เมื่อเดือน พ.ค. 56 ที่ผ่านมา ครอบครัวสุขสันต์ได้รับเชิญจากสายการบินไทยแอร์เอเชียให้การสนับสนุนในการออกเดินทางไป ชม ชิม ชิลด์ ช้อป ที่เมือง Kolkata ประเทศอินเดีย
ทริปนี้ถือเป็นทริปต่างประเทศแรกของปีของครอบครัว ซึ่งประเทศอินเดียก็ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่เดินทางยากลำบากทั้งเรื่องอาหารการกิน วัฒนธรรมที่ต่างกัน การเดินทางแบบครอบครัวที่มีเด็กเล็กๆเดินทางไปด้วยเลยยิ่งต้องเตรียมตัวให้มากยิ่งขึ้น
ตลอด 4 วัน 3 คืนที่อินเดีย การเดินทางครั้งนี้ได้ครบทุกรสชาติทั้งสนุกสนาน ทั้งโดนโกง ทั้งโดนรุม แต่ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ๆที่ไม่เคยได้รับจากที่ไหน จะสนุกสนานหรือยากลำบากแค่ไหน ติดตามชมกันเลยเนอะ
ปล.ติดตามรีวิวที่พัก ท่องเที่ยว และบันทึกการเดินทางแบบครอบครัวสุขสันต์ ได้ที่ http://www.facebook.com/2Madames ฝากกด Like ติดตามกันด้วยนะครับ
มารู้จักเมือง Kolkata กันก่อนนะครับ
โกลกาตา (Kolkata) หรือชื่อเดิม กัลกัตตา (Calcutta) เป็นเมืองหลวงของรัฐเบงกอลตะวันตก ประเทศอินเดีย ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำฮูคลี ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เมืองนี้มีจำนวนประชากร 4,580,544 คน (พ.ศ. 2544) ซึ่งหากนับรวมในเขตเมืองรอบนอกด้วยก็จะมีจำนวนมากกว่า 14 ล้านคน ทำให้เมืองนี้เป็นกลุ่มเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 3 และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศ
โกลกาตาเคยเป็นเมืองหลวงของอินเดียในสมัยการปกครองของอังกฤษ จึงทำให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการศึกษาสมัยใหม่ วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และการเมือง (จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2454 ได้มีการย้ายเมืองหลวงไปนิวเดลี) อย่างไรก็ตาม โกลกาตาประสบกับภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจเป็นเวลานานติดต่อกันหลายปีหลังจากอินเดียได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2490 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา การฟื้นฟูและการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ได้นำไปสู่ความเจริญเติบโตของเมืองอย่างเต็มที่ แต่ก็เช่นเดียวกับเมืองใหญ่แห่งอื่น ๆ ในอินเดีย โกลกาตาต้องเผชิญกับปัญหาเมืองต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความยากจน ปัญหามลภาวะ ปัญหาการจราจรติดขัด เป็นต้น นอกจากนี้ โกลกาตายังมีชื่อเสียงด้านประวัติศาสตร์การปฏิวัติ ตั้งแต่การเรียกร้องเอกราชของอินเดีย ไปจนถึงขบวนการฝ่ายซ้ายและสหภาพการค้าต่าง ๆ อีกด้วย
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B2
การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง
1.วีซ่า : ต้องยื่นผ่านตัวแทน VFS อโศก สุขุมวิท 21 ค่าวีซ่า 1,700 บาท ค่าธรรมเนียมกงศุล 70 บาท ค่าบริการ VFS 15 บาท EMS 245 บาท SMS 60 บาท รวมเป็นเงิน 2,090 บาท ข้อมูล update 8 ก.ค. 56 ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.ivac-th.com/
2.ตั๋วเครื่องบิน : ช่วงที่ผมเดินทางสายการบินแอร์เอเชียจะมีบินตรงจากดอนเมืองไปโกลกาตาทุกวัน ออกประมาณสายๆถึงประมาณเที่ยงๆ และกลับช่วงบ่ายถึงบ่ายแก่ที่ดอนเมืองครับ แต่หลังจากวันที่ 15 ก.ค. 56 เป็นต้นไป จะบินตรงโดยออกจากดอนเมืองเที่ยงคืน ถึงโกลกาตา ตี 1.15น. และขากลับตี 1.45น. ถึงดอนเมืองตี 5.55น. http://www.airasia.com/my/en/press-releases/airasia-daily-red-eye-flights-from-kolkata-to-bangkok.page
3.อากาศ : ฤดูร้อน ก.พ..-มิ.ย. อากาศร้อนใกล้เคียงประเทศไทย ฤดูฝน ก.ค.-ต.ค. ฝนตกชุกหนาแน่น ฤดูหนาว พ.ย.-ม.ค. อากาศเย็น 13-25 องศา
4.อาหาร : ก่อนเดินทางแนะนำให้ลองเข้าไปทานร้านอาหารอินเดียในประเทศไทยก่อน จะได้รู้ว่าตัวเองทานได้มั้ย ข้อมูลเพิ่มเติมhttp://www.wonderfulpackage.com/guru-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81-20-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3.html
5.การแต่งตัว : หากมีเดินทางไปท่องเที่ยวสถานที่สำคัญทางศาสนา ควรแต่งตัวสุภาพ สุภาพสตรีไม่ควรใส่กางเกงขาสั้นนะครับ
6.เวลาที่ Kolkata : ห่างจากกรุงเทพ ช้ากว่า 1 ชั่วโมง 30 นาที
7.เงิน : 1 รูปี = 12 รูเดือน เอ้ยไม่ใช่ ล้อเล่นนะครับ 1 รูปี = 0.52 บาท (พ.ค. 56) คิดราคาง่ายๆคือ 1 บาทไทยแลกได้ประมาณ 2 รูปี ดังนั้นเวลาเจอราคาที่อินเดียก็จับหารสองเลยครับ และเมื่อเงินเราใหญ่กว่า เวลาเราไปซื้อของที่นั่นจะรู้สึกว่าถูกแบบยั้งใจไม่อยู่เลยครับ
8.ภาษา ชาวอินเดียส่วนใหญ่พูดภาษาพูดภาษาเบงกอลี ฮินดี และส่วนน้อยที่จะพูดอังกฤษ แท็กซี่ส่วนใหญ่พูดอังกฤษไม่ได้ จะพูดได้ก็พวกตามสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น
เมื่อเตรียมตัวกันพร้อมแล้ว ก็ถึงวันเดินทางครอบครัวสุขสันต์มาเช็คอินที่เคาน์เตอร์ของสายการบินไทยแอร์เอเชียที่ท่าอากาศยานดอนเมือง
โหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องกันก่อนนะ อาตี๋กายจะไปพร้อมกระเป๋าซะงั้น ^^
ทริปนี้นอกจากภรรยาและลูกๆแล้ว ก็ยังพาอาม่าคุณแม่ของผมไปด้วยครับ
บรรยากาศในเครื่องบินเด็กๆตื่นเต้นและคึกคักมากๆ
อาตี๋น้อยเพิ่งขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศครั้งแรก อารมณ์ดีจริงๆ
Uncle chin chicken rice จองล่วงหน้าได้ส่วนลดด้วยนะครับ
ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็มาถึงสนามบินนานาชาติที่ Kolkata
สิ่งแรกที่ทำคือไปหาบูทเพื่อเช่าแท็กซี่ ที่จริงมีทั้งที่มีแอร์และไม่มีแอร์
เนื่องจากผมมีเด็กเล็กมาด้วย เลยใช้บริการแท็กซี่แบบมีแอร์ โดยจะมีอัตราค่าโดยสารแพงกว่าแบบไม่มีแอร์พอสมควร
ดูอัตราค่าโดยสารที่
http://www.taxiautofare.com/taxi-fare-card/Kolkata-Mega-Cabs-fare
เนื่องจากมีสมาชิกหลายคน แท็กซี่คันเดียวนั่งกันไม่พอ เลยต้องแยกกันนั่งสองคัน และให้ขับตามกันไป
ทันทีที่เดินออกจากสนามบิน ขณะที่แท๊กซี่กำลังขับผ่านไปยังท้องถนนของชานเมืองกัลกาต้า น้องเกรซหันไปเจอฝูงวัวฝูงใหญ่ วัวบางตัวก็เดินเล่นอยู่กลางถนน
น้องเกรซ : ปะป๊าเมื่อไหร่จะถึงอินเดียละ
ปะป๊า : เราก็ถึงอินเดียแล้วไงลูก
น้องเกรซ : ที่นี่อ่ะหรอ อินเดีย ตอนแรกหนูนึกว่าอินเดียคือโรงแรมหรูๆ สวยๆซะอีก
ปะป๊า : ….
เด็กน้อยยิ้มเขินๆแล้วก็หันไปมองวัวต่อ
น้องเกรซสงสัยจะนึกว่าอินเดียคือศรีพันวาแน่ๆ แค่ลงมาจากเครื่องบินก็เจอกับกลิ่นแขกซะแล้ว ไม่ใกล้เคียงกับทริปที่หนูคุ้นเคยใช่มั้ยลูก
ระหว่างที่นั่งแท็กซี่ไปยังที่พัก ตอนแรกก็นั่งชมวิวไปเรื่อยๆไม่ได้คิดอะไร แต่พอมันเริ่มนานกว่าปกติ เลยลองเปิดแผนที่ GPS จากมือถือที่พกไปด้วย
โอ้โห พี่แท็กซี่พาผมอ้อมเมืองเล่นๆ ค่ามิเตอร์แบบมีแอร์นี่ก็แพงกว่าปกตินะ พอพูดเป็นภาษาอังกฤษไป ก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ขับไปใกล้ๆที่พักก็ไปไม่ถูก รถใน Kolkata ก็ติดอีกต่างหาก สุดท้ายพอดูจากแผนที่แล้วเลยตัดสินใจลงแท็กซี่ลากกระเป๋าเดินไปที่พักเองดีกว่า โดนแขกโกงตั้งแต่วันแรกเลย อย่างเซ็ง….
ที่พักของเราชื่อว่า Diamond Suite เป็นที่พักแบบ Guest House ราคาไม่แพงครับ เนื่องจากปกติไปเที่ยวต่างประเทศส่วนใหญ่ก็จะเที่ยวอยู่นอกโรงแรมอยู่แล้ว กลับโรงแรมมานอนเท่านั้น ห้องที่จองเป็นแบบที่ดีที่สุด 2 ห้องทั้งหมด 3 คืน ราคาอยู่ประมาณห้องละ 1,000 บาทต่อคืน ประหยัดมากๆ จุดเด่นของ Diamond Suite คืออยู่กลางใจเมือง Kolkata เลย ห่างจากที่ท่องเที่ยวในเมืองไม่เกิน 2-3 ก.ม.ครับ
Front Desk ของที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาอังกฤษเฝ้าประจำอยู่ตลอดครับ เจ้าหน้าที่ก็ให้ความช่วยเหลือดีครับ
ห้องแบบ Suite Room ของที่นี่ คืนละ 1,000 บาทก็ไม่เลวครับ คุ้มค่าทีเดียว
ห้องน้ำเล็กๆ น้ำอุ่นมาบ้างไม่มาบ้าง ดีนะที่มาช่วงฤดูร้อนเลยไม่ค่อยจะเดือดร้อนเท่าไหร่
ตู้เสื้อผ้า ตู้เย็น
ส่วนอีกห้องนี่ถ่ายภาพไว้ไม่ทันเพราะถูกเด็กๆรื้อเรียบร้อยแล้ว ห้องนี้ใหญ่กว่านิดหนึ่งเนื่องจากอยู่มุมตึก แต่ราคาเท่ากันกับห้องมะกี้เลย มาตรฐานที่ไม่ได้มาตรฐานของแขกเค้าละ
ห้องน้ำก็ใหญ่กว่าด้วย
เนื่องจากมีเด็กเล็กๆ ความสะอาดต้องมาก่อน มาถึงอาม่าก็นำผ้าขี้ริ้วเช็ดตามห้อง อาม่าบ่นเลยว่าไม่สะอาด
ด้วยความกังวลว่าคณะเดินทางและเด็กๆจะทานอาหารอินเดียกันไม่ได้ เลยขนเสบียงมาจากเมืองไทยเพื่อเป็นหลักประกันไว้ก่อน เยอะมั้ยครับ
หม้อหุงข้าวก็แบกมาด้วย เพราะต้องต้มข้าวให้เด็กๆ พร้อมกันมากๆ
น้องเกรซสนุกร่าเริงวิ่งรอบห้องเช่นเคย
หลังจากเก็บสัมภาระเข้าที่พักเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเดินทางกันต่อแล้ว
ในเมืองโกลกาตานี่ไม่มี 7-11 หรือ Convenience store เลย ร้านสะดวกซื้อของเมืองนี้จะเป็นบูทเล็กๆที่ขายของเหมือนๆกันได้แก่ เครื่องดื่ม บุหรี่ ฯลฯ
เดินมาได้สักพัก อากาศร้อนทีเดียว เลยถอย Connetto อินเดียมาโดนดับร้อนกันหน่อย
ระหว่างทางที่เดินไปยัง Victoria Memorial ก็ผ่านอนุสาวรีย์ของนางอินทิรา คานธี อดีตนายกรัฐมนตรีอินเดียที่ดำรงตำแหน่งถึง 3 วาระติดต่อกัน และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประเทศอินเดีย
หนูน้อยคนนี้นั่งวาดภาพที่พื้นถนน ฝีมือดีมากๆครับ
อาจจะเป็นเพราะในเมืองโกลกาตานั้นมีแต่คนอินเดียสีผิวเข้ม และไม่ค่อยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาท่องเที่ยวมานัก ทำคณะเดินทางของพวกเราพอมาเดินในเมืองโกลกาตา ทุกคนเลยแปลงร่างเป็นเจมส์จิ หรือญาญาา กันทุกคน ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนมอง บ้างก็เข้ามาขอถ่ายภาพ บ้างก็มาขอหอมแก้ม รุมถ่ายภาพกันอย่างกะสื่อมวลชนเห็นเซเลป แรกๆเด็กๆก็พอทนนะ ฝืนยิ้มถ่ายภาพด้วย แต่พอโดนเข้าไปหลายๆครั้ง เด็กๆเริ่มไม่ไหวเหมือนกัน เพิ่งรู้ว่าเป็นดารานี่ก็เหนื่อยอย่างนี้นี่เอง – -”
เดินกันไกลพอสมควร สักพักใหญ่ๆก็ถึงแล้วครับ ที่เที่ยวแรกของทริปนี้
อนุสรณ์สถานพระนางเจ้าวิกตอเรีย (Victoria Memorial) สร้างอุทิศถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียจอมจักรพรรดินีอังกฤษ อนุสรณ์สถานฯ เป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของจักรวรรดิอังกฤษในอินเดีย อนุสรณ์สถานพระนางเจ้าวิกตอเรียเปิดเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๒๑ อนุสรณ์สถานแห่งนี้เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวสำคัญในโกลกาตา สวยงามทั้งตัวสถาปัตยกรรมเอง รวมทั้งภูมิสถาปัตย์ของสวนและบริเวณรอบอนุสรณ์สถานฯด้วย
มีอนุสาวรีย์ของพระองค์ด้วย
ไม่ลั้ลล้า ไม่ใช่ครอบครัวสุขสันต์ กระโดดกันหน่อย
น้องเกรซนี่โพสท่าน่ารักทุกรูปเลย
ภาพครอบครัวแบบนี้แหละ มีคุณค่ายิ่งนักเลย
ตัวอาคารสูง184ฟุต ด้านบนมีรูปปั้นสำริดสัญลักษณ์แห่งนางฟ้าและชัยชนะน้ำหนักร่วม3ตันตั้งเด่นอยู่
ด้านในเวลาเปิดเข้าชมได้ตั้งแต่ 10.00-17.00น. หยุดทุกวันจันทร์และวันหยุดราชการ ค่าเข้าสำหรับชาวต่างชาติ 150รูปี แต่ด้านในห้ามถ่ายภาพนะครับ
สถาปัตยกรรมออกแบบยุคเดียวกับทัชมาฮาลซึ่งคนออกแบบคือท่าน Sir William Emperson สร้างขึ้นบนพื้นที่ 64เอเคอร์ ในสวนตกแต่งอย่างสวยงาม
เชื่อมั้ยว่าเดินทางทั้งวัน ไม่เหนื่อยเท่าอุ้มเมียถ่ายภาพนี้ 15 วิ
หมดวันแล้วครับ กลับที่พักไปพักผ่อนกันก่อน
ค่ำคืนแรกผ่านไป เช้าวันนี้ทานอาหารอินเดียรองท้องกันก่อน อันนี้เรียกว่า ปูรี (Puri) โรตีขนาดเล็ก ทอดในน้ำมันท่วม รับประทานกับแกง
ขอบอกว่าอร่อยไม่น้อยเลยนะ แป้งกรอบแต่นุ่มอร่อยมากๆ
การเดินทางของทริปนี้ จะเดินทางโดยแท็กซี่เป็นหลักนะครับ เช้านี้ได้นั่งแท็กซี่สีเหลืองที่ไม่มีแอร์ละ
แม้อากาศจะร้อนแต่ลูกทัวร์ของผมยังสดใสอยู่
บนท้องถนนที่อินเดีย ไม่มีเหงาครับ เพราะจะมีเสียงแตรตลอดเวลา ที่จีนว่าแย่แล้ว เจอที่นี่จีนเด็กไปเลย เหมือนมีเซนเซอร์รอบรถ ใครเข้ามาใกล้เกิน 1 เมตร แตรจะถูกบีบทันที
ขนาดท้ายรถบรรทุกยังมีเขียนว่า Blow Horn เลย
หนุ่มอินเดียขี่จักรยานข้ามสะพาน
จุดมุ่งหมายแรกของเราในวันนี้เป็น Landmark ที่สำคัญทางศาสนา Dakshineswar Kali Temple
ถึงประตูวัดแล้วครับ
มีร้านขายของไหว้ ของที่ขายก็เหมือนๆกัน คนขายก็พยายามเรียกลูกค้าสุดชีวิต
ก่อนจะเข้าบริเวณตัววัดต้องถอดรองเท้าด้วยนะครับ ซุ้มนี่คือที่ฝากรองเท้าครับ
ข้างในตัวโบสถ์หลักห้ามถ่ายภาพนะ แต่ที่งงคือชาวอินเดียสามารถถ่ายภาพกันอย่างเปิดเผย รปภ. ไม่มีบ่นสักคำ แต่พอชาวต่างชาติอย่างผมยกกล้องจะถ่ายบ้าง รปภ. จะเข้าชาร์ตทันที เลยได้มาภาพเดียว มาตรฐานอยู่ที่ไหน ไม่ยุติธรรมเลย
Dakshineswar Kali Temple เป็นวัดฮินดูที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1885 ในพื้นที่ 25เอเคอร์ ตั้งอยู่ในย่านที่เรียกว่า Dakshineswar ชานเมืองโกลกาตา สามารถเดินทางได้โดยรถไฟท้องถิ่น รถเมล์ อยู่ใกล้สถานีรถใต้ดินดัมดัม คนท้องถิ่นจะมากราบไหว้บูชาทุกวันอังคารและวันเสาร์ ก่อนช่วง 11.30 น. ถ้าสายกว่านั้นวันจะปิด แล้วเปิดอีกทีช่วงเย็น ผู้สร้างวัดแห่งนี้คือ มหารานี Rashmoni ได้สร้างเจดีย์ใหญ่ตรงกลางมีชื่อว่า Ramakrishna หรือ รามากฤษณะ ซึ่งได้อุทิศตนและเชื่อมั่นในองค์พระแม่กาลี ฮินดูสถานแห่งนี้จึงถือเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดวัดหนึ่งในย่านนี้ รอบๆวัดพระแม่กาลียังประกอบด้วยวัดเล็กๆ ซึ่งเป็นวัดของพระศิวะอีก12แห่ง ตามบารายรอบวัดใหญ่ มีวัดพระลักษมีและพระนารายณ์ด้วย ภายในวัดยังมีห้องที่เคยเป็นที่อาศัยของ Sri Ramakrishna Paramahansa ด้วย
น้องเกรซนั่งพักกินขนม สบายใจเหลือเกิน
มีเซเลปอย่างพวกเราไปหยุดที่ไหน จะถูกคนอินเดียมาล้อม รุมกันถ่ายภาพทุกที่ไป เซเลปจริงๆเลย
เด็กๆชาวอินเดีย
ใกล้ๆกันมีตลาดเล็กๆ ขายของบูชาต่างๆ
เด็กๆอินเดียนี่สู้กล้องทุกคนครับ
ส่วนที่ริมแม่น้ำ คนอินเดียไม่ว่าจะชายหญิง เด็กหรือแก่ จะนิยมมาอาบน้ำในแม่น้ำกัน
นั่งชมวิถีชีวิตของคนอินเดียแบบนี้ ก็ดีเหมือนกันครับ แต่ในใจก็คิดว่าจะสะอาดมั้ยเนี่ย
สถานที่ต่อไปที่เราจะเดินทางไปคือ Belur Math ซึ่งอยู่ไม่ไกล หากเดินทางต่อจาก Kali Temple ก็ให้ใช้บริการเรือข้ามฟากเลย มีเรือออกทุกๆ 10 นาทีเลย
ในเรือมีหลังคาสำรองไว้สำหรับผู้หญิงและเด็กๆเท่านั้นนะครับ ส่วนผู้ชายก็นั่งตากแดดกันไป ดำหมด – -”
นั่งเรือสัก 10-15 นาที ก็ถึงแล้วครับ Belur Math
Belur Math สร้างขึ้นโดยท่าน Swami Vivekanada ในปี ค.ศ.1899 บนฝั่งแม่น้ำคงคาในเมืองกัลกัตตา แต่ที่นี่มักจะเรียกสายน้ำแห่งนี้ว่า ฮุคลี่ ตัวอาคารหลักเป็นศิลปะผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมอิสลามกับแบบตะวันตก สร้างด้วยหินทรายสีชมพู เป็นวัดที่บูชา รามากฤษณะ (Ramakrishna Paramahansa) ซึ่งเป็นอุโบสถหลังใหญ่ที่สุด และเช่นเคยห้ามคนต่างชาติถ่ายภาพนะครับ แต่ชาวอินเดีย ถ่ายกันได้ T-T
ขอบคุณข้อมูลจากhttp://icyjuicybackpacker.blogspot.com
ออกจากวัดก็ขึ้นแท็กซี่ข้ามสะพาน HowrahBridge มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า Rabindra Setu หรือ “รพินทระ เซตู” ถือป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่กว้างที่สุดเป็นอันดับสามของโลก เปิดใช้งานในปีค.ศ. 1943 เป็นสะพานข้ามแม่น้ำฮูคลี่ เชื่อมระหว่างเมืองโกลกาตาและเมืองฮาวร่า โครงสร้างสะพานเป็นสะพานแขวนมีความยาว 450 เมตร และกว้าง 30 เมตร
ผู้คนสามารถเดินสัญจรจูงวัวควายหรือเข็นรถ ลากรถบนสะพานได้ ด้วยว่าทางเดินเท้าสองฝั่งของสะพานนั้นกว้างมากๆ
ถึงอากาศจะร้อน แต่เด็กๆก็ยังอารมณ์ดี เล่นกันตลอดทาง เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ทำให้การเดินทางช่างอบอุ่นยิ่งนัก
สถานที่ต่อไปคือ New Market เทียบแล้วคือ สวนจัตุจักรของโกลกาตาครับ
มีของขายเยอะจริงๆครับ ทั้งร้านค้าหรือวางขายแบกะดินเลย คนก็เยอะครับ
เจอ KFC แรกในเมืองเลย ตื่นเต้นๆ 5555
มาถึงอินเดียจะมากิน KFC ก็คงจะไม่ใช่ เราต้องมาชิมอาหารอินเดียกันดีกว่า
แต่เด็กๆร้อนขอน้ำอัดลมเป็ํนตัวช่วยด่วน
โรตีมารองท้องก่อนเลย
ข้าวหมกไก่ Chicken Biryani เม็ดข้าวไม่เหมือนไทยนะครับ เม็ดจะเรียวยาว อร่อยมากนะ ขอบอก
ไก่แทนดอรี (Chicken Tandoori) เป็นอาหารประเภทเนื้อไก่ที่คนอินเดียนิยมทานมาก มีสีแดงจากเครื่องเทศ เผ็ดร้อน แต่อร่อย
นาน (Naan) เป็นประเภทหนึ่งของโรตี หรือจาปาตี เป็นอาหารหลักที่รับประทานพร้อมดาล แกงเผ็ดอื่นๆ และผัดผัก
อาม่าติดใจข้าวอินเดียมาก ถึงกับให้คุณนายแอนเข้าซุปเปอร์ถอยไปกินต่อที่กรุงเทพเลย อิอิ
เดินเล่นกันต่อที่ตลาด New Market คุณนายแอนสะบัดทีเดียวได้ผ้าพันคอมา 20 ผืน เป็นของฝากกลับไทยเรียบร้อย
ที่ตลาดนี้ จะมีพวกนายหน้าเดินตระเวนคอยเชียร์ให้เราเข้าไปร้านต่างๆ โดยเฉพาะลุคอย่างคุณนายแอนยิ่งเป็นเป้าสายตาของนายหน้าพวกนี้ เราจึงถูกนายหน้าชักชวนไปร้านขายผ้าต่างๆ แม้จะปฏิเสธว่าไม่สนใจ นายหน้าพวกนี้จะเดินตามเราไปทุกที่ จนรำคาญยอมไปตามเค้า
ร้านที่เค้าพาไปเป็นร้านพวกขายผ้า “แคชมีนา” ทำจากขนแพะ “พัชม์” (Pashm) ที่อาศัยอยู่แถบเทือกเขาหิมาลัย ใช้เป็นทั้งผ้าคลุมไหล่และผ้าพันคอ พรมแคชเมียร์ ลักษณะประณีตคล้ายพรมเปอร์เซีย แต่หนานุ่มกว่า มีลวดลายสวยงามแปลกตา
การซื้อของที่อินเดียนี่ต้องใช้ศิลปะในการต่อรองนิดหนึ่งเพราะชอบเปิดราคาสูง ให้ต่ออย่างน้อย 50-60% เลย ถ้าคนขายไม่ยอมให้เดินออก เดี๋ยวจะได้ราคานั้นแหละครับ
ราคาสินค้าที่นี่ต้องบอกว่าไม่แพงเลย แม้กระทั่งผมตอนแรกจะเดินเล่นเฉยๆ แต่พอเห็นราคาก็ห้ามใจลำบากที่จะไม่ซื้อครับ
เก็บภาพหน้าตลาด New Market นิดหนึ่ง
ซื้อของเล่นให้น้องเกรซเป็นบาร์บี้อินเดีย และของน้องกายเป็นไม้เท้า Angry Bird
เวชสำอางค์ชื่อดังของที่นี่ Himalaya ใช้ดีมากนะ คุณนายแอนคอนเฟิร์ม แถมราคาไม่แพงด้วย ใครไปอินเดียห้ามพลาดนะ
คุณนายเธอสะบัดไปเบาๆ กองใหญ่เลย
เดินผ่านร้านเกี๊ยวน่าสนใจดี ต้องลองๆ
ถอยมาโดนสักจาน รสชาติโอเคครับ ราคา 60 รูปี
เย็นพอดี กลับที่พักพักผ่อนดีกว่า
เช้าวันต่อมา วันนี้ยกให้เป็นวันเที่ยวของเด็กๆเต็มที่เลยครับ
ที่แรกที่จะไปคือ Aquatica สวนน้ำของเมืองโกลกาตา
ความรู้สึกแรกที่เจอคือ มันเก่ากว่าที่เห็นจากภาพในเว็บไซด์สุดๆ
สวนน้ำนี้ใหญ่พอสมควรครับ มีทั้งโซนเด็กเล็กๆ มีของเล่น และสไลด์เดอร์ไม่ผาดโผนมากนัก
สำหรับผู้ใหญ่ก็มีแบบมันส์ๆนะครับ
เวลาลงมาให้ยืนบนแผ่นโฟมด้วยนะ สูงและเร็วมากเลย
อันนี้สนุกมากครับ ไอ้ท่อที่สีแดงส้ม พอทิ้งลงมาแล้วจะมาลงที่กระทะแล้วหมุนเหมือนมอเตอร์ไซค์ไต่ถัง ก่อนที่ทุกคนจะล่วงลงรูเหมือนชักโครก สนุกมากครับ
อันนี้เหมือน Xtreme ครับ
ทุกคนจะนั่งห่วงยางก่อนจะทิ้งดิ่งลงมา สนุกและเสียวมากครับ
ตอนแรกจะเล่นน้ำทั้งครอบครัว แต่น่าแปลกใจมากที่ชุดว่ายน้ำวันพีซสากลของคุณนายแอน ไม่ถูกระเบียบที่นี่ครับ เค้าว่ามันโป๊ไป เลยอดเล่นน้ำ เหลือผมกับน้องเกรซเล่นกันมันส์เลย
ปล.คุณสุภาพสตรีที่ต้องการเล่นให้นำชุดไปร์เวชทั่วๆไปใส่ลงน้ำได้เลยครับ
ส่วนนี้เป็นหาดจำลอง มีคลื่นยักษ์ด้วย
น้องเกรซสนุกมากเลย เล่นกันลืมคิดชีวิตเลย
หลังจากเล่นน้ำเสร็จแล้ว ช่วงบ่ายพวกเราเดินทางกันไปต่อที่ Science City อุทยานวิทยาศาสตร์ของเมืองโกลกาตา
พาไปชมอาคารแรกก่อนเลย โซนนี้มีประตูเป็นไดโนเสาร์
ด้านในก็จะมีหุ่นจำลองวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ จากไดโนเสาร์จนมาเป็นมนุษย์
ส่วนกลางแจ้ง จะมีของเล่นวิทยาศาสตร์ต่างๆ
อันนี้สอนเรื่องกลไกเฟื่อง
อันนี้แค่กระซิบเบาๆก็สามารถสะท้อนเสียงจากจานไปยังอีกฝั่งได้ยินเลย
อาม่าก็ช่วยน้องเกรซเล่น อันนี้เรื่องรอกทดแรง
เข้าไปอีกอาคารจะมี ของเล่นวิทยาศาสตร์ในร่มครับ บ่อนี้จริงๆตื้นครับ แต่ใช้กระจกลวงตาเป็นบ่อลึกแบบ infinity
เมื่อเราเดินไปทางตรง แต่ถ้ามีเส้นตรงหมุนไปรอบๆ มันทำให้เราเสียศูนย์เดินเอียงได้เหมือนกันนะ
นอกจากนี้ก็ยังมีของเล่นวิทยาศาสตร์อีกหลายอย่าง ให้ความรู้ผ่านเครื่องเล่นต่างๆ
มีสวนผีเสื้อด้วยครับ
เด็กๆได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านการเล่น สนุกและได้ประโยชน์
ต้องพยายามควบคุมลูกบอลลอยได้ให้ผ่านห่วง
กระจกหลายมิติ
มาอินเดียยังไม่มีรูปคู่กับเมียเลย ถ่ายผ่านกระจกกลับหัวเลยละกัน
มีเขาวงกตกระจกด้วย มึนมากๆ
มายากลจ้า หัวลอยได้
กระจกพิศวง โต๊ะกลมเหมือนนั่งคุยกันหลายคน
อันนี้มันหมุนเร็วๆ แล้วให้เด็กๆทดลองทรงตัวเดินครับ ยากมาก
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีท้องฟ้าจำลอง โรงหนัง 4 มิติด้วยนะครับ
หลังจากทานอาหารอินเดียมาหลายมื้อ ลูกทัวร์ของผมเริ่มเบื่อบ้างแล้ว มื้อนี้เลยพาลูกทัวร์มาร้านอาหารฝรั่งใกล้ๆที่พักบ้าง
จานแรกเป็น Waffle ไก่
ต่อด้วยคาโบนาร่า
โรลไก่
พิซซ่า
โดนอาหารแขกมาหลายมื้อ เปลี่ยนอาหารบ้าง สองคุณนายก็ปลื้มขึ้นมาทันที
ส่วนอาตี๋ใครจะอะไรไม่รู้ ขอชาร์ตแบตก่อน
ต่อด้วยบราวนี่ ไอติม
Black Forest อีกสักก้อน
ผมเดินเล่นเก็บตกภาพวิถีชีวิตของชาวอินเดียให้ชมกันสักหน่อยนะครับ
คนอินเดียมักจะนั่งอาบน้ำอยู่ริมถนนแบบนี้มีเห็นได้ทั่วๆไป
ก๊อกสาธารณะนี้นอกจากจะใช้อาบน้ำแล้ว ยังรองน้ำไปกินอีกด้วย
ร้านตัดผมของชาวอินเดีย
แม่บ้านและเด็กก็จับกลุ่มนั่งเล่นกันริมถนนเลยครับ
รถขายมะม่วงหน้าที่พัก
คุณพ่อนั่งเล่นพร้อมลูกน้อย
คนที่นี่เค้าตากผ้ากันริมถนนแบบนี้ ผมก็สงสัยจริงๆว่ามันจะสะอาดมั้ยเนี่ย
สภาพบ้านเรือน
เจ้าหมาตัวนี้หลับสบายเลย
ร้านนี้ขายอาหาร ทุกคนล้วนมีหน้าที่ของตัวเอง
คนอินเดียเป็นนายแบบโดยธรรมชาติครับ ทันทีที่มีกล้องหันไป จะยิ้มสู้กล้องกันทุกคน
พ่อค้าคนนี้นั่งยิ้มร่าเลย
นายแบบ 2 คนนี้อาสาวิ่งมาขอถ่ายภาพเองเลย
สิ่งที่ไม่ดีเลยสำหรับเมืองโกลกาตาคือขยะครับ ที่นี่ไม่ค่อยจะเห็นถังขยะเลย ใครอยากทิ้งอะไรก็ทิ้งลงพื้นทันที บ้านเมืองก็เลยสกปรกแบบนี้
เมื่อไม่มีถังขยะ ก็มีเจ้ากาดำพวกนี้แหละที่คอยกินขยะในกับเมืองนี้
คนลากจูง อาชีพพื้นฐานที่ทำกันทั่วไป
ร้านนี้ขายน้ำผลไม้ แต่ไม่กล้าซื้อครับ ไม่มั่นใจความสะอาด
หนุ่มคนนี้นำภาชนะมารองน้ำ
คุณพ่อส่งลูกไปโรงเรียน
บ้างก็จูบลากัน
เด็กคนนี้นั่งรถตามพ่อไป หันมาส่งยิ้มให้กล้องซะหวานเลย
ภาพนี้ถ่ายตอนวันสุดท้ายของการเดินทาง ดูสีผิวที่เปลี่ยนไป บ่งบอกถึงความร้อนแรงของแสงแดดที่นี่เป็นอย่างดี
ได้เวลากลับบ้านแล้วจ้า ลูกสาวอ้อนแม่ตลอดเลย
อาตี๋น้อยคึกคักตลอดทริป
เครื่องบินไทยแอร์เอเชียมารอแล้วจ้า
เก็บภาพสุดท้ายที่สนามบินโกลกาตา
แอร์โฮสเตสสาวสวยเสิร์ฟอาหารเช่นเคย
ไม่ได้กินอาหารไทยนาน พอเห็นเท่านั้นแหละ น้ำลายน้องเกรซก็ไหลเลย เลียปากแผล่บๆๆ
บทสรุปการเดินทางมายังเมืองโกลตากา ประเทศอินเดีย
การเดินทางครั้งนี้ถือว่าเป็นทริปที่ทรหดพอสมควรสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก เนื่องจากประเทศอินเดียมีความแตกต่างกับประเทศไทยค่อนข้างมาก ทั้งภาษา วัฒนธรรม รวมทั้งอาหารการกิน
การเตรียมตัวก่อนการเดินทางจึงป็นสิ่งสำคัญทั้งแผนการเดินทาง ในกรณีที่ไม่ถูกกับอาหารอินเดียด้วยแล้ว ยิ่งต้องเตรียมเสบียงอาหารจากไทยมาด้วย
หลายครั้งที่ชาวต่างชาติอย่างพวกเราถูกคนอินเดียเอาเปรียบในหลายเรื่อง เช่น แท็กซี่ไม่ยอมกดมิเตอร์ หรือยอมกดมิเตอร์พาวนอ้อม ถือเป็นอุปสรรคของการเดินทางท่องเที่ยวประเทศอินเดียไม่น้อย ตอนแรกผมรู้สึกหงุดหงิดและโมโหมาก แต่พอคิดดูอีกทีที่เราถูกเอาเปรียบไปหากเทียบเป็นเงินไทยมันก็ไม่กี่บาท ไม่ควรนำมาคิดให้เสียอารมณ์เลย
แม้จะมีอุปสรรคบ้าง แต่การเดินทางมายังเมือง Kolkata ครั้งนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ในการเดินทางที่ดีครั้งหนึ่งในชีวิต สถานที่ท่องเที่ยวมีความสวยงามทางสถาปัตยกรรม ได้สัมผัสและเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวอินเดียที่ไม่เคยเจอมาก่อน ไปอินเดียครั้งหน้าจะต้องไปให้ถึงทัช มาฮาลให้ได้เลย คอยดูสิ
ขอขอบคุณสายการบินไทยแอร์เอเชียที่สนับสนุนตั๋วเครื่องบินและงบในการเดินทางในครั้งนี้
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมรีวิว หวังว่าคงได้รับข้อมูลในการเดินทางและความอบอุ่นของครอบครัวไปไม่มากก็น้อย
ชอบรีวิวหรือบทความของเราอย่าลืมให้กำลังใจเล็กๆด้วยการกด Like, Share หรือ Comment หน่อยนะครับ ไม่อยากพลาดทุกรีวิวฝากอีเมล์ไว้เลยที่ http://www.2madames.com/followus/ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังนะจ๊ะ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป