ทริปนี้เราจะมุ่งหน้าไปสู่จังหวัดกุนมะ Gunma ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโตเกียว จังหวัดนี้คนไทยไม่ค่อยรู้จักกันมากนัก แต่ที่ญี่ปุ่น กุนมะถือเป็นเมืองแช่น้ำร้อนออนเซ็นที่ดังมาก ติดอันดับเป็น 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ตลอด 7 วัน ผมได้พาภรรยาและลูกๆไปเที่ยวเมืองน่ารักอย่าง Kusatsu Onsen ชิมเนื้ออันดับหนึ่งของกุนมะอย่าง Joshu Wa ไปดูลิงหิมะแช่น้ำร้อน นอนเรียวกังชื่อดัง Takaragawa Onsen ที่นี่มีบ่อออนเซ็นกลางแจ้งที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลก ได้มีโอกาสไปแช่น้ำร้อนท่ามกลางหิมะ พาครอบครัวไปเด็ดชิมสตอเบอรี่สดๆจากต้นที่ฟาร์ม Dole Land พาไปกินร้านอาหารเด็ดๆมากมาย หม่ำบุฟเฟ่ต์ซูชิจนพุงกาง แนะนำแหล่งช็อปปิ้งเด็ดๆที่ชินจูกุ ทั้งหมดนี้จะสนุกสนานและน่าเที่ยวเพียงใด ตามไปรับชมรีวิวกันครับ
ใครขี้เกียจอ่านตัวหนังสือ ชมในรูปแบบคลิปรายการรักใครให้พาไปเที่ยวได้เลย
โปรแกรมเดินทางเที่ยว Gunma ด้วยตัวเองของครอบครัว 2Madames
26 ก.พ. 59 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก แวะเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง 1 ครั้ง และเดินทางสู่สนามบินนาริตะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
27 – เดินทางถึงกรุงโตเกียว รับรถเช่าและบัตรทางด่วน ETC แวะทานซูชิสายพานร้อยเยนขวัญใจครอบครัว Kura Sushi แวะเที่ยววัดดารุมะจิ แห่งเซียวรินซันต้นกำเนิดตุ๊กตาญี่ปุ่น Daruma Doll ที่เมือง Takasaki แล้วมุ่งหน้าสู่เมือง Kusatsu Onsen เมืองน่ารักแห่งออนเซ็น
28 – เดินทางสู่ Jigokudani Monkey Park แวะทานคาเฟ่อันปังแมน ชมลิงหิมะแช่ออนเซ็น แล้วมุ่งหน้าไปพักที่เมือง Minakami
29 – เก็บสตอเบอรี่ที่ไร่ Dole Land แล้วไปแช่ออนเซ็นท่ามกลางหิมะที่เรียวกัง Takaragawa Onsen
1 มี.ค – แวะเที่ยวหมู่บ้านงานฝีมือ Takumi no Sato แล้วเดินทางกลับโตเกียว
2 – ตะเวนกินร้านดัง บุฟเฟ่ต์ซูชิพุงกาง Kizuna Sushi เดินช็อปปิ้งดองกี, ห้าง Pepe Uniqlo ร้าน GU ร้านร้อยเยน เย็นๆไปทานราเมนข้อสอบ Ichiran Ramen ตามหาขนมไดฟูกุไส้สตอเบอรี่ในตำนานที่ชั้นใต้ดิน Iseitan ดึกๆกินทาโกะยากิ Gindaco
3 –เดินทางกลับกรุงเทพ
ทริปนี้เราจองที่พักด้วยเว็บ HotelsCombined.co.th ครับ เว็บนี้เค้ามีดีตรงที่เป็นเว็บที่ทำหน้าที่เปรียบเทียบราคาจากเว็บไซค์จองที่พักชั้นนำต่างๆ เช่น Booking.com, Expedia, Hotels.com ฯลฯ
เวลาเราจะจองที่พัก ถ้าเราหาที่พักผ่าน HotelsCombined เราก็ไม่ต้องไปเสียเวลาเปรียบเทียบราคาแต่ละเว็บเอง ประหยัดเวลา และมั่นใจว่าจะได้ราคาที่พักที่ถูกที่สุดด้วย
วิธีการใช้เว็บ HotelsCombined ก็ง่ายมาก เราก็ระบุสถานที่เมือง หรือโรงแรมที่เราจะจอง วันที่เช็คอิน เช็คเอ๊าท์ แล้วก็กดค้นหาเลย
Download Application : https://launch1.co/serve?action=click&publisher_id=293559&site_id=93292&offer_id=408085&destination_id=384397&my_campaign=2madames_TH_Mar_2016
HotelsCombined จะไปดึงราคาจากเว็บต่างๆมาให้เราเอง
อย่างที่พัก Takaragawa Onsen ที่ครอบครัวเราจะไปพัก เราก็เปรียบเทียบด้วย HotelsCombined ปรากฏว่า Expedia ราคาถูกสุด เราก็กดตามมา แล้วก็จองปกติเลย
เมื่อจองเสร็จก็ได้ห้องพักที่เราต้องการในราคาดีที่สุด ไม่มีค่าธรรมเนียมในการจอง มั่นใจว่าเราได้ราคาดีที่สุด แถมประหยัดเวลาในการเปรียบเทียบด้วย
สำหรับใครที่กำลังจะหาที่พักและจอง ลองใช้เว็บ HotelsCombined ดูครับ กดไปที่ลิงก์นี้เลย https://goo.gl/1JFrjO
ส่วนการใช้อินเตอร์เนตในทริปนี้ เราใช้ของ Pocket Wifi ของ iwifi สัญญาณดี แบตอึด เครื่องใหม่ดีตลอดทริป ค่าเช่าก็ไม่แพงเลยครับ เริ่มต้น 179-200 บาทต่อวัน สนใจก็ติดต่อที่เพจนี้เลยครับ https://www.facebook.com/iwifiFan
ออกเดินทางกันเลยนะ
ทริปนี้บินด้วยสายการบิน Cathey Pacific ครับ เก้าอี้ขาจากกรุงเทพไปฮ่องกงดีมาก กว้างดี แต่ขาจากฮ่องกงไปญี่ปุ่นเอนได้น้อยไปหน่อย แถมดีเลย์อีกชั่วโมงหนึ่ง โดยรวมอาหารอร่อย และบริการดีมากครับ
การเดินทางสู่เมือง Kusatsu Onsen จังหวัดกุนมะ Gunma
- รถบัส Express Bus จาก Shinjuku วิ่งตรง 4 ชั่วโมง
- รถไฟจากสถานี Ueno สาย JR Limited Express “Kusatsu” 2 ชั่วโมง 30 นาที ลงสถานี Naganohara-Kusatsuguchi แล้วต่อรถบัสอีก 25 นาที
- รถไฟจากสถานี Tokyo สาย JR Hokuriku Shinkansen 1 ชั่วโมง 10 นาที ลงสถานี Karuizawa ต่อรถบัสอีกชั่วโมงกว่าๆ
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.visitgunma.jp/th/access/index.html
หรือสามารถซื้อ JR Tokyo Wide Pass 3 วัน ราคา 10,000 เยน : http://www.jreast.co.jp/e/tokyowidepass/
จะเห็นได้ว่าการเดินทางทั้งสามแบบค่อนข้างยุ่งยาก กว่าจะนั่งรถไฟเข้าโตเกียวจากสนามบินนาริตะอีกชั่วโมงกว่าๆ รอรถออกอีก ต้องมีไม่ต่ำกว่า 4-5 ชั่วโมงแน่นอน
เราจึงเลือกเดินทางด้วยการเช่ารถยนต์ ขับตรงจากสนามบินใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครับ ค่าเช่ารถรวมค่าทางด่วนอาจจะแพงกว่า แต่ผมว่าสะดวกกว่า เพราะหลายสถานที่ที่ตั้งใจจะไปทริปนี้รถไฟเข้าไม่ถึง หรือเดินทางยากมาก อีกทั้งไม่อยากแบกกระเป๋าขึ้นๆลงๆ การขับรถจึงอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวผมครับ
เราหลับมาบนเครื่องบิน ถึงสนามบินนาริตะ โตเกียวก็ประมาณเจ็ดโมงเช้า ไปรับรถที่จองไว้กันก่อน เราจองผ่านเว็บ http://www2.tocoo.jp/en แล้วเลือกของ Nippon Rent a Car มีเคาน์เตอร์รับที่ Terminal เลยครับ เจ้าหน้าที่พูดอังกฤษได้ บริการดีเยี่ยม เรารับรถที่สนามบินแล้วขับ 4 วัน คืนต่างสาขาที่ Shinjuku รวม GPS, Car Seat, Snow Tire อยู่ที่ 41,256 เยนครับ
อย่าลืมเตรียมใบขับขี่สากลไปด้วย ทำได้ที่กรมขนส่งใกล้บ้าน เตรียมเอกสารไปทำแปปเดียวครับ ค่าทำ 505 บาท
http://www.dlt.go.th/th/index.php?option=com_content&id=3658:2012-12-06-07-52-23&Itemid=88
- GPS ส่วนใหญ่มีให้เช่าหรือติดมากับตัวรถ พยายามเลือกแบบมีภาษาอังกฤษนะครับ ที่ญี่ปุ่นใช้ GPS ง่ายมาก แค่กรอกค้นหาด้วยเบอร์โทรศัพท์ถึงทุกที่ครับ สะดวกมากๆ ไม่ต้องกังวลเลย
** หากขับรถไปในฤดูหนาว ต้องมียางลุยหิมะนะครับ เช่าแบบ Snow Tire ด้วยครับ **
รถที่เราเช่าเป็นรถ Honda Jazz ที่ญี่ปุ่นชื่อรุ่นว่า Honda Fit ครับ จุกระเป๋าดี๊ดี ใบใหญ่ๆ 2 ใบก็เอาอยู่นะ
สำหรับคนที่เช่ารถขับระหว่างเมือง แนะนำให้เช่าบัตรทางด่วน ETC (คล้ายๆ Easy Pass บ้านเราครับ) จองง่ายๆผ่านเว็บ tocoo นั่นแหละ จะมีให้เลือกว่าจะรับด้วยมั้ย และรับที่ไหน ส่งไปโรงแรมหรือเลือกรับที่ไปรษณีย์ก็ได้ ผมเลือกรับที่ไปรษณีย์สนามบิน ใช้เสร็จก็ส่งคืนที่ตู้ไปรษณีย์ได้เลย เค้าให้ซองมาด้วยแล้ว สะดวกมากๆ
จากโตเกียวเราขับรถมุ่งหน้าสู่จังหวัด Gunma ทันที เราแวะทานอาหารกลางวันที่เมือง Takasaki ก่อน ทริปนี้ตั้งใจจะพาเด็กๆมากินที่ร้าน Kura Sushi ครับ ใครจะตามรอยเป๊ะๆ ค้นหาเบอร์โทรใน GPS เลย 0273302610 หรือ https://www.google.co.th/maps/place/Muten+Kura+Sushi+Takasaki/@36.337103,139.0252633,17z/data=!3m1!4b1!4m2!3m1!1s0x601e8d595e6b461b:0x8521eaf7ae1740dc
Kura Sushi ร้านซูชิสายพาน 100 เยน ขวัญใจนักท่องเที่ยวสายครอบครัว ร้านนี้ขายซูชิสายพานที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่น ที่นี่ขายราคาไม่แพง แค่จานละ 100 เยน (ประมาณ 30 บาท) คุณภาพปลาไม่เลวนะ ไม่ถึงกับเทพหรอก แต่ก็ถือว่าอร่อยคุ้มค่ามากหากเทียบกับราคา
แต่ไฮไลท์ที่สนุกมากๆ ก็คือ เมื่อเราใส่จานลงช่องเก็บทุกๆ 5 จาน
จะมีเกมส์ให้ได้ลุ้นรับของเล่นจากกล่องด้านบน มีทั้งได้และไม่ได้นะ
แต่ถ้าได้ก็จะมีไข่รางวัลไหลลงมาให้เด็กๆดีใจกัน งานนี้สนุกสนานกันไป ที่ดีมากๆ คือเด็กๆทานได้เยอะ เพราะจะพยายามสะสมจานให้ครบเพื่อจะได้เล่นเกมส์ พ่อแม่อย่างเราก็เลยชอบใจที่ลูกทานง่ายไปในตัว
ครอบครัวไหนมาเที่ยวญี่ปุ่น อย่าลืมแวะมาทานร้าน Kura Sushi นะครับ
ชมรีวิวที่เคยทำไว้ที่ http://www.2madames.com/kura-sushi-japanese-family-conveyor-belt-restaurant/
อิ่มกันแล้ว เรามาเที่ยวต่อที่วัดดารุมะจิ แห่งเซียวรินซัน
ตามธรรมเนียมของชาวญี่ปุ่น ก่อนเข้าวัดก็แวะล้างมือกันก่อนนะ
ที่นี่คือต้นกำเนิดตุ๊กตาญี่ปุ่นดารุมะที่เป็นที่คุ้นตาของทุกคน ตัววัดไม่ใหญ่มาก ใช้เวลาเดินแค่ 30 นาทีก็ทั่วละครับ
ตุ๊กตาดารุมะ เป็นตุ๊กตาไม้ ของญี่ปุ่น มีลักษณะกลมไม่มีแขนและขาคล้ายตุ๊กตาล้มลุก โดยหน้าตาจะคล้ายคลึงกับพระโพธิธรรม (ซึ่งชื่อว่า ดะรุมะ ในภาษาญี่ปุ่น) มีหมวดและเครา โดยส่วนมากตุ๊กตาดะรุมะจะมีสีแดง แต่อาจจะมีสีอื่นบ้าง เช่น สีเหลือง สีเขียว หรือสีขาว ตรงบริเวณคางจะมีการเขียนคำขอพรไว้ สมัยเอโดะส่วนใบหน้าผม ของตุ๊กตาดารุมะมีลักษณะความหมายดั่งนี้ เคราคล้ายต้นสน รอบดวงหน้าคือไม้ไผ่และจมูกคือต้นพลัม ต้นไม้ทั้งหมดเป็นไม้มงคลสำหรับการดำรงชีวิตที่ดีและยืนยาว สมัยปัจจุบันก็มีการเปรียบเทียบใบหน้าดังนี้คือ ขนคิ้วเป็นนกกระเรียน และมีหนวดเคราเป็นเต่า มีความหมายที่แสดงถึงชีวิตที่ยืนยาวด้วยเช่นกัน ส่วนตัวอักษรที่เขียนนั้นก็แล้วแต่ว่าเราอยากจะเขียนอักษรที่มีความหมายดี ๆ ลงไป ส่วนใหญ่ก็มักจะเกี่ยวกับความเจริญก้าวหน้าต่าง ๆ
เราขับรถต่อมายังจุดหมายของวันนี้กับเมือง Kusatsu Onsen กัน
คุสะทสึ ออนเซ็น เป็นแหล่งออนเซ็นที่ถูกนิยมกันอย่างมากมาย ซึ่งเป็นหนึ่งในสามออนเซ็นชื่อดังของญี่ปุ่น ที่นี่มีลักษณะเฉพาะ เช่น “จิคันยุ (วิธีการแช่น้ำออนเซ็นด้วยการกำหนดเวลา)” และ “ยุโมมิ (การคนน้ำออนเซ็นด้วยไม้แผ่นขนาดยาวเพื่อลดอุณหภูมิของน้ำออนเซ็น) ซึ่งเป็นวิธีการแช่น้ำที่เป็นเอกลักษณ์สืบทอดมาตั้งแต่สมัยเอโดะ
นอกจากนั้นเสน่ห์ของที่นี่ยังมีที่คุณภาพที่ดีของน้ำอนเซ็นและบรรยากาศอันวิเศษของแหล่งออนเซ็นสไตล์ญี่ปุ่น ที่มี “ยุบาทาเคะ (จุดชมน้ำอนเซ็นพุขึ้นมาและไหลลง)” กลางแหล่งออนเซ็น ที่นี่มีปริมาณน้ำออนเซ็นพุขึ้นมาเองมากที่สุดในญี่ปุ่น และได้เลือกเป็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น 12 ปีติดต่อกัน ในการเลือก “100 ออนเซ็นของญี่ปุ่น”
มีที่แช่เท้าฟรีอยู่ด้วยนะ
เดินอยู่พักใหญ่ หิมะก็ตกลงมาครับ
พาเด็กๆไปเล่นหิมะดีกว่า
รอบๆน้ำพุร้อน จะมีร้านค้า ร้านขนมน่ารักๆ และร้านอาหาร เพียบเลยครับ
มื้อเย็นฝากท้องไว้กับร้านนี้ละกัน
มาถึง Gunma ต้องชิมเนื้อที่ดีที่สุดของ Gunma กับ เนื้อ Joshu Wa Beef
แว่บแรกที่สบตา เนื้อลายสวยมาก มาวางบนกระทะร้อน สุกพอดีๆ พอได้ชิมเท่านั้นแหละ เนื้อนิ่มมาก ละลายในปาก จากความรู้สึกผมนะ ผมว่าไม่แพ้เนื้อ Kobe หรือ Matsusaka เลยนะ
ชุดนี้ 3,480 เยนครับ
ส่วนของเด็กๆ เลือกจากหน้าตาจานเป็นหลัก เห็นเป็น Pokemon ก็สั่งกันเลย จานนี้ 780 เยน
กินข้าวเสร็จเดินออกมามืดซะแล้วครับ
คืนนี้เราพักกันที่เมือง Kusatsu Onsen นั่นแหละครับ ที่พักชื่อว่า Kikusuisou Annex เป็นห้องแบบญี่ปุ่นครับ ห้องน้ำรวมนะ สามารถเดินจากที่พักไปบริเวณน้ำพุร้อนประมาณ 10 นาที โดยรวมสะอาดดีครับ มีออนเซ็นให้แช่ด้วย ราคาอยู่ที่ 18,750 เยนครับ
ค่ำคืนผ่านไป อาจจะเหนื่อยจากการเดินทางที่ต้องหลับบนเครื่องบิน ตอนแรกตั้งใจจะตื่นเช้าแล้วเที่ยวต่อ กลับนอนตื่นสายกันทั้งบ้านครับ กว่าจะได้ออกจากที่พักปาไปสิบโมงเช้าเลย
วันนี้เรามีโปรแกรมขับรถไปชมลิงหิมะแช่ออนเซ็น Jigokudani Monkey Park กัน
ระหว่างทางมองไปเจอร้านคาเฟ่อันปังแมน (Cafe レストラン ガスト)พอดี
พิกัด GPS : ใส่เบอร์โทร 0269241429 หรือ https://www.google.co.th/maps/place/Gust+Shinshunakano/@36.7545846,138.3581957,17.08z/data=!4m5!1m2!2m1!1zQ2FmZSDjg6zjgrnjg4jjg6njg7Mg44Ks44K544OIIG5hZ2Fubw!3m1!1s0x0000000000000000:0xaf31c513cb938195
เมนูอาหารอันปังแมนเพียบเลย
น้องกายสั่งชุดไก่คาราเกะกับอุด้งครับ
ส่วนน้องเกรซอยากกินแพนเค้กจัดไป ใช้ช็อกโกแลตวาดการ์ตูนสนุกเลย
อิ่มแล้วเดินทางกันต่อมายังที่ Jigokudani Monkey Park ที่จริงหากคนไม่มีรถ ถ้ามาจาก Kusatsu จะลำบากมากครับ เพราะต้องนั่งรถไฟมาที่ Nagano ก่อน ซึ่งไกลมากๆ ใครไม่มีรถ แนะนำให้ตัด Jigokudani Monkey Park ทิ้งไปเลยนะครับ
แต่ถ้ามีรถก็สามารถขับรถมาจาก Kusatsu ประมาณ 1 ชั่วโมงครับ
พอจอดรถแล้ว จากที่จอดรถเราต้องเดินประมาณ 300 เมตร แล้วจะเจอทางเข้า Jigokudani Monkey Park ซึ่งจากจุดนี้ต้องเดินผ่านทางแคบๆไปอีก 1.6 กิโล ที่จริงก็ไม่ได้ลำบากอะไรนัก แต่ช่วงที่ผมไปหิมะมันละลายใส่ดิน เป็นโคลนลื่นๆ เดินลำบากเสียหน่อย ใครมากับเด็กเล็กต้องระมัดระวังทางแคบและลื่นไว้หน่อยนะครับ
เดินไปพักไป กว่าจะถึงใช้เวลาเดินครึ่งชั่วโมงได้เลยนะ
ในที่สุดก็ได้เจอแล้ว ลิงหิมะตัวเป็นๆเลย
ลิงหิมะพวกนี้ขนจะฟูๆกว่าลิงเมืองไทยนะ
โชคไม่ดีเท่าไหร่ที่วันที่ไปหิมะหยุดตกแล้ว อุณหภูมิเลยไม่หนาวเท่าที่ควร ลิงหิมะเลยลงไปแช่ให้ดูแค่สองตัว ที่เหลือก็นั่งเล่นอยู่ขอบสระบ้าง ดื่มน้ำกระโดดไปกระโดดมาบ้าง
เราสามารถเดินลัดเลาะไปตามแม่น้ำ แล้วก็ไปชมลิงหิมะได้อย่างใกล้ชิดด้วยครับ
เห็นป้ายโฆษณามีกระท่อมหิมะที่ Liyama เมืองใกล้ๆกันด้วย น่าเสียดายที่เวลาไม่พอ ไว้คราวหน้าละกัน
ก่อนกลับขอเล่นหิมะข้างทางก่อนละกัน เด็กๆสนุกกันใหญ่ มีความสุขจังเลย
เที่ยวเสร็จเราก็มุ่งหน้ากลับ Gunma กัน เราจองที่พักแถวๆเมือง Minakami ไว้ พอไปถึงก็ค่ำแล้ว ห้องอาหารที่โรงแรมที่จองไว้ก็ปิดแล้ว เจ้าของที่พักจึงแนะนำร้านอาหารญี่ปุ่นท้องถิ่นให้ ร้านชื่ออะไรก็ไม่รู้นะ เป็นภาษาญี่ปุ่นอ่านไม่ออก แต่พิกัดตามนี้จ้า https://www.google.com/maps?cid=17645257891202205924&hl=en&gl=gb&shorturl=1 หรือ GPS เบอร์โทร 0278723667
ร้านนี้มีคุณลุงเป็นพนักงานคนเดียวในร้านครับ ทำหน้าที่ทั้งต้อนรับ เสิร์ฟอาหาร และทำอาหารด้วย ทีเด็ดคือแม้จะสื่อสารกันคนละภาษา แต่การดูแลลูกค้าของคุณลุงนี่สุดยอดครับ บางครั้งก็ยกไข่หวานแถมมาให้ แถมข้าวห่อสาหร่ายหรือขนมช็อกโกแลตมาให้เด็กๆทานกันฟรีเลย เรียกว่าประทับใจสุดๆ
วาซาบิทำเองสดๆเลยนะ
รสชาติปลาดิบยอดเยี่ยม ให้เยอะ ชิ้นใหญ่ ราคาไม่แพงด้วย เรียกว่าถูกเลยหละ
ไก่คาราเกะ ไก่ชิ้นใหญ่และเยอะมาก คู่กับสลัดผักให้เยอะอีกเช่นเคย
คุณลุงเชียร์ให้ทานพุงหมู ผมเลยสั่งมาลอง จานนี้ผมว่าสู้หมูฮองของไทยไม่ได้ครับ จานนี้เฉยๆนะ แต่โดยรวมถือเป็นร้านที่ชอบและประทับใจมากๆ ใครผ่านมา Minakami แนะนำเลยครับ
คืนนี้นอนที่ Tenjin Lodge ที่พักเจ้าของเป็น Mr.Kirin ชาวออสเตรเลีย มาแต่งงานกับสาวเกาหลี แต่ดันมาเป็นเจ้าของโรงแรมอยู่ญี่ปุ่น พูดภาษาอังกฤษกันสบายเลย บริการดีมาก ห้องเราเป็นแบบ Triple นอนกันทั้งครอบครัวสบายๆเลย ห้องพักสะอาดดีครับ
มีห้องน้ำในตัวด้วย แต่น้ำร้อนทำงานไม่ดีนะ ใช้ขับถ่ายโอเค แต่ถ้าจะอาบน้ำอุ่นๆ ลงไปอาบด้านล่างดีกว่าครับ
ที่อาบน้ำรวม มีบ่อน้ำร้อนออนเซ็นด้วย
เนื่องจากคืนนี้เราเป็นแขกกลุ่มเดียวของโรงแรม เราเลยเข้าไปอาบน้ำและแช่น้ำด้วยกันซะเลย เหมาๆ อิอิ (ปกติถ้ามีแขกคนอื่นด้วย ต้องแยกชายหญิงนะ)
รุ่งเช้า ข้างๆที่พัก Tenjin Lodge มีสไลด์เดอร์หิมะให้เล่นฟรีด้วย สนุกสนานกันใหญ่เลย
ที่ Tenjin Lodge เค้าเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่ง ชื่อเจ้าลักกี้ เป็นหมาอารมณ์ดีมาก นิสัยดี มาเล่นด้วยกับครอบครัวเรา
มาชมคลิปเล่นหิมะกันดีกว่า
เช้านี้พาครอบครัวมาที่ฟาร์มสตอเบอร์รี่ชื่อดัง Dole Land แห่งเมือง Minakami จังหวัด Gunma
ค่าเก็บสตอเบอร์รี่ ผู้ใหญ่ 1,500 เยน เด็ก 1,300 เยน เด็กไม่เกิน 3 ขวบ 750 เยน
การได้เก็บสตอเบอร์รี่จากต้น แล้วชิมกันแบบสดๆ ให้ปากของเรารับรสชาติหวานหอมและสดอร่อย มันช่างเป็นอะไรที่สุดยอด ถูกใจทั้งเด็กๆและผู้ใหญ่มากๆ
แต่ทีเด็ดก็คือ ที่นี่เค้ามีนมข้นหวานให้บริการแขกที่มาเยือนฟรี สตอเบอร์รี่จุ่มนมข้นหวานมันช่างอร่อยเหลือเกิน สุโก่ยมากจ้า
น้องเกรซชอบที่นี่มาก
ทุกคนต่างช่วยกันเก็บสตอเบอรี่กันอย่างเพลิดเพลิน
เก็บสตอเบอรี่สดๆถือเป็นอีกกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดนะครับ ที่จริงแถวนี้สามารถเที่ยวหมู่บ้าน Takumi no Sato ไม่ไกลกันนัก แต่พวกเราจองเรียวกัง Takaragawa Onsen ราคาแพงไว้ กลัวใช้ไม่คุ้มเลยรีบไปเรียวกังก่อน พรุ่งนี้ค่อยกลับมาเที่ยวหมู่บ้าน Takumi no Sato อีกที
วันนี้เราเข้าที่พักกันเร็วหน่อย เพราะว่าจ่ายค่าที่พักไปแพงมาก กับ Takaragawa Onsen เรียวกังชื่อดังที่มีบ่อแช่ออนเซ็น Outdoor ที่สวยงามติดอันดับต้นๆของญี่ปุ่น
มันถึงเค้าก็จะให้เลือกชุดยูกาตะก่อนเลย มีแบ่งไซส์และส่วนสูงให้แล้ว เลือกลายเลือกสีตามชอบใจได้เลย
ห้องนี้กว้างขวางดี เป็นห้องแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม กลางวันเป็นห้องนั่งเล่น ส่วนกลางคืนก็จะปูเป็นที่นอน
วิวห้องมองไปเห็นวิวแม่น้ำอย่างสวยเลย
เปลี่ยนชุดยูกาตะกันก่อน
น่ารักมั้ย
และก็มาถึงไฮไลท์ของที่ Takaragawa Onsen กับการแช่ออนเซ็นท่ามกลางหิมะ
แต่บ่อก็ไม่ใกล้เท่าไหร่นะ ต้องเดินข้ามสะพานฝ่าหิมะไปก่อนนะ หนาวๆๆๆ
ที่จริงช่วงที่มีคน ตามมารยาทเราไม่ควรถ่ายภาพนะครับ ภาพเหล่านี้เป็นภาพที่บัทึกจากช่วงเช้าตรู่ของอีกวัน ไม่มีคนเลย ผมเลยเก็บภาพมาฝากได้ เพื่อให้เกียรติแขกคนอื่นๆ การเก็บภาพจึงจะไม่มีภาพคนอื่นนอกจากครอบครัวเรานะครับ
หิมะตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
บ่อจะมีทั้งหมด 4 บ่อนะ แบบบ่อแช่รวม 3 บ่อ ชื่อ Maka Bath, Hannya bath, Kodakara bath และบ่อหญิงล้วน ชื่อ Maya bath
บรรยากาศงดงามมากๆ
สำหรับสาวๆที่จะแช่บ่อรวมไม่ต้องกังวลนะ เค้ามีชุดให้ใส่กันโป๊ แต่ผู้ชายนี่เปลือยนะครับ มีแค่ผ้าผืนเล็กๆให้เท่านั้น
แช่น้ำร้อนออนเซ็นท่ามกลางหิมะ… ที่ Takaragawa Onsen
ในชีวิตเคยแช่ออนเซ็นมาหลายที่ แต่ไม่เคยแช่ออนเซ็นกลางหิมะเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ขอบอกเลยว่าเป็นประสบการณ์สุดแสนพิเศษจริงๆ
ถามว่าหนาวมั้ย ตอบเลยว่านาทีก่อนจะลงบ่อน้ำร้อนหนาวมาก เพราะอุณหภูมิติดลบ มีลม แถมหิมะตกหนักอีกต่างหาก แต่พอได้ลงแช่ในบ่อน้ำร้อนแล้ว คือ มันสบายมาก ไม่หนาวเลย แถมบรรยากาศจากตรงบ่อจะมองเห็นธารน้ำและสะพานสวยๆที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ แช่น้ำร้อนไป มองหิมะตกไป สวรรค์บนดินชัดๆ
แช่เสร็จแล้วจ้า สบายตัวกันไป
ที่นี่เค้าเลี้ยงหมีไว้ด้วยนะ แวะไปชมที่กรงได้เลย
ตกเย็นก็มีอาหารเย็นสุดอลังการมาเสิร์ฟให้ทานถึงห้อง เซทอาหารเป็นไคเซกิ เมนูแต่ละอย่าง Healthy ดูสุขภาพดีมาก
มีซุปเนื้อหมีด้วยนะ ผมชิมดูแล้วไม่ได้ถึงกับอร่อย หรือแย่นะ แต่ในครั้งหนึ่งในชีวิตก็ขอชิมนิดหนึ่งเนอะ
ทานอาหารเย็นเสร็จก็จะมีเจ้าหน้าที่มาปูที่นอนให้เราเรียบร้อยเลย
ตื่นเช้ามาทานอาหารเช้ากันต่อ มื้อนี้มาทานที่ห้องอาหารนะ
ได้เวลา Check Out กันแล้วหละ เมื่อคืนหิมะตกทั้งคืน ถนนเลยขาวโพลนไปด้วยหิมะ ดีนะว่ายางรถเช่าเราเป็น Snow Tire เลยไม่ลื่น แต่ก็ไม่ประมาทนะ ขับช้าๆค่อยๆไป ไม่รีบๆ
วันนี้เราย้อนมาเที่ยวกันที่หมู่บ้าน Takumi No Sato ใกล้ๆ Dole Land อีกครั้ง หลังจากเมื่อวานเที่ยวไม่ทัน
หมู่บ้าน Takumi no Sato ที่เมือง Minakami หมู่บ้านเล็กๆนี้ได้ถูกการอนุรักษ์เรื่องการทำงานฝีมือแบบดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นไว้ เราสามารถมาชมศิลปะและหัตถกรรมของคนที่นี่
บ้านต่างๆเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยสาธิตวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป อุปสรรคสำคัญคือ คนที่นี่พูดอังกฤษไม่ได้ครับ เราจึงใช้ภาษามือภาษาใบ้สื่อสารกันเท่านั้น ถือว่าเที่ยวลำบากพอสมควรเลย
บ้านนี้ทำโมบายสวยๆเพียบเลย เยี่ยมชมกันได้ฟรีๆครับ
เราแวะเข้าไปชิมขนมแปลกๆ อย่างกันนี้เป็นขนม Kushi Baum ผมเรียกมันว่าขนมท่อนไม้ครับ เพราะมันมีชั้นๆเหมือนเส้นรอบวงต้นไม้ เนื้อนิ่มอร่อยดีครับ
ได้ชิมขนม Nama Dora แบบดั้งเดิมครับ คล้ายๆ Dorayaki ครับแต่มันเย็นนะ ผมว่าเฉยๆอ่ะ
ยังมีกิจกรรมสนุกๆอย่างการทำเส้นโซบะด้วยตัวเองด้วย
เส้นโซบะที่พวกเราทำ จะเริ่มตั้งแต่การผสมแป้ง นวดแป้ง รีดแป้ง จนไปถึงตัดเส้น
แล้วนำไปปรุงอาหารเป็นโซบะเย็น เสิร์ฟคู่กับเทมปุระให้ทานกันจริงๆด้วย
งานนี้ครอบครัวเราไปร่วมทำเส้นโซบะมาแล้ว บอกเลยว่าทั้งสนุกและได้ความรู้ ทั้งยังได้เข้าถึงสัมผัสวิถีชีวิตวัฒนธรรมการทำอาหารของคนที่นี่ด้วย แถมยังมีดีตรงทำให้เด็กๆรู้จักคุณค่าของอาหาร กว่าจะทำกว่าจะปรุงมันไม่ง่ายๆเลย และพอรู้ว่าเป็นฝีมือตัวเองก็ภูมิใจและทานได้เยอะกว่าปกติด้วย พ่อแม่อย่างเราๆก็ย่อมชอบใจเป็นธรรมดาครับ
ค่าเข้าร่วมทำโซบะ 2,000 เยนต่อสองคน ได้เส้นมาทานด้วย หากเพิ่มเทมปุระเพิ่มอีก 320 เยน
เที่ยวเสร็จเราก็มุ่งหน้ากลับโตเกียวครับ โดยเราจะอยู่ตะเวนกิน ตะเวนช้อปปิ้งอยู่แถวๆย่าน Shinjuku กันทั้งหมด 2 วันก่อนเดินทางกลับ
เมื่อเย็นเราทานหมูทอดกุ้งทอดหอยทอดกัน ร้านเป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่บนชั้น 12 Odakyu สถานีรถไฟ Shinjuku ครับ ชุดใหญ่มาก ราคา 3,640 เยน อิ่มทั้งครอบครัวเลย
เราพักกันที่โรงแรม Hotel Gracery Shinjuku ห้องพักสวย ใหม่และสะอาดมาก ทำเลดีมากอยู่กลางดงของกินของ Shinjuku เลย (รวมทั้งแหล่งโลกีย์ด้วยนะ)
ห้องอาบน้ำแบบญี่ปุ่นแท้ๆ มีเคาน์เตอร์นั่งอาบน้ำ และอ่างแช่ตัว
อ่างล้างหน้าและห้องขับถ่าย
วิวจากห้องพักสวยมาก
ชั้นล็อบบี้มี Godzilla ด้วย
โรงแรม Hotel Gracery Shinjuku นี้ดีงามสุดๆตรงที่อยู่รายล้อมด้วยร้านช็อปปิ้งชื่อดังมากมาย อย่างร้าน Don Quijote มีถึง 2 สาขา ในระยะเดินถึงแค่ 300 เมตร และ 650 เมตรเท่านั้น ร้านนี้มีดีที่ของเยอะ หลากหลายประเภททั้งเครื่องสำอาง ของใช้ เครื่องเขียน กระเป๋าเดินทางยังขาย ของเล่นเด็กก็มี ขนมถูกใจเด็กๆเยอะมาก แถมร้านใหญ่โตมากขนาดเดินซื้อสาขานี้ที่เป็นสาขาเล็ก ยังเหมาหัวมุมตึกทำเลดีและสินค้าละลานตาเหมาพื้นที่ถึง 4-5 ชั้นทีเดียว แต่ข้อเสียก็มีตรงที่ร้านนี้ลูกค้าเยอะ คนแน่น จัดวางสินค้าไม่ค่อยเป็นระเบียบเลย และไม่มีขายยา ส่วนข้อดีร้านนี้ตรงที่มีสินค้าจัดเซ็ตเยอะ บางทีจัดแพ็คซื้อคู่ก็ถูกลงไปอีกหลายตังค์อยู่จ้า ที่ร้านนี้คุณนายเธอได้ครีมกันแดดราคาดีทีเดียว แถมมีแคชเชียร์คนไทยคอยให้บริการด้วย
มาต่อร้านที่สอง Daikoku Drug ชื่อนี้อาจไม่คุ้นหูเพื่อนๆสักเท่าไหร่ แต่เท่าที่คุณนายแอนเธอเดินสำรวจ เธอบอกว่าสินค้าร้านนี้มีจัดลดราคาถูกกว่าร้านอื่นหลายอย่างมาก ขายยาตัวเด็ดๆที่ต้องการเพียบราคาถูกกว่าร้านอื่น และได้ Shiseido Foam Whip ราคาถูกสุดที่ร้านนี้ แต่จำกัดการซื้อคนละ 10 หลอดด้วย เพราะคนไทยซื้อกันเยอะมาก ที่สำคัญเพื่อนๆอย่าลืมนะครับว่า ซื้อสินค้าครบ 10,000 เยน จะไม่ต้องเสีย tax 8% ตอนซื้อแค่ยื่น Passport แล้วบอกว่า Tax Free พนักงานก็จะทำรายการให้เสร็จแล้วให้เราเซ็นชื่อ พร้อมติดใบเสร็จไว้ในพาสปอตเรา โดยห้ามดึงออกเด็ดขาด ส่วนสินค้าก็จะแพ็คปิดมิดชิดตามรูปเลยจ้า ห้ามแกะถุงสินค้ามาใช้ระหว่างอยู่ในญี่ปุ่นเด็ดขาด ทีนี้พวกบิลช็อปปิ้งต่างๆที่ติดในเล่มพาสปอตไว้ ก่อนผ่านตม. (immigration) จะมีเคาน์เตอร์เจ้าหน้าที่คอยให้บริการดึงบิลทั้งหมดออกเก็บไว้ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
นอกจากร้านช็อปปิ้งชื่อดังที่เล่าให้ฟังแล้ว ยังมีตึก PePe ที่แนะนำให้ไปเดินเล่น มีร้านที่น่าสนใจเพียบเลย อย่างร้าน ABC Mart ที่รวบรวมรองเท้าแบรนด์ดังมากมาย หรือจะเป็นร้าน Can Do เป็นร้าน 100 เยนร้านใหญ่เหมาบริเวณทั้งชั้นเลย
ร้าน GU ที่เป็นเสื้อผ้าราคาประหยัดแบรนด์น้องๆของ Uniqlo ก็มีที่ตึก PePe ด้วย
เสื้อกันหนาวตัวละ 390 เยน (130 บาทไทย) โอ้ว ถูกมาก
ใครสนใจว่าแอนช็อปปิ้งอะไรมาบ้าง และมีอะไรที่น่าช็อปปิ้งบ้าง ชมคลิปครับ
ช็อปปิ้งกันเหนื่อยมาก ขอแวะมาจัดหนักที่ซูชิบุฟเฟ่ต์ร้านดังร้านฮิตที่ของคนไทยชอบมาทานกันก่อน
ราคาผู้ใหญ่ผู้ชาย 3,980 เยน ราคาสุทธิประมาณ 4,300 เยน
ราคาผู้ใหญ่ผู้หญิง 3,480 เยน
ราคาเด็ก 2,000 เยน
ราคาขนาดนี้คุณนายและเด็กๆประเมินตัวเองว่าทานไม่คุ้มแน่ๆ เลยแยกโต๊ะไปนั่งสั่งแบบอลาคาร์ททานกันสบายใจกว่า ซึ่งก็ถูกต้องของเค้า เพราะสามคนแม่ลูกจ่ายกันไปแค่ 2,896 เยนเท่านั้น
สั่งได้ตามชอบใจ ได้คราวละไม่เกิน 6 แบบ แต่สั่งได้เรื่อยๆไม่อั้น ในเวลา 2 ชั่วโมง
พวกหอย ไข่ปลาต่างๆ โอเคเลย คุ้มๆ
คุณภาพปลาโอเคทั้งหมด แต่แอบผิดหวังกับแซลมอนนะ ลายไม่สวยเท่าไหร่ รสชาติสู้ร้านอื่นๆที่เคยทานไม่ได้
พักอิ่ม เดินย่อยพักใหญ่ เย็นๆแวะมากินราเมงข้อสอบ Ichiran Ramen กัน
ทำไมต้องถึงเรียกว่าข้อสอบ เนื่องมาจากโต๊ะนั่งทานจะเป็นคอกๆเหมือนตอนเราเรียน เพราะเค้าต้องการให้แขกที่มาทาน Focus กับรสชาติราเมงของเค้า และอีกเหตุผลคือเรื่องความเป็นส่วนตัวของแขกที่มาทานครับ
ส่วนราเมงอร่อยมากเลยอ่ะ เส้นเหนียวนุ่ม น้ำซุปเข้มข้น หมูนิ่มมากๆ แถมเลือกแบบเผ็ดได้ด้วย ถูกปากอย่างยิ่งจ้า
ค่ำๆเราไปตามหาขนมไดฟูกึไส้สตเบอรี่ในตำนานกันที่ชั้นใต้ดิน ห้าง Iseitan กัน ผมว่าอร่อยมากเลยอ่ะ แต่แอบแพงไปนิดๆ ชิ้นละ 324 เยน
พิกัดตามนี้นะ
ดึกๆยังคงกินอย่างต่อเนื่องกับทาโกะยากิร้าน Gindaco ร้านนี้ชอบกินมาก อยู่เมืองไทยก็กิน ตามมากินถึงญี่ปุ่นด้วย
ได้เวลากลับบ้านแล้ว เราเลือกนั่ง Friendly Airport Limousine 75 นาทีไปลงสนามบินนาริตะเลย ผู้ใหญ่ 3,100 เยน เด็กไม่เสียแต่ต้องนั่งตัก ยอมจ่ายแพงกว่านั่งรถไฟครับ เพราะกระเป๋าเดินทางเราใหญ่ ของเยอะ มีเด็กด้วย จ่ายเงินซื้อความสะดวกสบายนิดหนึ่ง
และก็จบทริปเที่ยวกุนมะด้วยตัวเองไปอย่างสมบูรณ์ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์แก่คนที่กำลังหาข้อมูลการเดินทางนะ มีคำถามอะไรก็สอบถามมาได้เลยจ้า วันนี้ลากันไปก่อนแล้ว #รักใครให้พาไปเที่ยว
ปล.หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share
หรืออยากใกล้ชิดกันมากขึ้น แอด Line มาได้เลย มีรีวิวใหม่จะส่งไปบอก อยากคุยกับแอดมิน Line มาคุยเลยจ้า ID : @2Madames กดตรงนี้ก็ได้
หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป