เชื่อว่าการท่องเที่ยวในรูปแบบของเรือสำราญน่าจะเป็นรูปแบบที่คนไทยสนใจกันเนอะ นอกจากข้อดีของการท่องเที่ยวไปตามเมืองต่างๆได้หลายๆเมือง โดยไม่ต้องเปลี่ยนที่นอนและจัดกระเป๋าย้ายที่พัก ยังมีอาหารให้ทานฟรีตลอดวัน รวมทั้งกิจกรรมต่างๆบนเรือสำราญ เช่น สระว่ายน้ำ การแสดงโชว์สุดอลังการทุกคืน ล้วนแล้วแต่น่าสนใจทั้งนั้น และที่สำคัญคือ เรือสำราญ Costa Victoria ลำนี้ กำลังจะมาเปิดเส้นทางรับผู้โดยสารที่ประเทศไทยในเร็ววันนี้แล้วด้วย
วันนี้เราจะพาไปทุกท่านไปพบรีวิวการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญ Costa Victoria Cruise Line ท่องเที่ยว 5 เมือง 2 ประเทศ ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ โดยครอบครัวที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีขึ้นเรือฟรีด้วย มันดียังไง มีอะไรน่าสนใจบ้าง ราคาเท่าไหร่ เที่ยวแบบนี้ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง ตามไปรับชมรีวิวกันครับ
ใครอยากรับชมแบบคลลิปวิดีโอ เชิญชมได้เลยจ้า
ตารางการเดินทางคร่าวๆของทริปล่องเรือสำราญ Costa Cruise Line ท่องเที่ยว 5 เมือง 2 ประเทศ ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้
7 ก.ย. 59 – เดินทางด้วยการบินไทย จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
8 ก.ย. – เช้าบินถึงเมืองฟุกุโอกะ Fukuoka ประเทศญี่ปุ่น เที่ยวศาลเจ้าดาไซฟุ Dazaifu ทานราเมงข้อสอบ Ichiran Ramen ขึ้นเรือสำราญ Costa Victoria ทำกิจกรรมบนเรือ
9 ก.ย. – เรือจอดที่ท่าเรือเมือง Maizuru แวะตลาดปลา Tore Tore Fish Market เดินทางไปชมวิวที่สวยที่สุด 1 ใน 3 ของญี่ปุ่นที่เมือง Ama No Hashidate ป้อนข้าวเกรียบกุ้งฝูงนกเหยี่ยวกับมือกลางทะเล ชมพระอาทิตย์ตกดินที่เมืองลอยน้ำ Ine
10 ก.ย. – เรือจอดท่าเรือเมือง Kanazawa นั่ง Loop Bus เที่ยวตลาด Omi-cho market เดินเล่นชมปราสาท Kanazawa Castle เที่ยววัดนินจา Ninja Temple เดินเล่นสองย่านเก่าแห่งเกอิชาอย่าง Nishi Chaya และ Higashiyama Higashi Chaya District
11 ก.ย. – เรือมาจอดที่เมือง Sakaiminato เที่ยวปราสาท Matsue Castle แวะเที่ยวภูเขา Daisen-ji
12 ก.ย. – เรือข้ามประเทศไปเกาหลีใต้ แวะจอดที่เมือง Busan แวะช้อปปิ้งย่าน Nampu-dong ต่อด้วย Lotte Outlet Mall เที่ยววัดริมทะเลสุดสวยอย่าง Haedongyonggungsa Temple
13 ก.ย. – เรือกลับมาที่ Fukuoka ลงเรือแล้ว แวะไปทานร้านเทมปุระในตำนาน Tempura no Hirao Tenjin ช้อปปิ้งเครื่องสำอางและของฝากกลับไทย
14 ก.ย. – เดินทางกลับไทยอย่างสวัสดิภาพ
พวกเรามาถึงสนามบินกันก่อนเวลาพอสมควร เนื่องจากจะต้องแวะแลกเงินเยนญี่ปุ่นและเงินวอนเกาหลีใต้ก่อน และร้านแลกเงินที่ได้อัตราแลกเปลี่ยนดีที่สุด คือ Superrich สีส้ม ซึ่งอยู่ที่ชั้น B บริเวณทางเชื่อม Airport Link หาไม่ยากครับ
อัตราการแลกเปลี่ยนตามไปจากลิงก์นี้เลยครับ http://www.superrich.co.th/en/exchange
ส่วนการใช้งานอินเตอร์เนตเราใช้ Pocket Wifi ของ Wiho ครับ สัญญาณโอเคไม่มีปัญหาครับ เค้ามีให้เช่าไปทั่วโลกเลยนะ
และพิเศษสำหรับคนที่จะเช่า Pocket Wifi ไปญี่ปุ่น จองผ่านลิงก์นี้ http://wi-ho-thailand.com/index.php?shop_code=2Madames ได้รับส่วนลดจาก 280 บาทเหลือ 200 บาทต่อวันจ้า
ส่วนสายการบินที่บินไปญี่ปุ่นเวลาดีที่สุด ก็ต้องของการบินไทยเลยครับ บินดึก นอนบนเครื่องได้ ถึงเช้าแล้วเที่ยวได้ทันที ประหยัดค่าโรงแรมไปหนึ่งคืน แถมมีอาหารไทยและแอร์คนไทยคอยบริการด้วยมารยาทที่คุ้นเคย ดีงามจ้า
มาพูดถึงโปรแกรมล่องเรือสำราญคอสต้า ครูส Costa Cruise Line กันบ้างนะ
ในภาพนี่คือ Cruise Ticket หรือตั๋วขึ้นเรือ ซึ่งเมื่อเราจองแล้ว ทางเรือจะส่งเข้าอีเมล์เรามา ให้เราพิมพ์แล้วพกไปแสดงขึ้นเรือด้วย
สำหรับเสื้อผ้าที่ควรแต่งกายบนเรือ ที่จริงก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากครับ เวลาอยู่บนเรือช่วงกลางวันก็แต่งสบายๆ จะมีช่วงเย็นที่ควรแต่งให้ดูดีหน่อย เช่น เดรส,กระโปรง หรือกางเกงขายาว และจะมีงาน Gala Dinner 1 คืนที่ต้องแต่งสูทหรือแต่งชุดออกงานกัน แต่เอาจริงๆก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดเอาเป็นเอาตาย อยู่ที่แขกมากกว่าว่าจะเต็มยศขนาดไหนจ้า ไม่ต้องกังวลมากนัก
เมื่อจองเสร็จในตั๋วเรือที่ส่งมาทางอีเมล์จะมีให้พิมพ์แทกกระเป๋าด้วย ก็ให้เราพิมพ์ออกมาไว้พร้อมกับตั๋วเรือ
พอถึงท่าเรือจะมีเจ้าหน้าที่คอยเอาแทกกระเป๋าเหล่านี้ไปติดไว้กับกระเป๋า ซึ่งเราก็จะไม่ต้องแบก กระเป๋าเหล่านี้จะถูกจัดส่งไปที่ห้องพักเองเลย
เวลาที่ขึ้นเรือก็จะมีกระบวนการ ต.ม. เล็กน้อย เค้าจะ X-Ray กระเป๋าเรานะ โดยเค้าจะห้ามพวกเตารีด หรือเหล้าไวน์ ต่างๆ ขึ้นเรือ ให้เอาไปจะถูกนำไปฝากไว้ ตอนกลับคอยไปรับคืน
ขึ้นไปถึงเรือ ก็จะมีการซ้อมการอพยพเพื่อความปลอดภัยกันก่อน
มาสำรวจเรือกันดีกว่าเนอะ บริเวณชั้น 5 ของเรือคอสต้า วิกเตอร์เรีย จะเป็นบริเวณ Main Hall
บริเวณนี้จะเป็นคล้ายๆโถงล็อบบี้ของเรือ วันแรกที่เราขึ้นเรือก็จะมีปาร์ตี้ฉลองออกเรือ เต้นกันมันส์เลยละ
มาชมห้องพักของเรากันบ้าง
ห้องพักของเราเป็นแบบ Cabin with ocean view balcony เสริมเตียงเด็กหนึ่งเตียง (อาจจะเสริมเตียงไม่ได้ทุกห้องนะ ต้องสอบถามจากเรือ และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) โดยรวมห้องค่อนข้างมีพื้นที่จำกัดนะ แต่เวลาส่วนใหญ่เราก็ไม่ค่อยจะอยู่ในห้องนอนเท่าไหร่ จะใช้เวลาอยู่ที่พื้นที่ส่วนกลางมากกว่า
บริเวณระเบียงของห้อง จะมีเก้าอี้กับโต๊ะเล็กๆ เหมาะกับการนั่งพักผ่อนชมวิวทะเลเงียบๆ หรือจะอ่านหนังสือเงียบๆก็ดีงามนัก
มีตู้เซฟและ ไดร์เป่าผม
ห้องน้ำประมาณนี้นะ ในส่วนของสบู่จะมีให้ แต่นอกจากนนั้นยาสีฟัน, แชมพูต้องเตรียมมาเองจ้า
พนักงานที่ดูแลห้องเข้ามา Make up room บ่อยมาก เปลี่ยนผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ให้ตลอดเลย
ในวันแรกจะมีบัตรบนประจำตัวมาวางให้ที่ห้อง บัตรใบนี้สำคัญมาก ไว้แสดงตัวเวลาขึ้นลงเรือที่ท่าเรือ มีบัตรบอกโต๊ะทานอาหารที่ห้องอาหารพร้อมเวลา และจะมีกระดาษใบใหญ่ๆคล้ายๆหนังสือพิมพ์บอกว่าวันนี้มีกิจกรรมอะไรบนเรือบ้างตั้งแต่เช้ายันดึกเลย
ชมห้องพักกันเสร็จแล้ว ขึ้นไปดูดาดฟ้าเรือกันดีกว่า
สระว่ายน้ำสวยมากๆ มีอ่างแช่ตัวด้วย
แต่สระว่ายน้ำเค้าค่อนข้างลึกนะครับ เด็กๆอาจจะยืนไม่ถึง ควรพกห่วงยางมาด้วย
คุณนายแอนแช่น้ำสบายใจเฉิบ
บนดาดฟ้าจะมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การแดนซ์มันส์ๆ สนุกสนานกันไป
สั่งคอกเท็ลเย็นๆมาดื่มกัน (เครื่องดื่มที่ไม่ใช่น้ำเปล่าต้องจ่ายเงินเพิ่มนะ)
อีกด้านของดาดฟ้าจะมีสนามบาสด้วย
บนเรือจะมีห้องสมุดให้ใช้ อีกด้านของห้องจะเป็นคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการอินเตอร์เนต แต่ค่าเล่นเนตแพงมากจ้า ควรพก Pocket Wifi มาเองจะดีกว่า ซึ่งจะมีสัญญาณแค่ช่วงที่เรือเทียบท่านะ ในเวลาที่เรือออกทะเลไปแล้วจะไม่มีสัญญาณละ
ส่วนใครที่ชอบว่ายน้ำในร่ม ก็จะมีสระว่ายน้ำที่สปาชั้น 6
ข้างๆกันเป็นฟิตเนสเซ็นเตอร์
มาพูดถึงอาหารเช้า สาย บ่าย เย็น บนเรือสำราญ Costa Victoria กันบ้าง
ทุกมื้อเราสามารถเลือกทานได้ 2 แบบ คือแบบห้องอาหารสั่งทาน ชั้น 5 หรือจะมาทานที่ไลน์บุฟเฟ่ต์ชั้น 11 ก็ได้
มาชมแบบไลน์บุฟเฟ่ต์กันก่อนนะ อันนี้เป็นไลน์อาหารเช้า ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารเช้าแบบโรงแรมทั่วๆไป แต่รสชาติเน้นไปทางจืดๆตามแบบฉบับของคนญี่ปุ่น
ของหวานก็มีให้ทาน
ตักอาหารมาทานกับวิวท้องทะเลสวยๆ ฟินไม่น้อย
ใครชอบแบบ Open Air ด้านหลังเรือมีโต๊ะทานอาหารเพียบเลย ลมโชยดีเลยละ
ไลน์บุฟเฟ่ต์อาหารกลางวันที่ห้องอาหารชั้น 5 ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารนานาชาตินะ แต่รสชาติธรรมดามากเลย
น้องกายกับคุณนายแอนลัลล้าตลอดทริป
ส่วนมื้อเย็นก็สามารถมาทานที่ห้องอาหารได้เช่นกัน เอาภาพคืน Gala Dinner มาโชว์ ขอแต่งตัวแบบเต็มยศหน่อย (ที่จริงใครขี้เกียจก็ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้นะ แค่เสื้อเชิ้ตสำหรับผู้ชาย / เดรสสวยๆของผู้หญิงก็พอจ้า)
เมนูก็แบ่งเป็นของทานเล่น สลัด ซุป จานหลัก เครื่องเคียง และของหวาน สั่งได้หมดทุกอย่าง
อันนี้เป็นสปาเก็ตตี้ล็อบสเตอร์ในคืนกาล่าดินเนอร์ครับ
ส่วนจานนี้เป็นกุ้งมังกร (อันนี้ต้องจ่ายเพิ่ม 10 USD ประมาณ 350 บาท ก็ถือว่าคุ้มอยู่นะ
แต่ถ้าไม่ทานล็อบสเตอร์ ก็ทานเมนูปกติก็ฟรีจ้า ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม จานนี้สเต็กเนื้อ
ของหวานที่นี่หน้าตาดี และอร่อยครับ
ทานอาหารไปแปปๆ บริกรก็จะมา Entertain แขกทุกคน คุณนายแอนแดนซ์อีกแล้ว
สำหรับกิจกรรมสำหรับเด็กจะมี Squok Club อยู่ที่ชั้น 6 จะมีเจ้าหน้าที่คอยจัดกิจกรรมต่างๆกับให้น้องๆ คุณพ่อคุณแม่สามารถพาน้องๆมาเล่นหรือฝากให้ดูแลได้ แต่ของเล่นค่อนข้างน้อยนะ ส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมต่างๆมากกว่า
บนเรือจะมีร้านปลอดภาษีด้วย โดยร้านจะเปิดก็ต่อเมื่อเรือออกทะเลแล้วเท่านั้น
คลับบาร์บนเรือนี่มีหลายส่วนเลย
ส่วน Casino จะเปิดช่วงดึกๆนะ
มีเกมส์ตู้เพียบ
บนเรือจะมีการแสดงโชว์ทุกคืน
โดยโชว์ก็จะเปลี่ยนไปทุกคืนไม่มีซ้ำ บ้างก็เป็นการแสดง circus ตลกๆ บ้างก็เป็นโชว์เต้นมันส์ๆ
ดึกๆใครอยากมันส์ก็ลงมาที่ Main Hall เค้ามีแด๊นซ์กระจายอยู่ยาวเลย สนุกมากๆ
เต้นเสร็จใครหิว เชิญมาห้องอาหารชั้น 12
ที่นี่เค้ายังมีไลน์อาหารไว้บริการจนถึงตีสองของทุกวัน
แต่ที่ไม่ควรพลาดก็คือ พิซซ่าอบสดๆใหม่ๆร้อนๆ และก๋วยเตี๋ยวเกี๊ยว อร่อยใช้ได้เลย
ชมภาพบนเรือกันไปเยอะแล้ว แต่ไฮไลท์ต่างๆยังไม่หมดลงแค่นั้น เพราะเรือสำราญ Costa Cruise จะแวะไปจอดตามเมืองต่างๆ โดยเราสามารถลงไปเที่ยวตามเมืองที่เรือจอดได้ ข้อดีก็คือ เราสามารถเที่ยวในเวลากลางวัน แล้วก็กลับเรือมานอน ในเวลากลางคืนที่เราหลับ เรือจะเดินทางไปอีกเมือง พอเราตื่นเช้ามาก็สามารถเที่ยวอีกเมืองได้โดยไม่ต้องย้ายกระเป๋าหรือต้องนั่งรถนานๆเลย
โดยเมืองต่างๆที่เรือ Costa Cruise แวะในทริปนี้ได้แก่ เมือง Fukuoka (ขึ้น-ลงเรือ), Maizuru, Kanazawa, Sakaiminato, Busan (เกาหลีใต้) มาดูกันว่ามีอะไรเที่ยวบ้างเนอะ
เริ่มจากเมืองแรกฟุกุโอกะ เมืองที่ขึ้นเรือเลย หลังจากเราขึ้นเครื่องบินมาถึงเมืองนี้แล้ว เราก็มาเที่ยวที่ศาลเจ้าดาไซฟุ
การไปไหว้ศาลเจ้าดาไซฟุ Dazaifu ซึ่งเมืองฟุกุโอกะก็มี Pass ที่สามารถซื้อได้จากสนามบินให้เลือกอยู่มากมาย
ราคาตั๋วประเภทต่างๆ ที่ใช้ไป Dazaifu ได้
- Dazaifu Stroll Ticket Pack (One-Day Journey) ราคา 1000 yen ใช้นั่ง Nishitetsu train ไปกลับ Dazaifu + คูปองขนมโมจิ Umegaemochi + ใช้เป็นส่วนลดค่าเข้าสถานที่ต่างๆดังนี้
Treasure Hall (Dazaifu Tenmangu Shrine) Admission: ¥100 discount
Kanko Historical Museum (Dazaifu Tenmangu Shrine) Admission: ¥50 discount
Kanzeon-ji Temple Treasure Hall Admission: ¥200 discount
Dazaifu Amusement Park Admission: ¥100 discount
Dazaifu Station Rent-a-Cycle ¥100 discount (available from 9:00 to 18:00)
http://www.nnr.co.jp/train/kippura/global/english/ticket/i_dazaifu.html
- Fukuoka City and Dazaifu Adults ราคา 1,340 yen นั่งรถไฟ บัส ต่างๆในเมือง Fukuoka ได้ด้วย
ศาลเจ้าดาไซฟุ Dazaifu Tenmangu Shrine สร้างขึ้นเมื่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ.905 เป็นวัดชินโตที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของฟูกุโอกะ ถูกสร้างเพื่ออุทิศแด่ท่านมิชิสะเนะซึงะวะระ ศิลปินด้านวรรณคดีจีนและการศึกษา
ว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องการศึกษา ทั้งนี้ก็เพราะว่าท่านมิชิสะเนะซึงะวะระ ผู้เก่งกาจสามารถแต่งบทกลอนได้ตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ เมื่อท่านเติบโตขึ้นก็ได้รับราชการในตำแหน่งสำคัญที่เกียวโต ด้วยความดีของท่านทำให้ประชาชนต่างรักใคร่ท่านมาก แต่ก็ดันมีเคราะห์ที่ตระกูลของท่านดันไม่ถูกตระกูลใหญ่ของเกียวโตในเวลานั้น จึงถูกใส่ร้ายและเนรเทศมายังเกาะคิวชู จนกระทั่งบั้นปลายชีวิต ท่านได้มาพำนักยังเมืองดาไซฟุแห่งนี้จนเสียชีวิต
ด้วยคุณความดีที่ได้สร้างมาตลอดชีวิตจนเป็นที่รักใคร่ของทุกคน ประชาชนจึงร่วมใจสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้น ว่ากันว่าตอนที่ท่านเสียชีวิตนั้น วัวที่ลากเทียมเกวียนไม่ยอมเดินไปไหน ชาวบ้านจึงสรุปว่าท่านมิชิสะเนะคงอยากจะอยู่ตรงนี้ จึงสร้างศาลเจ้า ณ ตำแหน่งที่วัวหยุดนั่นเอง ดังนั้นในศาลเจ้าจะมีวัวอยู่หลายตัว และเป็นที่นิยมของเหล่านักเรียนนักศึกษาที่จะมาลูบคลำวัวและขอพรให้ประสบความสำเร็จทางการศึกษา
เที่ยว Dazaifu เสร็จก็มาทานราเมงข้อสอบ Ichiran Ramen กันต่อในเมือง
ทำไมต้องถึงเรียกว่าข้อสอบ เนื่องมาจากโต๊ะนั่งทานจะเป็นคอกๆเหมือนตอนเราเรียน เพราะเค้าต้องการให้แขกที่มาทาน Focus กับรสชาติราเมงของเค้า และอีกเหตุผลคือเรื่องความเป็นส่วนตัวของแขกที่มาทานครับ
วันที่ 2 บนเรือ ก็ถึงเมือง Maizuru เมืองที่สองที่เรือสำราญคอสต้า แวะจอด
ไม่ไกลจากท่าเรือจะมีตลาดปลา Tore Tore ซึ่งชื่อของตลาดมีความหมายว่า “เพิ่งจับได้”
ตลาดแห่งนี้เป็นตลาดที่เน้นขายอาหารทะเลครับ
จะมีพวกกุ้ง หอย ปู ปลา ที่ชาวบ้านแถวนี้ออกทะเลจับมาได้มาวางขาย
มาถึงที่นี่แล้ว ต้องขอชิมเสียหน่อย บอกเลยว่าความสดนี่สุดยอด อร่อยและราคาถูกมาก
ไม่ไกลจากเมือง Maizuru ทัวร์ที่ซื้อจากเรือพาเราไปยังเมือง Ama No Hashidate ซึ่งเป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากๆ
มาเริ่มจาก Chionju Temple ก่อนเลย
มีโคมไฟสีแดงอันใหญ่อยู่หน้าวัด
วัดสวยมากเลยครับ
มีคนเอาพัดมาแขวนไว้ตามต้นไม้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ถ้าให้เดาน่าจะเป็นพัดที่อธิษฐานขอพรมั๊งครับ
ตีระฆังกัน
เดินต่อมายังท่าเรือ มองไปด้านขวาจะเห็น Rotating bridge หรือสะพานสีแดงที่สามารถหมุนเปิดทางให้เรือวิ่งๆได้
ขึ้นเรือกันเลย เค้าแจกข้าวเกรียบกุ้งคาสบี้คนละซอง
ข้าวเกรียบที่แจกมาไม่ใช่ให้คนกินนะ แต่เค้าให้มาแจกนกครับ เพราะจะมีนกบินมากินข้าวเกรียบจากมือเลยอ่ะ ถือเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดมากๆ
ล่องเรือมาถึงอีกฝั่งก็จะมีศาลเจ้าอีกศาลเจ้า สวยมาก แต่เสียดายที่ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ
เราเดินต่อเพื่อจะไปขึ้นจุดชมวิว ตลอดทางมีร้านขายของให้แวะดูเพียบครับ
ขึ้นจุดชมวิวด้วย Cable Car กันนะ ที่จริงมีอีกแบบที่ขึ้นด้วยกระเช๊าห้อยขาด้วย แต่คงไม่เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กเล็กอย่างน้องกายมาด้วย
และแล้วก็มาถึงจุดชมวิว “สะพานสู่สวรรค์” Bridge to Heaven ที่เค้ายกย่องให้เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่นเลย
สะพานที่เชื่อมกันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินะครับ ที่จริงถ้าใครไม่นั่งเรือมาแบบเรา ก็สามารถเช่าจักรยานขี่ข้ามมาก็ได้
แต่การชมวิว Bridge to Heaven ที่ถูกต้อง เค้าบอกว่าให้ก้มลงมองลอดหว่างขาไป (ตามความเชื่อไทยนี่มันคือการดูผีนี่หน่า 5555)
วิวที่เห็นก็จะเป็นแบบนี้ครับ สวยไปอีกแบบเนอะ แต่มองธรรมดาก็สวยแล้วละ ลำบากจริงๆ 555
ยังมีกิจกรรมให้ประลองความแม่นด้วยการโยนแผ่นกระเบื้องให้ลอดห่วงวงกลมด้วยนะ โดยเค้าเชื่อกันว่าถ้าอธิษฐานแล้วสามารถโยนกระเบื้องให้ลอดห่วงไปได้ก็จะสมหวังอย่างที่ขอไว้ครับ
น้องกายอร่อยกับไอติมอีกแล้ว อร่อยแค่ไหนดูจากปากน้องกายได้เลยครับ
นอกจากวิวของสะพานสู่สวรรค์แล้ว วิวของเมืองก็สวยไม่แพ้กันครับ
คณะทัวร์พาเรามาชมพระอาทิตย์ตกดินกันต่อที่หมู่บ้านชาวประมงที่มีชื่อเสียงมากอย่างเมืองอิเนะ Ine
Ine เป็นเมืองลอยน้ำครับ ชาวบ้านจะมีเรือกันทุกหลัง ถือเป็นความงดงามและมนต์เสน่ห์ที่หาดูไม่ได้ง่ายนัก
วันที่ 3 บนเรือคอสต้า ก็มาถึงเมือง Kanazawa แล้ว
เมืองนี้เราไม่ได้ซื้อทัวร์จากเรือนะครับ เนื่องจากเมืองนี้เที่ยวเองค่อนข้างง่าย ขั้นแรกให้ซื้อ Shuttle Bus จากท่าเรือมายังสถานี JR Kanazawa ก่อน ราคา 500 เยน
ที่สถานี JR Kanazawa จะมีประตูไม้อันใหญ่โตสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ที่น่าแวะมาถ่ายรูปด้วย
วิธีการเที่ยวเมือง Kanazawa ที่สะดวกที่สุดคือ ซื้อ Day Pass ขึ้นลงเจ้า Loop Bus ไม่จำกัดเที่ยว โดยเจ้า Loop Bus มันจะวิ่งวนรอบเมือง ซึ่งผ่านที่เที่ยวหลักๆของเมืองเกือบทั้งหมดครับ
เรามาเที่ยวที่แรกของเมืองนี้กันที่ตลาด Omi-cho Market กันครับ
ตลาดแห่งนี้มีของขายเอยะมาก ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารนะครับ โดยเฉพาะอาหารทะเล บางร้านขายแล้วให้กินกันสดๆหน้าร้านเลย
ปลาไหลย่างน่ากินมาก
พวกเนื้อลายสวยก็มีขายนะ
แวะพักทานอาหารกลางวันกันก่อนนะ
ไม่ไกลจากตลาด Omi-cho Market ก็สามารถเดินต่อมายัง Kanazawa Castle ได้ ซึ่งสามารถเดินต่อไปยังสวน Kenroku-en ที่อยู่ติดกันได้ด้วย
แต่ตัวปราสาทใหญ่จริงๆครับ เดินไปพักไป สุดท้ายน้องกายหมดแรง แบตหมด เครื่องดับ ขอชาร์ตก่อนนะ
และแล้วก็ถึงตัวปราสาท Kanazawa Castle แล้ว สวยจังเลย
อาตี๋น้อยกายชาร์ตแบตเต็มแล้ว ซ่าเต็มที่เลย
ตอนแรกว่าจะไปสวน Kenroku-en แต่มันไกลจังเดินไม่ไหวละ เลยตัดสินใจขึ้น Loop Bus นั่งพักบนรถเมล์มาลงยังวัดนินจา Ninja Temple ย่าน Nishi Chaya กัน
แต่สุดท้ายไม่สามารถเที่ยววัดนินจาได้ครับ เพราะที่นี่ไม่อนุญาตให้เด็กเล็กเข้า อดเลย แงๆๆๆ
ไม่เป็นไรมาเดินเล่นย่านเกอิชาอย่าง Nishi Chaya ที่อยู่ใกล้ๆกันก็ได้ครับ แถวนี้มีบ้านเก่าๆเพียบเลย แต่ว่าเราคงมาเร็วไปหน่อย เลยไม่เห็นเกอิชาเลยสักคนเดียว
นั่งรถบัสมาลงเขตบ้านเก่าอีกย่านอย่าง Higashiyama Higashi Chaya District ซึ่งย่านนี้เดินสนุกกว่าย่าน Nishi Chaya เยอะเลย ใครที่มีเวลาจำกัดก็มาเดินย่านนี้อันเดียวเลยก็ได้จ้า
เจอร้านไอติมคนต่อคิวซื้อกันยาวเลย แบบนี้ขอลองบ้างนะ
น้องกายกินไอติมซะฟันดำเลย 555
ย่านนี้มีชื่อเสียงเรื่องทองคำที่ไว้โรยใส่อาหารมากครับ แต่ราคาก็แพงใช่เล่นนะ
บางร้านมีทีเด็ดเรียกลูกค้า เป็นห้องที่ผนังที่เป็นทองคำ สวยมากเลยครับ
วันที่ 4 บนเรือ Costa Victoria เราก็มาถึงเมือง Sakaiminato กันแล้ว
โดยเมืองนี้มีชื่อเสียงในเรื่องถนนสายภูติพราย (Mizuki Shigeru Road) ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนเหล่าผีๆทั้งหลาย ตัวที่โดดเด่นที่สุดคือ เจ้าผีน้อยคิทาโร่(Kitaro) แต่เราดันไปเที่ยวนอกเมืองกลับมาเดินเล่นไม่ทัน
ขอขอบคุณภาพจาก http://dkjm742.travellerspoint.com/s16/
วันนี้ซื้อทัวร์อีกแล้วนะ เค้าพาไปยังปราสาท Matsue Castle ก่อนเลย มาถึงก็เจอกับอนุสาวรีย์นักรบถือดาบ น้องกายขอถือดาบบ้างนะ
ปราสาท Matsue Castle มีพื้นที่รอบๆปราสาทสวยงามมาก
มีศาลเจ้าสวยๆบริเวณทางเข้าปราสาท
นอกจากนี้ Matsue Castle ยังเป็น 1 ใน 12 ปราสาทในญี่ปุ่นที่ยังเป็นปราสาทในรูปแบบดั้งเดิมไว้ได้
ด้านในปราสาทจะมีการจัดแสดงของเก่าๆไว้ให้ชม แต่ไฮไลท์คือการขึ้นมาชมวิวจากชั้นบนสุดของปราสาทครับ
เดินกันจนเหนื่อย เราก็มาที่ร้านตรงทางออกปราสาท แวะชงชาและทานขนมแบบญี่ปุ่นแท้ๆกัน
เรามาเที่ยวกันต่อที่ Adachi Museum of Art
ที่นี่มีสวนญี่ปุ่นที่กว้างใหญ่และสวยงามมากมายครับ ส่วนใครที่ชอบงานศิลปะ เค้ามีการจัดแสดงภาพสวยๆเต็มเลยครับ
เราเดินทางมาเที่ยวกันต่อที่ภูเขา Daisen-ji
วันนี้เมฆเยอะไปหน่อยเลยมองไม่เห็นยอดเขาเลย
แต่เวลาฤดูหนาวที่มีหิมะตกก็สวยมากนะ
มีที่แช่ออนเซ็นเท้าด้วย
เดินขึ้นเขาไปพอเหงื่อตก ก็จะมีวัดอยู่
แวะกินไอติมร้านนี้ดีกว่า
อร่อยมากๆ น้องกายบอก
วันที่ 5 นับจากขึ้นเรือคอสต้า วันนี้พิเศษหน่อยคือเรือได้แล่นข้ามประเทศมายังประเทศเกาหลีใต้แล้ว
เมืองที่เราจะเที่ยวคือเมืองปูซาน Busan
วันนี้เที่ยวเองนะไม่ซื้อทัวร์จ้า ขอเลียนแบบพี่กงยูจากเรื่อง Train to Busan หน่อย 555
โชคไม่ค่อยดีที่มีฝนตกมาตลอดเลย เราเลยเที่ยวไม่ค่อยจะได้ แวะชิมอาหารท้องถิ่นเค้าละกัน ส่วนใหญ่คนเกาหลีชอบกินลูกชิ้นต้มแบบโอเด้งครับ ก๋วยเตี๋ยวเค้าอร่อยดีนะ
เรานั่งรถไฟใต้ดินจะไปลงสถานี Haeundae Station (Busan Subway Line 2), Exit 7 แล้วต่อรถบัสหมายเลข 181 มาลงสถานี Yonggungsa Temple Bus Stop
ทีแรกตั้งใจจะมาเที่ยววัดริมทะเลอย่าง Haedong Yonggungsa Temple แต่ฝนยังตกอยู่ มองไปไกลๆเจอกับ Lotte Premium Outlet เลยพากันไปเดินเล่นช็อปปิ้งรอฝนหยุดกันจ้า
เดินช็อปปิ้งกันเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาเดินไป Haedong Yonggungsa Temple กันแล้วละ
วัดนี้เข้าฟรีนะครับ แถมสวยมากๆเลย
มีเจดีย์เล็กๆที่เกิดจากหินมาต่อกันด้วย
ใครมาปูซาน ยังลืมแวะมาวัด Haedong Yonggungsa Temple นะครับ ไกลหน่อยแต่คุ้มค่ามาก
กลับมาย่าน Nampo-dong แหล่งช็อปปิ้งสำคัญของ Busan เลย
งานนี้ผมกับน้องกายยืนรอคุณนายแอนช็อปปิ้งกันเมื่อยเลย 5555
วันที่ 6 เรือก็พาเรากลับมาที่ Fukuoka อีกครั้ง
เราแวะมาลองร้านเทมปุระในตำนานที่คนต้องเข้าแถวรอคิวตลอดเวลาอย่างร้าน Tempura no Hirao Tenjin
พิกัดร้าน กดตรงนี้เลย
ร้านเค้าคนเยอะขนาดที่ว่ามีคิวด้านนอกร้านแล้ว ยังต้องมาต่อคิวในร้านต่อ ที่เห็นม้านั่งที่อยู่รอบๆ นี่คือคิวนะครับ ขยับก้นไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้กินนานเหมือนกันครับ
ทำไมร้าน Tempura no Hirao Tenjin ถึงขายดี ก็เพราะเค้าขายเทมปุระไม่แพง ชุดละประมาณ 800-1,000 เยน
แต่ทีเด็ดที่ทำให้ร้านนี้ขายดี นั่นคือ การที่เค้าจะทอดเทมปุระแล้วคีบมาเสิร์ฟทีละตัวๆเลย ทำให้เราได้ทานเทมปุระที่ร้อนกรอบอร่อย
อร่อยจริงๆครับ ยกให้เป็นร้านในตำนานเลยจ้า
ปิดท้ายก่อนกลับบ้าน ช็อปปิ้งกันหนักมากกกก 5555
สำหรับราคาการล่องเรือแบบนี้จะเริ่มต้นที่ 21,500 บาทต่อคน (อันนี้ห้องไม่มีหน้าต่างนะ) สำหรับห้องมีระเบียงก็จะแพงขึ้นตามตารางด้านล่าง เด็กต่ำกว่า 13 ปีฟรีได้ไม่เกิน 2 คน ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินนะจ๊ะ
ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2016 ไปเรือ Costa Victoria จะไม่วิ่งที่ญี่ปุ่นแล้ว โดยจะมีเรือลำอื่นที่รุ่นใหม่กว่ามาวิ่งเส้นทางในรีวิวแทน ส่วนเรือ Costa Victoria จะมาวิ่งเส้นทางที่รับผู้โดยสารจากประเทศไทยด้วย ซึ่งหากมีรายละเอียดเพิ่มเติมจะมาอัพเดตให้ฟังนะ
สามารถจองผ่านเว็บโดยตรง http://www.costacruise.com/ หรือตัวแทนเอเจนซี่เรือสำราญต่างๆได้เลย
บทสรุปของการเที่ยวแบบล่องเรือสำราญคอสต้า ครูส Costa Cruise
- การเที่ยวแบบนี้ เที่ยวได้หลายเมือง โดยไม่ต้องจัดกระเป๋าแล้วย้ายที่พัก ไม่ต้องเหนื่อยเดินทางนั่งรถ เพราะเรือจะออกเวลากลางคืนที่เราหลับ ตื่นมาก็ได้เที่ยวที่ใหม่แล้ว สะดวกและสบายมาก
- กิจกรรมบนเรือมีมากมาย ทั้งการเต้น, สปา, สระว่ายน้ำ และแสดงโชว์ต่างๆ ซึ่งหลายอย่างก็ Join ได้เลยฟรี เพราะรวมอยู่ในราคาที่จ่ายไปแล้ว
- มีอาหารให้กินฟรีตลอด ไม่ต้องกลัวว่าจะหิว แม้อาหารออกจะจืดสำหรับคนไทยไปหน่อยนะ (ตามสไตส์อาหารคนญี่ปุ่น) วันหลังๆอาจจะมีอาการเบื่ออาหารบนเรือ เราหวังว่าหากมีการวิ่งเส้นทางแถบประเทศไทย อยากให้เพิ่มเติมอาหารที่ถูกปากคนไทยเข้าไปเพิ่มด้วย
- สนุกได้ทั้งบนเรือและบนฝั่ง กลางคืนทำกิจกรรมบนเรือ เช้าลงไปเที่ยวบนฝั่งได้
- เด็กต่ำกว่า 13 ปีฟรีไม่เกิน 2 คน มันดีงามมากตรงตัวแถมนี่แหละ
- Kids Club บนเรือค่อนข้างจะของเล่นน้อยไปหน่อย แต่ก็เชื่อว่าเด็กๆน่าจะ Enjoy กับกิจกรรมต่างๆได้ และพ่อแม่ก็จะ Happy เพราะเค้ารับฝากเด็กโต พ่อแม่ก็สามารถไปทำกิจกรรมอื่นๆได้ด้วย
- ค่าทัวร์ไปเที่ยวบนฝั่งค่อนข้างแพงนะ ถ้าใครทำการบ้านเที่ยวเองได้ ก็จะประหยัดขึ้น
- เวลาเที่ยวบนฝั่งจะมีจำกัดเพราะเราต้องกลับมาบนเรือก่อนเรือออก ทำให้เที่ยวได้น้อย และอาจจะไม่ได้บรรยากาศตอนกลางคืน
- บนเรือเวลาวิ่งออกจากฝั่งแล้ว จะไม่มีสัญญาณเน็ตจากมือถือและ Pocket Wifi และเน็ตบนเรือแพงมากจ้า
ปล.หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share
หรืออยากใกล้ชิดกันมากขึ้น แอด Line มาได้เลย มีรีวิวใหม่จะส่งไปบอก อยากคุยกับแอดมิน Line มาคุยเลยจ้า ID : @2Madames กดตรงนี้ก็ได้
หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป