2Madames.com

Leave a Comment

เมษายน 2016 ครอบครัวเรา 4 ชีวิตออกเดินทาง 18 วัน ขับรถท่องเที่ยวใจกลางยุโรปผ่าน 4 ประเทศ เยอรมัน ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ และอิตาลี จากเมืองแฟรงก์เฟิร์ตสู่เมืองเวนิส ผ่านปราสาทและไร่องุ่นสวยๆ เยือนเมืองท่องเที่ยวสำคัญที่เป็นมรดกโลกนับสิบๆเมือง ได้มีโอกาสสัมผัสทะเลสาบและภูเขาหิมะที่แสนงดงาม นั่งเล่นในอ้อมกอดของครอบครัวท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นที่กระทบยอดหญ้าอันเขียวขจีในแคว้นทัสคานี ประเทศอิตาลี เราใช้งบประมาณไปไม่ถึง 70,000 บาทต่อคน แต่ต้องเที่ยวแหลก กินกระจุย เดินทางสบาย ที่พักแต่ละที่ต้องสวยแต่ต้องไม่แพงจนเกินไป ผมได้เขียนรีวิวแบบละเอียดยิบที่พร้อมจะทำให้ทุกครอบครัวเดินตามรอยได้ ตามไปชมรีวิวนี้กันครับ

เชิญรับชมคลิปบรรยากาศท่องเที่ยวยุโรปสบายๆของครอบครัวเรากันครับ

 

แผนขับรถเที่ยวยุโรป 18 วัน ของครอบครัวเรา ผ่าน 4 ประเทศ – เยอรมัน, ฝรั่งเศส, สวิสเซอร์แลนด์ และอิตาลี

วันที่ 6 เม.ย. 59 – ออกเดินทางจากกรุงเทพ ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย แวะเปลี่ยนเครื่องเป็นสายการบิน Etihad Airways ที่กัวลาลัมเปอร์ และออกมุ่งหน้าสู่ยุโรป
วันที่ 7 – เดินทางถึงแฟรงก์เฟิร์ต Frankfurt ประเทศเยอรมัน รับรถเช่าแล้วไปเที่ยวจัตุรัสกลางเมือง Römerberg และวิหาร Frankfurt Cathedral เข้าที่พัก
วันที่ 8 – เดินทางสู่เมืองบาด ฮอมบวร์ก Bad Homburg เดินเล่นสวน Kurpark ชมศาลาไทยแห่งแรกในยุโรปที่สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เคยมาพักรักษาพระองค์ที่เมืองนี้ เสร็จแล้วเดินทางไปเที่ยวเมืองไฮเดลเบิร์ก Heidelberg เมืองแห่งปราสาทและมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของเยอรมัน เข้าที่พัก
วันที่ 9 – ข้ามพรมแดนสู่ประเทศฝรั่งเศส ไปยังเมืองน่ารักท่ามกลางไร่องุ่น Riquewihr และล่องเรือชมเมืองน่ารักๆอย่างกอลมาร์ Colmar เข้าที่พัก
วันที่ 10 – เดินทางเข้าสู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แวะเที่ยวเมืองหลวงเบิร์น Bern ชมวิวมุมสูงจาก Rosengarten ชมตัวเมืองเก่ามรดกโลกและหอนาฬิกา Zeitglockenturm เข้าที่พัก
วันที่ 11 – เที่ยวปราสาทเมืองธูน Thun เดินเล่นในเมือง ก่อนจะเข้าพักที่พัก ที่ Luzern
วันที่ 12 – ชมสะพานไม้ของเมืองลูเซิร์น Luzern เดินเล่นริมทะเลสาบ แวะเมือง Rivera ขึ้น Cable car สู่เขา Monte Tamaro เล่นรถสไลเดอร์ COASTER BOB เข้าพักที่พักเมือง Lugano
วันที่ 13 – ข้ามพรมแดนสู่ประเทศอิตาลี เที่ยวเมืองฟลอเรนซ์ Florence ชมวิวมุมสูงของเมืองที่ Piazzale Michelangelo เดินเล่นชมวิหาร Cathedral of Santa Maria del Fiore สะพาน Ponte Vecchio เข้าที่พัก
วันที่ 14 – มุ่งหน้าสู่กรุงโรม Rome เที่ยวโคลอสเซียม Colosseum โยนเหรียญอธิษฐานที่น้ำพุเทรวี่ Trevi Fountain ชมหลังคาโค้งของวิหารแพนธีอัน Pantheon
วันที่ 15 – เข้าชมพิพิธภัณฑ์วาติกัน Vatican Museums ชมภาพวาดอันโด่งดังของ Michelangelo ที่ Sistine Chapel ชม Basilica di San Pietro in Vaticano หม่ำไอศกรีมเจลาโต้ยักษ์ที่ร้าน Giolitti ไปบันไดสเปน Spanish Steps
วันที่ 16 – เที่ยว Roman Forum, Palatine Hill และ Altar of the Fatherland ปิดท้ายด้วยบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นที่ Giardino D’Oriente
วันที่ 17 – ออกเดินทางสู่แคว้นทัสคานี แวะชมทุ่งหญ้าสีเขียวและดอกไม้สุดลูกหูลูกตา แวะเที่ยวเมือง Montepulciano มุ่งสู่ Siena เข้าพักที่พัก
วันที่ 18 – เที่ยวเมือง Siena แล้วเลยไปเที่ยวเมือง Lucca ก่อนจะพาเด็กๆไปชมหอเอนเมืองปิซ่า Pisa เช็คอินที่พัก
วันที่ 19 – มุ่งหน้าสู่ Cinque Terre หมู่บ้าน 5 แห่งสุดสวยริมชายฝั่งทะเลตะวันตกของอิตาลี Riomaggiore, Manarola, Corniglia, Vernazza และ Monterosso al Mare ก่อนจะเข้าพักที่พักที่เมือง Moneglia
วันที่ 20 – เดินทางต่อไปเที่ยว Bologna เข้าพักที่พักที่ Venice
วันที่ 21 – เที่ยวเกาะ Murano และ Burano เดินเล่นเวนิส Venice ท่ามกลางบรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติก
วันที่ 22 – เดินทางจากท่าอากาศยานเวนิส แวะเปลี่ยนเครื่องที่ Abu Dabi ก่อนจะมุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
วันที่ 23 – ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ

ทริปนี้เป็นการเดินทางด้วยการขับรถเช่าทั้งหมดนะครับ หากใครจะตามรอยไม่จำเป็นต้องใส่แผนเหมือนผมเป๊ะๆครับ เพราะผมมีนัดเพื่อนเจอกันที่อิตาลีทำให้มีการเดินทางย้อนเล็กน้อย แผนที่ดีแนะนำให้สลับช่วงเมือง Cinque Terre วันที่ 19 ไปวันที่ 13 แทน แล้วเที่ยวย้อนไป Lucca, Pisa, Siena, Tuscany, Rome, Florence, Bologna แล้วไปจบ Venice จะเป็นเส้นทางที่ดีกว่านะครับ

รายละเอียดของค่าใช้จ่ายในการเดินทางอยู่ด้านล่างสุดของรีวิวนะครับ

การเตรียมตัวเที่ยว เยอรมัน ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี

1.) วิซ่า ตามระเบียบของกลุ่มสหภาพยุโรป เราสามารถขอวีซ่าแชงเก้นแล้วสามารถเดินทางเข้าออกประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปได้ โดยเลือกยื่นขอได้ที่สถานทูตของประเทศที่เดินทางถึงหรือประเทศจุดหมายหลัก (อยู่เยอะสุด) ในกรณีของผมคือ เที่ยวอิตาลีเยอะสุด เลยต้องขอที่อิตาลีครับ ข้อมูลการยื่นและเตรียมเอกสารตามลิงก์นี้ http://www.vfsglobal.com/italy/thailand/thai/

2.) การใช้ไฟฟ้าและหัวปลั๊ก หัวปล๊กไม่เหมือนกันกับประเทศไทย ต้องพก International Adapter ไปด้วยนะครับ

3.) ค่าเงิน 1 Euro = 40.00 บาท (เม.ย. 59) เช็คอัตราแลกเปลี่ยน http://superrichthai.com/exchange.aspx

4.) เวลาช้ากว่าไทย 5 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น เมืองไทย 6:00 น. ที่เยอรมัน-ฝรั่งเศส-สวิส-อิตาลีจะเท่ากับ 1:00 น.

5.) อาหารและเสบียง ที่จริงสำหรับใครที่ไม่ติดเรื่อง European Food แบบยุโรปจำพวกเบอร์เกอร์ ขนมปัง พาสต้า พิซซ่า สเต็ก ฯลฯ สามารถซื้อทานตามร้านอาหารได้เลย ราคาค่อนข้างสูงประมาณจานละ 7-20 ยูโรต่อมื้อ จานค่อนข้างใหญ่นะ เชื่อว่าน่าจะอิ่มครับ แต่สำหรับครอบครัวไหนที่พอจะทำอาหารเป็น และต้องการทานอาหารไทยบ้าง ก็สามารถเตรียมเสบียงไปจากเมืองไทยได้ เราเตรียมพวกเครื่องปรุงผงแบบซอง รวมทั้งพวกน้ำมันพืช น้ำปลา ข้าวสาร ขนมนมเนยต่างๆ แล้วพวกของสดไปหาซื้อตาม Supermarket ที่นั่นแทน พวกปลากระป๋อง หอยกระป๋อง ผมก็พกไปด้วย เผื่อมื้อไหนฉุกเฉินหาของสดไม่ได้ก็จะได้มีวัตถุดิบพร้อมปรุงเลย การทำอาหารในต่างแดน ผมจะชอบมาก เพราะนอกจากจะประหยัดค่าอาหารแล้ว การได้ทานอาหารไทยในต่างแดนนี่มันช่างอร่อยกว่าพวกอาหารฝรั่งมาก แถมทำให้คิดถึงบ้านน้อยลงด้วยนะ

บทความที่เกี่ยวข้องกับการจัดกระเป๋า
Checklist การเตรียมตัวการเดินทางแบบครอบครัว มาจัดกระเป๋าเดินทางแบบไม่ตกหล่นกันเถอะ

รีวิวการจัดกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางฉบับคุณนายแอน

6.) อินเตอร์เนต หากใช้โทรศัพท์ไม่กี่เครื่องก็สามารถเปิด Data Roaming ได้ครับ แต่ถ้าใช้หลายๆเครื่อง เช่า Pocket Wifi ไปด้วยดีกว่า เครื่องเดียวจบไม่เปลืองแบต ใช้ได้หลายประเทศ ทริปนี้ใช้ของ Global Wifi สัญญาณโอเค รับ-คืนที่สนามบินได้ด้วยครับ รายละเอียดไปที่ http://globalwifi-thai.com/

7.) ตั๋วเครื่องบิน ปัจจุบันมีสายการบินหลายสายที่ทำการบินสู่ยุโรป ราคาก็มีตั้งแต่หมื่นกว่าๆ ถึงสามหมื่นบาท แต่ผมสอยตั๋วของ Etihad ช่วงโปรโมชั่นได้มาในราคาแค่ 14,xxx บาท แต่ต้องไปต่อเครื่องที่มาเลเชียก่อนในขาไป และลงที่แฟรงก์เฟิร์ต กลับที่เวนิสเท่านั้น ราคานี้ไม่ได้มีตลอด แนะนำให้ติดตามข่าวสารจากเพจบอกโปรต่างๆอย่างใกล้ชิดนะครับ

ส่วนใครที่กำลังมองหาตั๋วเครื่องบิน แนะนำช่องทางการจองที่ง่ายและประหยัดมากๆ อย่าง เว็บ Traveloka

คือเว็บนี้ที่จริงเป็นเว็บจองตั๋วเครื่องบินที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆของ South East Asia เวลาเราค้นหาเที่ยวบินก็จะแสดงเปรียบเทียบเวลาและราคาจากทุกสายการบินเลย เราก็สะดวกเพราะไม่ต้องไปนั่งเช็คทีละสายการบิน กดเช็คราคาที่ Traveloka ที่เดียวจบ ประหยัดเวลาและได้ราคาถูกสุด แถมชอบมีโปรลดราคาค่าตั๋วเพิ่มอีกมาแจกอยู่เรื่อย เช่น ลด 500 บาทบ้าง แค่ใส่โค้ดที่เค้าแจ้งมาที่หน้าแรก ใช้แล้วดีมาก แนะนำ Traveloka ในการจองตั๋วเครื่องบินเลยครับ ดีงาม

8.) ประกันการเดินทาง ผมเพิ่งไปเจอประกันการเดินทางแจ๋วๆที่เหมาะกับการเดินทางแบบครอบครัวมาครับ ผมใช้ประกันการเดินทางของบริษัททิพยประกันภัยแผนครอบครัว ข้อดีคือ ซื้อประกันการเดินทางสำหรับสามี-ภรรยา แถมฟรี คุ้มครองลูกๆที่ร่วมเดินทาง 2 คนเลย แหม.. ซื้อ 2 แถม 2 ดีมาก แต่เงื่อนไขคือ สามีภรรยาต้องอายุไม่เกิน 75 ปี และฟรีสำหรับบุตรอายุ 1-21 ปีครับ สำหรับใครที่ต้องซื้อประกันการเดินทางเพื่อการขอยื่นวีซ่า ซื้อแล้วขอคำแนะนำได้ทันที แถมการันตีกรณีขอวีซ่าไม่ผ่าน ยินดีคืนเงิน 100% ด้วย โอ้ว ดีงาม

แผนราคาเบาๆสำหรับเดินทางสั้นๆ เริ่มต้นแค่ 174 บาทเท่านั้น ใครเดินทางเยอะๆ ก็มีแผนรายปี ที่เหมาะกับคนเดินทางบ่อย คุ้มครองไม่จำกัดจำนวนทริป แต่ละทริปคุ้มครองได้ระยะยาวสูงสุด 180 วัน ทริประหว่างปีเดินทางได้เลยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า ราคาประมาณพันกลางๆเอง

รายละเอียดต่างๆ เรื่องผลประโยชน์ ความคุ้มครอง และเบี้ยประกัน ตามไปดูที่ http://www.dhipaya.co.th/insurance/travel-insurance.asp?idMenu=465

เคล็ดไม่ลับ การประหยัดค่าอาหาร

มันก็เป็นธรรมดาเหมือนเมืองไทยที่เวลาเราไปทานอาหารตามร้านอาหารราคาก็จะแพง แต่ถ้าเราไปซื้อของมาทำเองก็จะถูกกว่ามาก มากแค่ไหน ยกตัวอย่างนะ มื้อกลางวันที่ครอบครัวเราเที่ยวกันอยู่ เราจะไม่เดินทางกลับมาทำอาหารทานที่บ้านหรอก เสียเวลาเกินไป ไม่งกขนาดนั้น (ชิมอาหารต่างบ้านต่างเมืองบ้างก็ได้) ค่าอาหารมื้อที่ทานข้างนอกจะตกอยู่ราวๆ 30-50 ยูโร (ประมาณ 1,200 – 1,500 บาท) พอแปลงเป็นเงินไทยแล้วก็ค่อนข้างแพงเลยทีเดียว แต่ถ้าเราซื้อมาทำเองจะอยู่ราวๆมื้อละไม่เกิน 5 -10 ยูโรเท่านั้น ดังนั้นมื้อเช้าและมื้อเย็นส่วนใหญ่ผมจะเลือกกลับมาทานอาหารที่ปรุงเองครับ แค่เอาส่วนต่างมาคูณกับจำนวนมื้อที่ไม่ต้องทานข้างนอก ลองคำนวณดูครับ เยอะมากมายมหาศาลเลยทีเดียว

ปล. ถึงเราจะทำงานหาเงินมามากพอที่จะทานในภัตตาคารได้ทุกมื้อ แต่เราก็เลือกที่จะทำอาหารทานเพื่อประหยัดเงินส่วนหนึ่ง แต่เราไม่ได้งก หรือเดินทางไปเพื่อไปเป็นยาจกในต่างประเทศ เรายินดีจ่ายเพื่อทานของดีของอร่อยต่างบ้านต่างเมืองเช่นกัน วัฒนธรรมอาหารแต่ละประเทศถือเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางเช่นกัน‬

9.) เว็บจองที่พักของทริปนี้ เนื่องจากที่เที่ยวในเส้นทางยุโรปค่อนข้างหลากหลาย กว่าเราจะจัดแผนการเดินทางได้ลงตัว บางทีก็ต้องจองแบบเผื่อเลือกไว้ เราจึงจองที่พักผ่าน Booking.com ครับ เพราะ Booking.com สามารถจองที่พักและไปจ่ายทีหลังได้ แถมยกเลิกฟรี ปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางได้สะดวก จึงเหมาะกับครอบครัวเรามาก หลายคนอาจจะคิดว่าที่พักของ Booking.com มีแต่ห้องสี่เหลี่ยมในโรงแรมหรือเปล่า ไม่ใช่เลยครับ นอกจากโรงแรมแล้ว ยังมีที่พักแบบอพาร์ทเม้นท์ ที่พักแบบ Bed&Bedfast แต่ละที่ก็สวยงามเก๋ไก๋น่าพักมาก แนะนำว่าเวลาจองให้อ่านรีวิวและพิจารณาคะแนนจากผู้ที่เคยไปพักจริงประกอบด้วย คะแนนสูงๆไม่มีผิดหวังเลยครับ

อ่านบทความ รีวิวการจองที่พักด้วย Booking.com ได้ที่นี่ครับ
รีวิวการจองที่พักด้วย Booking.com : จองก่อนจ่ายทีหลัง ยกเลิกฟรี ยืดหยุ่นแผนการเดินทางได้

ที่พักที่เราเลือกมักจะมาพร้อมกับครัวเพื่อทำอาหารครับ และคุณนายแอนก็รับอาสาเป็นแม่ครัวส่วนตัวตลอดการเดินทาง

บอกเลยว่าอาหารไทยในต่างแดนเนี่ย แม้จะเป็นกับข้าวแบบง่ายๆ แต่มันจะอร่อยขึ้นกว่าเดิม 98.7569% ครับ อิอิ

จากบ้านมานานๆ ก็ได้อาหารไทยนี่แหละ ช่วยบรรเทาความคิดถึงบ้านได้เหมือนกันนะ

10.) ยานพาหนะ พูดถึงยานพาหนะในการเดินทางของเราบ้าง ทริปนี้เราเดินทางด้วยการขับรถเช่า 100% เลยครับ เนื่องจากแผนการเดินทางจะเป็นแผนแบบไปต่อเดินหน้าไปเรื่อยๆ ไม่ย้อนกลับมาที่เดิม ที่พักจึงต้องเปลี่ยนเกือบทุกวัน จะมีซ้ำในเมืองใหญ่ๆบ้าง อีกทั้งครอบครัวผมเดินทางพร้อมกับเด็กๆ ข้าวของกระปงกระเป๋าจึงเยอะ การขับรถจึงเป็นความสบายอย่างหนึ่ง เราจัดกระเป๋าใบเล็กเพื่อถ่ายข้าวของทุกๆ 2-3 วัน จะได้ไม่ต้องแบกกระเป๋าใบใหญ่ลงทุกครั้ง

พูดถึงรถกันบ้าง เราเช่ารถจาก Hertz จากสนามบินแฟรงก์เฟิร์ต และคืนที่สนามบินเวนิสเลย ค่าเช่ารถไม่แพงครับ 16 วันแค่ 4xx ยูโร แต่ค่าคืนต่างสาขาก็เท่าๆกับค่าเช่า และค่าประกันภัยเพิ่มเติมก็แพงมาก เท่าค่าเช่ารถอีกอย่าง รวมแล้วค่าเช่ารถคือ 1,3xx ยูโรครับ แต่เพื่อความสบายใจในการเดินทาง เราจึงยอมจ่ายเงินไป เพราะได้ยินมาว่าแถวๆอิตาลีรถชอบโดนทุบกัน

รถจาก Hertz เป็นรุ่น Ford C-Max นั่งได้ 5 เก้าอี้ ด้านหลังจุของได้เยอะมาก กระเป๋าใบใหญ่ๆหลายใบก็เอาอยู่ครับ สภาพรถใหม่มาก รถเพิ่งขับมาได้เจ็ดพันกว่าโล เรียกว่าผมค่อนข้างพอใจมากที่ได้รถใหม่แบบนี้ และเจ้า Ford คันนี้ก็ไม่มีปัญหากวนใจอะไรเลย ขับลื่นตลอดระยะทางกว่า 2,700 กิโลเมตรไปแบบไม่มีงอแงเลยแม้แต่น้อย

สำหรับครอบครัวที่จะเช่ารถขับแบบนี้ ต้องเตรียมเอกสารเป็นพาสเปอร์ต, ใบขับขี่สากล และบัตรเครดิตไปด้วยนะครับ พวงมาลัยและเลนถนนอยู่ตรงข้ามกันกับของประเทศไทย หากยังไม่เคยขับแนะนำให้ขับวนอยู่ในที่ปลอดภัยให้ชินเสียก่อนจะออกมาถนนใหญ่

น้ำมันของประเทศเยอรมันถูกสุด ฝรั่งเศส สวิส อิตาลีจะแพงกว่าครับ สิ่งน่ากังวลของการขับรถในยุโรป คือ เค้ามี Speed Limit กำหนดความเร็ว จอดรถข้างทางต้องเสียค่าจอดจ่ายที่ตู้หยอดเหรียญ ทั่วไปก็ไม่ค่อยจะยากเท่าไหร่ จะมีอุปสรรคมากๆก็คือ ที่อิตาลีจะมี Zona Traffico Limitato หรือ ZTL เป็นโซนที่ห้ามรถที่ไม่ได้รับอนุญาต (รถนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ) เข้าสู่พื้นที่เขตเมืองของเค้า ซึ่งมีแทบทุกเมืองครับ ต้องจอดรอบนอกแล้วเดินเข้าไปเท่านั้น หากฝ่าฝืนอาจมีกล้องตรวจเจอโดนปรับครับ ไปประเทศไหนก็ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าที่อิตาลีเลย ลำบากกับเรื่องนี้มากๆ

เริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางกับสายการบิน Etihad Airways ซึ่งบอกเลยว่ามีเรื่องประทับใจหลายอย่างที่อยากจะแชร์ เราชอบเก้าอี้ที่ปรับนอนได้เยอะๆ แถมไฟล์ทกลางคืนจะมีแจกหมอนรองคอ, ถุงเท้า, ผ้าปิดตาให้ด้วย อาหารแม้จะเฉยๆแต่ก็ไม่แย่นะ แต่ที่ชอบเป็นพิเศษ คือ ลูกเรือเค้าใส่ใจเด็กๆมากๆ จะแวะเวียนเดินมาดูแลตลอด บางทีพ่อแม่หลับ แอร์โอสเตสเอามัฟฟินมาให้ แถมแกะให้น้องกายด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ก่อนลงมีทำจดหมายที่ให้ลูกเรือทุกคนเซ็นบอกว่าดีใจที่มีน้องๆบนเครื่อง พร้อมกับชุดของเล่นกระเป๋าใหญ่ด้วย งานนี้ได้ใจเด็กๆ และพ่อแม่ไปเต็มๆ ปลื้ม Etihad มากจ้า

ถึงเยอรมัน ก็รับรถเช่าแล้วก็ออกมาเดินเล่นในเมือง Frankfurt หน่อย โชคดีที่ช่วงสงกรานต์ที่ยุโรปจะมืดช้าครับ กว่าฟ้าจะมืดก็เที่ยวได้ถึงสองสามทุ่มเลย

เมืองแฟรงก์เฟิร์ตเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของเยอรมัน มีแม่น้ำไมน์ Main river ไหลผ่านกลางเมือง เราเริ่มเดินเล่นจากสะพาน Eiserner Steg สะพานเก่าแก่ที่คู่รักนิยมมาคล้องแม่กุญแจแสดงความมั่นคงของความรักกัน แต่ผมดันลืมไม่ได้เอาแม่กุญแจมาด้วย เลยบอกภรรยาว่าไม่ต้องคล้องหรอก เปลืองกุญแจ แค่นี้ก็รักจะแย่อยู่แล้ว อิอิ

และที่เที่ยวสำคัญที่สุดของเมือง Frankfurt ก็คือจัตุรัส Romerberg นั่นเอง

จัตุรัสแห่งนี้จะมีบ้านรูปทรงโบราณและโบสถ์เล็กๆอยู่ล้อมรอบอนุสาวรีย์เล็กๆ ตัวจัตุรัสไม่ได้ใหญ่อะไร แต่ก็คงความสวยงามน่ามาเดินเล่นเป็นที่สุด

ไม่ไกลกันก็เป็นที่ตั้งของวิหาร Frankfurt Cathedral ผนังด้านในของตัววิหารเป็นสีส้ม ซึ่งเป็นสีที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็ทำให้สวยแปลกตาไปอีกแบบ

เช้าวันใหม่ เราเดินทางขึ้นไปทางเหนือไม่ไกลจากเมืองแฟรงเฟิร์ต เพื่อไปเยือนสวนสาธารณะ Kurpark ของเมืองบาด ฮอมบวร์ก (Bad Homburg) ด้วยเนื่องจากเมืองบาด ฮอมบวร์ก มีตาน้ำใต้บาดาลมากมาย โดยมีความเชื่อกันว่าน้ำแร่เมืองนี้ใช้รักษาโรคต่างๆได้ จึงมีเชื้อพระวงศ์จากหลายประเทศเสด็จฯมายังเมืองนี้เพื่อพักรักษาพระองค์ รวมทั้งพระราชวงศ์ของไทยด้วย

ศาลาไทยแห่งนี้เป็นแห่งแรกในทวีปยุโรปสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เคยมาพักรักษาพระองค์ที่เมืองนี้ นอกจาก ร.5 แล้วก็ยังมี ร.7 พร้อมพระนางเจ้ารำไพพรรณี ในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระนางเจ้าสิริกิตฯ ของเรา รวมทั้งพระเทพฯ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ ล้วนเคยเสด็จมาเยือนศาลาแห่งนี้มาแล้ว

ครอบครัวเราจึงถือโอกาสเดินทางมาสักการะเอาฤกษ์เอาชัยก่อนจะเดินทางต่ออีก 16 วันด้วย

นอกจากศาลาไทยแล้ว สวน Kurpark ก็ยังมีศาลารัสเชีย ศาลากรีซ สวยๆทั้งนั้นเลย เก๋เนอะ ถ่ายรูปกันสนุกเลย

มุ่งหน้าลงใต้มาที่เมืองไฮเดลเบิร์ก Heidelberg เมืองน่ารักและสวยงาม มีสะพานสวยๆข้ามแม่น้ำเนคคาร์

มุมนี้สวยจริงๆต้องถ่ายภาพคู่ไว้หน่อย

หอมแก้มวันละนิดจิตแจ่มใส

บนเนินเขาของเมืองมีปราสาทที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่กว่า 600 ปี ด้านในใหญ่โตและอลังการมาก แต่น่าเสียดายที่หลายส่วนพังทลายจากไฟสงคราม

เราสามารถเข้าไปเยี่ยมชมในปราสาทได้ ซึ่งภายในจะมีการจัดแสดงของโบราญต่างๆ มีพิพิธภัณฑ์การปรุงยาจัดทำมาได้ดีทีเดียว

ไฮไลท์คือการชมวิวมุมสูงของเมืองจากตรงปราสาท หลังคาสีแดงอิฐของบ้านเรือนที่เรียงรายกันสุดลูกหูลูกตา นับเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากๆ

ชมปราสาทเสร็จแล้ว แนะนำให้เดินเล่นถนนคนเดินที่ยาวตั้งแต่จัตุรัสเมืองไปนับกิโล มีร้านขายของเก๋ๆ ร้านอาหาร ร้านขนม ร้านไอติมอร่อย ให้แวะดู แวะกินไปเรื่อยๆ ถือเป็นอีกเมืองที่เที่ยวสนุกมากครับ

ที่พักที่ Heidelberg ห้องพักใหญ่โต ใหม่สะอาด และดีงามมากๆ ห้องมีเตียงใหญ่หนึ่งเตียง เตียงเล็กอีกหนึ่งเตียงที่อยู่ในห้องนั่งเล่น เพียงพอกับผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2 สบายๆ

แถมมีครัวอุปกรณ์ครบ ถูกใจครอบครัวเราที่ค่อนข้างจะติดอาหารไทยมากๆ เราสามารถเดินไปซื้อของสดจาก Supermarket ใกล้ๆที่พัก แล้วนำกลับมาปรุงกับเครื่องปรุงต่างๆที่นำมาจากประเทศไทยได้ ราคาอยู่ที่คืนละ 114 ยูโร

ใครสนใจก็จองได้ที่ https://www.booking.com/hotel/de/centerpoint.en-gb.html

วันที่สามของการเดินทางเราข้ามพรมแดนจากประเทศเยอรมันมายังประเทศฝรั่งเศส ครั้งนี้ถือเป็นการมาเยือนฝรั่งเศสเป็นครั้งที่สามแล้ว แต่ก็ยังคงตื่นเต้นอยู่ดี

เรามุ่งตรงมายังเมืองน่ารักอย่าง Riquewihr เมืองเล็กๆที่ถูกโอบล้อมด้วยไร่องุ่น แต่ต้องผิดหวังเล็กน้อยเมื่อยังไม่ถึงฤดูกาลทำให้ไม่เจอกับต้นองุ่นสวยๆสักเท่าไหร่ เข้ามาเดินเล่นในเมืองบ้านสีสันสวยงามมาก

นั่งทานอาหารง่ายๆริมทาง เมนูมีแต่ภาษาฝรั่งเศส อ่านก็ไม่ออก หิวก็หิว กว่าจะสั่งได้ต้องใช้ความพยายามด้วยภาษาใบ้กันยกใหญ่ ก็มั่วจนได้พิชชาแฮมกับเห็ด และพาสต้าแซลมอนมาแบ่งกันกินรอดชีวิตไปอีกหนึ่งมื้อ

จาก Riquewihr พาเด็กๆมาเที่ยวต่อที่เมือง Colmar มีคลองสวยๆไหลผ่านบ้านเรือนสีต่างๆ ที่นี่เค้าเรียกตัวเองว่า Little Venice

มีท่าเรือให้นั่งเรือชมเมือง ค่าล่องไม่แพงมาก ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ผู้ใหญ่ 6 ยูโร เด็กฟรี เลยพาเด็กๆลงเรือล่องไปตามลำคลอง พอเจอสะพานเตี้ยๆ เวลาเรือล่องผ่านสะพานทุกคนในเรือต้องก้มหัวหลบกันใหญ่ เด็กๆสนุกและชอบมากๆ เห็นลูกหัวเราะ คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็พลอยมีความสุขไปด้วย

ที่พักของครอบครัวเราที่เมือง Colmar ดีงามมาก เป็นอพาร์ทเม้นท์ 115 ตร.ม. กว้างมากๆ แถมตกแต่งสวยงาม มี 2 ห้องนอน มีเตียงใหญ่ 2 เตียง เตียงเล็ก 2 เตียง นอนกัน 6 คนยังหลวมๆ มีห้องนั่งเล่น โต๊ะทานอาหาร และครัวอุปกรณ์ครบกว่าที่บ้านผมอีกครับ มีระเบียงกว้างมีสวนสวยงาม มีที่จอดรถฟรี อยู่กลางใจเมืองใกล้กับที่ท่องเที่ยวแบบเดินไปถึงไม่กี่นาทีเอง ราคาก็ไม่แพงเลย แค่หกพันบาทต้นๆ เรียกว่าเช็คราคาโรงแรมรูหนูที่ฝรั่งเศสบางที่ยังแพงกว่าที่นี่เลย

ใครมาเที่ยว Colmar แนะนำจองที่นี่เลยครับ ดีงาม หนึ่งในที่พักที่คุ้มค่าที่สุดที่เคยพักมาเลยครับ https://www.booking.com/hotel/fr/traditional-loft.en-gb.html

ปล.เนื่องจากเป็นที่พักแบบอพาร์ทเม้นท์ ที่นี่จะไม่มี Front Desk นะ ต้องโทรนัดกับเจ้าของเพื่อนัดรับกุญแจครับ

ขับรถมุ่งหน้าสู่สวิสเซอร์แลนด์ เอาจริงๆ ผมคิดว่าเมืองหลวงของสวิสนี่ต้องเป็นที่ซูริคหรือเจนีวามาโดยตลอด แต่ที่จริงเมืองหลวงเค้าคือ กรุงเบิร์น Bern ครับ จุดชมวิวของเมืองที่ดีที่สุดคือ ชมจากสวนสาธารณะ Rosengarten ครับ

แต่ก่อนฉันคิดว่าความสุขต้องมาจากการได้รับ

แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าความสุขที่แท้จริงมาจากการให้ต่างหาก

แค่ฉันเห็นเธอมีความสุข ฉันจึงสุขใจยิ่งกว่า…

ตัวเมืองมีแม่น้ำล้อมรอบสวยงามมาก

คำว่า เบิร์น (Bern) มาจาก “Baren” ในภาษาเยอรมัน ที่แปลว่า “หมี” หรือ “Bear” ในภาษาอังกฤษ ที่เมืองนี้จึงเลี้ยงหมีไว้ด้วย ที่จริงมันมีสามตัวนะ แต่ตอนผมไปหาเจอแค่ตัวเดียว แถมเจ้าหมียังขี้เกียจนอนไม่กระดุกกระดิกเลย

นั่งชิลด์กันริมน้ำ มีเป็ดเจ้าถิ่นเดินมาทักทายใกล้ๆเลย เด็กๆชอบใจกันใหญ่

หอนาฬิกา Zeitglockenturm สัญลักษณ์คู่บ้านคู่เมืองอีกอย่างหนึ่ง สร้างอยู่เหนือประตูโค้ง ซึ่งเป็นประตูเมืองทิศตะวันตกแห่งแรกของเบิร์น มีนาฬิกาดาราศาสตร์ด้วยนะ และจะมีตุ๊กตาออกมาหมุนวนให้ชมทุกต้นชั่วโมงด้วย

ส่วนภาพนี้คือ โบสถ์ Munster ที่เป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ที่พักของเราที่ Bern เราพักอพาร์ทเม้นท์อีกแล้ว เป็นอพาร์ทเม้นท์ 2 ห้องนอน มีเตียงใหญ่ 2 เตียง เตียงเล็ก 1 เตียง นอนได้ 5 คนยังหลวมๆ มีห้องนั่งเล่นและห้องครัว และโต๊ะทานอาหารด้วย ที่พักนี้ราคาคืนละ 160 ยูโรครับ เวลาเช็คอินต้องโทรนัดกับเจ้าของนะครับ
สนใจจองตามนี้เลย https://www.booking.com/hotel/ch/apartment-demai.en-gb.html

ถ้าถามผมว่าผมชอบเมืองไหนของทริปมากที่สุด ผมขอตอบว่าผมชอบเมืองธูน Thun มากที่สุดครับ เพราะผมว่าเมืองนี้สวยและสงบมาก มุมนี้ถ่ายจากหอคอยของปราสาทธูน Thun Castle ครับ

Thun Castle เป็นปราสาทไม่ใหญ่นัก ด้านในมีจัดแสดงประวัติการเมืองการทหารของเมืองนี้ไว้

เมืองนี้ถ่ายภาพยังไงก็สวยไปหมดครับ

มีสะพานไม้อยู่กลางเมืองด้วย แต่สะพานไม้ที่นี่ไม่ใหญ่เท่าที่ Luzern นะครับ

มาต่อกันที่ Schadau Park ริมทะเลสาบ

พาครอบครัวมานอนเล่นสนามหญ้าที่นี่กัน

มีคนถามผมว่ารวยมาจากไหน ทำงานอะไร ถึงได้เดินทางท่องเที่ยวเยอะขนาดนี้ ต้องใช้เงินมากมายแค่ไหนกัน

ที่จริงคำถามนี้ต้องตอบบ่อยมาก จนถึงกับต้องเขียนบทความไว้ตอบเลย (ใครไม่ยังไม่เคยอ่าน ตามไปอ่านได้นะที่ http://goo.gl/DegtMZ)

เงินมันมีค่าก็จริง แต่มันไม่ได้สำคัญที่สุดสำหรับผม ตราบใดที่มันอยู่ในธนาคาร มันก็เป็นของธนาคาร สำหรับผมเงินจะมีค่าก็ต่อเมื่อเราได้นำมันออกมาใช้เท่านั้นเอง

หลายคนเมื่อมีเงินเยอะๆ ก็เลือกหาความสุขด้วยการซื้อบ้านใหญ่ๆ ซื้อรถหรูๆ เค้าก็ไม่ผิด ความสุขของใครก็ของมัน

พอดีความสุขของผมมันไม่ใช่แค่บ้านหลังใหญ่ ที่เดินหากันไม่เจอ หรือตัวเลขในสมุดบัญชีธนาคาร ที่มันก็เป็นแค่น้ำหมึกในเศษกระดาษ

ความสุขของผม คือ การได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว มีโอกาสก็พาครอบครัวออกไปชมโลกที่สวยงามใบนี้บ้าง

เวลาไม่เคยหยุดเดิน ผมกับภรรยาก็แก่ลงทุกวัน เด็กๆก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ลูกๆจะอยู่กับพ่อแม่ไม่นานหรอก เมื่อถึงเวลาเค้าก็คงต้องออกไปค้นหาสิ่งใหม่ๆกับเพื่อนๆและคู่ชีวิตของเค้า ผมเข้าใจเพราะผมก็เคยผ่านวัยนั้นมา

ชีวิตนี้มันสั้นเกินกว่าจะลังเลสิ่งใด ช่วงเวลาที่ลูกๆยังอยู่กับเรา เรายังหนุ่มยังสาวพอที่จะออกเดินทาง ลูกๆก็กำลังน่ารัก ถือเป็นช่วงเวลาทองคำแห่งชีวิต ที่ผมจะต้องเก็บเกี่ยวความสุขให้มากที่สุด

ชีวิตที่เหลืออยู่จะสั้นจะยาวแค่ไหน ผมไม่รู้ แต่ที่รู้คือ การทำวันทุกวันให้มีชีวิตอยู่อย่างคุ้มค่าและมีความสุข ในวันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่าทำไมไม่ได้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้

บ้านไหนเค้าจะสะสมอะไร ปล่อยเค้าไป บ้านนี้สะสมความสุขก็พอ

จาก Thun เราขับรถผ่านวิวทิวทัศน์อันสวยงามของ Switzerland วิวที่นี่สวยจริงๆนะ ยอมรับเลย

เข้าพักที่เมืองลูเซิร์น Luzern ที่พักของเราชื่อว่า Villa Maria ห้องนอนพักได้ 4 คนพอดีๆ ที่พักนี้ข้อดีคือ อยู่ริมทะเลสาบ มีที่จอดรถฟรี สามารถเดินไปเที่ยวในเมืองจากที่พักได้เลย ราคาคืนละ 218 CHF รวมอาหารเช้าครับ สนใจจองตามลิงก์นี้ได้เลย https://www.booking.com/hotel/ch/villa-maria-luzern.en-gb.html

Landmark สำคัญของ Lucern คือสะพานไม้ชาเปล Chapel bridge เป็นหนึ่งในสะพานไม้ที่เก่าแก่สุดในโลก มีอายุหลายร้อยปีแล้ว

ทะเลสาบที่นี่สวยจริงๆครับ นั่งแล้วไม่อยากลุกไปไหน

ความสุขเช่นเดิม เพิ่มเติมคือน้องเกรซน้องกาย

ผมเป็นคนแต่งงานเร็ว และมีลูกเร็วครับ หลายคนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ แบบนี้ก็คงเสียดายชีวิตวัยหนุ่มโสดไปบ้างหรือเปล่า วันนี้จะมาเล่าเรื่องอะไรให้ทุกคนฟังครับ

ย้อนกลับไปปี 2006 หลังจากแต่งงานกัน ผมกับภรรยาเดินทางไปฮันนีมูนกันที่ทวีปยุโรป

ตอนนั้นจำได้ว่าเราอยู่กันที่เมือง Luzern ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ กว่าเราจะเดินทางมาถึงเมือง ก็ตกเย็นเสียแล้ว

แม้ผมกับแอนจะเดินทางกันไกลข้ามประเทศมาจากอิตาลี แต่เรายังไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าไหร่ ก็เลยออกเดินเล่นเที่ยวเมืองกัน แต่เนื่องจากเป็นฤดูหนาวของที่นั่น ทำให้ฟ้ามืดเร็วมาก 5 โมงเย็นมืดเหมือนอย่างกับ 2 ทุ่ม ร้านรวงก็ทยอยปิดกันเร็ว เมืองทั้งเมืองเงียบสงบมาก คล้ายกับเราเดินกันอยู่สองคน

หนุ่มสาว สามีภรรยาป้ายแดง เดินจูงมือเดินเที่ยวในเมืองไปเรื่อยๆ ในความเงียบสงบนั้น แอนหันมาถามผมว่า

“แต่งงานกันเร็วๆแบบนี้ เคยคิดจะเปลี่ยนใจบ้างมั้ย”
“ถ้าเปลี่ยนใจแล้ว ย้อนกลับไปไม่แต่งได้เปล่าละ”
“บ้า แต่งแล้วก็แต่งเลยสิยะ”
“อ้าว แล้วจะถามทำไมเนี่ย”

ปี 2016 หลังจาก 10 ปีผ่านมา มีเหตุการณ์ในชีวิตเกิดขึ้นมากมาย จากหนุ่มโสดที่เที่ยวเล่นตามใจตัวเองในวันนั้น ผมเริ่มมีภรรยาให้ห่วงอีกคน กว่าเราทั้งสองคนช่วยกันสร้างกิจการของพวกเราขึ้นมา ผ่านวันดีๆ และวันที่เหนื่อยยากมาด้วยกัน จนวันนี้นอกจากเราสองคนแล้ว ยังมีชีวิตน้อยๆอีก 2 คนให้ต้องดูแลเพิ่ม

การที่ได้แต่งงานเร็ว ทำให้คนหนุ่มมีเป้าหมายในชีวิตที่จะสร้างครอบครัวเร็วขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเที่ยวเตร่สำมะเลเทเมา การที่ได้เป็นคุณพ่อตั้งแต่วัยหนุ่ม ทำให้ผมมีแรงที่จะพาลูกๆออกเดินทางตามใจฝันไว้เร็วยิ่งขึ้น

เสียดายชีวิตวัยหนุ่มมั้ย? ไม่เคยเสียดายเลย เพราะผมมีความสุขมากๆกับช่วงชีวิตที่ผ่านมา

10 ปีที่แล้วในวันนั้นผมไม่ตอบคำถามเธอ… วันนี้ขอตอบคำถามเธอเมื่อ 10 ปีที่แล้วเลยละกัน

ภรรยาที่รัก ฉันเลือกเธอมาเป็นคู่ชีวิตของฉัน ไม่มีวินาทีไหนเลยที่จะเสียใจที่ได้มาแต่งงานกับเธอ ไม่มีอะไรต้องเสียดายอีก ในเมื่อวันเวลาที่ผ่านมาช่างมีคุณค่าเกินกว่าจะบรรยาย เธอทำให้ชีวิตฉันสมบูรณ์เสียจริง

ขอบคุณจริงๆที่ทำให้ 10 ปีที่ผ่านมา เป็น 10 ปีแห่งความสุขในชีวิตมากเหลือเกิน วันเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตอาจจะสั้นหรือยาว เราไม่มีใครรู้ได้

แต่เชื่ออยู่อย่างว่า การที่ได้อยู่เคียงข้างเธอและลูกๆ มันคงจะทำให้ชีวิตที่เหลือของเราสองคนมีความสุขกับทุกๆช่วงวันเวลาที่กำลังจะผ่านเข้ามาอย่างแน่นอน

หากย้อนเวลากลับไปได้ ฉันก็จะขอเลือกแบบเดิมที่เคยเลือก แบบนี้แหละ ไม่เปลี่ยนแปลง…

ที่เมืองนี้มีร้านอาหารไทยชื่อ Song Pi Nong รสชาติแบบ Original แซ่บเว่อร์ๆตามสไตส์คนไทยด้วยนะ ราคาก็เท่าๆกับร้านอาหารที่สวิสร้านอื่นนะ แต่รสชาติฟินมาก เจ้าของร้านก็เป็นกันเอง ใครมาเมือง Lucern แล้วคิดถึงอาหารไทย จัดร้านนี้เลย

ปล.ที่จริงลูเซิร์นมีอนุสาวรีย์รูปสิงโตหินแกะสลักด้วยนะครับ แต่ผมเคยไปมาแล้ว คิดว่ามันไม่เห็นจะสวยเลย คราวนี้เลยไม่เดินไปครับ อิอิ

จาก Luzern เรายังมุ่งหน้าลงใต้ต่อไป วันนี้แวะเที่ยวเขา Monte Tamaro กันครับ

เราขึ้นมาด้วยกระเช๊า ค่าขึ้นอยู่ที่ผู้ใหญ่ 25 ยูโร เด็ก 12 ยูโร ด้านบนจะมีโบสถ์ ชื่อ Monte Tamaro Chapel ตั้งอยู่บนเขาสูง วิวสามารถมองลงมาเห็นเมืองต่างๆแถวนี้ได้สวยงามมากๆ

ด้านบนมีเครื่องเล่นหลายอย่างนะ แต่ที่ผมเล่นคือเจ้ารถสไลเดอร์ COASTER BOB ตื่นเต้นและสนุกมากๆเลย

บนนี้มีสนามเด็กเล่นด้วย ผมเดาเอาเองว่านี่คงเป็นสนามเด็กเล่นที่สูงและสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลย

ที่พักของคืนนี้เราพักกันที่ Grotto Flora B&B แถวเมือง Lugano

B&B แห่งนี้อยู่บนเนินเขา สงบและร่มรื่น ตกแต่งสไตส์อิตาเลี่ยนจัดๆ น่ารักมากๆ ราคาอยู่คืนละ 196 CHF รวมอาหารเช้า อะไรก็ดีทุกอย่างยกเว้นอย่าไปกินร้านอาหารของเค้านะครับ ไม่อร่อยและแพงมากเลย
สนใจจองตามลิงก์นี้ https://www.booking.com/hotel/ch/grotto-flora.en-gb.html

เราไม่ได้วางแผนจะเที่ยวเมืองลูกาโน่ Lugano ไว้ แต่ต้องยอมรับจริงๆว่าวิวที่นี่สวยมากๆครับ

Lugano เป็นเมืองในสวิสเซอร์แลนด์ที่แปลกมาก ผู้คนใช้ภาษาอิตาเลี่ยน ทุกอย่างแม้กระทั่งป้ายจราจร รวมทั้งสถาปัตยกรรมสิ่งปลูกสร้างด้วย

ขับรถจากสวิสเซอร์แลนด์มา ค่าทางด่วนแพงมากเลย น้ำตาจิไหล แถมช่วงท้ายๆ สักหนึ่งร้อยกิโลเมตรก่อนจะถึงเมืองฟอเร้นซ์ น้ำมันก็จะหมด น้องกายก็ดันมาปวดอึอีก แต่ไม่มีปั้มน้ำมันเลยสักปั้ม เล่นเอาลุ้นกันเหนื่อยว่าน้ำมันจะหมดหรือน้องกายจะอึราดมั้ย แต่สุดท้ายก็เจอปั้มก่อนน้ำมันรถจะหมดไม่กี่หยด น้องกายวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างไว ได้ตื่นเต้นกันไป 555

ชมคลิปเที่ยวอิตาลีในสไตส์รายการรักใคร ให้พาไปเที่ยวกัน

 

วันนี้พาครอบครัวเที่ยวเมืองฟลอเรนซ์ Florence กัน จุดชมวิวที่สวยที่สุดของเมืองคือที่ Piazzale Michelangelo ครับ

จากจุดนี้สามารถมองเห็นเมืองได้สวยสุดๆ วิหาร Piazza del Duomo สวยมากๆ

ส่วนสะพานหน้าตาแปลกๆอันนั้นคือ สะพาน Ponte Vecchio ครับ ที่สะพานมีร้านขาย Jewelry เพียบเลย

เดินมาชมวิหาร Piazza del Duomo ใกล้ๆ ลวดลายสวยงามมาก

Basilica of Santa Croce in Florence

อีกจุดที่เป็นที่นิยมในการท่องเที่ยวมากๆ คือ Piazza della Signoria

แถวนี้จะมีรูปปั้นเพียบเลยนะ แต่ที่ดังสุดคือ เพอร์ซีอุสฆ่าเมดูซ่าครับ

เดินผ่านร้านขายงานไม้ มีพิน็อกคิโอ้ เด็กๆชอบใจกันใหญ่เลย

ที่พัก B&B Villa La Sosta ที่ Florence ดีงามที่มีห้องนั่งเล่นส่วนกลางกว้างๆ มีหน้าต่างกว้างๆ นั่งชมวิวแคว้นทัสคานีของอิตาลีเพลินเลยครับ ราคาที่พักอยู่ที่คืนละ 168 ยูโร รวมอาหารเช้า

สนใจที่พักกดดูได้เลยที่ https://www.booking.com/hotel/it/villa-la-sosta.th.html

วันต่อมาก็ได้เวลาไปเยือนกรุงโรม Rome เมืองหลวงของประเทศอิตาลี เมืองที่ร่ำรวยวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ เมื่อสองพันปีที่แล้ว ที่นี่คือหนึ่งในศูนย์กลางของแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก

เราเริ่มต้นกันที่โคลอสเซียม Colosseum เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1

อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน

กระโดดกันหน่อยนะ โย่วๆๆ

ข้างๆกันจะเป็น Roman Forum และ Palatine Hill สถานที่ตรงนี้เป็นที่อยู่โบราณของชาวโรมันตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนครับ บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อย่างองค์ประมุข ซีซาร์ ผู้ยิ่งใหญ่ก็เคยอยู่บริเวณนี้ครับ

Altar of the Fatherland เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเฉลิมพระเกียรติของ Victor Emmanuel II กษัตริย์องค์แรกที่รวมอิตาลีให้เป็นหนึ่งเดียว

น้ำพุเทรวี่ Trevi Fountain เค้าว่ากันว่า ใครที่อยากกลับมาเยือนกรุงโรม ให้ตั้งอธิษฐานแล้วหันหลังโยนเหรียญลงไปในบ่อน้ำพุครับ ผมกับภรรยาโยนลงไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ได้กลับมาจริงๆด้วย

วิหารแพนธีอัน PANTHEON เป็นเทวสถาน สำหรับเทพต่างๆ ของโรมันโบราณ โรมันโบราณ หลังคาโค้งนับเป็นนวัตกรรมทางวิศวกรรมที่สุดในสมัยโบราณที่อาคารอันใหญ่โตแต่ไม่จำเป็นต้องใช้เสาค้ำยัน ด้านบนสุดมีช่องตาด้วยครับ

กลับมาที่ Colosseum เพื่อชมบรรยากาศยามค่ำคืนกันบ้าง ถ่ายภาพเสร็จพวกเราก็เล่นจระเข้วิ่งไล่จับกับเด็กๆแถวๆนี้แหละครับ สนุกมากเลย

St Peter’s Basilica in Vatican เป็นมหาวิหารเอกหนึ่งในสี่แห่งในกรุงโรม นครรัฐวาติกัน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่หนึ่งในคริสตจักรโรมันคาทอลิก ที่ตั้งโบสถ์เชื่อกันว่าเป็นที่ฝังร่างของนักบุญซีโมนเปโตรซึ่งเป็นหนึ่งในอัครทูตของพระเยซู คริสตจักรถือว่านักบุญเปโตรเป็นบิชอปองค์แรกของแอนติออก

ไปเที่ยวนครวาติกันกันครับ

Vatican Museum แถวยาวมาก หากใครสนใจจะเข้าชมที่นี่ ควรซื้อ Ticket Online มาครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาต่อแถว มาถึงจะมีประตูช่องพิเศษให้เดินเข้าไปเลย
https://biglietteriamusei.vatican.va/musei/tickets/do?action=booking&codiceLivelloVisita=9&step=1

ด้านในจัดแสดงภาพสำคัญๆของคริสต์ศาสนาไว้ มีพิพิธภัณฑ์โบราณของอียิปต์ (มี Mummy ให้ชมด้วยนะ) ส่วนที่เป็นไฮไลท์ คือ Sistine Chapel อันโด่งดัง ด้วยผลงานภาพวาดของ มีเกลันเจโล ศิลปินเอกในยุคนั้นครับ แต่เยี่ยมชมได้อย่างเดียวนะ ถ่ายภาพไม่ได้ ส่วนภาพที่เห็นคือ Gallery of Maps สวยไม่แพ้กันครับ

ที่ Vatican Museum ใหญ่มากนะครับ ใครที่ชื่นชอบงานศิลปะอาจจะใช้เวลาเป็นวันเลย หากจะเดินชมให้ทั่ว แต่ผมขอคอร์สเล็กๆยัง 2-3 ชั่วโมงเลยครับ

บันไดทางออกสวยมาก ชอบๆๆ

บันไดสเปน ช่วงที่ผมไปมีการปิดซ่อมแซมครับ แถวนี้คนเพียบเลย รายล้อมด้วยร้านค้าแบรนด์เนมเยอะมาก

มาถึงอิตาลี ของเด็ดของดีที่นี่คือไอศกรีมเจลาโต้ Gelato ครับ มันอร่อยจริงๆ บ้านผมนี่กินทุกวัน วันละหลายโคน

ร้านแนะนำในโรม คือ ร้าน Giolitti ครับ ขายไม่แพง แถมอร่อยมาก (ชอบร้านนี้สุดละ) คนต่อคิวซื้อกันยาวทั้งวัน อยู่โรมสามวัน กินร้านนี้สามวันเลยครับ วันสุดท้ายสอยโคนยักษ์อันเท่าคบเพลิงมากินเลย
พิกัด : https://www.google.co.th/maps/place/Giolitti/@41.9010154,12.4751675,17z

ไปชมคลิปครอบครัวเรากินไอติมเจลาโต้ยักษ์กัน

 

อีกร้านเชนที่ดังเช่นกัน คือ ร้าน Venchi ร้านนี้ก็อร่อยนะ แนะนำพวกรสโทนชอกโกแลต ดีงามมากๆ อีกร้านที่แนะนำคือ ร้าน Grom ครับ สามร้านนี้โอเคเลย

หลังจากโดนพาสต้า พิซซ่า ติดๆกันหลายมื้อ อาหารอิตาเลี่ยนมีอยู่เท่านี้จริงๆ ร่างกายเริ่มประท้วง เลยขอทานอาหารญี่ปุ่นบ้าง ไปจัดบุฟเฟ่ต์ที่ร้าน Giardino D’Oriente แถวๆที่พักครับ คือคุณภาพโอเคเลยนะ ราคาอยู่ที่ผู้ใหญ่ ประมาณ19 ยูโรมั๊ง เด็กครึ่งราคา คิดเป็นเงินไทยก็แพงกว่ากินที่ไทยแหละ แต่อยู่อิตาลีมื้อนี้เทียบกับตามร้านทั่วไปไม่แพงเลยครับ

มุ่งหน้าออกจากโรม วันนี้เราจะขับรถไปชมแคว้นทัสคานี Tuscany กัน

ครอบครัวเราเริ่มต้นกันที่เมือง Montepulciano เมืองเล็กๆบนเนินเขา ที่นี่มีโบสถ์ Chiesa di San Biagio ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่เชิงเขา

เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆที่ไม่เป็นที่รู้จักกับนักท่องเที่ยวมากนัก ยังไม่พบทัวร์จีน หรือคนไทยมาเที่ยวเลย ในเมืองมีร้านค้าขายของน่ารักๆเพียบ แต่สินค้า OTOP ของเค้าคือไวน์ครับ ใครชื่นชอบการชิมไวน์ก็สามารถแวะชิมไวน์ตามร้านต่างๆได้เลย

ที่จริงวิวของทัสคานี Tuscany สวยงามและสามารถแวะจอดรถถ่ายภาพได้เป็นระยะๆครับ แต่จุดที่ไม่ควรผ่านคือพิกัดนี้ครับ
https://www.google.co.th/maps/place/43%C2%B003’50.4%22N+11%C2%B033’34.6%22E/@43.1066081,11.5748174,10.75z/data=!4m2!3m1!1s0x0:0x0

ทุ่งหญ้าอันเขียวขจีและทุ่งดอกไม้สีสวยสุดลูกหูลูกตาของแคว้นทัสคานี ประเทศอิตาลี มันสวยจริงๆครับ ที่นี่มีเอกลักษณ์ในตัวเอง มีหลายที่พักในประเทศไทยพยายามจะเลียนแบบบรรยากาศของที่นี่ แต่หลังจากได้ไปเยือนที่นี่จริงๆ บอกได้เลยว่า ของเลียนแบบยังห่างไกลและไม่มีวันจะเหมือนของจริงที่ทัสคานีได้เลย

สายลมที่นี่หอมกลิ่นธรรมชาติ หญ้าที่นี่เขียวขจีและอุดมสมบูรณ์ บ้านเล็กๆกับต้นสนพุ่มสวยๆ มันคือความลงตัวเสียจริง เรามีความสุขมากๆกับการใช้เวลาใกล้ชิดกับธรรมชาติแบบนี้ จนบางครั้งก็อยากจะให้เวลาเดินช้าลงหรือหยุดหมุนไปเลย

คนที่ร่ำรวยที่สุด ไม่ใช่คนที่มีมากที่สุดหรอก แต่คือคนที่มีเพียงพอแล้วต่างหาก

ตอนผมเรียนจบมาใหม่ๆ ไฟยังแรง ผมเปิดร้านขายเสื้อผ้าครับ ขายดีด้วย กำไรเดือนๆหนึ่งเยอะพอสมควร แต่ละวันผมจะดูแลทั้งการขาย,บัญชี และทำสต็อกด้วยตัวเองทั้งหมด แม้จะเหนื่อยแต่ทุกวันผมก็จะกลับบ้านมาด้วยความสุขและพึงพอใจกับงานของผมมาก

หลังๆร้านขายดีขึ้นอีก ผมตัดสินใจจ้างพนักงานให้มากขึ้น จะได้มีคนมาช่วยทำงาน คิดว่ามีคนมาช่วยเรา เราจะได้ขายของได้มากขึ้น แม้ร้านแรกจะขายดีและมีงานมากจนยุ่งพออยู่แล้ว แต่ด้วยความคิดว่าถ้าธุรกิจผมใหญ่ขึ้นรายได้ก็จะมากกว่าเดิม จึงตัดสินใจขยายร้านไปอีกหลายร้าน เพื่อหวังที่จะได้กำไรที่มากขึ้น

สุดท้ายผมเปิดร้านของผมไปทั้งหมดอีก 4 สาขา ร้านทั้ง 4 ร้านทำกำไรได้มากขึ้น แต่งานก็เยอะขึ้นไปด้วย ยิ่งไม่ได้ทำงานด้วยตัวเอง ใช้คนอื่นมาทำแทน บางอย่างก็ไม่เรียบร้อยเหมือนตอนที่เราทำเองหรอก ยิ่งมากคน ปัญหาก็ยิ่งมากตาม แม้รายได้จะเยอะขึ้น แต่ผมกลับบ้านมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยและแทบจะหาเวลาพักผ่อนไม่ได้เลย

ช่วงวิกฤตการเมืองในประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อน มีการชุมนุมประท้วงไม่เว้นแต่ละวัน วันนึงแดง วันนึงเหลือง เศรษฐกิจก็เริ่มไม่ดี ยอดขายที่เคยขายได้เยอะๆ ก็ลดน้อยลงจนน่าตกใจ เมื่อรายได้ลดลงมากๆ แต่ค่าใช้จ่ายเราไม่เคยลดลง ผมต้องจ่ายค่าเช่า เงินเดือนพนักงาน ทั้งๆที่แต่ละวันก็ขายของไม่ค่อยจะได้ จากร้านที่เคยทำกำไรกลับกลายเป็นเท่าทุนจนขาดทุนในที่สุด จากที่เคยเหนื่อยกาย ตอนนี้กลับรู้สึกเหนื่อยใจแบบสุดๆ

ในช่วงเวลานั้นผมไม่มีความสุขเลย กลับรู้สึกนึกถึงช่วงเวลาที่มีแค่ร้านเดียว ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แม้จะได้เงินน้อยกว่า แต่ผมกลับมีความสุขมากกว่าตอนนี้มาก

สุดท้ายธุรกิจที่ใหญ่โตของผมก็ไปไม่รอด ผมตัดสินใจปิดร้านทั้งหมด จนปัจจุบันผมกับภรรยาตัดสินใจลดขนาดตัวเองเหลือโรงงานเล็กๆ เรารับผลิตเสื้อผ้า ชุดยูนิฟอร์มให้กับบริษัทต่างๆ แม้ยอดขายจะไม่เยอะเหมือนแต่ก่อน แต่เราก็ภูมิใจที่โรงงานของเราได้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ส่งมอบให้ลูกค้าตรงต่อเวลา และก็ดีใจมากที่ผลกำไรจำนวนนี้ยังสามารถเลี้ยงดูครอบครัว และพนักงานอีกหลายสิบชีวิตในโรงงานของเราได้อย่างไม่เดือดร้อนอะไร

ลูกค้าเราไม่ต้องเยอะ แต่พวกเค้าไว้วางใจในคุณภาพและการส่งมอบที่ตรงเวลา เราจึงมีลูกค้าประจำ ไม่ต้องเหนื่อยวิ่งหาลูกค้าใหม่ตลอดเวลา ผมกับภรรยาจึงมีเวลามากขึ้น เราใช้ชีวิตอย่างเรียบๆง่ายๆ ส่งลูกไปโรงเรียนในตอนเช้า กลางวันก็ทำงาน เย็นก็ไปรับเด็กๆมาทานข้าวด้วยกัน หากมีเวลาในวันหยุดก็จะพาลูกๆออกเดินทางไปดูสถานที่สวยๆบนโลกใบนี้ ได้พักผ่อนเพิ่มขึ้น และมีความสุขเพิ่มขึ้นด้วย

จนถึงวันนี้ผมจึงเรียนรู้ว่า…

เราจะทุกข์ขึ้นทันทีที่เรารู้สึก “อยาก” แต่เราจะสุขขึ้นทันทีที่เรารู้จักคำว่า “พอ”

คนที่ร่ำรวยที่สุด ไม่ใช่คนที่มีมากที่สุดหรอก แต่คือคนที่มีเพียงพอแล้วต่างหาก

เขียนท่ามกลางอ้อมกอดของครอบครัว
ณ ทุ่งหญ้าอันเขียวขจีและทุ่งดอกไม้อันสวยงาม แห่งแคว้นทัสคานี ประเทศอิตาลี

คืนนี้พักที่เมือง Siena ครับ ที่พักชื่อว่า B&B Gli Archi อยู่ชานเมืองหน่อย วิวจากที่พักสวยมาก ห้องนอนกว้างและสะอาดดีครับ คืนละ 103.5 ยูโร รวมอาหารเช้า
https://www.booking.com/hotel/it/gli-archi.en-gb.html

เช้าตื่นมาไปเที่ยวเมืองเซียน่า Siena กัน จัตุรัสของเมืองสวยดีครับ มีเล่นระดับคล้ายๆกับโรงละครเลย

ถ่ายจากด้านในของ Piazza del Campo ซึ่งตอนนี้เป็นที่ทำการของรัฐบาลครับ

เดินมาชม Duomo di Siena กันต่อ

จาก Siena เราขับรถขึ้นเหนือมาเที่ยวเมืองเล็กๆชื่อ Lucca เมืองนี้มีเอกลักษณ์ตรงจัตุรัสของเมืองเป็นวงรีครับ หลังคาของบ้านเรือนพร้อมใจกันเป็นสีเดียวกัน สวยงามมากๆ

อีกสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ คือ หอคอยที่มีต้นไม้อยู่ที่ยอดครับ

Duomo ที่นี่ไม่ใหญ่โตเหมือนที่อื่น แต่ก็มีความโดดเด่นและสวยงามอยู่ไม่น้อย

ห้องเรียนของลูกของฉัน คือ โลกกว้าง

เมื่อพาเด็กๆมาถึงหอเอนเมืองปิซ่า เด็กๆในวัยน้องเกรซน้องกายช่างสังเกตและขี้สงสัยอยู่แล้ว

“ทำไม หอคอยมันเอนแบบนั้นอ่ะ ปะป๊า”
“แล้วหอคอยมันจะล้มหรือเปล่า”

คำถามรัวๆจากเด็กๆ ทำให้ผมได้มีโอกาสอธิบายสอนวิชาฟิสิกส์ให้กับเด็กๆตั้งแต่ประถมและอนุบาลเลย

ผมเชื่อว่าบทเรียนในห้องเรียนสำคัญนะ แต่ส่วนใหญ่ความรู้ที่เราเรียนมา หากไม่ได้ใช้ก็จะถูกลืมไป แตกต่างกับทักษะที่จะอยู่กับตัวเราไปตลอดชีวิต

ทักษะมีหลายอย่าง เช่น ทักษะทางภาษา, ทักษะทางดนตรี หรือแม้แต่เรื่องง่ายๆแบบขี่จักรยานหรือว่ายน้ำก็ตาม ทักษะเป็นแล้วไม่มีวันลืม เราจึงให้ความสำคัญกับทักษะมากกว่า

นอกจากทักษะแล้ว ยังมีสิ่งที่ใช้เยอะกว่าความรู้ในห้องเรียน นั่นคือ “ประสบการณ์”

ในชีวิตการทำงานและการทำธุรกิจของผม ความรู้ที่เรียนมากลับได้ใช้น้อยมาก คณิตศาสตร์ไม่เคยได้ใช้เกินบวกลบคูณหารหรอก แต่คุณครูที่สอนมากที่สุดกลับเป็น “ความผิดพลาด” และ “ประสบการณ์” ต่างหาก

ผมจึงเชื่อว่าการเรียนของลูกๆ ไม่ควรอยู่แต่ในห้องเรียน สภาวะแวดล้อมในรั้วบ้านไม่น่าจะเพียงพอกับการเรียนรู้ของเด็กๆ และโลกของเด็กๆไม่ควรจำกัดพื้นที่อยู่ในกรอบเดิมๆ

การพาลูกๆของผมออกมาท่องโลกกว้าง ให้เค้าได้ทดลองทำสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ

ไปเจอผู้คนเยอะๆที่วัฒนธรรมแตกต่างจากเรา จะได้เจอคุณครูชื่อ “การปรับตัวเข้ากับผู้อื่น”
บางครั้งต้องเดินไกลๆหรือนั่งเครื่องบินนานๆจะได้รู้จักคุณครูชื่อ “อดทน”
ออกไปท่องเที่ยวดูโลกกว้าง จะได้สนิทกับคุณครูชื่อ “ประสบการณ์ชีวิต”
ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าบ่อยๆ จะได้คุ้นเคยกับคุณครูชื่อ “การเอาตัวรอด”

ผมเชื่อว่าต่อให้ตำราการดำน้ำที่ดีที่สุดในโลกก็ไม่สามารถเทียบกับคุณครูดำน้ำที่ดีที่สุด คือการได้ทดลองดำน้ำจริงๆได้

ผลคะแนนของลูกผมไม่ได้เป็นสาระสำคัญ เพราะการสอบในชีวิตจริงไม่เคยมีเกรดออกมาเป็นกระดาษ

จงเรียนเพื่อแค่รู้ ฝึกทักษะให้มาก ทำกิจกรรมเพื่อให้มีประสบการณ์ และจงเป็นที่รักของผู้อื่น แค่นี้ก็พอแล้วล่ะลูก

เราพักกันที่เมือง Pisa โรงแรมชื่อ Hotel Pisa Tower เป็นที่พักสะอาดและเก๋มาก แถมสามารถเดินจากที่พักไปเที่ยวหอเอน Pisa ได้เลย ราคาคืนละ 145 ยูโร รวมอาหารเช้า
https://www.booking.com/hotel/it/pisa-tower.en-gb.html

วันต่อมาเราออกเดินทางต่อไปยังชิงเกว แตร์เร Cinque Terre เป็นหมู่บ้านมรดกโลกห้าเเห่ง มีอายุหลายร้อยปี ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน ตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี ประกอบด้วย 5 หมู่บ้าน ได้แก่ Riomaggiore, Manarola, Corniglia, Vernazza และ Monterosso

วิธีที่จะเที่ยวหมู่บ้านเหล่านี้ให้ดีที่สุด คือ การนั่งรถไฟครับ เพราะสะดวกสบาย ที่เที่ยวใกล้กับสถานีรถไฟเลย ของผมใช้วิธีขับรถเอา ลำบากมากครับ ทั้งที่จอดรถกับที่เที่ยวไกลมาก บางหมู่บ้านเดินเป็นกิโล ทำเอาเสียเวลาและพลังงานมากๆ ใครขับรถมา แนะนำให้จอดหมู่บ้านแรกแล้วนั่งรถไฟเที่ยวแทนนะครับ

ภาพนี้ คือ หมู่บ้านแรก Riomaggiore

ส่วนที่ดังที่สุดของชิงเกว แตร์เร Cinque Terre น่าจะเป็นหมู่บ้านที่สอง Manorola ครับ

แดดท้องฟ้าใสดีจริงๆ หมู่บ้านที่ 4 Vernazza

Vernazza จากมุมสูงบ้าง ที่จริงมี 5 หมู่บ้าน แต่ดันขับรถเที่ยวลำบาก เลยไปได้แค่ 3 หมู่บ้านครับ อีก 2 หมู่บ้านที่เหลือคงต้องเก็บไว้ซ่อมคราวหน้าแล้วหละ

ที่พักที่เมือง Moneglia เมืองชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอิตาลีครับ

เดิมทีไม่ได้ตั้งใจมาที่เมืองนี้ ตั้งใจจะพักที่พักแถว Cinque Terre แต่ดันจองผิดเมือง เลยได้มาอยู่ที่เมือง Moneglia แทน (ห่างจาก Cinque Terre ประมาณชั่วโมงกว่านะ) แต่ก็ไม่ผิดหวังครับ เมืองนี้สวยจริงๆ

ที่พักที่นี่ชื่อว่า Residence Cielo e Mare อยู่บนเขาสูงมองลงไปเห็นทะเลสวยๆ เรียกว่าเหมือนวิวรีสอร์ทหรูที่ภูเก็ตเลย ห้องพักเป็นแบบอพาร์ทเม้นท์กว้างมากๆ มีหนึ่งห้องนอน ห้องนั่งเล่นใหญ่มาก มีโซฟาแปลงร่างเป็นที่นอนได้ มาพร้อมครัวอุปกรณ์ครบชุด คุณนายแอนเลยได้โชว์ฝีมือทำกับข้าวอาหารไทยให้ทุกคนได้ทาน พอคลายความคิดถึงเมืองไทยลงไปได้บ้าง ตอนจองที่พักอ่านรีวิวคอมเม้นท์มาคะแนนสูงมาก โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวที่มีเด็กให้ 10 คะแนนหมดเลย พอมาพักจริงๆ ถูกใจจริงๆด้วย คะแนนรีวิวช่วยได้มากจริงๆ ราคา 109 ยูโร แต่มีค่าผ้าเช็ดตัวและผ้าคลุมเตียงอีกคนละ 6 ยูโรครับ

ใครสนใจที่พักนี้ ตามไปที่ลิงก์ https://www.booking.com/hotel/it/cielo-e-mare.en-gb.html

วันรุ่งขึ้น วันนี้ต้องขับรถไกลมาก เนื่องจากเมือง Moneglia ไปถึง Venice ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกว่า ทำให้จากที่เราไม่มีแผนเที่ยวเมืองโบโลญญา Bologna แต่คิดว่าถ้าขับรถนานๆจะเบื่อ เลยตัดสินใจเราเพิ่มแผนเที่ยวเมือง Bologna ลงไปเป็นจุดแวะพักรถ

แต่เมืองนี้สวยมากครับ โดยเฉพาะสีของบ้านเรือนที่เน้นไปทางสีแดงส้มอิฐทั้งเมืองเลย แถมจัตุรัสก็สวยมากครับ

ใครมาเมืองนี้แวะมาถ่ายภาพกับหอคอยคู่ด้วยนะครับ

พาครอบครัวเดินเล่นเมืองเวนิสกันต่อครับ

เราข้ามไปยังเกาะ Murano เพื่อจะชมกระบวนการเป่าแก้วอันโด่งดังที่นี่ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะหาไม่เจอ ถามคนแถวนั้น เค้าบอกให้เดินไปแถวๆท่าเรือ เราก็ยืนอ่อยตั้งนาน (จนเด็กๆปวดห้องน้ำเลยต้องยอมแพ้) สงสัยต้องมากับทัวร์ถึงจะได้ชม

ตรงใจกลางเกาะ Murano มีประติมากรรมแก้วสีน้ำเงินตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่คู่กับหอนาฬิกา เก๋เชียวครับ

แต่ที่ชอบมากๆก็คือ บ้านเรือนสีลูกกวาดที่เกาะ Burano บ้านเรือนสีสดใส สวยมาก

ถ้ามีเงินสิบล้าน ทุกคนก็สามารถซื้อรถ ซื้อบ้าน หรือใช้จ่ายได้เหมือนกันทุกคนนั่นแหละ

แต่ถ้าพูดถึงประสบการณ์ชีวิตและการท่องเที่ยวแล้ว ต่อให้มีเงินเป็นหมื่นล้าน ถ้าไม่ไปเอง ก็ไม่มีวันรู้สึกได้ เพราะมันไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินเพียงอย่างเดียว

ชีวิตนี้เราอาจจะไม่มีทรัพย์สมบัติกองโตไปอวดกับใครๆ

แต่ถ้าพูดเรื่องเที่ยวและประสบการณ์ชีวิตแล้ว เราก็มีไม่แพ้เศรษฐีคนไหน

เราไม่มีแหวนเพชรหรอก เรามีแต่ภาพครอบครัว

เรามีเงินไม่เยอะหรอก แต่เรามีความสุข

น้องเกรซกับแอคชั่นเท่ๆ

รู้สึกดีที่คนที่นี่ไม่ใช่รถเดินทาง แต่ใช้วิธีนั่งเรือไปตามลำคลองแทน ก็ถือเป็นวิถีชีวิตอีกแบบที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลก ใครจะมาเที่ยวที่นี่แนะนำให้เปิดพาสที่เหมานั่งเรือ Water Bus ไปเลยนะครับ แค่ขึ้นลง 3 รอบขึ้นไปก็คุ้มละ

ตอนแรกจะนั่งเรือกอนโดล่ากัน แต่ราคามันแพงมาก เลยเปลี่ยนใจพาเด็กๆมาให้อาหารนกที่จัตุรัสเซนต์มาร์คแทน

นกที่นี่มันเชื่องมาก บินมาเกาะแขนเกาะไหล่แบบไม่เกรงใจมนุษย์เลย

ปิดท้ายด้วยการเดินเล่นกับภรรยา ระลึกความหลังคราวที่มาฮันนีมูนกันเมื่อ 10 ปีก่อน น่าเสียดายที่ร้านเครปเดิมที่เคยทานด้วยกันสองคนตอนหนาวๆหายไปแล้ว แต่ก็ดีใจที่เวนิส Venice ยังคงโรแมนติกเหมือนเดิม

รายละเอียดค่าใช้จ่ายของทริปนี้

ตั๋วเครื่องบิน BKK-KL-ABU-FRA-VEN-ABU-BKK 71,335
ที่พัก 68,888.40
เช่ารถ+ประกันภัย 54,882.8
น้ำมันรถ+ทางด่วน 16,948
จอดรถ 2,580
อาหาร 28,524.40
ขนม เครื่องดื่ม 7,524.80
ค่าสถานที่ท่องเที่ยว 7,840
เดินทางสาธารณะ 2,440
อื่นๆ 4,600

รวมทั้งหมดสำหรับ 4 คน (ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2) 265,563.40 บาท
เฉลี่ยต่อคน 66,390.85 บาท

หลายคนบอกว่าน้องเกรซ น้องกาย เป็นเด็กเนอะ บางอย่างไม่ต้องจ่าย กินก็น้อย งั้นนับเด็ก 2 คน เป็น 1 คนพอ ถ้าเฉลี่ยแบบหาร 3 จะอยู่ที่ 88,521.33 บาทต่อคนครับ ก็ยังคิดว่าราคานี้ไม่น่าจะมีบริษัททัวร์ที่ไหนขายราคานี้ได้ ถ้าประหยัดเรื่องของกินกระจุ๊บกระจิ้บระหว่างวันไป น่าจะประหยัดได้อีกเยอะครับ

และแล้วก็จบทริปขับรถเที่ยวยุโรปด้วยตัวเอง 18 วัน : 4 ชีวิต 2,700 km พิชิต 4 ประเทศ 19 เมือง ไม่เกิน 70,000 บาทต่อคน ไปอย่างสมบูรณ์

หวังว่าคงได้รับประโยชน์จากการเดินทางกลับไปไม่มากก็น้อยนะครับ

รายละเอียดต่างๆ คงยากที่จะเขียนจบได้ในตอนเดียว หากมีเวลาจะทำตอนย่อยๆฉบับบเต็มให้ชมกันนะครับ วันนี้ลากันไปก่อนนะครับ

ปล.หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share

หรืออยากใกล้ชิดกันมากขึ้น แอด Line มาได้เลย มีรีวิวใหม่จะส่งไปบอก อยากคุยกับแอดมิน Line มาคุยเลยจ้า ID : @2Madames กดตรงนี้ก็ได้ 

หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า

อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ