2Madames.com

3 Comments

ตอนนี้เดินทางมาถึงตอนที่ 7 ของทริป 6 ชีวิต คน 3 รุ่น 2 ขวบยัน 65 ปี กับ 14 วัน 2,500 km พิชิต 4 ประเทศ 11 เมือง จากตอนที่แล้วเราเดินทางไปเที่ยวเยอรมันใต้มา ส่วนทริปตอนนี้ครอบครัวเราเดินทางกลับมาประเทศออสเตรียอีกครั้ง โดยเราจะไปเที่ยวเมืองอินส์บรุค Innsbruck เมืองหลวงของแคว้นทิโรล ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีอากาศดี ทิวทัศน์สวยงาม ด้วยมีแม่น้ำสำคัญอย่างแม่น้ำอินส์ไหลผ่าน อันเป็นที่มาของชื่อเมือง รวมทั้งเมืองยังถูกล้อมรอบด้วยภูมิประเทศที่เป็นขุนเขา เวลาเราเดินอยู่ในเมือง จึงรู้สึกเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของขุนเขา นอกจากนี้ จะพาไปเที่ยวเมืองมิวนิค Munich ซึ่งเดิมทีไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทาง แต่ด้วยสภาพอากาศที่ Hallstatt จุดหมายที่ตั้งใจไว้ มีพายุ พวกเราจึงเปลี่ยนแผนเที่ยวมิวนิคเสียเลย ทั้งหมดนี้คือ การเดินทางของรีวิวตอนนี้ครับ จะสนุกสนานและสวยงามแค่ไหน ตามรับชมรีวิวกันครับ

ความเดิมตอนที่แล้ว
ภาพรวมของทริป —> http://www.2madames.com/2madames-in-eastern-europe-czech-austria-germany-hungary/
เที่ยว Prague —> http://www.2madames.com/prague-czech-republic/
เที่ยว Cesky Krumlov —> http://www.2madames.com/cesky-krumlov-czech-republic/
เที่ยว Salzburg —> http://www.2madames.com/salzburg-austria/
เที่ยว Konigssee —> http://www.2madames.com/konigssee-lake-germany/
เที่ยว Zugspitze, Neuschwanstein —> http://www.2madames.com/zugspitze-neuschwanstein-castle-germany/

อินส์บรุค Innsbruck

เป็นเมืองหลวงของรัฐทิโรล ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของประเทศออสเตรีย ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำอินน์ กลางหุบเขาของเทือกเขาแอลป์ อินส์บรูคแปลว่าสะพานแห่งแม่น้ำอินส์ เมืองอินส์บรุคมีชื่อเสียงในด้านเป็นศูนย์กลางของกีฬาฤดูหนาว ซึ่งเมืองแห่งนี้เคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาฤดูหนาวหลายครั้ง ได้แก่ โอลิมปิกฤดูหนาว 1964 และ 1976 พาราลิมปิกฤดูหนาว 1984 และ 1988 รวมถึงโอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาวที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2012 ทำให้อินส์บรุคเป็นเมืองแรกของโลกที่ได้จัดกีฬาโอลิมปิกถึง 3 ครั้ง อินส์บรุคมีพื้นที่ 104.91 ตารางกิโลเมตร ปัจจุบันมีประชากร 121,791 คน

Innsbruck มีที่เที่ยวนอกเมืองมากมายครับ เช่น โรงงานผลิตคริสตัล Swarovski Crystal World แต่สำหรับครอบครัวเรามีเวลาเพียง 1 วันให้กับเมืองนี้ เราเลยเลือกที่จะเดินเล่นเที่ยวในเมืองครับ โดยมีสถานที่เที่ยวสำคัญอย่างถนนมาเรีย เทเรสเซียน ซตราสเซอ (Maria-Theresien- Strasse) ซึ่งถือเป็นใจกลางสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆของเมือง เช่น The Golden Roof หลังคาทองคำด้วย (Goldenes Dachl)

เริ่มต้นทริปของเมืองอินส์บรุค ด้วยการไปชมบ้านหลากสีริมแม่น้ำอินส์ ซึ่งถือเป็นอีกสัญลักษณ์สำคัญของเมืองไปแล้ว

ด้านหลังของบ้านเรือนจะเห็นว่าถูกโอบล้อมด้วยภูเขาครับ ผมว่าน้อยเมืองในโลกนี้ที่จะมีเมืองที่มีภูมิประเทศสวยงามแบบนี้

ตรงกลางสะพานข้ามแม่น้ำมีไม้กลางเขนพระเยซูอยู่ด้วย

ผ่านทริปมา 7 วัน เดินทางข้ามมา 3 ประเทศ ลูกทัวร์ผมเริ่มมีอาการเหนื่อยเล็กน้อย แต่ก็ยังห่วงเที่ยวกันอยู่นะ

เพื่อเป็นการพักผ่อนร่างกายของลูกทัวร์ ทริปวันนี้เลยตัดโปรแกรมแน่นๆทิ้งครับ มาเดินเล่นในเมืองกันแบบสบายๆดีกว่า

พวกเราเริ่มเดินกันที่ถนน Herzog ซึ่งเป็นถนนที่ตัดตรงไปยังหลังคาทองคำครับ ตลอดทางก็เรียงรายไปด้วยร้านอาหารและร้านค้ามากมาย

เดินยังไม่ทันเหนื่อยก็ถึงจุดตัดกับถนนมาเรีย เทเรสเซียน ซตราสเซอ ( Maria-Theresien- Strasse ) ถนนสายสำคัญที่สุดของเมือง

หลังคาทองคำ (Goldenes Dachl) สถานที่ที่ใครไปใครมาเมือง Innsbruck เป็นต้องแวะมาแหงนคอมองอาคารสุดคลาสสิคและเก่าแก่ที่สุดประจำเมืองนี้ ในอดีตเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ทิโรล ที่นี่กษัตริย์แมกซิมิเลี่ยนที่ 1 กับพระนางมาเรียเทเรซ่า เคยใช้เป็นที่ประทับชมการแสดง

ว่ากันว่าหลังคาและกำแพงประดับด้วยโลหะหุ้มทองแดงจำนวน 3,450 แผ่น ตามขอบประตูหน้าต่างประดับด้วยภาพเขียนสวยงาม

ช่วงที่มาเยือนเป็นช่วง Easter ครับ เค้าเลยมีตลาดนัดมาขายของกันอย่างคึกครื้น

หอคอย City Tower สามารถขึ้นไปชมวิวได้นะครับ ค่าขึ้นหอคอย 3 ยูโร

ส่วนสินค้าที่เป็นที่นิยมมากที่สุด ก็คือ Crystal ของ Swarovski ครับ

เห็นถุงเล็ก นั่นอ่ะหลายตังค์นะครับ

ช็อปปิ้งจนตัวเบากันแล้ว เดินเล่นกันต่อครับ

ถนนสายนี้ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน อาคารสีลูกกวาด ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนแทบไม่อยากตีจากถนนสายนี้ไปไหน

และไฮไลท์สำคัญคือ บริเวณ Town Sqaure จะมีเสาอันนาเซาเลอ (Anna Saule) เรียกว่าเป็นจุดศุนย์กลางของเมืองที่มีคนแวะเวียนมาถ่ายภาพมากที่สุดครับ

เก็บภาพครอบครัวซะหน่อยครับ

เกร็ดเล็กน้อย คนยุโรปให้ความสำคัญกับการเดินด้วยจักรยานมากครับ ถึงกับมีตู้เติมลมยาง และเครื่องมือต่าง ตั้งไว้ตามถนนในเมืองเลยครับ

มาชมที่พักของครอบครัวเราบ้างดีกว่า ที่พักของเราคืนนี้มีชื่อว่า Anderlerhof เป็นบ้านหลังใหญ่ครับ ตั้งอยู่นอกเมืองห่างจาก Innsbruck ราว 5 km โดยปกติจะเป็นที่นิยมของหมู่นักท่องเที่ยวเล่นสกี เพราะอยู่ติดกับเคเบิ้ลขึ้นไปเล่นสกีบนภูเขาเลย ช่วงที่ผมมาเป็นช่วงที่หมดฤดูกาลเล่นสกีแล้ว ที่พักเลยถูกแสนถูก บ้านหลังใหญ่บึ้ม ราคาคืนละ 100 ยูโร หรือ 4,500 บาทครับ

ห้องนั่งเล่นกว้างมาก

มีห้องครัวพร้อมอุปกรณ์ครบครัน

โต๊ะทานข้าวก็มี

ห้องนอนแรกนอนกันได้ 4 คน พ่อแม่ลูกพอดีเลย

ห้องนอนที่ 2 สำหรับพ่อตาแม่ยายผมครับ

ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำด้วย

รุ่งเช้าอีกวัน หิมะตกแต่เช้าเลย

การที่เราสามารถท่องเที่ยวในยุโรปได้ในราคาประหยัด ส่วนสำคัญคือการทำอาหารทานเองนี่แหละครับ วัตถุดิบของสดก็ไปซื้อเอาตาม Supermarket เครื่องครัวก็มีอยู่แล้ว ราคาต่อมื้อไม่แพงเลย ถ้าออกไปทานตามร้านอาหารแพงมากครับ ทำเองดีกว่า อร่อย ถูกปากคนไทยกว่าด้วย หายคิดถึงบ้านไปเยอะอ่ะ

วันนี้แม่ครัวของเราทำอาหารหลายอย่างเลย อร่อยๆทั้งนั้น

อิ่มกันแล้ว เด็กๆสดใสพร้อมเดินทางกันต่อครับ

ตามโปรแกรมเดิมที่วางไว้ วันนี้เรามีโปรแกรมจะเดินทางไปยัง Hallstatt แต่หลังจากตรวจสอบสภาพอากาศแล้วพบว่า วันนี้ที่ Hallstatt จะมีพายุฝนครับ ผมไม่อยากไปติดฝนที่นั่น เลยตัดสินใจเปลี่ยนแผนเลี้ยวรถเข้าเยอรมันอีกครั้ง แวะเที่ยวที่มิวนิคก่อนครับ

ด้วยที่ไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางไว้แต่ต้น เราเลยตัดสินใจหาข้อมูลเที่ยวผ่านอินเตอร์เนตแบบฉุกเฉินครับ วิ่งตรงไป Downtown ของเมืองนี่แหละง่ายดี

มิวนิก Munich เป็นเมืองที่อยู่ทางใต้ของประเทศเยอรมนี และเป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย ถือว่าเป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของเยอรมัน รองจากรองจากเบอร์ลินและฮัมบูร์ก

มิวนิค (Munich) หรือที่เรียกในภาษาเยอรมันว่ามึนเชน (München) เป็นเมืองใหญ่อันดับสามของประเทศเยอรมนี เป็นศูนย์กลางธุรกิจและคมนาคมในเยอรมนีตอนใต้ เป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย (Bavaria) หรือ บาเยิร์น (Bayern) ในภาษาเยอรมัน ซึ่งมีพรมแดนติดเทือกเขาแอลป์ รัฐบาวาเรียเคยเป็นรัฐอิสระปกครองด้วยกษัตริย์มาก่อน ก่อนที่จะผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนี จึงมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง ทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม และอาหารอันเลื่องชื่อ ซึ่งได้แก่ ไส้กรอกเยอรมัน ขาหมูทอด เพรทเซล และเบียร์

อาคารที่เด่นเป็นสง่าตรงหน้าจัตุรัส คือศาลาว่าการเมืองหลังใหม่ เรียกว่า นอยเยอรัทเฮาส์ (Neue Rathaus) สร้างในสไตล์นีโอโกธิกในกลางคริสตศตวรรษที่ 19 มีหอคอยสูงกว่า 80 เมตร ตรงกลางหอคอยมีหอนาฬิกาที่เรียกว่า Glockenspiel ซึ่งจะมีตุ๊กตาออกมาเต้นระบำให้ชมกันในเวลา 11 นาฬิกา และเที่ยงตรง ในหน้าร้อนจะเพิ่มรอบ 5 โมงเย็นอีกหนึ่งรอบ

โชคดีมากเลยครับ มาถึงประมาณเที่ยงได้ชมตุ๊กตาพอดีเลย

เดินต่ออีกนิด เจอห้างช้อปปิ้งขนาดใหญ่เลย

สินค้ายอดนิยมของมิวนิก คือ พวกกรรไกรตัดเล็บ ของมีคมต่างๆ ยี่ห้อ ตุ๊กตาคู่ครับ

สัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดอีกแห่งของเมือง คือโบสถ์เฟราเอน (Frauenkirche ออกเสียงว่า เฟรา เอน เคีย เชอะ) เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในมิวนิก สร้างตามแบบโกธิกในปี ค.ศ. 1468 ด้วยอิฐสีแดง แทนที่จะสร้างด้วยหินเหมือนโบสถ์โกธิกทั่วไป ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 20 ปี จึงแล้วเสร็จ

น่าเสียดายที่ตอนมาเที่ยวปิดปรับปรุงไปครึ่งหนึ่ง

ไม่เป็นไร ถ่ายภาพด้านประตูแทนละกันเนอะ

เดินเล่นในเมืองไปเรื่อยๆครับ ไปเจอลานกว้างๆ

นั่งเล่นให้สบายใจกันก่อนเนอะ ไม่รีบอะไร

Max-Joseph-Platz จตุรัสกลางเมือง

เดินเล่นไปเรื่อยๆ เจอเจ้าสิงโตเขียวถือโล่ ช่างเด่นเป็นสง่าเสียจริง

Odeonsplatz ที่อยู่ไม่ไกล เดินจาก Max-Joseph-Platz ประมาณ 5 นาทีครับ

โบสถ์สีเหลืองนั่นคือ Theatinerkirche ครับ สร้างโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากโบสถ์ Sant’Andrea della Valle ในโรมครับ

ทิ้งภาพสุดท้ายที่ภาพนี้ ก่อนจะเดินทางกันต่อไปยัง Hallstatt

ตอนต่อไปจะพาไปหมู่บ้านเล็กๆริมทะเลสาบที่ชื่อ Hallstatt ครับ มันสวยสุดยอดเลยครับ รอติดตามชมได้เร็วๆนี้นะครับ

http://www.2madames.com/hallstatt-austria/

ปล.หากคุณอ่านรีวิวมาถึงตรงนี้ ผมได้ใช้เวลาและพลังงานมากมายในการเขียนรีวิวเพื่อเป็นข้อมูลและประโยชน์แก่ทุกคน หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า

อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ