คิวชู ฟุกุโอกะ ยุฟุอิน เบบปุ คุมาโมโต้ บางคนอาจจะคุ้นๆ แต่สำหรับผมแค่ได้ยินก็ งง กันแล้วว่าอยู่ตรงไหน มีอะไรเที่ยวบ้าง อีกหน้าของบันทึกการเดินทางเปิดโลกใบใหม่ของหนูน้อยเบลล่า และครอบครัว กับ ภารกิจ 6 วัน คนละ 25,000 บาท จะเป็นอย่างไร มา ร่วมติดตามกันนะครับ
ญี่ปุ่น ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่นักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความสนใจอยากไปท่องเที่ยวมากๆเป็นลำดับต้นๆเลยทีเดียว โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยกเลิกการขอวีซ่าสำหรับการท่องเที่ยวระยะสั้นๆ ทำให้การท่องเที่ยวญี่ปุ่นยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นอีกมาก และด้วยอานิสงค์ตั๋วโปรโมชั่นของ JetStar ที่เปิดราคามายั่วกิเลสมากๆ เริ่มต้นที่ราวๆ หกพันบาท รู้สึกตัวอีกที่ก็กดจองจ่ายเงินไปเรียบร้อย ><
หลังจากที่เราได้ตั๋วมาแบบงงๆ ก็ได้เวลาหาข้อมูลท่องเที่ยวกัน สารภาพตามตรงว่าตอนแรกกะจะต่อเครื่องบินไปเที่ยว Osaka ไปหา Harry Potter สักหน่อย แต่ดูเวลาการเดินทางต่างๆแล้ว กับสถานที่ท่องเที่ยวทางคิวชู เลยขอเปลี่ยนใจ พาหนูเบลล่าตะลุยคิวชูซะเลย โดยในทริปนี้จะมีสมาชิกผู้ร่วมทางเป็นผู้ใหญ่ 4 คน เด็กน้อย 2 ขวบอีก 2 คน (หนูน้อยเบลล่าและสุดหล่อซีเค) รวมเป็น 6 ชีวิตจะสนุกสนานกำลังสองกันขนาดไหนมาติดตามกันต่อเลยครับ
รีวิวตอนที่สอง เบปปุ เมืองหลวงแห่งออนเซ็น : http://www.2madames.com/bljourney-beppu-fukuoka-kyushu-2
เดี๋ยวตอนท้ายรีวิวจะมาสรุปยอดค่าใช้จ่ายตลอดทริปให้อย่างละเอียดอีกครั้งนะครับ เบื้องต้นคร่าวๆ สำหรับ ทริปคิวชู 6 วัน 5 คืน นี้ ค่าใช้จ่ายของผู้ใหญ่อยู่ที่คนละประมาณ 25,000 บาทครับ ส่วนของเบลล่าก็มีค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าข้าว ค่านม ค่าขนม ค่าบัตรเข้าสถานที่เที่ยวบางที่ รวมๆ ประมาณ 12000 บาท
ก่อนอื่นในการจัดทริปพาเด็กน้อย วัยสองขวบ ไปเที่ยวก็จะมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็มีคร่าวๆดังนี้ครับ
สภาพอากาศ สถานที่ที่จะไปต้องไม่ร้อน ไม่หนาวเกินไปสำหรับเด็กเล็ก เพราะเด็กเล็กๆจะไม่สามารถทนต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนแปลงบ่อยๆได้มากนัก สำหรับทริปนี้ Mount Aso เลยต้องขอแคนเซิลไปเพราะห่วงเรื่องความปลอดภัยทั้งจากกำมะถัน ฝุ่นเถ้าต่างๆซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ ถ้าเกิดเจ็บป่วยไม่สบายตอนอยู่ต่างประเทศคงลำบากแน่ๆ
เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของเด็ก ในช่วงที่ไปนี้คาดว่าจะไปอากาศน่าจะอยู่ราวๆไม่เกิน 27 องศา เสื้อผ้าของเบลล่าส่วนใหญ่ก็จะสบายๆ เหมือนใส่เวลาเที่ยวตามปกติในบ้านเรา แต่ติดเสื้อกันฝนไปด้วยเพื่อความปลอดภัย
อาหารและนม ผมว่าช่วงที่เหมาะในการเริ่มพาเด็กไปต่างประเทศควรเป็นช่วงที่เค้าทานอาหารหยาบๆแบบของผู้ใหญ่ได้บ้างแล้ว ช่วงนี้สบายเลยครับ ทานอาหารทั่วไปตามร้านได้ สำหรับเบลล่านั้นสามารถทานอาหารแบบผู้ใหญ่ได้ และโชคดีที่ไม่แพ้อาหารอะไรเลยไม่ได้เตรียมอาหารไป ขนมนี่หลังจากทริปโตเกียวคราวที่แล้ว เลยทำให้รู้ว่าเบลล่าโปรดปรานขนมญี่ปุ่นมาก คุกกี้ บิสกิต ขนมปัง ชอบหมดเลย ^^ ส่วนเรื่องนมนั้น ก็ไปหาซื้อนมกล่องที่นั่นแทน ซึ่งเบลล่าชอบนมกล่องที่ญี่ปุ่นมากๆ สำหรับน้ำผลไม้มีติดไปนิดหน่อยเพราะที่นั่นจะหาน้ำผลไม้ 100% ยากหน่อย เราเลยเตรียมกล่องเล็กๆไปครับ
เรื่องการเดินทาง จากที่หาข้อมูลเบื้องต้น การเดินทางใน คิวชู ถ้าไม่ขับรถเอง ก็มีรูปแบบการเดินทางหลักๆ 3 รูปแบบ ก็คือ รถไฟ (Nishitetsu และ Subway) รถบัส และ รถราง (หลักๆที่ คุมาโมโต้) ซึ่งในการวางแผนท่องเที่ยวไปในแต่ละสถานที่ผมมีแนวทางง่ายๆประมาณนี้ครับ
- การเดินทางพยายามเปลี่ยนสายรถไฟให้น้อยที่สุด นั่งอ้อมได้แต่อย่าขึ้นลงบ่อย
- รถบัสแทบไม่ได้ใช้เลยครับ เพราะที่ท่องเที่ยวเกือบทั้งหมดในตัวเมืองก็เดินทางด้วยรถไฟได้หมด ส่วนในคุมาโมโต้ ทาง เจ้าหน้าที่แนะนำรถรางมากกว่าเพราะสะดวกกว่า เร็วกว่า รถไม่ติดมาก และถึงที่ท่องเที่ยวหลักๆเกือบทั้งหมด
- หลีกเลี่ยง rush hour 7-9โมงเช้า ถ้าเป็นไปได้ เพราะจากคราวที่แล้วที่ได้ไปสัมผัสบรรยากาศปลากระป๋องยามเช้ามาคงไม่สนุกแน่ถ้าต้องพาเบลล่าไปด้วย ส่วน rush hour ช่วงเย็นก็ยังไม่หนักเท่าตอนเช้า อีกอย่างคือถึงแม้จะมีที่นั่งเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ ผู้พิการ หรือผู้เดินทางกับเด็ก บนรถไฟ แต่หลายๆครั้งก็ไม่ได้มีการลุกให้นั่งแต่อย่างใดนะครับ ถึงแม้จะเป็นที่นั่งพิเศษก็ตาม
- ตารางการเดินทางหลวมๆ ต้องเผื่อเวลาเด็กๆจะนอน1-2ชั่วโมงในแต่ละวัน เวลาป้อนข้าวมื้อละ30-40นาที
ร้านอาหารที่จะไป ต้องมีเมนูที่เด็กกินได้ เด็กเล็กยังต้องหลีกเลี่ยงอาหารพวกปลาดิบ อาหารรสเผ็ดอยู่
สถานที่เที่ยวที่อยากไป ตอนเริ่มจัดทริปก็พยายามกำหนดคร่าวๆมาก่อนครับว่าอยากไปไหน เดินทางอย่างไร มีเด็กไปด้วยสะดวกมั้ย ซึ่งสถานที่ที่ผมกำหนดไว้ตอนแรกในทริปนี้ก็คร่าวๆดังนี้ครับ Aquarium, Anpanman Museum, Dazaifu และ Yufuin ครับ แค่ 4 ที่นี้ก่อนแล้วค่อยปรับตารางเอา แต่ที่พิเศษสำหรับทริปนี้คือการเที่ยวรถไฟครับ ใช่ครับไม่ผิด เที่ยวรถไฟ ไม่ใช่ ท่องเที่ยวด้วยรถไฟ เดี๋ยวจะมาเล่าต่อนะครับว่าทำไมถึงต้องเที่ยวรถไฟที่คิวชู และ พิเศษอย่างไร
โรงแรมที่พัก พยายามอย่าเปลี่ยนหลายที่ มีที่หลักซักที่จะเหมาะกว่า เก็บกระเป๋าเข้าออกทุกคืน เพลียกันแน่ๆครับ อีกอย่างเวลาเช็คอินแต่ละที่จะอยู่ราวๆบ่ายสามโมง ส่วนเช็คเอาท์ก็สิบโมงถึงเที่ยง จะมีช่วงเวลาที่ต่างกันถ้าจะย้ายโรงแรมก็ต้องเอากระเป๋าไปฝากไว้ก่อน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ควรนำมาตัดสินใจนะครับ
- เดินทางสะดวก เข้าออกสนามบินง่าย ยิ่งมีทางขึ้นลงด้วยบันไดเลื่อน หรือ ลิฟท์ จะวิเศษมากๆ
- ใกล้ร้านสะดวกซื้อก็ดีครับ (น้ำ นม ขนม แพมเพิส จะได้หาซื้อได้ง่ายๆ)
- มีบริการรับฝากกระเป๋าไว้ได้ เวลาที่อาจต้องไปค้างที่อื่นบ้างบางคืน ต้องดูดีๆนะครับบางที่รับฝากจริงแต่จะให้วางไว้เฉยๆที่มุมล๊อบบี้ไม่มีใบรับฝากใดๆ ซึ่งอาจเกิดการสูญหายหรือสับเปลี่ยนได้นะครับ เพื่อนผมโดนมาแล้ว ต้องรีบตามไปสนามบินเพราะมีคนหยิบกระเป๋าผิดครับ
- เรื่องควันบุหรี่หรือกลิ่นบุหรี่ซึ่งจะไม่เหมาะแน่ๆในการพาเด็กเล็กไป โรงแรมบางที่จะปลอดบุหรี่ บางที่จะแบ่งโซนห้อง เวลาจองก็ควรดูดีๆนะครับ ผมจะส่งเมลล์ไปขอเป็น Special request ไว้ ว่าเราเดินทางกับเด็กเล็ก และ ไม่มีคนสูบบุหรี่ ถ้าเป็นไปได้ขอห้องที่ปลอดบุหรี่โดยเด็ดขาดครับ ซึ่งทางโรงแรมก็จัดให้เป็นอย่างดี
- เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า ถ้ามีก็จะสะดวกมากขึ้นในการเตรียมเสื้อผ้า ตลอดจน การเก็บกระเป๋ากลับ
การจัดกระเป๋าก่อนอื่นควรเช็คกับสายการบินให้แน่ใจนะครับว่าเราสามารถนำไปได้กี่ใบ ใบละกี่กิโล จะได้วางแผนในการจัดของและซื้อของในขากลับได้
- ถุงสูญญากาศ ช่วยในการจัดกระเป๋าได้เยอะเลยครับ เพราะช่วยลดพื้นที่ของเสื้อผ้าแต่ละชุดที่จะใส่ลงกระเป็า ทำให้ใส่ได้มากขึ้น ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายๆครับ ตามร้านไดโซะ60บาทก็มีครับ มีให้เลือกหลายขนาดตามความเหมาะสมเลยครับ
- ถ้าจะต้องไปพักที่อื่นระหว่างทริปแล้วกลับมาอีกครั้ง แนะนำให้จัดเสื้อผ้าที่จะต้องไปที่อื่นใส่กระเป๋าเล็กไว้ครับ แล้วฝากกระเป๋าใหญ่ไว้ที่โรงแรม นำแต่ใบเล็กติดตัวไป จะสะดวกกว่าครับ
- ถุงพลาสติก นอกเหนือจากนำไปใส่เสื้อผ้าเก่าแล้ว ควรนำถุงใบเล็กๆสำหรับใส่แพมเพิสใช้แล้วก่อนทิ้งถังขยะก็จะดีครับ
- กระเป๋าสำรอง ติดไปใช้เผื่อกระเป๋าจะออกลูกในขากลับนะครับ อันนี้แล้วแต่เทคนิคแต่ละคนเลยครับ จะเอาใบเล็กใส่ใบใหญ่ไป หรือ โหลดกระเป๋าไปต่างหากใช้โควต้ากระเป๋าให้เต็มที่ ^^ ส่วนตัวผมใช้ถุงโชคดีครับ ถ้านึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไรก็คือถุงที่จะเห็นแม่ค้าใส่ของไปขายกันครับ ถุงใหญ่ๆสีสดๆ ปัจจุบันมีทั้งลายคลาสสิค ลายการ์ตูน ให้หาซื้อกันครับ ถ้าไม่รู้จะซื้อที่ไหนที่แมคโครมีนะครับใบใหญ่ประมาณ 190 บาท พับๆไปใช้พื้นที่นิดเดียวครับ เวลาขากลับช๊อปเพลินๆก็เปิดถุงยัดๆๆๆ สบายเลยครับ หรือจะเป็นกรณีฉุกเฉินที่ผมเคยเจอก็คือ กระเป๋าเดินทางชำรุด ซิปเสีย ตัวล็อคพัง ก็มีถุงโชคดีนี่แหละครับช่วยได้
แพมเพิส ติดไปเผื่อเหลือเผื่อขาดดีๆครับ ของผมตอนแรกเอาไปแบบพอดีๆ กะว่าจะไปหาซื้อที่นู่นเพราะน่าจะถูกกว่า แต่เอาเข้าจริงๆต้องซื้อแพคใหญ่ถึงจะถูก และหาซื้อไม่ง่ายเลยครับ ตามร้านสะดวกซื้อมีบ้างไม่มีบ้างนะครับ แพคเล็กๆราคาก็แพงอยู่
ส่วนเฉพาะเจาะจงของผมนอกเหนือจากที่จัดตามปกติก็มี
- เอกสารการจองโรงแรม รถไฟ รถบัส โรงแรม
- JR Pass ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบ Northern Kyushu ใช้ได้แค่ตอนบนกับ All Kyushu Area ใช้ได้ทุกพื้นที่ของคิวชู นะครับ ราคาก็จะแตกต่างกัน มีทั้งแบบ 3 วัน 5 วัน (แต่ไม่สามรถนั่งไปพื้นที่อื่นได้นะครับ ถ้าจะไป โตเกียว โอซาก้า ต้องซื้อแบบ All Area) ตั๋ว JR Pass ไม่สามรถซื้อได้ในญี่ปุ่นนะครับ ที่เมืองไทยก็มีหลายบริษัทนำมาจำหน่าย ตามงานท่องเที่ยวทุกครั้งก็จะมีไปขายกันนะครับ บัตรที่ซื้อจากเมืองไทย จะมีอายุ 90 วัน ต้องเอาไปแลกตั๋วที่สถานี JR อีกครั้งนะครับ
- คูปองส่วนลดต่างๆ บางห้างมีให้ในเอกสารการท่องเที่ยวครับ บางที่มีให้โหลดในเว็บ
- แผนการเดินทางหลายชุดหน่อย พับไปพับมาเยินทุกวัน
- แผนที่โรงแรม
- ลายแทงร้านอาหาร แหล่งช๊อปปิ้ง
- ประกันภัยการเดินทาง
- ยาที่จำเป็นต่างๆ อันนี้สำคัญมากๆนะครับ ของผู้ใหญ่ก็แก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้แพ้อากาศ ลดน้ำมูก คลายกล้ามเนื้อ ประมาณนี้ ส่วนของเด็กก็ ยาลดไข้ ยาหยดจมูก แอร์เอ็กซ์ ยาแก้ไอ เกลือแร่ซอง ชุดล้างจมูก
- ปรอทวัดไข้ แล้วแต่สะดวกเลยนะครับ ใครมีแบบไหน ยังไง ส่วนตัวผมใช้แบบวัดทางหู วัดได้รวดเร็วกว่า สะดวกกว่า
- ที่ดูดน้ำมูกไฟฟ้า แรงดูดจะสม่ำเสมอ ไม่ระคายเคืองจมูกเท่าใช้คัตต้อนบัต
- ตัวเสียบรู ปลั๊ก ครับ ไปกับเด็กเล็กๆเผลอไม่ได้กันเลยที่เดียว พกไปติดไว้เพื่อความปลอดภัยดีกว่าครับ
- รถเข็น เป้อุ้ม ตามสะดวกครับ น้องๆยอมใช้แบบไหนก็จัดกันไป แต่เบลล่าไม่ยอมสักอย่างก็ไม่ต้องเอาไป ^^
- เก้าอี้เด็ก ที่ญี่ปุ่นมีเกือบทุกร้านเลยครับ แต่จะไม่ค่อยมีสายรัดเท่าไหร่
- สายจูง สำหรับน้องๆหนูที่เริ่มเดินเริ่มวิ่ง ใช้สายจูงช่วยจะสะดวกและปลอดภัยมากขึ้นนะครับ ไม่ต้องสนใจใครจะมองว่าเหมือนอะไร ยังไง ถ้าเกิดเราคลาดสายตาแค่ชั่วขณะหรือเผลอลูกหายไป จะมาโทษใครคงไม่ได้ จึงอยากให้มีการป้องกันไว้ก่อน
สำหรับผู้อยากไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองนะครับ ตอนนี้มีเพจมีเวบข้อมูลท่องเที่ยวญี่ปุ่นมากมายไว้หาข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ นี่คือตัวอย่างเวบหลักๆที่ผมใช้ประกอบการจัดทริปไปญี่ปุ่นครับ
- องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น:http://www.yokosojapan.org/
– องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่นแบบภาษาอังกฤษ: http://www.yokoso-japan.jp/en/
– Japan-guide :http://www.japan-guide.com/
– Pantip.com :http://pantip.com/tag/ประเทศญี่ปุ่น
– Fanpage JapanThaifanclub: https://www.facebook.com/pages/Japanthaifanclub/171184692941905
– ภาษาญี่ปุ่นสำหรับนักท่องเที่ยว :http://www.yokosojapan.org/download/handbook_japan_thai.pdf
– เพจรวมพลคนไปญี่ปุ่นสงกรานต์ : https://www.facebook.com/groups/gotojapaninapril/1481274302101876
– Japan Travel: http://th.japantravel.com/
– Japan Guide: http://japan-guides.blogspot.com/
สำหรับข้อมูลเฉพาะทางคิวชูนะครับก็หาได้ตามนี้ครับ นอกเหนือจากแผ่นพับต่างๆ ที่สามารถไปขอได้ที่องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่นตรงอโศกนะครับ
- เพจ I Like Fukuoka : https://www.facebook.com/ILikeFukuoka
- เพจ Tripjapan : https://www.facebook.com/pages/Tripjapan/55983970079543
- เพจ มาดามkumamoto : https://www.facebook.com/Madamkuma
– รีวิวของคุณ NumAromDee http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/02/E7488934/E7488934.html
– รีวิวของคุณ iatnat: http://pantip.com/topic/32478012 - รีวิวร้านอร่อยของคุณ dotpng : http://www.dotpng.com/2013/02/tokyo-kyushu/
Weather Forecasts : พยากรณ์อากาศในญี่ปุ่นแต่ละเมืองในแต่ละวัน
– http://weather.yahoo.co.jp/weather/
– http://weather.jal.co.jp/en/
– http://www.jma.go.jp/en/yoho/
รวมลิงค์เกี่ยวกับการเดินทาง
– เช็ควิธีการเดินทางและตารางรถไฟ : http://www.hyperdia.com/
– เว็บรวบรวมเรื่องเส้นทางรถไฟ pass ต่างๆ ประเภทรถไฟ ในญี่ปุ่น: www.jprail.com
– ตารางรถบัส Nishitetsu : http://jik.nishitetsu.jp/menu?lang=en
อื่นๆ
การกรอกเอกสารเข้าประเทศญี่ปุ่น: http://xn--e3cpngb3e7c9a2a9izbc4a.com/detill9-27-07-55.html
Pocket Wifi :http://www.chillpainai.com/scoop/874/Pocket-WiFi-Router
ที่ฟุกุโอกะ มีฟรีไวไฟให้ใช้นะครับ ต่อทุกๆ 15 นาที ถ้าอยากได้ความคล่องตัวจะใช้ Pocket Wifi หรือจะใช้ พรีเพดซิม ก็ได้ครับ
Pocket Wifi ก็แล้วแต่ชอบเลยครับ มีทั้งรับเครื่องที่นี่ รับเครื่องที่สนามบิน รับเครื่องที่โรงแรม สัญญาณน่าจะไม่ต่างกันมาก ตอนผมไป เพื่อนเช่าไปก็ตกวันละ 200 บาท ค่าประกันอีก 300 บาท
ส่วน พรีเพดซิม ก็มีทั้งแบบให้บริการดาต้า 14 วัน หรือ 1 GB หาซื้อได้หลายบริษัทในไทยเลยครับ ราคาอยู่ที่ 3980 เยน
ส่วนกรณีโรมมิ่งของแต่ละเครือข่ายจะเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการดังนี้นะครับ อย่าตั้งค่า Auto นะครับ
True – Docomo หรือ NTT
Dtac – Docomo
Ais- Softbank
เบอร์ติดต่อยามฉุกเฉิน
สถานทูตไทยในญี่ปุ่น : เบอร์ hot line สถานทูตไทย กรุงโตเกียว กรณีป่วย+เสียชีวิต 090-44357812เบอร์ทั่วไป 03-3222-4101 ต่อ 232, 260, 270
ประกันการเดินทางต่างประเทศ
AXA : http://www.axa.co.th/311/th/retail-insurance/travel/smarttraveller-plus
BUPA : http://www.bupa.co.th/th/individuals/travel-insurance/index.aspx#.UwMvo_l_uM4
กรุงเทพประกันภัย : http://www.bangkokinsurance.com/insurance/comprehensive-travel-accident-insurance-pub-page01_th.html
CHUBB : http://www.chubb.com/international/thailand/index3.html
SOS: https://www.internationalsos.com/en/
เมืองไทยประกันชีวิต : http://www.muangthaiinsurance.com/products_EnjoyTravel.htm
AIG : http://www.aig.com/th/stinternational_2113_341417.html
Allianz: http://aga24h.allianz-assistance.co.th/corporate/th/index.php
MSIG : http://www.msig-thai.com/worldwide-travel-insurance.htm
รอบนี้เราใช้ของ MSIG ครับ พอดีมีโปรแถมบัตร Starbuck 100 บาทด้วยครับ
สำหรับปัญหาหนักใจของใครหลายๆคนครับ ซึ่งถือเป็นข้อกังวลใจของพ่อแม่เลย ถ้าลูกร้องบนเครื่องจะทำอย่างไร มีวิธีไหนให้เค้าไม่งอแง ยอมนั่งได้ตลอดการเดินทาง 5 ชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งวิธีที่ครอบครัวเราใช้บนเครื่องนะครับก็ตามนี้เลยครับ
เวลาเครื่องขึ้น เครื่องลงจะทำอย่างไร
– เพราะความกดอากาศที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วจะทำให้เด็กๆเจ็บหูได้ ผู้ใหญ่หรือเด็กโตก็อาจจะเคี้ยวหมากฝรั่งมั่ง หาวมั่ง หรือมีวิธีแก้ไข แต่เด็กเล็กทำเองไม่ได้ จะบอกก็ไม่ได้ได้แต่ร้อง ตัวช่วยง่ายๆก็คือนมแม่ ถ้าเค้ายังกินเต้าอยู่ก็ง่ายหน่อย กะเวลาดีๆช่วงเครื่องกำลังจะขึ้น จัดท่าทางให้เรียบร้อย ดีไม่ดีเจ้าตัวน้อยอาจจะตีตั๋วยาวหลับไปเลย ^^ หรือบางทีอาจใช้ขนม หรือ ให้จิบน้ำเป็นระยะๆ ก็ช่วยได้ครับ
ปัญหาต่อมาคือบนเครื่องถ้าเจ้าตัวน้อยไม่นอน เริ่มเบื่อ ไม่อยากนั่งเฉยๆ จะทำอย่างไร ประเด็นนี้ก็อาจต้องใช้เทคนิคเฉพาะของแต่ละบ้าน
– หนังสือ ของเล่น ขนม หรือไม้ตายต่างๆก็งัดกันออกมา
– บางคนอาจใช้ไอแพด ไอโฟน เปิดการ์ตูนให้ดูก็พอได้ แต่อย่าให้ดูเยอะมากนะครับสำหรับเด็กเล็กๆ
– เด็กบางคนอาจชอบดูวิว ก็เลือกที่นั่งติดหน้าต่างไว้ แต่บางคนก็ชอบสำรวจเราก็ควรเลือกที่นั่งติดทางเดินแทน
– เรื่องเวลาบินก็มีส่วนสำคัญ เลือกให้ใกล้เคียงกับช่วงเค้านอนก็จะช่วยลดปัญหาบนเครื่องได้ส่วนนึง พอถึงที่หมายจะได้ไม่งอแงมากด้วย
รอบนี้เบลล่ามีงอแงบ้างเล็กน้อยครับ เป็นครั้งแรกที่ได้ที่นั่งส่วนตัวเอง แต่ไม่ยอมรัดเข็มขัดต้องหลอกล่อกันพักนึงเลยครับ ต้องขอโทษผู้โดยสารท่านอื่นๆด้วยนะครับ ที่มีเสียงว่าไม่ล๊อค ไม่ล๊อคคคคคคค อยู่ช่วงนึง ><
สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวมาที่ ฟุกุโอกะ หรือ ฮากาตะ นั้น ก็จะมีสายการบินแบบ Direct Flight หลักๆก็คือ การบินไทย และ JetStar เวลาเดินทางก็คล้ายๆกันครับ ห่างกันนิดหน่อย การบินไทยถึงก่อนประมาณ1-2ชั่วโมง กลับช้ากว่าประมาณชั่วโมงนึง ส่วนที่เป็น Transit ก็มีเหมือนกันนะครับ แต่ผมว่าบินตรงเลยดีกว่า ราคา JetStar แจ่มมาก
ซึ่งการเที่ยวในทริปนี้ เราได้วางแผนคร่าวๆไว้ก่อน โดยจัดตารางการจองโรงแรมก่อน แล้วก็ปรับตารางการเดินทางโดยใช้ JR Pass แบบ Northen Kyushu แบบ 3 วัน โดยที่แรกในการจองโรงแรมนั้น เราเลือกไปยังโรงแรมในเครือ Toyoko Inn โรงแรม Business Hotel ชื่อดังที่มีสาขามากมายในญี่ปุ่น มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ฟรีไวไฟ ไดร์เป่าผม อ่างอาบน้ำ ชุดนอน เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า ตู้เย็น และอื่นๆ ซึ่งค่อนข้างตอบโจทย์ของเราเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่มีบริการอาหารเช้าด้วย เปลี่ยนเมนูในแต่ละวันด้วย เยี่ยมเลย ทุ่นไป 1 มื้อ
โรงแรมในเครือ Toyoko Inn ที่น่าสนใจใน ฟุกุโอกะ ก็มีทำเลที่น่าสนใจ 2 จุดครับ Hakata มี 2 โรงแรม และ Gion 1 โรงแรม ตรงที่ผมทำเส้นแดงไว้ครับ น่าสนใจเพราะคำว่า Ekimae ครับ (ผมจำว่า เอกมัย ^^) เพราะ โรงแรมที่ลงท้ายแบบนี้จะแปลว่าอยู่ตรงสถานีเลยครับ เดินขึ้นมาก็จะเจอใกล้ๆเลย
จากการดูแผนที่ตั้งของทั้งหมด เราเลือกที่ Gion ครับ ยอมต่อรถไฟ 1 สถานี จาก Hakata เอาครับ เพราะประโยคว่า 0 minute from exit มาโดนใจสุดๆก็มารู้ว่าทางออกไปโรงแรมเป็นลิฟท์ครับ สบายมากๆเลย ลากกระเป๋า ช๊อปเยอะขนาดไหนก็สบายเลย
ส่วนที่ Hakata เดิน 2 นาที ครับ แต่วันที่เราจะจองนั้นเหลือแต่โซนสูบบุหรี่
หลังจากได้วันพักที่ Toyoko Inn เรียบร้อย ต่อมาก็คือ Beppu ครับ ขอไปแช่ออนเซนสักคืน โรงแรมที่เราเลือกก็คือโรงแรมยอดฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยครับ Nogami Honkan จุดเด่นคือมี Private Onsen ให้ใช้ได้ 50 นาที ต่อวัน ราคาห้องพักก็ไม่สูงมาก การเดินทางจากสถานีรถไฟ Beppu หรือจะไป Bus Terminal ก็สะดวก มีห้างสรรพสินค้าอยู่ใกล้ๆ เดินไปถนนคนเดินก็ง่าย และมี Takagewara Onsen ออนเซนที่แรกของเมืองตั้งอยู่ใกล้มากๆ เผื่อใครอยากไปอบทรายร้อนแบบในร่ม เดี๋ยวจะมารีวิวอีกครั้งในวันที่ไป เบปปุ นะครับ
สรุปที่พักของเราในทริปนี้ จำนวน 5 คืน ก็จะพักที่ Toyoko Inn 4 คืน และ Nagami Honkan 1 คืน
ตารางการเดินทางของเราก็จะเป็นลักษณะนี้ครับ
วันแรก – ลงเครื่อง ฝากกระเป๋าที่โรงแรม แลกตั๋ว JR เดินเล่น พักผ่อน หลังจากเดินทางมาตลอดคืน ตบท้ายด้วย บุฟเฟ่ท์ปู
วันที่สอง – เริ่มใช้ JR Pass ไปเบปปุ นอนค้างเบปปุ
วันที่สาม – เบปปุ ไป ยุฟุอิน กลับไปนอนที่ฟุกุโอกะ
วันที่สี่ – ไปคุมาโมโต้ กลับมานอนที่ฟุกุโอกะ JR Pass หมดอายุ
วันที่ห้า – ไป Dazaifu กลับมาเก็บตกฟุกุโอกะ ใช้ One Day Pass
วันที่หก – กลับบ้านเฮา
พร้อมสรรพเรียบร้อยทุกอย่าง ที่กิน ที่เที่ยว ที่ช๊อป ที่นอน
ก่อนการเดินทางกับทาง jetstar หลังจากจองตั๋วไปเรียบร้อย ก็มาซื้อออปชั่นเสริม เลือกที่นั่ง ซื้ออาหาร ซื้อน้ำหนักกระเป๋าไปกลับ
รายละเอียดก็ตามนี้ครับ รวม 3 คน
- ค่าอาหารสั่งไป 2 เซ็ต เซ็ตละ 450 บาท (แพงจัง ><)
- ค่าเลือกที่นั่งที่ละ 150 บาท
- ค่ากระเป๋า 20 โล 480 บาท
- ค่าบริการคนละ 400 บาท
สำหรับการเลือกที่นั่งนะครับ บางคนอาจไม่ซีเรียสมากก็ไม่เป็นไร แต่ผมกลัวว่าเกิดคนเยอะ แล้วเกิดต้องนั่งแยกกัน จะลำบากครับ เลยยอมจ่ายเพิ่มเอา นอกจากนั้น เบลล่าชอบนั่งดูวิวครับผมจึงเลือกที่นั่งที่ไม่ติดปีกเครื่องบินครับ
การเลือกที่นั่งของ jetstar มี 3 ออปชั่นนะครับ
1 แถวแรกของโซน เพื่อจะได้ที่วางขาเพิ่มขึ้น เพิ่ม 800 บาท
2 แถวใกล้ทางเข้าออกเครื่อง เพิ่ม 400 บาท
3 เลือกที่นั่งอื่นๆ 150 บาท
ถ้าไม่เลือกก็ไปลุ้นตอนเช็คอินกันครับ ถ้าอยากรู้ว่าควรเลือกตรงไหนก็ง่ายๆเลยครับ เข้าไปเช็คใน seatguru.com เลือกรุ่นเครื่อง เลือกสายการบิน เท่านี้ก็จะรู้ครับว่าควรนั่งตรงไหนจะได้ไม่พลาด นั่งมองปีกเครื่องตลอดทริป ^^ หรือจุดไหนไม่ควรนั่ง
http://www.seatguru.com/airlines/Jetstar/Jetstar_Airbus_A320.php
เบ็ดเสร็จรวมค่าตั๋วเครื่องบินและอื่นๆอยู่ที่ 23,400 บาท ตกคนละ 7,800 บาทครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่หลายๆคนสงสัยและเป็นกังวลมากๆกับสายการบิน jetstar ว่าเป็นอย่างไร นั่งสบายมั้ย อาหารเป็นอย่างไร
ขอสรุปคร่าวๆดังนี้ครับ
– รูปที่นั่งครับ ที่นั่งจะเป็น 3-3 ขนาดที่นั่ง สบายๆครับ ไม่อึดอัด ผมตัวใหญ่ยังนั่งสบายๆครับ
– อาหารผมสั่งไป สามอย่างครับ รสชาติออกเค็มเลยครับ มีผัดโซบะนี่อร่อยดีครับใช้ได้ พนักงานจะมาถามว่าจะให้เสิร์ฟช่วงไหนครับ ในเซ็ตที่สั่งก็จะมีข้าว น้ำเปล่า kitkat และ ชา กาแฟ ครับ
– ผ้าห่ม ถือติดขึ้นเครื่องไปเองนะครับ เผื่อบางคนกลัวหนาว พอดีเรามีเด็กเล็กไปด้วยจึงติดเผื่อไปครับ
– หมอน แล้วแต่ความชอบเลยครับ ผมเห็นมีทั้งหมอนแบบสูญญากาศพับๆไป หมอนแบบรองคอ หมอนข้างเล็กๆ เพราะที่นั่งตรงช่วงคอจะนูนๆออกมาหน่อย ถ้านั่งหลับนานๆอาจทำให้บางคนเมื่อยคอได้ครับ
– Entertainment ไม่มีครับ ขาไปก็บินตีสองนอนกันยาวๆ ขากลับ10โมงครึ่งนี่ก็หาอะไรทำเพลินๆ นั่งดูรูป กินขนม รื้อของฝาก อ่านหนังสืออะไรกันไปเพลินๆ ^^
– การขึ้นลง ก็โอเคครับ นิ่มนวลดีเลย
ช่วงก่อนถึงวันเดินทางผมได้มีโอกาสหาข้อมูลเพิ่มเติม อ่านหนังสือเรื่อง “ทางรถไฟสายดาวตก” ของคุณ ทรงกลด บางยี่ขัน ซึ่งจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับความพิเศษของเส้นทางรถไฟ ตัวรถไฟ ความเป็นมา ที่มาที่ไป ของรถไฟสายคิวชู อ่านจบผมได้เห็นถึงอีกมุมมอง อีกรูปแบบการท่องเที่ยว แนวคิด และ ความใส่ใจของ คุณ เอจิ มิโตะโอะกะ (Eiji Mitooka) ซึ่งถือเป็นผู้ชุบชีวิต รถไฟสายคิวชู ขึ้นมาเลยทีเดียว ในปี 2544 บริษัทเจอาร์ คิวชู ประสบภาวะขาดทุนมหาศาล แต่จากความไว้วางใจของท่านประธานบริษัท เจอาร์คิวชู ต่อคุณเอจิ มิโตะโอะกะ ที่มาออกแบบทั้งขบวนรถ ชื่อต่างๆ ยูนิฟอร์ม แนวทางการดำเนินงาน การมีส่วนร่วมของชุมชน เปลี่ยนรูปแบบของการเดินทางด้วยรถไฟไปทำให้ได้กำไรมามากกว่า 20000 ล้านเยน เลยทีเดียว จากที่ผมเคยเกริ่นตอนแรกว่า เราจะไปเที่ยวรถไฟกันนั่นแหละครับ จากที่การขนส่งต่างๆใช้ความเร็วมาแข่งกัน แต่รถไฟคิวชูที่วิ่งช้าๆแต่ก็ให้คุณค่า สร้างความประทับใจ และความสุขมากกว่าการเดินทางแบบเร็วๆได้เหมือยกัน ขอยอมรับแต่แรกเลยว่าก่อนนี้ผมไม่ได้สนใจรถไฟอะไรมากมาย ก็แค่ใช้ JR Pass คุ้ม เร็ว สะดวก แต่ความคิดผมได้เปลี่ยนไป ผมได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ ความสนใจในรถไฟ มาจากหนังสือเล่มนี้ครับ สำหรับเพื่อนๆถ้ามีโอกาสมาคิวชู ผมขอแนะนำให้อ่าน ทางรถไฟสายดาวตก ก่อน แล้วท่านจะสนุกกับการเดินทางเที่ยวคิวชูอีกมากเลยครับ
และแล้วก็มาถึงวันแรกของการเดินทาง เครื่องออกตีสองครึ่ง เรามาที่สุวรรณภูมิประมาณ 5 ทุ่มนิดๆ เคาน์เตอร์เปิดให้เช็คอินเรียบร้อย ผ่านพิธีการต่างๆเรียบร้อยก็ไปรอขึ้นเครื่องกัน ไฟล์ทนี้ผู้โดยสารเยอะเลยครับ มีบริษัททัวร์ด้วยเลยเกือบเต็มครับ เหลือว่าง 2-3 ที่ ซึ่งพอเครื่อง Take Off เรียบร้อย ก็มีคนไปจับจองตีตั๋วยาวกันเรียบร้อย
ประมาณ 5 ชั่วโมง 10 นาที ก็มาถึงท่าอากาศยาน สนามบินฟุกุโอกะ
รายละเอียดเบื้องต้นของคิวชูนะครับ
คิวชูเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น รองจาก ฮอนชู และ ฮอกไกโด ประกอบด้วย เมืองต่างๆ 7 เมือง ได้แก่ ฟุกุโอกะ คุมาโมโตะ นางาซากิ ซางะ โออิตะ คาโงะชิมะ และ มิยะซะกิ โดยมีเมืองฟุกุโอกะ เป็นศูนย์ธุรกิจหลัก ของภูมิภาคนี้ และมีจำนวนประชากรมากที่สุดบนเกาะคิวชู ในภูมิภาคนี้มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายทั้ง ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ สวนสนุก สวนสัตว์ อควาเรียม แหล่งน้ำพุร้อน สวนดอกไม้ เกาะต่างๆ
ถ้าใครยังจำได้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดปรมาณู Little Boy ใส่ฮิโรชิมา ไปแล้ว 1 ลูก ส่วนลูกที่สองตอนแรกจะมีการทิ้งใส่โรงเหล็กยาวะตะ แต่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย จึงนำปรมาณู Fat Man มาทิ้งที่ นางาซากิ ซึ่งเป็นอู่ต่อเรือที่สำคัญของญี่ปุ่นแทน
ฟูกุโอกะ (Fukuoka) ซึ่งถือเป็นเมืองหลักของทริปนี้เลยครับ เครื่องลงเครื่องขึ้น โรงแรม ที่ช๊อปปิ้ง ร้านอาหาร ขอให้นึกภาพตามง่ายๆครับว่าฟุกุโอกะเหมือนด้ามพัด แล้วที่เที่ยวต่างๆจะอยู่พุ่งออกไปเหมือนพัดในลักษณะคว่ำลงครับ เบบปุ ยุฟุอิน คุมาโมโต้ นางาซากิ ซางะ หลายๆคนจึงจะใช้การเดินทางกลับมาที่ฟุกุโอกะ หรือ สถานี ฮากาตะเป็นหลัก มานอนพักที่นี่แล้วค่อยเปลี่ยนเส้นทางการท่องเที่ยว ส่วนบางคนก็จะใช้การเที่ยวเลาะๆตามเมืองต่างๆในลักษณะคล้ายๆสันพัดไปเรื่อยๆแล้ววนกลับมาที่ฮากาตะอีกครั้งครับ
เมืองฟูกุโอกะ ถือเป็นเขตเมืองหลักในภูมิภาคคิวชู มีเมืองฮากาตะ (Hakata) เป็นเมืองหลักของจังหวัด ถูกจัดอันดับเป็นเมืองน่าอยู่อันดับต้นๆ ของโลกโดยนิตยสาร Monocle มีสาธารณูปโภคต่างๆ ที่พร้อมและครบครัน ทั้งที่เป็นเมืองใหญ่อันดับ 6 ของญี่ปุ่น แต่ที่นี่มีประชากรไม่แน่นหนามากอย่างโตเกียว หรือโอซาก้า บ้านเมืองก็ถูกจัดเป็นระเบียบ สะอาด น่าอยู่ และน่าเที่ยว ในด้านประวัติศาสตร์ฟูกุโอกะเป็นเมืองเก่าแก่ เดิมเป็นเพียงเมืองท่าหรือเมืองทางผ่านสำหรับเดินทางไปยัง ดาไซฟุ (Dazaifu) ศูนย์กลางการบริหารบ้านเมืองในช่วง ค.ศ. 600 ซึ่งช่วงนั้นญี่ปุ่นได้ทำการค้าขายกับชาวจีนและเกาหลี ต่อมาในปี ค.ศ. 1889 เมืองฟูกุโอกะและท่าเรือฮากาตะก็ได้พัฒนาให้เป็นเมืองที่ทันสมัยและเป็นศูนย์กลางในการติดต่อค้าขายกับชาติเอเชียอื่นๆ มากขึ้น ที่ท่องเที่ยวหลักๆก็จะมีในตัวเมืองฟุกุโอกะ ดาไซฟุ และ คิตะคิวชู
การเดินทางทางรถไฟ Shinkansen เชื่อมต่อกับเมืองอื่นๆ
- Hakata – Tokyo 5 ชั่วโมง 4 นาที
- Hakata – Shin-Osaka 2 ชั่วโมง 35 นาที
- Hakata – Hiroshima 1 ชั่วโมง 3 นาที
ถ้าเป็นเครื่องบินก็ไป Tokyo 1 ชั่วโมง 30 นาที โดยประมาณ ไป Osaka ก็ 1 ชั่วโมงครับ
เราจึงใช้เวลาผ่านพิธีการต่างๆ รอกระเป๋าก็ประมาณ 1 ชั่วโมง ส่วนการเดินทางเข้าเมืองก็มี 2 วิธีหลักๆที่นิยมกันนะครับ
1. นั่ง Free Shuttle Bus ไป ที่ Domestic Terminal ประมาณ15นาที เพื่อต่อรถไฟ Subway สาย Koku Line ( Koku แปลว่า สนามบิน ครับ) ในรูปคือเลข 1 ตัวเล็กๆสีฟ้าครับ
2. นั่งรถบัส จาก International Terminal เข้าเมืองเลยโดยตรง ในรูปคือเลข 2 ครับ
นอกจากนี้ยังมีนักท่องเที่ยวบางส่วนจะรอต่อ Low Cost Airline ไปยังเมืองอื่นๆ โดยเลือกไฟล์ทที่เวลาใกล้เคียงกันก็จะสะดวกเหมือนกันครับ ซึ่งวิธีไปต่อเครื่องก็ตามนี้เลยครับ http://www.tiewyeepoon.com/review/jetstarasia-fukuoka-direct/
อ้อ เกือบลืมครับ ก่อนที่เราจะออกจาก International Terminal ก็อย่าลืมแวะซื้อตั๋ว หรือ พาส ที่เราอาจจะใช้นะครับ ตรงหมายเลข 1 สีแดง ผมแวะซื้อ one day pass แบบราคา 1340 เยน ซึ่งสามารถใช้ขึ้นลงรถไฟ รถบัสต่างๆ ในฟุกุโอกะ ไปจนถึงดาไซฟุ ได้เลย (แต่พาสแบบนี้จะไม่ได้โมจิฟรี 4 ลูกที่ ดาไซฟุ นะครับ ตอนผมไปดาไซฟุมีนักท่องเที่ยวไทยซื้อตั๋วแบบ 1000 เยนไป ได้โมจิมาเต็มเลย เลยเอามาแบ่งให้พวกเราครับ ขอบคุณมากๆครับ)
หน้าตาก็จะเป็นแบบนี้ครับ เราจะใช้วันที่ห้าของทริป ก็ค่อยไปขูดใช้วันนั้นครับ
จากรีวิวในของบางท่านใน Pantip ถึงร้าน ครัวซองเทพ il FORNO del MIGNON ที่มีสาขาในสนามบิน ตรง Domestic Terminal ด้วยนั้น เราก็ได้ไปตามหามาสรุปคือ ปิดไปแล้วนะครับ ต้องไปซื้อกันที่ Hakata Station ตามเดิมนะครับ
ได้เวลานั่ง Shuttle Bus ครับ มารอกันที่ป้ายแบบนี้ครับ
ตารางรถ Shuttle Bus ครับ ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 11 นาที
บนรถจะมีที่วางกระเป๋าอยู่ตรงกลางรถนะครับ เก็บสัมภาระเรียบร้อย แล้วก็นั่งกันเพลินๆไปครับ
จากจุดที่ลงรถ Shuttle Bus เดินมาทางขวานิดนึงก็จะเจอทางลงเข้า metro นะครับ สำหรับวันนี้เราใช้เวลาครึ่งเช้าไปแล้ว บวกกับสภาพร่างกายที่นอนบนเครื่องมาแบบไม่สบายมากนัก จึงจัดตารางให้เดินเล่น พักผ่อน แถวๆกลางเมืองเอานะครับ เราเลือกซื้อตั๋วรถไฟแบบ one day 620 เยน ขึ้นลงรถไฟได้ไม่จำกัดนะครับ ไม่ต้องเสียเวลามากดทีละรอบด้วย
จากสนามบิน นั่งรถไฟไป 6 นาทีก็จะมาถึง Hakata Station สถานีหลักที่รวบรวมการขนส่งทั้งรถไฟ, JR, Shinkansen, รถบัส ไว้เลยครับ ถ้าใครจะลงไปเปลี่ยนตั๋ว JR Pass จองรถไฟต่างๆก็ต้องมาที่นี่ก่อนเลยครับ แต่เราจะนั้งต่อไปอีก 1 สถานีครับ ประมาณ 2 นาที สถานี กิอง Gion ครับ ทางออกที่ 6 ซึ่งเป็นลิฟท์ ขึ้นมาก็จะเจอโรงแรม Toyoko Inn Hakata-guchi Ekamei Gion อยู่ทางขวามือครับ
สำหรับเรื่องบัตรสมาชิก Toyoko Inn ที่หลายๆคนสงสัย ขอสรุปข้อดีหลักๆมาดังนี้ครับ
ข้อดีหลักๆคือ
– จองห้องพักได้ล่วงหน้า 6 เดือน จากปกติ 3 เดือน
– ลดคืนละ 5% วันอาทิตย์ลด 20%
– พัก10คืนฟรี1คืน
– เรื่องอื่นๆพวกเช็คอินเร็วขึ้นนี่ไม่ซีเรียส ยังไงก็ฝากกระเป๋าทิ้งไว้อยู่แล้ว
ข้อดีอื่นๆที่เค้าโฆษณาผมว่าไม่ใช่ประเด็น
สำหรับค่าสมาชิก 1500 เยน ไม่มีวันหมดอายุ สมัครแล้วใช้ลดได้เลย แต่ต้องมาสมัครที่โรงแรมนะครับ จองแบบธรรมดามาก่อนแล้วค่อยมาสมัครตอนเช็คอินได้เลยครับ
ถามว่าคุ้มมั้ย
– จะคุ้มถ้าคุณคาดว่าจะมีโอกาสได้มาญี่ปุ่นและจะพักในเครือนี้อีก ห้องพักไม่ใหญ่ แต่ครบ มีไวไฟฟรี อ่างอาบน้ำ ไดร์เป่าผม ซักผ้าอบผ้าหยอดเหรียญ เดินทางสะดวก ที่สำคัญมีข้าวเช้าฟรี
– จองล่วงหน้า 6 เดือนนี่เป็นอะไรที่ดีมากๆ หลายๆครั้งจะมีห้องเฉพาะสมาชิกเท่านั้น ผมมาครั้งนี้ก็ไม่พลาด สมัครไปเรียบร้อย
ฝากสัมภาระต่างๆ สมัครสมาชิก Toyoko Inn เสร็จ ก็จะไป Hakata กัน ครับ สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างเลยคือการแลกตั๋วและจองที่นั่งบนรถไฟครับ
จริงๆจะมีรถไฟ สองขบวน ที่ผมตั้งใจมามากๆ ขบวนแรกคือ Yufuin Nomori กับอีกขบวนคือ Aso boy แต่ช่วงที่เราไป Aso Boy ไม่วิ่งครับ เลยไม่ได้สัมผัสความพิเศษของรถไฟขบวนนี้เลย
ถึงสถานี Hakata เราก็ไปที่ออกตั๋ว JR Pass ก่อนเลยครับ ยื่นบัตรที่ซื้อมาจากเมืองไทย พร้อม พาสปอร์ตให้ เจ้าหน้าที่ก็จะได้บัตรเบ่งมา 1 ใบ ครับ ถ้าจะจองตั๋วแต่ละเที่ยวต่อ พนักงานก็จะให้เอกสารมากรอก วัน เวลา เดินทางจากไหนไปไหน ตามที่เรากำหนดไว้ แล้วนำกลับไปยื่นให้เค้าอีกรอบเพื่อออกตั๋วครับ
JR Pass แบบ Kyushu จะไม่สามารถนั่งรถไฟชินคันเซน Nozomi, Mizuho และ Hayabusa (ใหม่กว่า เร็วกว่า) ได้นะครับ ต้องดูตอนจองด้วยนะครับ แต่ถ้าจะไปเที่ยวต่อแถบคันไซ และ ฮิโรชิม่า ก็แนะนำซื้อ JR West Pass ปะเภท Sanyo-Shikoku-Kyushu ครับ จะคุ้มหน่อยและสามารถขึ้น Nozomi กับ Mizuho ได้
หน้าตาบัตรก็จะเป็นแบบนี้ครับ เรียกว่าเป็นบัตรเบ่งเลยครับ เดินเข้าสถานีแบบโชว์บัตรเฉยๆเลยครับ เก็บให้ดีนะครับ หายไปนี่งานเข้าเลย
บัตรใบใหญ่ เอาไว้โชว์พนักงาน เวลาเข้าออกสถานีครับ จะมีระบุวันที่ใช้ได้ไว้บนบัตรครับ บัตรใบเล็กจะเป็นที่ตั๋วไว้ใช้บนรถไฟ ระบุ ที่นั่ง เลขตู้ วันที่ เวลา สถานีต้นทาง ปลายทาง ชื่อขบวนรถไฟครบครับ
รถไฟที่เราจะจองทั้งหมดก็มี
– Sonic จาก Hakata ไป Beppu รอบเช้าตรู่
– Yufuin No Mori จาก Yufuin ไป Hakata รอบเย็น ไว้กินข้าวเย็นพร้อมชมวิวสวยๆ
– Sakura Shinkansen จาก Hakata ไป Kumamoto
ส่วนขากลับจาก Kumamoto ค่อยไปจองที่ Kumamoto อีกครั้ง เพราะมี Shinkansen วิ่งตลอดอยู่แล้วครับ ถ้าไม่ได้ซื้อ JR Pass แล้วนั่งแบบนี้ก็ เกือบ 20,000 เยนครับ
ในส่วนของตัวสถานี Hakata นะครับ ด้านหลังสถานีจะอยู่ทางตะวันออก ชื่อ Chikushi-gushi Exit ส่วนด้านหน้าสถานีจะอยู่ทางตะวันตก ชื่อ Hakata-gushi Exit
ชานชลาชินคันเซน จะแยกจากชานชลารถไฟปกติ มีทางเข้าแยกคนละทาง บันไดขึ้นชานชลา Shinkansen อยู่ติดกับ Chikushi-gushi Exit ตอนเช้าๆ รีบๆ มีเข้าผิดทางกันได้เลยครับ
ได้เวลาเติมพลัง เราอยู่ที่สถานี Hakata อยู่แล้วจึงขอไปลองของอร่อยร้านดังของที่นี่กันหน่อย แต่ก่อนอื่นขอแวะรองท้องกันเบาๆด้วย ครัวซอง ร้าน il FORNO del MIGNON เจ้าดังกันก่อนเลยครับ ตำแหน่งก็อยู่ตรงกลางสถานีเลยครับ เดินตามกลิ่นไปเลยก็ได้ ^^
ครัวซองที่ร้านนี้จะขายเป็นขีดนะครับ มีรสธรรมดา ช๊อคโกแลต และ มันหวาน แถวยาวมากๆครับ
สมาชิกร่วมทริปมาชิมกันทุกคนลงความเห็นว่าอร่อยครับ แต่พวกเราชอบแบบหนักๆ เข้มๆ เนย มากกว่านี้อ่ะครับ
จากร้านครัวซองเดินลงมา ข้างๆที่แลกตั๋ว JR ก็จะเจอถนนเส้นอาหาร ร้านอาหารเยอะมากๆครับ เลือกกันไม่ถูกเลย
แต่ร้านอาหารที่เป็นเป้าหมายหลักของเราครับวันนี้ ร้านลิ้นวัวย่าง ซึ่งมีทั้ง ลิ้นวัวย่าง แกงกะหรี่ สตูว์ เป็นร้านเดียวในตอนที่ผมไปแล้วมีคิวรออยู่ครับ
ที่ผมพลาดนิดนึงตรงที่ไม่คิดว่าทั้งร้านจะมีแต่เมนูลิ้นวัว ซึ่งแม่ๆ ไม่สามารถครับ จึงต้องแยกร้านให้พ่อๆ กินร้านนี้กันไป ส่วนแม่ๆไปกินร้านข้างๆซึ่งเป็นแนวเทนด้ง
บรรยากาศในร้านลิ้นวัวย่างครับ ร้านเล็กๆที่นั่งมีทั้งแบบเคาน์เตอร์และแบบโต๊ะ
ครัวแบบเปิดย่างกันสดๆ ทำกันตรงหน้าเลยครับ
เมนูเด็ดของร้านนี้ครับ ลิ้นวัว หั่นมาบางได้ความหนึบ นุ่ม ไปย่างมาอย่างดี กับน้ำซอส สุโค่ยมากๆ
แต่ผมมางงตรงไข่ดิบที่มีมาให้ด้วย เลยถามพนักงานได้ความว่า ก็จิ้มกินกับลิ้นวัวเลยครับ อร่อยไปอีกแบบ เซตนี้ 1050 เยนครับ
ส่วนอีกจานนึงของเพื่อนผมเป็นสตูว์ลิ้นวัว ชิ้นใหญ่ หนานุ่ม เคี่ยวมาอย่างดีกับน้ำซอส เพื่อนผมบอกอร่อยมากกกก ราคา 980 เยน
ส่วนร้านข้างๆที่แม่ลูกสองครอบครัวไปกินกันนั้นก็อร่อยเหมือนกันครับ มีเป็นเซต เทนด้ง1ชามกับโซบะ1ชาม ประมาณ900เยน เผื่อใครทานลิ้นวัวไม่ได้ก็แนะนำร้านข้างๆกันเลยครับ
หลังจากอิ่มหนำสำราญมื้อแรกในฟุกุโอกะกันเรียบร้อย ขอเดินเล่นที่ชั้นอาหารอีกสักพัก เจอร้าน Mister Donut กับเมนูแบบนี้ แปลกตาดีเหมือนกันครับ
ก่อนจะไปไหนต่อขอแวะเช็คพอยต์ก่อน เข้าไปปุ๊ปสิ่งแรกที่นึกถึงคือเรื่องเล่าจากพี่โน้ต อุดม ในเดี่ยวไมโครโฟน เรื่องห้องน้ำคนพิการและปุ่มฉุกเฉิน มีป้ายเตือนชัดเจนมากๆ น่าจะมีการกดผิดกันบ่อยๆเลยทีเดียว
จากชั้นล่างสุดเราก็ไปที่ชั้นบนสุดของ Hakata Station กันครับ
ต้องขอเล่าก่อนว่า Hakata Station สถานีรถไฟ สถานี JR หรือ ชินคันเซน จะอยู่ด้านล่างครับ ชั้นใต้ดิน พวกร้านครัวซอง ร้านอาหาร ก็อยู่ใต้ดินเหมือนกัน ซึ่งทางเดินใต้ดินก็จะเชื่อมๆไปหลายอาคาร แล้วด้านบนของ Hakata Station ก็จะมีห้างสรรพสินค้า 10 ชั้น มาครอบทับสถานีไว้ ส่วนชั้นบนสุด Tsubame No Mori Hiroba ก็จะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ที่เล่นของเด็กๆ ร้านขายของ ศาลเจ้าจำลอง โดยมาจากแนวความคิดของ คุณเอจิ มิโตะโอะกะ (Eiji Mitooka) อีกเหมือนกันครับ
ซึ่งก็จะพอเปรียบได้ว่าที่นี่คืออีกหนึ่งผลงานของคุณ เอจิ มิโตะโอะกะ ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาให้กับคิวชู อีกชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้ จากแนวคิดที่ว่าไม่อยากให้การมาสถานีรถไฟเป็นไปอย่างเร่งรีบ ผู้คนสามารถมีกิจกรรมอื่นๆ ใช้เวลากันได้เต็มที่ นอกจากนี้ความพิเศษของที่นี่ ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ผู้คนในฟุกุโอกะรู้สึกมีความผูกพัน มีส่วนร่วมมากๆก็มาจากแนวความคิดของคุณเอจิ มิโตะโอะกะ ที่ให้ผู้คนแถวนี้วาดรูปลวดลายต้นไม้ ใบไม้ ใส่กระดาษส่งเข้ามาให้กับทางสถานี แล้วลวดลายที่แต่ละคนออกแบบมากันเองนั้นก็จะถูกนำมาจัดทำเป็นเซรามิคมาตกแต่งเป็นกำแพงซึ่งมีลวดลายของพวกเค้าเหล่านั้นอยู่
นอกจากนี้ยังมีสถานีรถไฟจำลอง Aso Boy มาให้เด็กๆได้เล่นกัน มาสัมผัสความน่ารักของ Kurochan คุโรจัง เจ้าสุนัขสีดำตัวนี้ครับ ค่าบัตรก็ 200 เยนครับ เด็กเล็กไม่เสีย
นอกจากรถไฟก็มีสามล้อถีบซึ่งสามารถเล่นในลานหรือจะลงไปวิ่งในรางรถไฟก็ได้แต่ที่เห็นก็มีแต่เด็กเล่นบนลานอย่างเดียวนะครับ (เบลล่าชอบมาก ขาไม่ถึงก็พยายามสุดฤทธิ์) ส่วนด้านบนสุดก็จะมีจุดชมวิวไว้ให้ได้ชมทัศนียภาพรอบๆกันอีกด้วย
ถัดไปจากลานว่างๆให้เด็กเล่นก็จะเป็นโซนจัดกิจกรรม จำลองคล้ายๆงานเทศกาลของญี่ปุ่น มีขนม สินค้า ของที่ระลึก มาขายกัน
ของที่ระลึกเกี่ยวกับรถไฟสายคิวชูครับ สวยงาม น่าสะสมมากๆ
ส่วนด้านในก็จะมีการศาลเจ้าของการเดินรถไฟ Railway Shrine และมีรูปปั้นเด็ก 7 คนนี้เล่นรถไฟจำลองอยู่ซึ่งหมายความเป็นตัวแทนของแต่ละจังหวัดในคิวชูครับ
เสร็จสิ้นจากการเยี่ยมชมผลงานของคุณ เอจิ มิโตะโอะกะ (Eiji Mitooka) กันแล้ว ก็ได้เวลาที่แม่ๆรอคอย ช๊อปปิ้ง ^^ รู้สึกเสียวสันหลังวูบๆ ขึ้นมาทันที
แค่รอบๆ Hakata Station นะครับ ก็มีแหล่งละลายทรัพย์เพียบเลยครับทั้ง Hankyu, Tokyu Hand, Yodabashi, Bus Terminal (มี Daiso, Kinokuniya, เกมโซน NAMCO อย่างละชั้น) แค่ Hakata ยังไม่ได้ไป Tenjin ก็เริ่มเพลียแล้วครับ ขอโหม่งประตูแพ่พพพพ
ที่น่าเสียดายอย่างนึงคือผมไปก่อนเดือนตุลาคม เพราะ หลังวันที่ 1 ตุลาคม 2014 จะมีการเปลี่ยนกฏหารยกเว้นภาษีสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินะครับ (Japan Tax Free Shop) สำหรับใครที่กำลังสับสนอยู่ ว่าการยกเว้นภาษีสำหรับนักท่องเที่ยวคืออะไร ยังไง รายละเอียดตามนี้ครับ ขอบคุณข้อมูลจาก Japantown.info ครับ
Hankyu คือห้างแรกที่เราเข้าไปครับ อยู่ติดๆกับ Tokyu Hands ครับ (เราเคยไปที่โตเกียวมาแล้วก็เลยไม่ได้เข้าที่นี่ครับ รายละเอียดดูได้ที่ http://www.tokyu-hands.co.jp/foreign.html) สิ่งแรกที่เดินไปดูก็คือ Bao Bao ครับ เหลือแต่ชั้นวางว่างๆ พนักงานเดินมายิ้มๆพร้อมขอโทษ บอกของหมดเมื่อเช้าค่ะ ไว้มาดูใหม่นะคะ ><
โซนต่อไปเป็นของเด็กๆ แต่ร้านเหล่านี้เป็นร้านในใจแม่ๆกันเลย ยาวไปๆกับ Miki House, Double B, Anpanman
นักท่องเที่ยวแลกคูปองลดได้10% นะครับ แต่ถ้าจะขอ Vat Refund ปกติจะ 10001 เยนขึ้นไป แต่ถ้าใช้ส่วนลดนี้ต้องขั้นต่ำ 15000 เยนครับ สบายกระเป๋ากันไป 1 รอบ ไปต่อกันที่ Yodabashi ครับ ศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายในราคาย่อมเยาว์ แต่เป้าหมายหลักๆของเราอยู่ที่ชั้น 3 ครับ แต่เบลล่าหลับซะแล้ว บอกได้แค่ว่าเพียบเลยยยยยย ของเด็กๆทั้งนั้น โซนของเล่นของใช้เด็กถ้าครบ 10000 เยนก็ขอทำ Vat Refund ได้เลยครับ แต่พวกขนม ของลดราคาจะไม่รวมครับ
Lego ราคาโอเคเลยครับ เช่นชุด Duplo Big Farm บ้านเรา 3200 บาท ที่นี่ไม่เกิน 7000 เยน ก็ราวๆ 2000 บาท แต่ปัญหาคือไม่รู้จะแบกกลับอย่างไรเลยต้องขอบายครับ แอบเสียดายเล็กๆ
นอกจากนี้ยังมีสวรรค์ของกาชาปองอยู่ด้านหลังด้วยครับ เลือกกันไม่ถูกเลย
เบลล่ามาตื่นตรงนี้พอดีครับ ปะป๊า ขอไขไข่หน่อยค่า ดังตลอดเวลา วิ่งไปมา สนุกสนานมากๆ
ที่ดูจะถูกอกถูกใจหม่าม้าเล้ง ก็เห็นจะเป็นชุดนี้ครับ Harry Potter มีทั้งสิ้น 10 แบบ
ส่วนชั้น 4 ก็จะมี เกมโซน Taito Station คนชอบตู้คีบตุ๊กตา โมเดล น่าจะชอบครับ ผมไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ได้แต่เห็นเซียนๆที่นี่ หอบกันถุงใหญ่ๆ พอเราเล่นเองไม่เห็นได้มั่งเลย >< หลัง 6 โมงเย็นจะห้ามเด็กเข้านะครับ ผมอุ้มเบลล่าเข้าไปดูแปปนึง พอ 6 โมง มีพนักงานมาเชิญให้ออกครับ ส่วนอีกด้านนึง มีร้าน 100 เยนอยู่ (แต่ไม่เท่า seria หรือ ไดโซะ ครับ)
เวลาผ่านไปเร็วมากๆ แทบเรียกว่าโดนดูดวิญญาณกันเลยครับ เพลินมากๆ ตอนแรกเรามีแพลนว่าจะไปแถว Gion ไปวัด กันก่อน สุดท้ายก็ได้ไป Gion เหมือนกันครับ แต่ไปเก็บของที่ซื้อกัน วันแรกกระเป๋าก็ออกลูกซะแล้ว^^
หลังจากเช็คอินกัน ทำภารกิจส่วนตัวกันเรียบร้อยก็ได้เวลาหาอะไรกระแทกท้องแรงๆซะหน่อย บุฟเฟ่ต์ปู เจ้าดังครับ คนละ 2500 เยน
จาก Gion เราก็นั่งขึ้นไป 1 สถานีครับ ลงที่ Nakasu Kawabata ออกทางออก 1 ครับ
ถ้าเผื่อใครสนใจ Co Co Ichibanya ก็อยู่ตรงนี้เหมือนกันครับ อยู่ตรงทางออก 2 ครับ ร้านบุฟเฟต์ปูนี่ก็จะเดินตามทางจากทางออก 1 ไปนิดนึงครับ ร้านเปิด 6 โมงเย็นถึงตีสี่ เดินตามทางไปจะเจอซอยตรงสะพานข้ามแม่น้ำเลยครับ เดินเลาะเข้าไปในซอย ผ่านโรงแรม Hakata Excel เลี้ยวซ้าย จะเจอป้ายนี้ครับ
เดินตามทางลงไปข้างล่างเลยครับ
ร้านเล็กๆ อบอวลด้วยกลิ่นชาบู สลับกับกลิ่นบุหรี่ เรามาถึงโต๊ะเต็มครับ ต้องรอ 40 นาที
ไหนๆมาแล้วก็รอครับ เดินเล่นแถวๆนั้นสักพัก จากรูปตรงสะพานด้านหน้าคาดว่าจะเป็น Yatai แผงขายอาหารที่เป็นที่ขึ้นชื่อของฟุกุโอกะครับ แต่สภาพอิดโรยตอนนี้ ไม่พร้อมจะขยับตัวไปไหนไกลๆ ^^
Yatai ส่วนใหญ่จะเปิดให้บริการกันตั้งแต่ 6 โมงเย็นจนดึกถึงตี 2 จากสถานีรถไฟใต้ดิน Narasu-Kawabata แล้วเดินข้ามแม่น้ำไปฝั่งเกาะลอยนาราสุก็จะเริ่มเห็นแผงขาย Yatai ทันที
ตรงแถวๆนั้นมีสะพานให้ชมวิว นั่งเล่นๆ กันไปได้สักพักครับ
ในที่สุด ก็ได้ที่นั่งเรียบร้อย เยสสสสส ชาบู ปู หมู คนละ 2500 เยนครับ หมูจานใหญ่เลยอร่อยมากๆๆๆ นุ่มมาก กินทั้งชิ้นใหญ่ๆเลยนี่จะฟินมาก
ปูก็มาเป็นส่วนๆทั้งขา ทั้งก้าม ทั้งตัว ครับ
ผักจะขอเพิ่ม เค้าบอกให้ชุดเดียวครับ หมู ปู เติมได้ตลอด (สงสัยผักจะแพง ^^) ตอนแรกเราเอาปูลงไปต้มเลยแล้วค่อยเอาขึ้นมาแกะ เค้าคงเห็นแล้วว่าไม่ได้เรื่องแล้ว เจ้าของร้านก็เลยมาสาธิตวิธีการกิน การแกะ ให้กับกะเหรี่ยงทั้งสี่เลยมาบอกว่าต้องแกะก่อนนะ แล้วจุ้มลงไปในหม้อ แปปเดียวเอามากินได้เลย น้ำจิ้มก็จะมีซอสเปรี้ยวๆให้จิ้มครับ แต่บางคนก็จะนำน้ำจิ้มซีฟู้ดไปด้วย ฟินกันไปครับมื้อนี้ ค่าใช้จ่ายก็ คนละ 2500 เยน น้ำชา 300 เยน ค่าบริการ 400 เยน รวมๆvat ก็ตกคนละประมาณ 3350 เยนครับ
หลังจากกินปูกันเสร็จ หากใครยังไหว ก็มาเดินเล่นที่ Don Quijote หรือที่เราเรียกๆกันว่า Donki ครับ (เรามาอีกวันนึงครับ) อยู่ที่สถานีเดียวกัน ทางออก 4 จะเจอเลยครับ ทางออกตรงชั้นใต้ดินมีร้านขายยา
ชั้น 1 เป็นร้านหนังสือ มีกาชาปองแบบ Rare Item ด้วยครับ (ไม่เจอที่อื่นเลยครับ) เป็นเจ้าหนอน Catepillar ของ Eric Carle นักเขียนหนังสือเด็กระดับสุดยอดของโลก
ผมจัดเจ้าหนอนมา 2 ตัว
ส่วนดองกี้อยู่ชั้น2 ไม่ใหญ่มากถ้าเทียบกับที่ฮาราจูกุครับ แต่ก็รู้สึกจะใหญ่สุดของที่นี่ครับ มีของหลากหลายเลยครับ ของกินของใช้ เสื้อผ้า ของเล่นเด็ก ของเล่นผู้ใหญ่ ซื้อเสร็จจ่ายเงินก็มาแพคของกันเองครับ
ชินจังจอมแก่น น่ารักมากๆ เคยอ่านแล้วนึกถึงว่าถ้ามีลูกชายแบบชินจัง ลูกสาวแบบฮิมาวาริ จะเป็นยังไง ตอนนี้รู้สึกจะได้ เบลล่าวาริมาเรียบร้อยครับ
อันปัง หลากหลายเลยครับ
ชุดนอนไม่ได้เอามา ขอแวะซื้อก่อนนะครับ คริคริ ><
ซื้อเสร็จก็ได้ถุงมาใส่ของกันเองครับ สก็อตเทปก็มีให้หมด น้ำเปล่าขวดใหญ่ ราคาถูกกว่าขวดเล็กนะครับ ประมาณ 7-80 เยน ขวดเล็ก 100 นิดๆ
ได้เวลาพักผ่อนแล้วครับ มาดูที่พักกัน Toyoko Inn Hakata-guchi Ekamei Gion กัน
บริเวณล็อบบี้ ที่กินข้าว มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ 2 เครื่อง มี printer ครับ มีไมโครเวฟ เครื่องซักผ้า อบผ้า หยอดเหรียญมีอย฿่ตรงนี้หมดเลยครับ
ตู้ใส่ชุดนอนครับ มาหยิบเองได้ทุกวัน มีแต่ฟรีไซส์ ของผมต้องเอา 2 ตัวมาเย็บต่อกันถึงจะใส่ได้ครับ ^^ ส่วนพวกหวี ที่โกนหนวด อุปกรณ์ต่างๆ ก็มีจัดเป็นชุดๆอยู่ในตู้ครับ (เห็นป้ายราคาแวบๆนะครับ)
ภายในห้องครับ ก็ตามสไตล์ Business Hotel ครับ เล็กๆหน่อย กระเป๋าใหญ่ก็ยัดใต้เตียงได้เลยครับ
ห้องน้ำก็จะเล็กๆหน่อย แต่มีอ่างอาบน้ำไว้ให้เปิดน้ำอุ่นๆแช่ตัว ผ่อนคลายความเมื่อยล้า
วันแรกของทริปชิลๆที่คิวชู ก็จบวันลงแบบ หมดแรงกันนิดหน่อย เพราะหลับบนเครื่องมาแบบไม่ค่อยเต็มที่ แต่การใช้ชีวิต การเดินทาง การเที่ยวที่นี่ค่อนข้างง่ายๆครับ ไม่ซับซ้อน ไม่เร่งรีบมาก เอาจริผมว่าเดินทางเที่ยวแค่ 4 สถานี Hakata, Gion, Nakasu Kawabata, Tenjin ก็แทบจะได้ทุกอย่างแล้วครับ ร้านอาหารเด็ดๆ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ วัด สถานที่ท่องเที่ยว เที่ยวง่ายๆเลยครับ รถไฟหลักๆสายเดียวอยู่ นอกจากนี้ยังมีรถบัสวิ่งเกือบทุกเส้นทาง
ขอจบวันแรกของทริปชิลๆที่คิวชูไว้เท่านี้ก่อนนะครับ พรุ่งนี้เราจะต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่ เพื่อไป Beppu กัน หวังว่าข้อมูลต่างๆเหล่านี้คงพอมีประโยชน์ ถ้ามีข้อมูลอยากสอบถามตรงไหนถ้าผมตอบได้ก็ยินดีอย่างยิ่งครับ ถ้าตอบไม่ได้ผมจะไปหาคำตอบมาให้นะครับ และ ถ้ามีข้อมูลอะไรผิดพลาด ตกหล่นไปก็ขออภัยมาด้วยครับผม
สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้นะครับ ผู้ใหญ่ 2 คน
- ค่าบัตร one day pass dazaifu 1,340 เยน x 2 = 2,680 เยน
- ค่าบัตร subway one day pass 620 เยน x 2 = 1,240 เยน
- ค่าอาหารกลางวัน ลิ้นวัวย่าง 1,050 เยน เทนด้ง 800 เยน = 1,850 เยน
- ค่าอาหารเย็น บุฟเฟต์ปู 3,350 เยน x 2 = 6,700 เยน
- ค่าครัวซอง 500 เยน
- ค่าโรงแรม 8,208 เยน
- ค่าบัตรสมาชิก Toyoko Inn 1,500 เยน
- ค่าน้ำ ขนมกินเล่นๆ 1,000 เยน
รวมวันแรก 24,678 เยน ต่อ 2 คน ก็ตกคนละ 12,339 เยน เรท 30.20 ต่อ 100 เยน (12339 X 0.3020) = 3,726 บาท
- ค่าตั๋วเครื่องบิน คนละ 7,800 บาท
- ค่า JR Pass คนละ 2,200 บาท
สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณทุกๆท่านเป็นอย่างมากที่ได้เข้ามาติดตามรีวิวของผมนะครับ ผมตั้งใจทำรีวิวฉบับนี้ขึ้นมาอย่างละเอียดที่สุด โดยหวังว่าจะเป็นข้อมูลและมีประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจไปท่องเที่ยวใน คิวชู นะครับ
หากท่านชื่นชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ หรือ กด Like ที่ Fanpage ของผม https://www.facebook.com/BLJourney เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆน้อยแก่ผมและทีมงาน 2Madames.com ทุกคนครับ ขอบคุณมากๆครับ
The Journey of B & L Family
Blogger แนวครอบครัว พ่อ "แบงก์" แม่ "เล้ง" และ "น้องเบลล่า" ผู้รักการท่องเที่ยว การถ่ายภาพ เล่าเรื่องราวต่างๆ จากจุดเริ่มด้วยทริปการเดินทางของคนสองคน บัดนี้ถึงเวลาที่จะมาเปิดโลกการเดินทางอีกรูปแบบนึง เมื่อมีเจ้าตัวน้อย ตัวแสบประจำบ้านร่วมออกตะลุยไปด้วยกัน มาร่วมรับรู้เรื่องราวการเดินทางและความสนุกสนานของครอบครัว bank113 กันนะครับ The Journey of B&L Family https://www.facebook.com/BLJourney