อยากเที่ยวฮอกไกโดฤดูร้อน อยากไปชมทุ่งดอกไม้สวยๆ แต่ก็อยากช็อปปิ้งที่ฮ่องกงด้วย จัดไปจ้า ทริปเดียวเที่ยว 2 ประเทศ ฮ่องกง-ญี่ปุ่น ทริปนี้เราบินด้วยสายการบิน Cathay Pacific รีวิวเลาจน์ทั้งที่สุวรรณภูมิและฮ่องกง พาช็อปปิ้ง Citygate เที่ยวซัปโปโร โอตารุ Kiroro Resort ขับรถบ้านตั้งแคมป์ ชมทุ่งดอกไม้สวยสุดลูกหูลูกตา กินกระจาย ช็อปกระจุย จะสนุกสนานแค่ไหน ตามไปรับชมรีวิวกันครับ
เชิญรับชมวิดีโอก่อนนะ
ตารางการเดินทางท่องเที่ยวฮ่องกง-ฮอกไกโด 10 วัน 9 คืน
11 ก.ค. 62 – เดินทางด้วยสายการบิน Cathay Pacific เดินทางสู่ฮ่องกง แวะพักฮ่องกง 1 คืน ที่โรงแรม Regal Airport Hotel Hong Kong แวะกินโจ๊กมิชลินสตาร์ Ho Hung Kee ไปช็อปปิ้งต่อที่ห้าง Citygate Outlets
12 ก.ค. – เดินทางต่อไปยังซัปโปโร Sapporo เกาะฮอกไกโด Hokkaido ประเทศญี่ปุ่น ถึงแล้วเช็คอิน The Stay Sapporo ไปหม่ำที่ตรอกราเมน Ganso Sapporo Ramen Street ช็อปปิ้งร้านร้อยเยน Can Do
13 ก.ค. – ไปเที่ยวคลองโอตารุ Otaru ตลาดปลา Sankaku market แวะกินซูชิสายพานร้าน Kantaro Sushi ตามรอยหนังแฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว ถ่ายภาพกับ Otaru Steam Clock เดินชม Otaru Music Box Museum กินชีสเค้กดัง Le TAO ต่อด้วยโรงงานช็อกโกแลต Ishiya Chocolate Factory ปิดท้ายด้วยเนื้อย่างในตำนานอย่าง Yakiniku Jin
14 ก.ค. – รับรถบ้านแล้วเดินทางไปเที่ยว Satoland เช็คอินตั้งแคมป์ที่ Kanayamako Auto Camping Ground ใกล้เมือง Furano
15 ก.ค. – พาครอบครัวไปชมทุ่งดอกไม้ลาเวนเดอร์ที่ Farm Tomita และ Shikisai No Oka แวะเที่ยว Hill of Buddha ก่อนจะเช็คอินเข้าพักที่ Sapporo Prince Hotel เดินเล่น Tanukikoji Shopping Street กินข้าวหมูย่างในตำนานที่ร้าน Tokachi Butadon Ippin Sapporo
16 ก.ค. – เดินเล่นทักทายหมีขาวที่สวนสัตว์ Maruyama Zoo ช็อปปิ้งของแม่และเด็กที่ Akachan Honpo
17. ก.ค. – ออกเดินทางสู่ Kiroro Resort ทำกิจกรรมในช่วงฤดูร้อน เช่น ขี่จักรยาน, Bungee Trampoline & bubble ball สนุกกับสวนสนุกในร่ม Granship ปิดท้ายด้วยปิ้งบาร์บีคิวแบบเกาหลีกัน
18 ก.ค. – พายเรือคายัคที่เขื่อน Ochiai Dam เก็บเชอรี่สดๆทานไม่อั้นที่ฟาร์ม Yamamoto Fruit Farm กลับมา Kiroro Resort ตี Paddle Tennis และว่ายน้ำ แช่ออนเซ็น
19 ก.ค. – เดินเล่นไปเที่ยวน้ำตก และตกปลาเทราต์ ก่อนจะเดินทางไปสนามบินเพื่อกลับประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ
แนะนำเว็บไซค์ไว้หาข้อมูลที่เที่ยว Hokkaido เพิ่มเติม : http://trippino-hokkaido.com/ เค้ามีแอพพลิเคชั่นบนมือถือด้วยนะ
เช้าวันแรกของการเดินทาง ครอบครัวเราก็มาเช็คอินแต่เช้าเลย พอรู้ว่าจะได้ไปเที่ยว ก็คึกคักกันใหญ่เลย
ทริปนี้เราใช้บริการ Pocket Wifi ของ Samurai Wifi สัญญาณแรงตลอดทริป เครื่องก็ใหม่แบตอึดกว่าเดิม แถมรับเครื่องได้ที่ชั้น 4 ขาออก ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้เลย สะดวกมากๆ ค่าเช่าร้อยกว่าบาทต่อวัน ถ้าใช้หลายๆเครื่องคุ้มมากครับ
รายละเอียด : https://www.facebook.com/bs.mobile.thai/
ส่วนใครที่บินกับ Cathay Pacific บ่อยๆ แนะนำให้สมัคร Marco Polo Club เพื่อสะสม Asia Miles ถ้าถึงระดับ Silver ก็มีสิทธิ์เข้าห้องรับรองที่สนามบินฟรีเลย
อาหารและเครื่องดื่มจัดเต็มมาก
มีบาร์พร้อมบาร์เทนเดอร์ด้วยนะ
งานนี้สั่งกันเต็มที่ทั้งอูด้ง ติ่มซำ โจ๊กก็มี เสิร์ฟกันร้อนๆ ฟินกันไป
มีโซนทำงาน มีคอมให้ใช้ด้วยนะ
ได้เวลาบินแล้วจ้า บิน Cathay Pacific สะดวกสบายตลอดการเดินทาง สมเป็นสายการบิน 5 ดาวจริงๆ
อาหารบนเครื่องถูกปากใช้ได้เลย
แต่ที่ถูกใจเป็นพิเศษ คือ มีไอติม Haagen-Dazs ด้วยนะ หรูจริง
เราแวะ Stop over ที่ฮ่องกง 1 คืนนะครับ คนไทยก็สามารถเข้าฮ่องกงได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าอยู่แล้ว ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบบินยาวๆ ได้มาพักครึ่งทางที่ฮ่องกงก่อนจะไปต่อฮอกไกโดนี่ก็ดีเหมือนกัน
ไฟล์ทเดินทางไปฮอกไกโด ค่อนข้างเช้า เพื่อความสะดวกเราเลยพักกันที่ Regal Airport Hotel Hong Kong ซึ่งเป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ใน Terminal เลย
เข้ามาถึงล็อบบี้ เจอตู้โชว์ โอ้โห รางวัลเพียบนะจ๊ะ ซึ่งเป็นเครื่องการันตีถึงมาตรฐานของห้องพักและบริการของโรงแรมได้เป็นอย่างดี
ห้องพักของเราคืนนี้มี 2 เตียง นอนกัน 4 คน พ่อแม่ลูกสบายๆ ห้องสะอาดดีมากครับ
ห้องน้ำมีอ่างด้วยนะ
มื้อเย็น คุณนายแอน ศรีภรรยา หาข้อมูลไว้ว่ามีร้านโจ๊กมิชลินสตาร์ อยู่ที่ Terminal 1 ของสนามบินฮ่องกง อยู่ตรง Arrival Hall ที่ชั้น 5 ของสนามบินเลย เราเลยขอแวะมาทานกันหน่อย ร้านชื่อว่า HO HUNG KEE ที่เปิดมาตั้งแต่ 1946 โน้นแน่ะ
ทีเด็ดที่เค้าแนะนำต้องมาทานต้องสั่งโจ๊กตับ แต่บ้านนี้ทานตับกันไม่เป็นจ้า เลยเลือกสั่งเมนูที่ Chef Recommended มา เป็นโจ๊กไก่ Chicken & Mushroom Congee $118HKD (ประมาณ 470 บาท) ตอนสั่งแอบเอ๊ะในว่าทำไมราคาสูงกว่าโจ๊กอื่นๆ จินตนาการว่าเป็นไก่รวนไก่ฉีกหรือไก่สับ ต้องประมาณนี้แน่ๆ แต่เปล่าเลยไก่ที่แอบอยู่ใต้โจ๊กเป็นอารมณ์ไก่แช่เหล้า ดันไม่ถูกปากอีก เลยไม่ค่อยประทับใจ เรียกว่าแทบตักแต่โจ๊กเปล่าทานกัน ไก่งี้เหลือเพียบเสียดายมากๆ ข้างๆกันเป็นบะหมี่เกี๊ยวกุ้ง จำราคาไม่ได้ประมาณ $60HKD กว่าๆ เกี๊ยวกุ้งคือดี กุ้งแน่นตัวใหญ่มาก รสชาติก็ปกติไม่ได้หวือหวา
ส่วนเมนูที่ชอบที่สุดทุกคนเทคะแนนให้จานนี้เป็นก๋วยเตี๋ยวผัดกับเนื้อ Stir Fried Rice with Beef $120HKD จานละ 480 บาท แพงเอาเรื่องอยู่ แต่อร่อยแบบแย่งกันทานเลยจริงๆ
อิ่มท้องกันแล้ว ก็ได้เวลาไปช็อปปิ้งที่ Citygate Outlets ละ
หากใครเป็นแขกของโรงแรม Regal Airport Hotel Hong Kong เค้าก็จะมีรถ Shuttle bus วิ่งรับ-ส่งฟรีทุกชั่วโมง จากหน้าโรงแรมไปจอดหน้าห้างเลย
แต่ถ้าใครที่ไม่ได้พักโรงแรม ก็สามารถนั่งรถบัสสาย S1 จากสนามบินไปลงห้าง Citygate Outlets ได้เหมือนกัน
ห้าง Citygate Outlets ถึงเป็นห้างที่อยู่ใกล้สนามบินมาก เดินทางแค่ 10 นาทีโดยรถเมล์หรือแท็กซี่ ด้านในเต็มไปด้วยร้านค้าแบรนด์เนมต่างๆ ช่วงที่เราไปก็จัดมอบส่วนลดกันเกือบทุกร้าน
ใครที่ชอบช็อปปิ้งไม่ควรพลาดที่นี่นะ แต่ที่ถูกจริงๆคือ โซนรองเท้าชั้นบน ครอบครัวเราสอยมาแล้วจ้า ได้เสียเงินตั้งแต่ต้นทริป คุณนายแอนบอกว่าค่อยสบายใจหน่อย 5555
และถ้าใครที่มีเวลาเที่ยวเยอะๆ ตรงนี้สามารถขึ้นไปเที่ยวพระใหญ่ Ngong Ping 360 ได้ด้วยนะ
รุ่งเช้าเก็บกระเป๋าเดินออกจากโรงแรมมาเช็คอินที่สนามบิน แล้วพาคณะลูกทัวร์มาที่เลาจน์ของ Cathay Pacific โดยที่สนามบินฮ่องกงนี่มีเลาจน์กระจายอยู่เยอะมากถึง 4 ที่ ผู้โดยสารชั้นธุรกิจและ สมาชิก Marco Polo ระดับ Sliver ขึ้นไป สามารถเข้าไปใช้บริการได้ฟรี
โดยแต่ละเลาจน์จะกระจายพื้นที่ดังนี้
The Wing near gate 1-4
The Bridge near gate 35
The Deck near gate 6
The Pier near gate 65
วันนี้ Gate ของเราอยู่ใกล้กับ The Pier ครับ เข้ามาก็จะเจอกับไลน์อาหารขนาดย่อมๆ มีเสิร์ฟทั้งอาหารร้อนและเครื่องดื่ม
งานนี้ครอบครัวเราเลยถือโอกาส Breakfast กันที่นี่เลย
ใครที่ชอบดื่มชา แนะนำให้มาสั่งชาตรงนี้นะ เค้ามีบริการชงชาหลายแบบเลย
ในนี้มีทั้งโซนอาบน้ำ โซนพักผ่อน ด้วยนะ แต่ที่เพิ่งเคยเห็นคือ มีโซนเล่นโยคะ และนั่งสมาธิด้วย สุดยอดอ่ะ
บินต่อไปเกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่นแล้วนะ สั่ง Child Meal ไว้จะมาเสิร์ฟก่อนเพื่อนเลย โย่วๆ
และแล้วก็ถึงเกาะฮอกไกโดจนได้ พวกเราใช้วิธีเข้าเมืองจากสนามบิน New Chitose สู่เมือง Sapporo ด้วยรถบัส Airport Limousine Bus (CHUO BUS) ซื้อตั๋วที่เครื่องขายตั๋วแล้วไปรอที่ท่ารถเบอร์ 65 นะครับ พอขึ้นรถบัสแล้วก็ดูป้ายในเมืองลงได้เลย มีภาษาอังกฤษบอก ส่วนเราลงกันที่ป้าย Susukino ครับ
ถึงเมืองซัปโปโร แวะเอากระเป๋าไปเก็บที่พักแล้ว ออกมาหาอะไรกินที่ตรอกราเมน Ganso Sapporo Ramen Street
พิกัด : https://goo.gl/maps/eSR3QC3x2Nnt2vav9
ตรอกราเมน Ganso Sapporo Ramen Street เป็นซอยทางเดินแคบๆประมาณ 100 เมตร ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านราเมน
เดินจนตาลายไม่รู้จะเลือกร้านไหนดี สุดท้ายค้นหาข้อมูลใน pantip มีคนไทยแนะนำร้านแรกหน้าปากซอยเลย
ร้านนี้เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น 白樺山荘ラーメン横丁店 ไม่รู้อ่านว่าอะไรนะครับ
มาถึงแล้วเค้าว่าให้ทานไข่ต้มฟรีคนละใบ เพื่อปรับสภาพลิ้นก่อน (แปลกดี) คือถ้าไม่ทานไข่ต้มก่อนจะมาหาว่าราเมนเค้าไม่อร่อยไม่ได้นะ มีงี้ด้วย
ราเมนร้านนี้มีทั้ง Miso Ramen (ตามในรูป) สั่งแบบเพิ่มหมู 980 เยน ใครอยากทานแซ่บๆหน่อยก็มี Spicy Miso Ramen 860 เยน
กินอิ่มแล้ว แต่ด้วยเวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง แถมหลับกันมาบนเครื่องบิน เราเลยยังไม่ค่อยง่วง พากันไปช็อปปิ้งร้าน Can Do ซึ่งเป็นร้านร้อยเยน (ทุกอย่าง 30 บาท) คล้ายๆ Daiso เมืองไทย แต่ราคาถูกกว่าครึ่งหนึ่ง
พิกัด : https://goo.gl/maps/RN1e3uuXJNNw5yUy8
มาชมที่พักของเราในคืนนี้กันบ้าง กับ The Stay Sapporo ซึ่งเป็น Hostel ราคาย่อมเยา ตั้งอยู่ในย่านทำเลดี ใกล้ Downtown อย่าง Susukino (เดิน 10 นาที)
ตามสไตส์ Hostel ทั่วไป คือห้องพักจะเล็กหน่อย แต่จะมีล็อบบี้ส่วนกลางที่มีทั้งครัว, โต๊ะอาหาร, โซฟานั่งพักผ่อนให้แขกมาใช้บริวเณร่วมกัน
ห้องพักจะเป็น Bunk Bed แบบนี้ครับ ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนต้องปูเองนะ ด้านนอกจะมีห้องน้ำขับถ่าย และห้องอาบน้ำแชร์กัน แต่ไม่ต้องห่วงเลยเพราะที่ญี่ปุ่นสะอาดเรียบร้อยตลอดเวลา
และพวกผ้าขนหนู รองเท้าแตะ ถ้าไม่ได้นำมา ต้องเสียค่าเช่านะ เรียกว่าจ่ายตามที่ใช้
อาจจะไม่สะดวกสบายเท่าโรงแรมทั่วไป แต่ช่วงที่ผมไปเป็นเทศกาลดอกไม้ ค่าที่พักแพงมากๆ แถมเราก็ใช้เวลาออกไปเที่ยวเสียส่วนใหญ่ อยู่ที่พักแค่นอนเท่านั้น ก็ยอมๆ เก็บงบไปกินไปเที่ยวก็ถือว่าโอเคครับ
รายละเอียดเพิ่มเติม : http://thestaysapporo.com/en/
ราคาที่พักแต่ละช่วงไม่เท่ากัน แต่เริ่มต้นที่ 2,200 เยนนะครับ
เช้าวันใหม่ โปรแกรมวันนี้เราจะเดินทางไปเที่ยว Otaru กันครับ
โอตารุ เมืองท่องเที่ยวดัง สามารถ Day Trip ออกจากซัปโปโรได้ นั่งรถไฟ JR จาก Sapporo Station ลงสถานี Otaru ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
มาถึงแล้ว แวะเดินเล่นตลาดปลา Sankaku market ที่ติดกับสถานีรถไฟซะหน่อย ที่นี่มีทั้งปู ปลา หอย สดๆ วางขายอยู่ มีร้านอาหารขายอาหารทะเลสดๆด้วยนะ เดินไปน้ำลายไหลย้อยเลย แต่อดทนไว้ เพราะตั้งใจจะไปทานร้านซูชิสายพานหมุนแถวๆคลองโอตารุครับ
เดินจากตลาดมาประมาณ 15 นาที ก็ถึงกับคลองโอตารุ แวะถ่ายภาพกับมุมมหาชน ปกติเห็นในรีวิวคนอื่นจะเป็นหิมะขาวโพลนเลย มาฤดูร้อนก็ได้อารมณ์อีกแบบนะครับ
โอตารุ เป็นคำในภาษาชาวไอนุ ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บริเวณเกาะฮอกไกโด คำว่า โอตารุ หมายถึง “แม่น้ำที่ไหลผ่านหาดทราย” อดีตเป็นเมืองท่าค้าขายสำคัญของเกาะฮอกไกโด แต่ปัจจุบันก็กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ทุกคนต่างมาเยี่ยมเยือนกันซะแล้ว
ข้ามสะพานไปด้านหลังของคลองโอตารุ มีร้านซูชิสายพานที่อร่อยและไม่แพงเท่าไหร่อยากจะแนะนำ
ร้านซูชินี้มีชื่อว่า Kantaro Sushi ร้านนี้ขายซูชิสายพาน ราคาโดยเฉลี่ยคือ 200-400 เยนต่อจาน ซึ่งราคาก็แตกต่างกันขึ้นกับชนิดของปลาบนหน้าซูชิ เราชอบคุณภาพปลาที่ค่อนข้างสด ชิ้นใหญ่ และคุณภาพข้าวรสชาติดีเปรี้ยวหน่อยๆ นุ่มอร่อย เข้าปากแล้วฟินมาก
พิกัด : https://goo.gl/maps/mU1wDXm9626Xhon2A
อิ่มท้องแล้ว เดินเล่นย่านถนน Sakaimachi กันต่อ จะมีร้านค้าขายของเพียบเลย ทั้งของที่ระลึก ไอติม ขนม เดินกันเพลินนะ
แต่ที่เป็น Landmark สำคัญของที่โอตารุ ก็คือ นาฬิกาไอน้ำโบราณที่ตั้งอยู่ด้านนหน้าพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี ซึ่งมันจะส่งเสียงและพ่นไอน้ำทุกๆ 15 นาที หอนาฬิกาไอน้ำแห่งนี้ คือ 1 ใน 2 เรื่อน ที่เหลืออยู่ในโลก เป็นของขวัญที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ที่ได้มอบให้เมืองโอตารุไว้เป็นที่ระลึก
และตรงนี้ก็เป็นฉากที่เป็นที่จดจำของนุ้ยและเด่นชัย จากหนังเรื่อง แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว ใครเป็นแฟนหนังเรื่องนี้ก็ควรค่าแด่การมาเยือนมากๆ
ถัดจากหอนาฬิกา จะเจอกับทางเข้าของ Otaru Music Box Museum หรือพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี ด้านในจะมีกล่องดนตรีหลายหมื่นชิ้นให้เลือกชม และสามารถซื้อกลับบ้านได้ด้วย
มันเยอะมาก สวยๆ และมีความคิดสร้างสรรค์ทั้งนั้น เดินๆไปก็แอบรู้สึกว่าน่าจะเป็นร้านขายของมากกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์เสียอีก
ก็จะมีส่วนจัดแสดงของเก่าๆบ้าง ในบริเวณอีกปีกของชั้น 2 ลองมาเยี่ยมชมกันได้ครับ
เที่ยวเล่นเสร็จมาโอตารุ ถ้าไม่ทานของหวานร้าน Le Tao ก็อาจเรียกได้ว่ามาไม่ถึง เพราะต้นกำเนิดของร้านนี้อยู่ที่เมืองนี้นี่เอง ใครที่อยากซื้อของฝากเค้าก็มีร้านของฝากขนาดใหญ่และมีหลายสาขามาก แต่พวกเราขอนั่งชิลๆทานเค้กจิบชาสวยๆที่ร้านบริเวณชั้น 2 ของสาขาต้นตำหรับที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ Music Box Museum สำหรับใครจะมาทานที่ร้านเค้าบังคับสั่งคนละหนึ่งออเดอร์นะ บ้านนี้มีเด็กเค้าก็อนุโลมให้จ้า อ่อ อีกอย่างใครอยากทานต้องเผื่อเวลามาต่อคิวด้วยนะ
เมนูแนะนำของเค้าเป็นจานนี้เลยชีสเค้กกับชีสทาร์ต แต่งจานมาสวยๆ เซ็ตนี้เลือกเครื่องดื่มได้ 1 อย่างตามในลิสต์ เค้กอีกชิ้นสั่งเป็น Strawberry Short Cake เนื้อเค้กนุ่มฟู ครีมสดเบาๆหวานน้อยตัดเลี่ยนกับสตรอเบอร์รี่ที่หวานอมเปรี้ยวอีกสักนิด ประทับใจมาก
เราเที่ยวโอตารุจบประมาณบ่าย 2 ยังพอมีเวลาเที่ยวเหลืออยู่ เลยพาครอบครัวนั่งรถไฟ JR ย้อนกลับมาที่สถานี Hassamu แล้วนั่งแท็กซี่ต่อมาเที่ยวที่ Ishiya Chocolate Factory หรือโรงงานช็อกโกแลตที่ซัปโปโรกัน
ที่นี่แค่ด้านนอกก็สวยมากแล้ว มีอะไรให้เดินเล่น ถ่ายภาพเต็มไปหมด
ในฤดูร้อนในสวนจะมีดอกไม้ให้ชมกัน
มุมถ่ายภาพสุดฮิตของที่นี่
บอกเลยว่าที่นี่ตกแต่งสวยจริงๆ ถ่ายภาพกันเพลินเลยครับ
ด้านในจะมีโถงบันไดสวยๆ ข้างๆจะเป็นร้านขายของนะ มีสาธิตการทำขนมด้วย ชั้น 2 จะมีร้านอาหารและสวนสนุกสำหรับเด็กเล็ก หากใครต้องการเยี่ยมชมกระบวนการผลิตช็อกโกแลตจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
ทุกๆต้นชั่วโมง จะมีเหล่าตุ๊กตาออกมาเต้นประกอบดนตรีด้วยครับ
บนหอนาฬิกาสูงๆก็มีตุ๊กตาออกมานะ
มื้อเย็นพาคณะทัวร์ของเรามายังร้านลับ แรร์ไอเท็ม ที่ไม่อยากให้ทุกคนพลาดเมื่อมาเที่ยวซัปโปโร
Yakiniku Jin ร้านเนื้อย่างที่ใช้เนื้ออาเบะ วากิวบีฟ เนื้อชั้นดีระดับพรีเมี่ยมเกรดเดียวกับมัสซึซากะและโกเบ เราลองมาแล้วชอบสุด!!
ทั้ง Set Wagyu Beef Steak ที่เสิร์ฟเนื้อมา 3 ส่วน ทั้งส่วน Loin, Karubi, และเนื้อแดงไม่ติดมัน เคี้ยวนุ่มนิ่มละลายในปาก ฟินทุกคำที่ได้กิน ร้านนี้สะกดคำว่าเหนียวไม่เป็น อยากให้ทุกคนได้รู้ว่าสวรรค์ของการทานของอร่อยมันเป็นยังงัย ต้องจัดเนื้อร้านนี้ด่วน
ร้านนี้มีคนดังอย่างเมสซี่ เจ มากิน 2-3 ครั้งด้วยน้าาา ตามกำแพงร้านนี่ลายเซ็นคนดังเพียบบบบบเลย
ข้อเสียคือเดินทางยาก ห่างจาก Subway Maruyama Koen Station ประมาณ 1 km
พิกัด : https://goo.gl/maps/8EcsdGS65SpxweQX8
จริงๆลองทานไปเยอะมาก แต่ขอเน้นคัดจานเด่นๆมานำเสนอละกัน เผื่อเพื่อนๆตามรอยจะได้ไม่ผิดหวัง
เริ่มต้นก็ลองเครื่องเคียงที่อร่อยมาก หอมน้ำมันงา ผักสดกรอบ ลองทุกอย่างอร่อยทุกอย่างเลย
เอาล่ะมาเริ่มเมนูแรกที่ประทับใจสุดๆ Shiraoigyu Loin Millefeuille คำละ 900 เยน ในรูปนี้มี 4 คำ เป็นเนื้อสันที่แล่มาบางๆ
เฉพาะเมนูนี้จะมีพนักงานมาย่างให้ เพราะเวลาย่างเค้าจะย่างทั้งที่เนื้อพับมานั่นแหละ กะเวลาให้สุกหน่อยๆแล้วกลับด้าน เวลาพร้อมทานจะยังมีเนื้อแดงๆอยู่จิ้มกับน้ำจิ้มเฉพาะที่ให้มา ขอบอกว่าอร่อยติดใจจนสั่งเบิ้ลอีกคนละ 1-2 ชิ้นเลย โอ๊ย กระเป่าตังค์สั่นจ้า
มาถึงจานเนื้อย่างบ้าง เราสั่งเป็นแบบ Wagyu Platter รวมเนื้อมา 3 ส่วน ทั้ง Loin, Short Rib และ Lean Meat ราคา 2,980 เยน ส่วนตัวยังชอบส่วน Loin มากที่สุดอยู่ เนื้อบางหน่อยแต่ไม่ถึงกับเปื่อยยุ่ย เคี้ยวง่ายกว่า เด้กๆแฮ็ปปี้มากกว่า
จานสุดท้ายที่แนะนำเป็น Beef Steak Platter ทางร้านจะจัดเอาเนื้อ Today’s Special 2-3 อย่าง มารวมเป็นจานนี้ ราคา 3,580 เยน เป็นมื้อที่ประทับใจสุดๆเลยจ้า
ดูหน้าน้องเกรซก็รู้ว่าปลื้มแค่ไหน
ใครจะมาทานร้าน Yakiniku Jin ควรจองมาล่วงหน้านะครับ ลิงก์หน้าล่างนี้เลย
https://docs.google.com/forms/d/1UvqCedhhRv4F8UHrvFOfd2oDyoMyMDduy89HcDEq0lY/edit#response=ACYDBNgGEVdCNUaAZqG_iB3TyjpypX8iBOBnbXlMRq0ofgSJ
วันรุ่งขึ้น วันนี้เราไปรับรถบ้านของ DO CAMPER เพราะวางแผนกันไปตั้งแคมป์กันริมทะเลสาบ ก่อนจะออกจากเมืองแวะเที่ยวแบบครอบครัวสักที่ดีกว่า
ขอแนะนำกิจกรรมปั่นจักรยานชมสัตว์และฟาร์มเกษตรที่ Satoland ชานเมือง Sapporo
ต้องบอกว่ามันเพลินใจจริงๆที่ได้พาครอบครัวปั่นจักรยานแฟนซีรูปต่างๆ เที่ยวชมรอบ Satoland สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Sapporo
พิกัด : https://goo.gl/maps/KBW9HKwgQ881r6pKA
ควรเช่ารถเช่านะจ๊ะ หากไม่มีรถก็นั่ง Subway แล้วต่อรถเมล์จะยากนิดหน่อยจ้า
ค่าปั่นจักรยานแฟนซี 300 เยนต่อคน ปั่นได้ 30 นาทีนะ จักรยานมีให้เลือกเยอะมาก ทั้งที่เป็นรถแข่ง หรือจะต่อกันเป็นรถไฟก็ได้ แบบถ้วย แบบปั่นไปข้างๆก็มี สนุกสนานกันไป
ตรงกลางจะมีสนามเด็กเล่นที่มีสไลด์เดอร์ยาวปรี้ดๆ
มี Zipline สำหรับเด็กด้วย
ในนี้จะมีจักรยานให้เช่าปั่นเที่ยวชมฟาร์มสัตว์ทั้งแพะ แกะ กระต่าย ม้า วัว และแปลงพืชต่างๆ
ลมเย็นๆกับสีเขียวๆของต้นไม้ใบหญ้า และกิจกรรมสนุกๆต่างๆ ทำเอาครอบครัวเรายิ้ม หัวเราะกันทั้งวัน บ้านไหนมาเที่ยวฮอกไกโด อย่าพลาดแวะมาเที่ยวที่นี่นะจ๊ะ สนุกมาก
มีที่กระโดดดึ๋งดั๋งสนุกสนานด้วยครับ
น้องเกรซวิ่งเล่นในทุ่งดอกไม้
เที่ยว Satoland เสร็จ ก็ได้เวลาขับรถบ้านไปตั้งแคมป์กันที่ริมทะเลสาบแถวๆเมือง Furano กันแล้ว
หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นว่าญี่ปุ่นขับรถบ้านเที่ยวได้ด้วยหรอ ที่จริงไม่ยากเลยครับ
จองที่ได้ : https://www.facebook.com/docamper.hokkaido.en/
มาชมด้านในรถบ้านหรือ Campervan กันครับ
รถบ้านที่เราเช่าเป็นของ DO CAMPER รุ่น Cordebunks 2 พักได้ประมาณ 4-6 คน
จะมีส่วนที่เป็นโต๊ะทานอาหารและชุดครัว
ครัวจะเป็นเตาแก๊สนะครับ และตู้เย็นจะทำงานเมื่อเสียบปลั๊กรถที่ Campsite เท่านั้น
ด้านหลังจะเป็นเตียงสองชั้น
ส่วนด้านหน้ารถ บริเวณเหนือคนขับจะเป็นที่นอน นอนได้ 2 คนสบายๆ และส่วนโต๊ะอาหารก็แปลงร่างเป็นที่นอนได้เช่นกัน บนรถมีห้องขับถ่ายแต่อาบน้ำไม่ได้นะ
เราจองที่พัก Campsite ริมทะเลสาบที่ชื่อ Kanayamako Auto Camping Ground ไว้ ตอนจองยากลำบากหน่อยเพราะไม่รับจองผ่านเว็บไซค์และอีเมล์ ต้องจองผ่านโทรศัพท์เท่านั้น ที่เบอร์ 0167-52-2002 ซึ่งเจ้าหน้าที่พูดอังกฤษไม่ได้อีก เราจึงต้องวานเพื่อนที่รู้จักกันที่ญี่ปุ่น โทรไปจองไว้ให้
พิกัด : https://goo.gl/maps/CNzLKY7dFGjXpg349
พื้นที่ Campsite ตั้งอยู่บนเนินเขา ที่รอบล้อมด้วยป่า อีกด้านมองไปเห็นทะเลสาบ Kanayama Lake
ภาพนี้เป็นแคมป์ของคนญี่ปุ่นนะครับ คนญี่ปุ่นจัดเต็มมาก ขนพวกอาหารมาปิ้งย่างกันอย่างเต็มพิกัดเลย
อากาศดีมาก เย็นๆ แต่หนาวตอนดึกๆนะ
แต่ด้วยความไม่พร้อมของครอบครัว ไม่รู้ว่ารถเช่าญี่ปุ่นต้องกดจองพวกผ้าปูที่นอนและหมอนด้วยนะ ไม่งั้นไม่มีมาให้เหมือนทริปที่ไปขับรถบ้านที่นิวซีแลนด์ ทำให้คืนนั้น ไม่มีผ้าห่มกันต้องห่มด้วยผ้าเช็ดตัวและเสื้อกันหนาวแทน เลยแทนที่จะฟินเลยกลายเป็นทุลักทุเลผ่านค่ำคืนไปพอสมควร
ช่วงที่ขับรถระหว่างทางในป่า เจอหมาจิ้งจอก 2 ตัวเลยครับ แต่ละตัวดูหิวแลหอมโซ ไม่แน่ใจว่ามันมานั่งริมถนนทำไม อาจจะมาขออาหารจากมนุษย์น่าสงสารมาก
และอีกหนึ่งไฮไลท์ของทริปเที่ยวฮอกไกโดฤดูร้อนครั้งนี้คือการไปชมทุ่งดอกไม้ที่เมือง Furano และ Biei
เราเริ่มวันใหม่โดยมุ่งหน้ามาที่ Farm Tomita กัน
ช่วงที่เดินทางเป็นช่วงกลางเดือน ก.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกไม้กำลังบานเต็มที่ เรียกว่าสวยงามมากจริงๆ
ได้มานั่งชมทุ่งดอกไม้สวยๆในช่วงเวลาที่กำลังพีคสุดๆแบบนี้ มีความสุขจริงๆครับ
แวะกินไอศกรีมลาเวนเดอร์ด้วยนะ อร่อยฟินกับบบรรยากาศให้เต็มที่
แต่ที่ไม่ควรพลาดเลย คือ เมล่อน เป็นของเด็ดที่ฮอกไกโดเลย หวานฉ่ำสุดๆ โดยส่วนตัวผมว่าสีเขียวอร่อยกว่าสีส้มนะ มีขายอยู่ตรงที่จอดรถด้านหน้าฟาร์มเลย ห้ามพลาดสุดๆ
ไม่ไกลจาก Furano เรามุ่งหน้าขึ้นทางทิศเหนือสู่เมือง Biei
ตั้งใจจะมาชมดอกไม้อีกฟาร์มที่ Shikisai No Oka
ดอกไม้ที่นี่ก็สวยไม่แพ้ที่ Furano เลย
น่าเสียดายที่เวลาเราน้อย จึงไม่สามารถตามไปเที่ยวชมต้นไม้ชื่อดังของเมืองนี้ อย่าง
Tree of Ken and Mary พิกัด : https://goo.gl/maps/3u4me7MLVai32q1j8
Mild Seven Hills พิกัด : https://goo.gl/maps/WCv7UD5TwhcBSdC59
Seven Stars Tree พิกัด : https://goo.gl/maps/CqrWHJRfDaE3T4nv9
ใครมีเวลาก็แวะไปถ่ายภาพกับต้นไม้ชื่อดังเหล่านี้ได้ครับ
อีกอย่างที่ควรชิมคือข้าวโพดนมสดนะครับ รับรองว่าอร่อยติดใจแน่นอน
ก่อนจะเอารถบ้านไปคืน เราแวะเที่ยวที่เที่ยวเปิดใหม่ของฮอกไกโด
Hill of Buddha หรือเนินเขาแห่งพระพุทธเจ้า เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เพิ่งมาเมื่อ 2558 หรือ 3 ปีกว่าๆที่ผ่านมา เดิมทีที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของ Makomanai Takino Cemetery สุสานของชาวญี่ปุ่น
ภายหลังทางสุสานอยากให้พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ไม่ได้รับความสนใจ จึงได้ให้ทาดาโอะ อันโดะ(Tadao Ando) สถาปนิกชาวญี่ปุ่นเจ้าของรางวัลพริตซ์เกอร์ที่ถือว่าที่สุดรางวัลของสถาปนิก มาทำการออกแบบเพิ่มเติม
โดยมีลักษณะเป็นเนินเขาล้อมรอบรูปปั้นพระพุทธรูปมีความสูงมากถึง 13.5 เมตรและมีน้ำหนัก 1500 ตัน พื้นที่ที่ล้อมรอบจะมีค่อยๆลาดลง อีกทั้งรายล้อมด้วยธรรมชาติอันงดงาม โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่จะสามารถเห็นต้นลาเวนเดอร์จำนวนกว่า 150,000 ต้นล้อมรอบรูปปั้นพระพุทธรูป ซึ่งเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างสถาปัตยกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นกับความงดงามจากธรรมชาติ มองดูแล้วประหนึ่งเป็นผลงานศิลปะชั้นเอกที่หาดูได้เฉพาะที่นี่เท่านั้น
วัตถุประสงค์ในการออกแบบผลงานชิ้นนี้คือ สร้างขึ้นเพื่อให้เห็นถึงอีกแง่มุมหนึ่งของพระพุทธศาสนา โดยให้ผู้มาเยือนได้ชื่นชมพระพุทธศาสนาได้ท่ามกลางความเงียบสงบอย่างแท้จริง อีกทั้งยังสามารถชมในวิวทิวทัศน์ที่แตกต่างกันทุกๆฤดู ไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่จะเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีแลดูร่มรื่นร่มเย็น ช่วงฤดูร้อนที่จะแวดล้อมได้สีม่วงของต้นลาเวนเดอร์ และช่วงฤดูหนาวที่เหมือนอยู่ท่ามกลางความขาวสะอาดของหิมะที่ขาวโพลน โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนถือว่าเป็นช่วงที่สวยงามและได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยว บางมุมจะสามารถมองเห็นเศียรพระพุทธรูปโผล่พ้นมาเพียงเล็กน้อยอยู่ท่ามกลางลาเวนเดอร์นับแสนต้น
อีกจุดหนึ่งที่พลาดไม่ได้นั่นคือการเดินลอดไปตามอุโมงค์ที่มาความยาว 40 เมตร ที่เมื่อเดินไปจนถึงจุดที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่อยู่บริเวณปลายทางของอุโมงค์แล้วมองย้อนขึ้นไป จะมองเห็นเหมือนมีแสงสะท้อนอยู่รอบๆองค์พระพุทธรูปเปรียบเสมือนรัศมีแสงแห่งฟ้า ซึ่งไม่สามารถมองได้จากทางด้านนอก ถือเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทางสถาปนิกตั้งใจออกแบบเพื่อให้ทุกๆส่วนมีความพิเศษไม่แพ้กัน
อีกด้านจะมีโมอายตั้งอยู่อีกหลายตัว
นับว่า Hill of Buddha ถือเป็นอีกหนึ่ง Unseen Hokkaido สถานที่ที่มีความมหัศจรรย์และคุ้มค่าอย่างยิ่งสำหรับการมาเยือน
พิกัด : https://goo.gl/maps/mMfq4ynBC1YkecsB6
หลังจากออกไปนอกเมือง 1 คืน พวกเรากลับมาซัปโปโรอีกครั้ง เราจะพักที่เมืองนี้อีก 2 คืน โดยที่พักของเราก็คือ Sapporo Prince Hotel เชนโรงแรมมาตรฐานสูงแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นเลย
พิกัดอยู่ไม่ไกลจากย่านช็อปปิ้ง Tanukikoji Shopping Street ครับ
https://goo.gl/maps/PSSvrbmcGCCNYZEt9
ห้องพักกว้างขวางและสะอาดดีครับ เสริมเตียง 2 เตียง นอนกันสบายเลยครับ วิวสวยมาก
ห้องน้ำใหญ่มาก มีอ่างแช่ตัวด้วย แต่เชื่อมั้ยว่าลงไปอาบน้ำแช่ออนเซ็นที่ชั้น 2 ตลอดเลยครับ (แขกที่พักใช้บริการฟรี)
ที่ Amazing สุดๆ คือพวกของใช้ในห้องน้ำ ให้มาเยอะสุดๆ มีให้แม้กระทั่งแผ่น Mask บำรุงหน้าเลยทีเดียว
ห้องขับถ่ายก็เป็นระบบอัตโนมัตินะจ๊ะ
เดินเล่นย่าน Tanukikoji Shopping Street ถนนนี้เป็นถนนสายช็อปปิ้งสำคัญของเมือง ทอดยาวตั้งแต่ย่าน Susukino จนถึงตลาด Nijo Market เลย
จะมีร้านค้าร้านอาหารเรียงรายตลอด 2 ข้างทาง แต่ที่น่าสนใจคือมี MEGA Don Quijote ด้วย
พิกัด : https://goo.gl/maps/zDjTiDEwqJjyjpMt9
พูดถึงฮอกไกโด อาหารขึ้นชื่อที่ห้ามพลาดคงจะเป็น ข้าวหน้าหมูย่าง หรือ butadon พวกเราเลยไม่พลาดที่จะมาลิ้มลองร้านดัง Tokachi Butadon Ippin ที่ต้องยืนรอตั้ง 1 ชั่วโมงแหนะ
พิกัด : https://goo.gl/maps/ZabwnEKXVTjgDp3J6
จากสถานี JR Sapporo Station เดินมาที่ห้าง Stella Place กดลิฟท์ขึ้นมาชั้น 6 เลย
ป้ายชื่อร้านเป็นภาษาญี่ปุ่น กดดูที่รูปสุดท้ายเลยจ้า
Butadon ดูจะเป็นหมูย่างธรรมดาโป๊ะมาบนข้าว แต่ความอร่อยไม่ธรรมดาเลยจ้า
เรื่องของรสชาติ แน่ละจะไม่อร่อยได้ยังงัย ก็เชฟเค้าพิถีพิถันในการย่างบนเตาถ่าน มีการเอาไดร์เป่าเพื่อให้เปลวไฟพวยพุ่งแตะเนื้อหมูที่กำลังย่างอยู่ เอาเป็นว่าทั้งหอมถ่าน ทั้งหอมควันกันเลย
เวลาสั่งมีหลายออปชั่นมาก เลือกจนงง แต่ไม่ต้องกลัวมีเมนูภาษาไทยกำกับแบบแปลภาษามาอย่างดี ไม่มีงงงวย มีทั้ง
-ชามปกติ (ชามบนกับชามซ้าย)
-ข้าวปกติ เพิ่มหมู 1.5 เท่า
-ข้าวน้อย หมูปกติ
-ข้ามน้อย เพิ่มหมู 1.5 เท่า
-เพิ่มข้าว เพิ่มหมู 1.5 เท่า (ชามใหญ่ๆทางขวา)
ใครชอบแบบไหนสั่งเอาเลย ส่วนรสชาติบอกเลยว่าไม่ธรรมดาครับ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ข้อดีของการเข้าพักที่ Sapporo Prince Hotel ก็คือมีรถรับส่งฟรีระหว่างโรงแรมและสถานี JR Sapporo ครับ รถมีทุกชั่วโมงเลย ใครนั่งรถไฟมาจากต่างเมืองมาลงที่สถานีรถไฟแล้วมาขึ้นรถโรงแรมได้เลย ส่วนใครที่มาเดินเล่นช็อปปิ้งหรือหาร้านอาหารอร่อยๆทาน ก็นั่งไปกลับที่พักได้ฟรีๆ ประหยัดค่ารถได้อีกครับ
เช้าวันใหม่ พาเด็กๆมาเที่ยวสวนสัตว์ Maruyama Zoo กัน
พิกัด : https://goo.gl/maps/knGYvghYnFfBjLWq8
ลง Subway สถานี Maruyama Koen Station แล้วเดินต่ออีกประมาณ 15 นาที
สวนสัตว์นี้มีสัตว์ค่อนข้างเยอะ แต่ไฮไลท์หลักของคนญี่ปุ่นสนใจช้างมาก แต่คนไทยอย่างเรากลับสนใจหมีของเค้ามากกว่า ในภาพคือ หมีน้ำตาลครับ
แต่ที่ทุกคนชอบมากที่สุดคือ หมีขั้วโลก Polar Bear หรือหมีขั้วโลก ครับ
ดูหมีขั้วโลกว่ายน้ำกัน
เพิ่งเคยเห็นฮิปโปบนน้ำครั้งแรกเลย ตัวอ้วนชะมัด
สำหรับคุณแม่ๆนักช็อปทั้งหลาย เราขอแนะนำ Akachan Honpo สวรรค์ของแม่ๆนักช็อปตัวจริง!!
ไม่ว่าจะแม่เตรียมคลอด แม่ลูกอ่อน แม่ลูกวัย 0-4 ขวบ ต้องชอบแน่ๆ นี่ถ้าไม่ติดว่าขนกลับไทยลำบาก ต้องมีล้มละลายกันไปข้างแน่ๆ
รอบนี้แม่แอนมาเที่ยวฮอกไกโด ซัปโปโร Akachan Honpo สาขาที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่สถานี Shin Sapporo ที่นี่มีทั้ง Subway และ JR เชื่อมกัน ใครสะดวกเดินทางทางไหนก็ลองคำนวนดูค่ะ
พิกัด : สถานี Shin Sapporo ขึ้นมาแล้ว เดินหาทางเข้าห้าง Duo 2 ร้าน Akachan Honpo จะอยู่ชั้น 3
https://goo.gl/maps/MGZBXxoFmNQkiDLq6
ของใช้เกี่ยวกับเด็กไม่ว่าจะเป็นรถเข็น,คาร์ซีท,รองเท้า,เสื้อผ้า,จานชาม,อาหารเด็ก แต่ทีเด็ดคือพวกของใช้กระจุกกระจิก ดีไซน์และประโยชน์ใช้สอยมีให้เลือกเยอะกว่าเมืองไทยเยอะครับ หลายอย่างก็แพงกว่า แต่หลายอย่างก็ถูกกว่า และไม่มีขายที่ไทยด้วยครับ
ใครสนใจว่ามีอะไรบ้าง ตามไปชมภาพเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/BeautyMadameANN/posts/1451252671684248
งานนี้คุณพ่ออย่างเราจ่ายหมดตัวครับ เพราะคุณนายแอนช็อปปิ้งล่วงหน้าให้กับสมาชิกใหม่ในท้องเพียบเลย
2 คืนสุดท้ายที่เกาะฮอกไกโด เราเดินทางมาพักผ่อนที่สกีรีสอร์ทอย่างคิโรโระ Kiroro Resort ถ้าใครจำได้ ที่นี่เป็นหนึ่งในโลเคชั่นในการถ่ายทำหนังดังอย่าง แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว
วิธีการเดินทางหากไม่มีรถ ก็นั่งรถไฟ JR มาลงสถานี Otaruchikko Station แล้วนั่งรถบัสฟรีของโรงแรม ควรจองที่นั่งล่วงหน้าที่ https://www.access-n.jp/summer2019/en/kankou_shuttle/detail/green-otaru-kiroro.html#000589
เข้ามาถึงในโถงล็อบบี้ โอ้โห สวยชะมัดเลย ที่จริง Kiroro Resort จะแบ่งเป็น 2 โรงแรมนะ ได้แก่ The Kiroro, a Tribute Portfolio Hotel และ Sheraton Hokkaido Kiroro Resort เจ้าของเดียวกัน ทีมบริหารเดียวกัน ใช้ Facilities ต่างๆได้หมดนะครับ มีรถรับส่งถึงกันด้วย
ห้องที่เราพักกว้างและสะอาดดีครับ
ห้องน้ำแยกเป็นสัดเป็นส่วน เราพอใจกับห้องพักมากเลย
เดินเล่นรอบๆก่อนนะ แวะทักทายโบสถ์ Chapel อีกหนึ่ง Landmark สำคัญของที่นี่
หลายคนอาจจะสงสัยว่าสกีรีสอร์ท ถ้ามาฤดูร้อนที่ไม่มีหิมะ จะมีกิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง ต้องบอกเลยว่าเยอะมากครับ ค่อยๆอ่านตามลงมานะ จะเล่าให้ฟังครับ
บ่ายๆที่ฮอกไกโด ถึงจะเป็นช่วงฤดูร้อน แต่อากาศถือว่าเย็นสบาย คล้ายๆกับหน้าหนาวเมืองไทยนั่นแหละครับ
เราแนะนำให้ซื้อเป็น Kiroro’s 1-Day Passport ซึ่งสามารถทำกิจกรรมต่างๆได้ ①Park Golf ②Bungee Trampoline ③Euro-Bubble Ball ④Tennis ⑤Paddle Tennis ⑥Bicycle Rental ⑦Treasure Hunt ⑧Sports Equipment Rental ⑨Trout (Yamame) Fishing ⑩Table Tennis ⑪Strider Enjoy Park ⑫Slacklining ⑬Disc Golf ⑭Hot Springs (Onsen) ⑮Pool
ราคาผู้ใหญ่ 4,000 เยน ส่วนเด็ก 3,500 เยน แพกเกจครอบครัว 4 คน 10,000 เยน
เอาละมาเริ่มกิจกรรมกันดีกว่า ชวนน้องเกรซมาปั่นจักรยานวิบากดีกว่า เค้าจะมีสนามที่มีเส้นทางเป็นเนินคดเคี้ยวไปมา อันนี้ต้องทรงตัวจักรยานเก่งสักหน่อยนะครับ เรียกเหงื่อได้เลยนะ
พาเด็กๆมาสนุกกับ Bungee trampoline กันต่อ ว่าแต่น้องกาย หนูสนุกไปหรือเปล่า ลูก
กิจกรรมค่อนข้างเยอะนะ ไปกลิ้งในลูกบอลน้ำกันต่อ
ทีเด็ดของที่ Kiroro Resort ที่เด็กๆชอบมากก็คือ โซนสวนสนุกในร่ม 「GRANSHIP」GAME PARK ในนี้เปรียบเสมือนห้องของเล่นขนาดใหญ่
มีบ้านลมที่เป็นรูปเรือโจรสลัดพร้อมกับลูกบอลนับแสนลูก
ที่ทุกคนชอบมากๆคือจะมีเกมส์ตู้เยอะมาก เกมส์ตู้ปกติต้องหยอดเหรียญเล่นเนอะ แต่ที่ Granship ไม่ต้องหยอดเหรียญครับ เล่นฟรีตามที่อยากเล่นเลย มีตู้เกมส์ให้เลือกเล่นเยอะมากด้วย
ด้านบนมีโต๊ะปิงปองกับโซนปีนเขา
เล่นกันจนเหนื่อยแวะพักดื่มน้ำทานของหวานหน่อยนะ ไอติมที่นี่อร่อยมาก ไม่ควรพลาด
ตกเย็นเรามาปิ้งย่าง BBQ กันต่อ
อาหารเค้าคุณภาพดีมาก อร่อยสุดๆ
ปิ้งย่างกันไป ทานกันไป อากาศเย็นๆ มีความสุขมากๆเลยครับ
รุ่งเช้าวันใหม่ ออกไปพายเรือคายัคที่เขื่อน Ochiai Dam กันดีกว่า
น้ำค่อนข้างนิ่งนะ พายไม่ยาก แม้แต่เด็กเล็กก็ร่วมสนุกกับกิจกรรมนี้ได้ครับ
ที่นี่มีเทนนิสสำหรับเด็กด้วยนะ Paddle Tennis
มีสระว่ายน้ำอุ่นด้วยนะ
ใครที่ชื่นชอบในการแช่ออนเซ็นเค้ามีทั้งแบบญี่ปุ่น (แก้ผ้าหมด) หรือถ้าใครเขินอาย ก็มีแบบใส่ชุดว่ายน้ำได้ครับ
ส่วนใครที่ขับรถมา แนะนำให้ขับรถออกไปเก็บผลไม้กินกันสดๆจากต้นที่ฟาร์ม Yamamoto Fruit Farm
ที่ Yamamoto Fruit Farm มีผลไม้หลายอย่างให้เก็บ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตลอดปี เช่น สตรอเบอรี่, พรุน, แอปเปิ้ล เป็นต้น แต่ช่วงที่เรามามีเชอรี่ให้เก็บครับ เชอรี่ที่ญี่ปุ่นจะสีออกแดง แตกต่างกับเชอรี่อเมริกันที่จะออกสีเข้มๆ
คือเป็นกิจกรรมที่สนุกมาก
บางต้นก็ต้องปีนบันไดขึ้นไปเก็บบนต้นนะ เด็กๆสนุกกันมาก
น้องกายกินไปเยอะสุดๆ บอกว่าชอบเก็บเชอรี่แบบนี้มาก ไม่ยอมกลับกรุงเทพละ จะอยู่ที่ฟาร์มนี่แหละ 5555
เช้าๆ แนะนำให้เดินเล่นไปชมน้ำตกของที่นี่นะ
ก่อนกลับก็แวะตกปลาเทราต์หน่อย
แวะไปเล่นกับเจ้า Hokku & Sugar หมา Saint Bernard เจ้าถิ่นที่ Kiroro Resort น้องหมา Friendly มาก ใครมาที่นี่อย่าลืมแวะไปทักทายกันด้วยนะ
และแล้วก็จบรีวิวเที่ยวฮอกไกโดของครอบครัวเราไปอย่างสมบูรณ์ หวังว่าทุกท่านคงได้รับประโยชน์จากข้อมูล และความสุขกลับออกไปไม่มากก็น้อย วันนี้ลากันไปก่อนแล้วนะ บะบายยย สวัสดีครับ
ปล.หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share
หรืออยากใกล้ชิดกันมากขึ้น แอด Line มาได้เลย มีรีวิวใหม่จะส่งไปบอก อยากคุยกับแอดมิน Line มาคุยเลยจ้า ID : @2Madames กดตรงนี้ก็ได้
หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป