Pelican เป็นครั้งแรกครับ ดูไม่ค่อยเชื่อฟังเท่าไหร่
วอลรัส ไซส์ใหญ่ๆเลยก็มีมาโชว์กันครับ
โชว์จากอาสาสมัคร ปิดท้ายด้วยรางวัลพิเศษ จาก วอลรัส
โค้ชบอกว่าหนูต้องฟิตหุ่นทำ six pack ค่ะ
สิงโตทะเลมีแล้ว วอลรัสก็มาแล้ว ขาดแมวน้ำได้อย่างไร คลานลงบันไดมาระยะประชิดเลย
จบจากโชว์ก็จะเป็นช่วง Meet & Greet ครับ ขอลายเซ็น จับมือทักทายกับดาราใหญ่กันได้
ใกล้ๆกับลานโชว์ก็จะมีร้านอาหารให้ได้เติมพลังกันได้ครับ ข้างๆกันก็จะมี เพนกวินน้อยๆให้ได้ชมกัน จะอยู่ตรงประตูจากร้านอาหารเลยครับ
โชว์โลมาซึ่งถือเป็นโชว์หลักของที่นี่อีกโชว์นึงครับ จะมีโลมาปากขวด 3 ตัว และ หัวบาศก์อีก 1 ตัว ผลัดกันโชว์ความสามารถ โชว์ความน่ารักกัน
ที่นั่งริงไซด์ ก็จะมีแจกผ้า และ แผ่นพลาสติกไว้ให้ครับ โชว์นี้เล่นเอาเปียกไปตามๆกันเลย
ที่ญี่ปุ่นนี่ โลมาจะกระโดดแบบเหนือชั้นมาก ทั้งตีลังกา ใส่เกลียวกันเต็มที่
การแสดงไหลลื่น ไม่ต้องมีการพูดอะไรมากมาย (ถ้าเคยดูที่บ้านเรา ซาฟารีเวิล์ดหรือที่ดอลฟินเวิล์ด พัทยา เวลาแสดงจะใช้การพูดเยอะไปหน่อย บางทีดูแล้วไม่ค่อยไหลลื่น)
โชว์ใช้เวลาประมาณ 15นาที เข้ามาด้านในก็จะมี แทงค์ต่างๆเป็นจุดๆ Aquarium ที่นี่จะขนาดไม่ใหญ่มาก ถ้าเทียบกับ Yokohama Hakkiejima Sea Paradise หรือ Kaiyukanแต่โดยรวมก็ทำได้ดีเลยครับ
เจ้า Mola Mola หรือ ปลาพระอาทิตย์ ปลาสุดโปรดของเบลล่าครับ เคยไปเห็นที่ Yokohama แล้วขอให้พาไปดูอีก
ข้อมูลจาก วิกิพีเดียนะครับ Mola Mola หรือ ปลาพระอาทิตย์ เป็นปลาที่มีรูปร่างประหลาด เนื่องจากมีรูปร่างเป็นทรงกลม ส่วนหัวมีขนาดใหญ่จนดูคล้ายมีแต่เพียงหัวอย่างเดียว ขณะที่ส่วนครีบต่าง ๆ ถูกหดสั้นลง โดยส่วนครีบหลังมีขนาดใหญ่ตั้งยาวขึ้นไปข้างบน และครีบก้นให้มีขนาดใหญ่ยื่นยาวลงมาด้านล่างลำตัว เมื่อว่ายน้ำจะใช้ครีบทั้ง 2 โบกไปมา ในขณะครีบข้างลำตัวทรงโค้งจะมีขนาดเล็กและบาง ๆ เท่านั้น ครีบหางจะหดสั้นเข้ามาติดตอนท้ายของลำตัวที่หดสั้นจนดูว่าเป็นปลาที่มีแต่ส่วนหัว ที่หลังดวงตาจะมีรูสำหรับให้น้ำออก เพื่อใช้ในการเคลื่อนที่ว่ายน้ำ แม้จะแลดูมีรูปร่างประหลาดแต่ก็ยังเป็นปลาที่ว่ายน้ำได้และมีความเร็วมากพอที่จะจับกินแมงกะพรุนทัน ซึ่งเป็นอาหารหลัก มีขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 3.2 เมตร และมีน้ำหนักได้มากถึง 2,300 กิโลกรัม หรือมากกว่า 2 ตัน ซึ่งนับได้ว่าเป็น ปลากระดูกแข็งที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลก และมักจะว่ายชนเรือขนาดใหญ่บ่อย ๆ อีกด้วย ปลาพระอาทิตย์ สามารถพบได้ในทะเลเขตร้อนและอบอุ่นทั่วโลก ซึ่งสถานที่ ๆ พบมากที่สุด คือ เกาะบาหลี ในอินโดนีเซียครับ
ข้างๆกับ Mola Mola ก็จะเป็นแทงก์ของ แมงกะพรุน แหวกว่ายกันอย่างสวยงามครับ
ช่วงที่ไปเที่ยว ทาง Umitamago Aquarium มีการจัดแสดงในธีมของ Holloween กันด้วยครับ
ปลาแปลกๆ สวยๆ เยอะเลยครับ
เบลล่าบอกว่าจับกินให้หมดเลย ข้างหลังนั่น ปิรันย่า นะลูกกกกก
ส่วนที่เป็น Kid Zone ก็มีนะครับ ตกแต่งได้น่ารัก น่าเล่นมากๆ
ด้านในจะมีแทงก์ไว้ให้ถ่ายรูปกับสิงโตทะเล ที่จะว่ายมาทักทายเป็นระยะๆครับ
ใกล้ทางออกจะมีเจ้าตัวนี้ครับ เป็นตัวที่ผมขนลุกมากๆ ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไรเหมือนกัน คุ้นๆว่า Sea Flea
ผ่านจากตรงนี้มาก็จะเป็นโซนละลายทรัพย์ครับ คุกกี้ญี่ปุ่นจะหอม นม เนย มากๆ เบลล่าชอบมากครับ
มาเจอฟิกเกอร์ เพนกวิน หลากหลายสายพันธุ์ ราคา 2808 เยน เบลล่าชอบมากๆครับ
มีหลายๆคนจะถามว่า ดีมั้ย น่าไปมั้ย ส่วนตัวผมให้ Yokohama Hakkiejima Sea Paradise เหนือกว่า แต่ที่นี่ผมยังชอบกว่า Kaiyukan ครับ
เสร็จสิ้น เพลิดเพลิน กับ สัตว์น้ำมากมาย เรียบร้อย ก็ได้เวลาไปยังอีกฝั่งของถนน ไป Takasakiyama กัน เดินขึ้นไปชั้น 2 เลยครับ หรือจะไปขึ้นลิฟท์ก็ได้ ชอบจังเลยครับ ญี่ปุ่น เด็กๆที่ใช้รถเข็นสบายเลย
ขอแวะถามทางแพ่พพพ นะครับ จะไป Monkey Mountain ไปทางไหน สูเจ้า รู้บ่
อ่อ ขอบคุณหลายๆ ^^
บัตรที่เราซื้อมาจะมี 4 ส่วนนะครับ บัตรรถขาไป และ ขากลับ บัตรเข้า Umitamago Aquarium และบัตร เข้า Takasakiyama ใช้ใบไหนก็ฉีกออกไป
วิธีเข้าชมก็สามารถเดินขึ้นไปตามทาง หรือจะ ขึ้น cable car มีค่าใช้จ่ายคนละ 100 เยนก็ได้ครับ ฝนโปรยๆยังไม่หยุด เราขอขึ้น cable car ดีกว่าครับ
ก่อนขึ้นก็ต้องฝากสัมภาระ ถุงพลาสติก ถุงหิ้วต่างๆ พกไปแค่กระเป๋าเล็กๆน้อยๆที่จำเป็นพอนะครับ เดี๋ยวเจ้าจ๋ออาจจะมีการวิ่งมาขอตรวจค้นกันได้
เราขึ้นไป เกือบได้เวลาที่ เจ้าหน้าที่นำอาหารมาให้พอดีครับ ฝูงลิงก็วิ่งกรูกันออกมาทั้งจากบนเขา ตามอาคารต่างๆ
ด้วยความสงสัยเราอยากรู้ว่าใครคือจ่าฝูง สังเกตดูว่าจะมีแค่ไม่กี่ตัวที่จะกินบนโต๊ะและไม่มีตัวไหนมาแย่ง
นี่เลยครับ เจ้าหน้าที่บอกมาเลยครับ He is the Boss of Monkey ลูกพี่ใหญ่ของฝูงนี้ครับ กินเสร็จแล้วมานั่งดูลูกฝูงขนแน่นกว่าตัวอื่นๆ หน้าแดงแป๊ดดด จริงๆที่นี่จะมีลิงอยู่ 2 ฝูงนะครับ จะผลัดกันลงมา รอบเช้า รอบบ่าย
เผลอแวบเดียวมีลูกสมุนไปลูบคมบุกไปกินอาหารของเฮียเค้า เลยมีการสั่งสอนกันเล็กน้อย ตบโชว์ต่อหน้าเรากันเลยครับ
ระหว่างนั้นหันไปเห็นลิงตัวนึงเดินแปลกๆ เดิน 2 ขา คล้ายๆคนแก่ สังเกตดูจึงเห็นว่าแขนทั้ง 2 ข้างด้วน น่าสงสารมาก วิ่งไปกินไม่ทันตัวอื่นๆ หยิบกินก็ไม่ได้
หอระฆังนี่ก็เป็นจุดรวมของฝูงลิงอีกจุดเลยครับ นอกจากตามภูเขา
ทางลงใครจะเดินลงก็ได้นะครับ ชันนิดๆ พวกเราก็นั่ง cable car ตามเดิม
ได้เวลากลับแล้วครับ ดูตารางรถเมล์ให้ดีครับ ถ้าพลาดแล้วรอยาวเลย ลงมาด้านล่างเลี้ยวซ้ายไปก็จะเจอป้ายรถเมล์ครับ
รถเลทไปประมาณ10 นาที ทำเอาเราใจคอไม่ดี นึกว่างานเข้าซะแล้ว นั่งกลับมาในตัวเมือง ต้องลงฝั่งตรงข้ามป้ายที่เราขึ้นตอนขาไปครับ แต่ประเด็นคือเราไม่รู้ว่าป้ายไหนครับ เห็น Beppu Tower อยู่ไกลๆ สักพัก รถจอดครับ คนขับตะโกนพร้อมกับชี้ๆมาที่พวกเราประมาณว่า ลงได้แล้ว เราก็เลยลงตามที่เค้าบอก ด้วยความประหลาดใจมากๆว่าเค้ารู้ได้อย่างไรว่าเราต้องลงป้ายนี้จริงๆ ^^ สงสัยป้ายนี้จะเป็นป้ายที่นักท่องเที่ยวต่างชาติลงกันเยอะ
เราจองอาหารเย็นไว้ 6 โมงครับ เผื่อเวลากลับมาพอดี แถวๆทางเข้าโรงแรมจะมีร้านทาโกะยากิ ไม่อร่อยเลยครับ ผมชิมให้เรียบร้อย ><
กลับมาถึงโรงแรมมีเวลาพักผ่อนสักแปป ก่อนถึงเวลาอาหารเย็น ห้องอาหารอยู่ชั้นสองครับ มีป้ายจองไว้ชัดเจน ห้องไหนนั่งตรงไหน อาหารถูกวางรอไว้แล้ว
ห้องนี้จะเป็นโซนห้องอาหารอีกโซนครับ เห็นมีป้ายเป็นลูกค้าโซน Western Style อย่างเดียวเลย
เราได้นั่งในห้องแรกนะครับ พอเรามานั่งปุ๊ป อาหารจะถูกนำมาเสิร์ฟเรื่อยๆ ครับ
นอกจาก อาหารจิโกะขุมุชิ(อาหารนึ่งโดยใช้ไอน้ำจากน้ำพุร้อนใต้ดิน) แล้ว อาหารที่ขึ้นชื่อของทางเมืองนี้ก็ยังมีโทะริเท็น เป็นไก่ทอดเทมปุระกรอบนอกนุ่มในครับที่นี่มีบริการ สามารถสั่งเพิ่มเติมได้ครับ หลังจากอาหารเย็นไปเรียบร้อย ระหว่างรอเวลาออนเซนที่จองไว้ผมก็ออกมาเดินเล่นรอบๆครับ
วันนี้อาจเพราะฝนตก กับ เย็นแล้ว หรือเปล่าไม่แน่ใจครับ ถนนช๊อปปิ้ง SOL Paseo Ginza เลยดูเงียบๆ ร้านเริ่มปิดๆกันหมดแล้ว
จาก Nogami Honkan สามารถเดินไป Takegawara Onsen ได้ใกล้ๆนะครับ ตัวอาคารดูคลาสสิคมากๆ
Takegawara Onsen เป็นโรงอาบน้ำที่เก่าแก่ที่สุดของเบปปุ สร้างครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.2422 ในสมัยเมจิ หลังคาดั้งเดิมของโรงอาบน้ำแห่งนี้มุงด้วยไม้ไผ่(Bamboo Roof) อันเป็นที่มาของชื่อ Takegawara ซึ่งแปลว่าหลังคาไม้ไผ่นั่นเอง หลังที่เห็นในปัจจุบันเป็นของใหม่ซึ่งปรับปรุงเมื่อปีพ.ศ.2481 การไปอาบน้ำร้อนที่นี่ควรเตรียมผ้าเช็ดตัวไปเอง แต่ถ้าไม่ได้นำติดตัวไปด้วย ก็มีจำหน่ายนะครับ ผมกะจะไปจองเวลาอบทรายร้อน พนักงานบอกได้ตอน 3 ทุ่มเลย ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่จอง private onsen ไว้ เลยอดเลยครับ กะจะมาเช้าวันรุ่งขึ้นดันหลับสบาย ตื่นสายเกิน ><
อีกฝั่งหนึ่งของโรงอาบน้ำแห่งนี้ยังมีบริการอบทรายร้อน(Sand Bath) โดยผู้ใช้บริการจะใส่ชุดยูกาตะ แล้วลงไปนอนในหลุมแล้วกลบด้วยทรายร้อนนาน 10-15 นาที แล้วจึงไปแช่ตัวต่อในบ่อน้ำร้อน สรรพคุณของทรายที่นี่ช่วยในการรักษาโรคผิวหนัง โรคไขข้ออักเสบ ทำให้เลือดหมุนเวียนในร่างกาย เพราะความร้อนจากทรายจะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ร่างกายจะรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย ของเสียจากร่างกายจะถูกขับออกมากับเหงื่อ แต่ห้ามไม่ให้ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคปอด โรคความดันโลหิตสูงและหญิงมีครรภ์ นอนอบทรายร้อนจะทำให้เกิดอันตรายได้
ทรายร้อนเกิดจากน้ำพุใต้ดินนั่นเอง ที่ดันตัวขึ้นมาทำให้ทรายในบริเวณนี้ร้อนจนนำมาอบตัวได้ เป็นภูมิปัญญาโบราณที่ชาวญี่ปุ่นนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการพักผ่อนและการรักษาโรคมาตั้งแต่โบราณกาล
เวลาเปิดให้บริการ
-อาบน้ำร้อน 06.30-22.30 น. ปิดวันพุธ สัปดาห์ที่ 3 ในเดือนธันวาคม
-อบทรายร้อน 08.00-22.30 น.(เข้าก่อน 21.30 น.) ปิดวันพุธ สัปดาห์ที่ 3 ในเดือนธันวาคม และทุกวันพุธ สัปดาห์ที่ 1 ของทุกเดือน
ค่าบริการ อาบน้ำร้อน 100 เยน อบทรายร้อน 1,000 เยน
สำหรับทางเดินจาก Nogami Honkan มายัง Takegawara Onsen นี้ จะผ่านโซนประมาณที่เที่ยวกลางคืนของย่านนี้นะครับ ถ้าไม่อยากเดินผ่านก็เดินอ้อมไปทางถนนใหญ่แล้วค่อยวกกลับมาก็ได้ครับ แต่จะไม่ได้น่ากลัวอะไรมากมาย จะมีแค่คนมาเรียกเข้าไปเฉยๆ ข้างนอกจะไม่มีอะไร
นอกจาก Takegawara Onsen ซึ่งสถานที่ที่มีบริการอบทรายร้อนแล้ว ก็ยังมีอีกที่ครับ เป็นริมหาดเลยครับ รูปจาก beppu-navi.com ครับ รายละเอียดเพิ่มเติม http://www.city.beppu.oita.jp/01onsen/english/02shiei/09kaihin/kaihin.html
จะมีเวลาเปิดปิดตามนี้ครับ
March-November 8:30-18:00 (Last entry 17:00)
December-February 9:00-17:00 (Last entry 16:00)
การเดินทางก็ใช้รถบัสครับ
Kamenoi Bus
From JR Beppu Station East Exit→Get off at “Rokushouen” (Approx 15min.bus-ride/ Adult;230Yen/One way [26][26A] Outer loop of Beppu city
From JR Beppu Station East Exit→Get off at “Betsudai ekimae” (Approx 15min.bus-ride/ Adult;230Yen/One way
[20]Kankaiji Line via Kaigansen
Oita Katsu Bus
EFrom JR Beppu Station East Exit→Get off at “Rokushouen” (Approx 14min.bus-ride jand 2min. walk
จาก Takegawara Onsen ผมก็เดินต่อไปอีกนิด ก็จะถึง Beppu Tower – เบปปุทาวเวอร์ ครับ
Beppu Tower หอชมวิวประจำเมืองเบปปุ บนชั้น 17 สามารถขึ้นไปชมวิว 360 องศา ของเมือง อ่าวเบปปุ และ รีสอร์ทดังๆครับ หอชมวิวสูง 55 เมตร ไม่ได้สูงมากเท่ากับหอชมวิวของเมืองอื่นๆ ครับ เปิดตั้งแต่ 9.00 – 22.00 ปิดวันพุธ ค่าเข้า 200 เยนครับ
ขาเดินกลับ ผ่านห้าง Tokiwa ซึ่งห้างรู้สึกจะปิด2ทุ่ม ครับ ห้างนี้จะอยู่ตรงข้ามกับทางเข้าซอยโรงแรมเลยครับ อีกด้านก็จะตรงข้ามกับ Takahama Bus Center
ได้เวลาออนเซนที่จองกันไว้แล้วครับ สำหรับออนเซ็น ส่วนตัวนี้ เราสามารถไปขอรับกุญแจที่เคาน์เตอร์ชั้น 1 ได้เลยครับ พอแช่เสร็จ ก็นำกุญแจไปคืนนะครับ
สำหรับมารยาทในการลงแช่ออนเซนนะครับ
- ใส่ชุดยูกะตะที่ทางเรียวคังเตรียมไว้ให้ในห้องพัก เตรียมผ้าขนหนูใส่ตะกร้าที่ทางเรียวคังจัดให้
- เมื่อไปถึงห้องอาบน้ำจะมีล็อคเกอร์ สามารถเก็บของสำคัญไว้ในล็อคเกอร์แล้วนำกุญแจติดตัวเข้าห้องอาบน้ำ (กุญแจมักมีห่วงเอาไว้สวมข้อมือหรือข้อเท้าได้) หากเป็นไปได้ไม่ควรนำของมีค่าติดตัวมาที่ออนเซ็น
- ไม่สวมชุดว่ายน้ำ, ผ้าเช็ดตัว ลงบ่อออนเซน เขาจะมีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ให้เราถอดเสื้อผ้าเก็บไว้ในตะกร้าใส่ผ้า หรือในล็อคเกอร์ จะมีผ้าขนหนูผืนเล็กๆ เอาไว้ปิดหน้า เอ๊ยไม่ใช่ เอาไว้ใช้ขัดขี้ไคลเวลาอาบน้ำ หรือเช็ดหน้าเวลาแช่น้ำร้อนแล้วเหงื่อออกครับ หรือบางคนเขินก็เอาไว้ปิดร่างกายเวลาเดินเข้าไปที่อ่างออนเซนครับ
- อาบน้ำล้างร่างกายก่อนลงแช่ ในที่ที่จัดเตรียมไว้ให้ นอกจากจะเพื่อความสะอาดแล้ว ยังช่วยช่วยปรับอุณหภูมิของร่างกายก่อนลงแช่น้ำอีกด้วยครับ ซึ่งอุณหภูมิน้ำของน้ำแร่จะอยู่ที่ประมาณ37-42 องศาเซลเซียส โดยจะมีก๊อกน้ำหรือฝักบัวเรียงเป็นแถว มีเก้าอี้ตัวเล็กๆ ไว้ให้นั่งอาบกันครับ
- เข้าห้องน้ำปัสสาวะ, ทำธุระต่างๆให้เรียบร้อย ก่อนลงแช่
6.ไม่ย้อมสีผม, ซักผ้า, แปรงฟัน ในห้องแช่ออนเซน
7.ไม่ทิ้งผ้าอ้อมเด็ก ไว้ที่เตียงเด็ก ในห้องแต่งตัว นอกจากนี้จะมีป้ายบอกประมาณว่าถ้าเด็กยังควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ไม่ควรพาลงไปครับ แต่เด็กเล็กๆไม่ควรแน่นอนครับ ร่างกายปรับอุณหภูมิไม่ทันแน่ๆ
8.ไม่ลงบ่อแช่ หากมีอาการมึนเมา ซึ่งจะเป็นรบกวนผู้อื่นและยังเป็นอันตรายอาจทำให้เสียชีวิตได้อีกด้วย - ระมัดระวังไม่ให้น้ำกระเด็นโดนผู้อื่น ขณะอาบน้ำ ลงและขึ้นจากบ่อน้ำ
- ไม่ถ่ายภาพ ยกเว้นบางออนเซนที่อนุญาต หากต้องการถ่ายภาพ ต้องส่งเสียงบอก ผู้ที่ใช้บริการที่อยู่ในนั้นก่อน
- ไม่ใช้บ่อน้ำแร่ในการที่ผิดวัตถุประสงค์, ลามก อนาจาร
- ไม่ยืนอาบน้ำ และควรเก็บเก้าอี้, แชมพูให้เรียบร้อยหลังการใช้
- ไม่สาดน้ำใส่กัน และไม่ส่งเสียงดัง รบกวนผู้อื่น
- หลังแช่เสร็จ ก่อนเข้าห้องแต่งตัว ควรใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่ถือเข้า เช็ดตัวให้หมาดก่อนเข้าสู่ห้องแต่งตัว
- สวมยูกะตะ ส่วนผ้าเช็ดตัวที่เปียกและไม่ต้องการใช้แล้ว ให้ทิ้งลงถังในห้องแต่งตัวได้เลยไม่ต้องนำกลับห้องพักก็ได้
นอกจากนี้ยังมีเทคนิคในการแช่น้ำร้อนเล็กๆน้อยๆครับ (ขอบคุณข้อมูลจาก http://anngle.org/th/j-culture/culture/onsen-manner.html ครับ) เช่น
– การลงแช่น้ำร้อนนั้น ควรจะค่อยๆเอาร่างกายลงทีละส่วน โดยเอาขาลงไปก่อน แล้วนั่งแช่โดยนั่งให้ตัวอยู่บนขอบอ่าง
แล้วแช่เฉพาะขา เพื่อให้ร่างกายค่อยๆปรับตัว แล้วค่อยๆหย่อนตัวลง ถ้ามีขั้นบันไดในอ่างให้นั่งบนขั้นบันไดก่อน เพื่อให้ร่างกายช่วงล่างปรับตัวกับความร้อน
เมื่อรู้สึกชินแล้วจึงลงไปนั่งกับพื้นอ่างครับ เท่านี้คุณก็จะรู้สึกสบาย หรือที่พูดเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “Kimochi ii”
– ถ้าน้ำร้อนอุณหภูมิ 42 องศาก็ควรแช่ประมาณ 10 นาที แต่ถ้าน้ำร้อนน้อยลงมา เช่น ประมาณ 37-39 องศา ก็สามารถแช่ได้ถึง 20 นาที
แต่ไม่ควรแช่นานเกินไปเดี๋ยวจะเป็นอันตรายได้ครับ เคยเห็นบางคนแช่นานจนเป็นลมไปเลยก็มีครับ และระหว่างที่แช่ก็ควรจะนวดตามร่างกายไปด้วย การนวดในระหว่างแช่น้ำร้อนนั้นจะทำให้เลือดไหวเวียนได้ดีกว่าการนวดในเวลาปกติ
– หลังจากที่ขึ้นจากการแช่น้ำร้อนแล้ว บางคนก็ว่าไม่ควรจะล้างตัวเพราะจะทำให้ร่างกายเสียอุณหภูมิ แต่สำหรับบางคนที่ผิวบาง
น้ำแร่ที่มีแร่ธาตุบางอย่างอาจจะทำให้ผิวแพ้ได้ ก็ล้างตัวได้ แต่ควรปรับให้อุณหภูมิของฝักบัวใกล้เคียงกับน้ำที่แช่ หลังจากนั้นก็ใช้น้ำเย็นราดขา จะช่วยป้องกันอาการเท้าเย็นได้
มาชมรีวิวสภาพห้องพักและโรงแรมกันต่อเลยครับ กับ Nogami Honkan หนึ่งในโรงแรมยอดฮิตของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวไทย ^^
ล็อบบี้ โรงแรมครับ มีร่มไว้ให้ยืมด้วยนะครับ
ทางเข้าโรงแรมจะมีตะกร้าใส่ผ้าผืนเล็กๆไว้ครับ น่าจะเอาไว้สำหรับคนมาใช้บริการ ออนเซ็น รวมหรือเปล่าไม่แน่ใจครับ
เคาน์เตอร์เช็คอิน ฝากกระเป๋า ขอกุญแจห้อง private จะอยู่มุมซ้ายของโรงแรม เวลาเดินเข้ามาครับ
ที่เคาน์เตอร์จะมี ตราประทับของโรงแรมไว้เป็นที่ระลึกครับ
ชุดยูกาตะของเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงเกี๊ยะ จะมีไว้ให้บริการครับ ถ้าพักที่นี่ก็จะมีวางไว้ให้ในห้องครับ
ของฝากก็มีจำหน่ายกันที่ล็อบบี้เลยครับ เห็นผลิตภัณฑ์จากส้ม เยอะเลยครับ
มาดูในห้องพักกันครับ เราขอห้องที่มีห้องอาบน้ำส่วนตัวในห้องเพราะมีเด็กเล็กไปด้วยครับ ห้องพักของเราอยู่ชั้น 3
ห้องใหญ่เลยครับ มีมุมให้เบลล่านั่งกินขนมด้วย
ห้องน้ำก็มีอ่างอาบน้ำเล็กๆให้ พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ อ้อ ไม่มีไดร์เป่าผมในห้องนะครับ แต่ลงไปขอที่ เคาน์เตอร์ข้างล่างได้
ในตู้จะมีหมอน ผ้าห่ม ฟูกไว้ให้ครับ
หนูเบลล่าขอสำรวจห้องสักหน่อย เจอประตูกั้นเป็นกระดาษ นั่งสงสัยอยู่ สักพักได้ยินเสียง อุ้ย ขาดเลย เอ่อ หนูเจิมประตูกระดาษไปเรียบร้อย
ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามรีวิวตอนที่ 2 เบลล่าเที่ยวเบปปุ ของหนูเบลล่ามาจนจบนะคะ หนูขอไปนอนก่อนค่า ^^
พรุ่งนี้จะต้องไปลุย ยุฟุอิน กับ รถไฟขบวนสุดสวย Yufuin No Mori ไว้จะรีบให้ปะป๊าทำรีวิวเร็วๆนะคะ
มาสรุปค่าใช้จ่ายในวันนี้กันครับ
- ค่ารถไฟ จาก Gion ไป Hakata คนละ 100 เยน = 200 เยน
- ค่าข้าวกล่อง เอกิเบ็น 2 กล่อง 2,200 เยน
- ค่า cable car 200 เยน
- ค่าน้ำ 260 เยน
- ค่าข้าวกลางวันที่ Umitamago Aquarium 2,000 เยน
- ค่าทาโกะยากิ 500 เยน
- ค่าบัตร Monkey Marine Pass 2260 เยน 2 คน = 4,520 เยน
- ค่าโรงแรม 12,960 เยน
- ค่าภาษีบ่อน้ำร้อน คนละ 150 เยน = 300 เยน
- ค่า Taxi 640 เยน
รวมวันที่สอง 23,780 เยน ต่อ 2 คน ก็ตกคนละ 11,890 เยน เรท 30.20 ต่อ 100 เยน (11,890 X 0.3020) = 3,590 บาท
สองวันใช้ไปแล้วประมาณ 17,300 บาท ต่อคนครับ
สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณทุกๆท่านเป็นอย่างมากที่ได้เข้ามาติดตามรีวิวของผมนะครับ ผมตั้งใจทำรีวิวฉบับนี้ขึ้นมาอย่างละเอียดที่สุด โดยหวังว่าจะเป็นข้อมูลและมีประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจไปท่องเที่ยวใน คิวชู นะครับ หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ด้วยครับ
หากท่านชื่นชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ หรือ กด Like ที่ Fanpage ของผม https://www.facebook.com/BLJourney เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆน้อยแก่ผมและทีมงาน 2Madames.com ทุกคนครับ ขอบคุณมากๆครับ
The Journey of B & L Family
Blogger แนวครอบครัว พ่อ "แบงก์" แม่ "เล้ง" และ "น้องเบลล่า" ผู้รักการท่องเที่ยว การถ่ายภาพ เล่าเรื่องราวต่างๆ จากจุดเริ่มด้วยทริปการเดินทางของคนสองคน บัดนี้ถึงเวลาที่จะมาเปิดโลกการเดินทางอีกรูปแบบนึง เมื่อมีเจ้าตัวน้อย ตัวแสบประจำบ้านร่วมออกตะลุยไปด้วยกัน มาร่วมรับรู้เรื่องราวการเดินทางและความสนุกสนานของครอบครัว bank113 กันนะครับ The Journey of B&L Family https://www.facebook.com/BLJourney