ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ครอบครัวของผมเคยเดินทางไปเที่ยวมาหลายครั้งแล้วก็จริง แต่ทริป 11 วันครั้งนี้ค่อนข้างจะแตกต่างกับทริปครั้งก่อนๆ เพราะการเดินทางในครั้งนี้ ผมได้วางแผนจัดสุดยอดโปรแกรมสำหรับครอบครัวและเด็กๆไว้อย่างเต็มที่ เน้นไปที่การตะลุยสวนน้ำและสวนสนุก ดูสัตว์ต่างๆ ตามรอยตัวการ์ตูนดังอย่างโดราเอมอน, คิตตี้, อันปันแมน ร้านอาหารก็เน้นความน่ารักของจานที่เด็กๆเห็นแล้วต้องอดใจไม่ไหว แถมใส่โปรแกรมนอนเรียวกังหรูชมวิวภูเขาไฟฟูจิ และชมซากุระไว้ด้วย สำหรับใครที่มีครอบครัวและเด็กๆ ลองชมทริปนี้ดู เผื่อเป็นข้อมูลไว้เดินทางนะครับ ตามไปชมรีวิวทริปเที่ยวญี่ปุ่นเอาใจเด็กๆกันเลย
โปรแกรมเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองเอาใจเด็ก 11 วัน นาโกย่า-ฮาโกเน่-ฟูจิ-คาวากูชิโกะ-โตเกียว-โยโกฮาม่า Nagoya-Hakone-Fuji-Kawaguchiko-Tokyo-Yokohama
โปรแกรมนี้ไม่ได้ไปกับทัวร์นะ เป็นการเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง โดยใช้การเดินทางด้วยรถไฟเป็นหลัก บางช่วงก็จะมีการสลับด้วยการนั่งรถบัสบ้าง รายละเอียดต่างๆจะค่อยๆเล่าให้ฟังนะ
20 มี.ค. 59 – เดินทางจากกรุงเทพด้วยการบินไทย สู่เมือง Nagoya ประเทศญี่ปุ่น ถึงสนามบินนาโกย่าช่วงเช้า เดินทางไปเก็บสัมภาระที่พัก Nagoya Tokyu Hotel แล้วเดินทางไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำท่าเรือนาโกย่า Port of Nagoya Public Aquarium
21 มี.ค. – เที่ยวปราสาทนาโกย่า Nagoya Castle หม่ำเนื้อดิบชุบแป้งทอด Kyoto Beef Style บ่ายเที่ยวพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เมืองนาโกย่า Nagoya City Science Museum เย็นๆเดินเล่นย่านถนนคนเดิน Osu Kannon แวะร้านดัง Alice on Wednesday
22 มี.ค. – นั่งรถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็นไปยังฮาโกเน่ Hakone นั่งกระเช้าลอยฟ้า ล่องเรือโจรสลัดที่ทะเลสาบอะชิ Ashi Lake ชมโทริอิกลางน้ำ เล่นสวนน้ำออนเซ็นยูเนสซัน Yunessun นอนเรียวกังหรู Hakone Hotel Kowakien
23 มี.ค. – นั่งรถบัสไปเมืองคาวากูชิโกะ Kawaguchiko ขึ้น Ropeway ทักทายเจ้ากระต่ายและแรคคูน ชมแช่ออนเซ็นส่วนตัวชมภูเขาไฟฟูจิที่เรียวกัง Kozantei Ubuya
24 มี.ค. – เที่ยว Kawaguchiko Music Forest เดินทางไปโตเกียว Tokyo
25 มี.ค. – เที่ยวโตเกียว ดิสนีย์ซี Tokyo Disney Sea เย็นๆพาเด็กๆไปคาเฟ่นกฮูก Fukurou no Mise – Owl Café
26 มี.ค. – จัดหนักบุฟเฟ่ต์เนื้อย่าง ขาปูยักษ์ ที่ Rokkasen Yakiniku ย่าน Shinjuku บ่ายๆไปหาโดราเอมอนที่พิพิธภัณฑ์โดราเอมอน Fujiko F Fujio Museum
27 มี.ค. – ตะลุยพิพิธภัณฑ์เด็ก อันปันแมน Yokohama Anpanman Children’s Museum and Mall เย็นกลับมาชมโชว์ที่ Robot Restaurant
28 มี.ค. – บุกดินแดนคิตตี้ Sanrio Puroland
29 มี.ค. – ขึ้นไปชมวิวบน Tokyo Skytree เที่ยววัดอาซากุสะ (Asakusa หรือวัด Sensoji temple) ชมซากุระบานที่ Ueno Park เดินเล่นตลาด Ameyoko
30 มี.ค. – ชมซากุระกลางเมืองที่ Shinjuku Gyoen เดินทางกลับกรุงเทพด้วยเครื่อง Airbus A380 ของการบินไทย
เชิญรับชมคลิปบรรยากาศการเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองแบบเอาใจเด็กๆก่อนนะ
ก่อนเข้ารีวิวเที่ยว อยากจะเล่าแบ่งปันเรื่องการเตรียมตัวก่อนการเดินทางนิดหนึ่งนะ
1.) วีซ่า คนไทยสามารถเดินทางท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า โดยระยะเวลาไม่เกิน 15 วัน ถ้าเกินต้องขอวีซ่า
2.) ค่าเงิน เงิน 100 เยน = 31.55 บาท (เม.ย. 59) เช็คได้ที่ http://www.superrichthailand.com/exchange?lang=th
3.) Application ที่จำเป็นควรเตรียมก่อนการเดินทาง
เช็คการเดินทางโดยรถไฟด้วยเว็บ http://www.hyperdia.com/en/
Japan Train App Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=bside.extremeambient.net&hl=th
แอปสาระพันประโยชน์เกี่ยวกับญี่ปุ่น Tabimori : https://play.google.com/store/apps/details?id=jp.narita_airport.android.tabimori&hl=th / https://itunes.apple.com/th/app/tabimori/id900354705?mt=8
Japan Connected-free Wi-Fi : http://www.2madames.com/japan-connected-free-wi-fi/
TRAVEL JAPAN Wi-Fi : https://play.google.com/store/apps/details?id=jp.ne.wi2.tjwifi&hl=th / https://itunes.apple.com/th/app/travel-japan-wi-fi-guide-wifi/id935204367?mt=8
ถ้าสมัครแบบ Premium code 200 บาทใช้งานได้ 2 สัปดาห์ (แบบ Premium code จะใช้งาน Wi-fi ได้เยอะกว่า + มีส่วนลดกับห้างต่างๆ)
4.) ขอคำแนะนำจากผู้รู้ ก่อนเดินทางเราแวะไปซื้อบัตรต่างๆ และจองที่พักบางส่วนกับบริษัท SBA Travel แถวๆสาทรครับ ที่นี่เค้ามีเจ้าหน้าที่เก่งๆที่รอบรู้เรื่องเที่ยวญี่ปุ่นมาคอยให้คำปรึกษาฟรี แถมสามารถจองที่พัก รวมทั้งยังจองตั๋วต่างๆ เช่น JR Pass, Universal Studio, Robot Restaurant, Skytree ฯลฯ ใครกำลังจะไปญี่ปุ่นแล้วเตรียมตัวไม่ถูก ไม่แน่ใจเรื่องข้อมูล โทรไปปรึกษาได้เลยครับ 02-635-3655 / https://www.facebook.com/sbatravel
5.) ประกันการเดินทาง ผมเพิ่งไปเจอประกันการเดินทางแจ๋วๆที่เหมาะกับการเดินทางแบบครอบครัวมาครับ ผมใช้ประกันการเดินทางของบริษัททิพยประกันภัยแผนครอบครัว ข้อดีคือ ซื้อประกันการเดินทางสำหรับสามี-ภรรยา แถมฟรี คุ้มครองลูกๆที่ร่วมเดินทาง 2 คนเลย แหม.. ซื้อ 2 แถม 2 ดีมาก แต่เงื่อนไขคือ สามีภรรยาต้องอายุไม่เกิน 75 ปี และฟรีสำหรับบุตรอายุ 1-21 ปีครับ สำหรับใครที่ต้องซื้อประกันการเดินทางเพื่อการขอยื่นวีซ่า ซื้อแล้วขอคำแนะนำได้ทันที แถมการันตีกรณีขอวีซ่าไม่ผ่าน ยินดีคืนเงิน 100% ด้วย โอ้ว ดีงาม
แผนราคาเบาๆสำหรับเดินทางสั้นๆ เริ่มต้นแค่ 174 บาทเท่านั้น ใครเดินทางเยอะๆ ก็มีแผนรายปี ที่เหมาะกับคนเดินทางบ่อย คุ้มครองไม่จำกัดจำนวนทริป แต่ละทริปคุ้มครองได้ระยะยาวสูงสุด 180 วัน ทริประหว่างปีเดินทางได้เลยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า ราคาประมาณพันกลางๆเอง
รายละเอียดต่างๆ เรื่องผลประโยชน์ ความคุ้มครอง และเบี้ยประกัน ตามไปดูที่ http://www.dhipaya.co.th/insurance/travel-insurance.asp?idMenu=465
6.) บัตรเครดิตที่น่าถือเวลาไปญี่ปุ่น
บัตรในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ถือว่าตอบโจทย์มากเพราะจะได้รับส่วนลดร้านค้า ร้านอาหารมากกว่า 300 ร้านค้าที่ญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว ฟังแค่นี้ก็อดใจไม่ไหวกันเเล้ว ใช่มั้ยล่ะ
ล่าสุดโปรโมชั่นของบัตร Krungsri JCB Platinum น่าสนใจมาก เอาที่เก๋ๆเลยนะ
– ใช้ Airport Lounge ฟรีที่สนามบินในประเทศญี่ปุ่น 28 แห่ง,รวมทั้ง ฮ่องกง, เกาหลี, สิงคโปร์, จีน และฮาวาย
– ลดสูงสุด 5% ที่ร้านขายยาดัง Matsumoto Kiyoshi ประเทศญี่ปุ่น
– รับส่วนลดห้างดังอย่าง Odakyu, Tokyu และร้านอาหารต่างๆ
– ใครเดินทางไป-กลับจากสนามบินนาริตะและคันไซด้วยรถ Airport Limousine Bus ลดค่าโดยสาร 20% ได้ฟังแค่นี้ก็ ว้าว เเล้วใช่มั้ยล่ะ
มีพวกคะแนนสะสม 3 เท่าด้วยนะ เล่าไม่หมดอ่ะ ตามไปดูเองที่ http://www.krungsricard.com/en/jcbplatinum.html
7.) การใช้อินเตอร์เนต
ถ้าใช้อินเตอร์เนตหลายๆเครื่องใช้ Pocket Wifi ดีมาก ผมใช้เจ้านี้ประจำเลย Samurai Wifi เค้ามีเคาน์เตอร์ที่สนามบินด้วย รับ-คืนสะดวกดี ราคาก็ไม่แพง สนใจก็ตามไปที่ http://www.bs-mobile.jp/th/
เมื่อเตรียมพร้อมแล้ว ก็ออกเดินทางกันเลยดีกว่า นั่งทานขนมรอขึ้นเครื่อง น้องเกรซน้องกายช่วงนี้ชอบทานชินมัยมาก มีรุ่นพี่ที่รู้จักคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าขนมชินมัยดีมาก เพราะทำจากข้าวหอมมะลิแท้ใช้การอบแทนการทอด และ เหมาะกับคนที่แพ้โปรตีนกลูเตนจากแป้งสาลีด้วย แถมรสชาติอร่อยถูกปากทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลย
ได้เวลาขึ้นเครื่องบินแล้ว ทริปนี้บินด้วยการบินไทยจ้า แอร์เป็นคนไทย อาหารไทย หนังบนเครื่องก็มีพากย์ไทย แถมบินเวลาดีมาก บินกลางดึก หลับบนเครื่องเวลาผ่านเร็ว ถึงเช้าเที่ยวต่อได้เลย เหมือนประหยัดค่าโรงแรมไป 1 คืน ดีงามที่สุด
ทริปนี้เราแยกกระเป๋าเป็น 2 ใบ คือ ส่วนนาโกย่า+ฟูจิ และส่วนสำหรับช่วงที่อยู่ที่โตเกียว
ถึงสนามบินนาโกย่า สิ่งแรกที่เราทำเลย คือ การส่งกระเป๋าไปโตเกียวหนึ่งใบก่อน เราใช้บริการเคาน์เตอร์แมวดำนี่แหละ แค่กรอกที่อยู่และวันที่ แล้วก็ฝากที่พักที่โตเกียวให้รับไว้ให้ แค่นี้ก็ไม่ต้องแบกกระเป๋าหลายใบละ
วิธีเดินทางเข้าเมือง Nagoya ก็สามารถซื้อตั๋วรถไฟนั่งเข้าเมืองได้เลยครับ
หลังจากเอากระเป๋าเข้าไปเก็บที่โรงแรมแล้ว เราก็เริ่มเที่ยวกันเลยที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำท่าเรือนาโกย่า หรือ Port of Nagoya Public Aquarium กัน
ค่าเข้าผู้ใหญ่ 2,000 เยน เด็ก 1,000 เยน
ใครมี Metro day pass แสดงลดราคา 10% นะ
แวะถ่ายรูปกัลภาพปลาวาฬเจ้าถิ่นก่อนเลย
ภาพนี้คือส่วนแสดงโชว์ปลาโลมา ใหญ่โตอลังการมากๆครับ
นอกจากปลาโลมาแล้ว หากมาที่นี่ไม่ควรพลาดที่จะชมปลาวาฬเพชรฆาต Orca และวาฬเผือกด้วยนะ ฉลาดและน่ารักมากๆ
Aquarium ใหญ่มากนะ มีสัตว์น้ำต่างๆเยอะมาก ทั้งปูขายาว ปลากระเบน เต่า นกเพนกวิน และฝูงปลาขนาดใหญ่ที่ว่ายไปทางเดียวกัน ควรเผื่อเวลาไว้อย่างน้อย 3 ชม. เลยครับ
ใครที่มีเวลามากกว่าผม ก็สามารถเที่ยวบริเวณท่าเรือแถวนี้ได้อีกนะ มีอะไรให้เที่ยวอีกเยอะเลยครับ
ที่พักของเราทริปนี้อยู่ในย่าน Sakae ซึ่งถือว่าเป็นย่านกลางเมืองของ Nagoya เลยครับ ขากลับที่พักเลยได้ชม Nagoya Tower ในเวลาท้องฟ้ากำลังสวยพอดี
ที่พักในเมือง Nagoya ของเราทั้งสองคืน พักกันที่โรงแรม Nagoya Tokyu Hotel โรงแรมนี้ทำเลดีมาก เดินจากสถานีรถไฟประมาณ 5 นาที ห้องใหญ่และสะอาดมาก จองมากับ SBA Travel ได้ราคาดีกว่าจองผ่านเว็บดังๆอีกครับ
รุ่งเช้าก็ไปเที่ยวกันต่อที่ปราสาทนาโกย่า Nagoya Castle ตัวปราสาทสวยงามดีครับ แต่ผมว่าสู้ที่ฮิเมจิไม่ได้ เนื้อที่ปราสาทใหญ่โต เดินเข้ายังไกลจนเด็กๆบ่นเมื่อยกันเป็นแถว
สัญลักษณ์ของปราสาทได้แก่ เจ้าปลาตัวนี้แหละครับ และก็กลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองนาโกย่าไปในตัวด้วย
ปลายๆ มี.ค. ดอกซากุระใกล้บานแล้วครับ แต่ผมคงมาเร็วไปหน่อย ซากุระที่ปราสาท Nagoya Castle เลยบานแค่ต้นเดียว ไม่เป็นไรได้ชมต้นเดียวก็ยังดี
แจกพิกัดลายแทงคนชอบทานเนื้อที่นาโกย่าครับ
ยอมรับจริงๆว่าเกิดมาเพิ่งเคยทาน “เนื้อดิบชุบแป้งทอด” ลักษณะเนื้อด้านในจะยังเป็นสีแดงๆ แต่ด้านนอกจะเป็นแป้งทอดกรอบแบบคัตสึ
ร้านนี้ชื่อว่า KYOTO STYLE BEEF Wagyu-Aging Beef กว่าจะได้กิน ต้องต่อคิวรอกว่า 40 นาทีเลยทีเดียว
Beef Cutlet ZEN ชุดนี้สำหรับคนที่ชอบทานเนื้อแบบนิ่มๆ แต่ก็ชื่นชอบความกรอบในแบบชุบแป้งทอด คือ มันฟินสองอารมณ์จริงๆ แถมมีน้ำจิ้มให้เลือกจิ้มบานเลยครับ ตั้งแต่จิ้มไข่ลวก, แกงกระหรี่, โซยุกับวาซาบิ, พริกไทย ฯลฯ แต่ผมชอบแบบโซยุกับวาซาบินะ สุดยอด
ราคาเซทนี้อยู่ที่ 1,706 เยน (ราวๆเกือบหกร้อยบาท)
พิกัดตามนี้ครับ ลง Subway สถานี Fushimi เดินตาม GPS นี้ไป
https://goo.gl/maps/XC6QWSoF7R32
อันนี้คือป้ายแนะนำวิธีจิ้มน้ำจิ้มและเครื่องเคียงต่างๆของร้านครับ
ไม่ไกลจากร้านเนื้อ เราไปเที่ยวต่อกันที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เมืองนาโกย่า Nagoya City Science Museum
ค่าเข้าถูกมาก แค่ 400 เยน เด็กต่ำกว่า 6 ขวบฟรีอีกต่างหาก แสดง Metro Day Pass ลด 10%
ถึงราคาค่าเข้าจะถูก แต่ด้านในสนุกและน่าสนใจมากนะ มีการทดลองเรื่องวิทยาศาสตร์ต่างๆ ทำได้ดีเลยแหละ
หลายอย่างก็เป็นภาษาญี่ปุ่นนะ แต่ก็พอเดาได้ว่าอะไรบ้าง เรียกว่ามาอยู่ในนี้ได้หลายชั่วโมงเลย คุ้มค่าตั๋วมาก
ตกเย็น คุณนายแอนบอกว่าทริปนี้ยังไม่ได้เดินเล่นช็อปปิ้งเลย รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว อ่ะจัดไป ที่รัก พามาเดินย่านถนนคนเดิน Osu Kannon กัน แต่ขอแวะเที่ยวศาลเจ้าสวยๆทางเข้าถนนคนเดินก่อนนะ
ถนนคนเดิน Osu Kannon ร้านรวงเพียบครับ ทั้งขายของ ขายอาหาร ร้านร้อยเยน คนเดินเยอะมาก คึกคักกันตลอดสายเลย
แต่ร้านที่เป็นเหมือน Landmark ที่ใครต่อใครต้องมาแวะถ่ายภาพด้วยก็คือ ร้าน Alice on Wednesday เอกลักษณ์ที่ประตูบานเล็กๆของร้านนี่แหละ แปลกจนต้องขอแวะเข้าไปดูเลย
ภายในร้านจะขายพวกเครื่องประดับพวกตุ้มหู สร้อยคอ ของกระจุ๊กกระจิ๊ก งานนี้คุณนายเกรซก็ได้ตุ้มหูคู่ใหม่ด้วย
รุ่งเช้าเรารีบออกเดินทางนั่งรถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็นมายังสถานี Odawara Station เรามาแวะกันที่ Odakyu Sightseeing Service Center กันก่อน
ที่นี่เค้ามีขาย Hakone Free Pass ที่สามารถขึ้นทั้งรถไฟ, Cable Car, เรือโจรสลัด รวมทั้งรถบัสสายต่างๆในบริเวณ Hakone ครับ
รายละเอียดของพาสดูได้ที่ลิงก์นี้จ้า
http://www.hakonenavi.jp/thai/freepass/
ระหว่างนั่งรถไฟก็รองท้องด้วยขนมชินมัยของโปรดของเด็กๆ
ช่วงนี้กระเช้าช่วง Owakudani ที่สามารถลงไปชิมไข่ดำยังไม่เปิดให้บริการนะครับ เนื่องจากสถานการณ์ของภูเขาไฟฮาโกเน่ยังไม่ปลอดภัย เราจึงต้องนั่งรถบัสอ้อมส่วนที่ปิดไปมาขึ้นอีกสถานีเพื่อต่อไปยังล่องเรือโจรสลัดทะเลสาบอะชิ
นั่งทานข้าวรอรอบเรือเล็กน้อย ล่องเรือโจรสลัดก็รวมอยู่ใน Hakone Free Pass อยู่แล้ว ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มนะ
พวกเราอัพเกรดเป็น First Class จะได้นั่งอยู่ส่วนหน้าของเรือ ค่าใช้จ่ายในการอัพเกรดคนละ 500 เยน เด็ก 250 เยน
ข้อดีของการอัพเกรด คือ คนน้อยกว่าเยอะ ถ่ายภาพสะดวกขึ้นครับ
เอาละ เพลง My Heart will go on บรรเลงได้ แจ๊คกับโรสพร้อมละ 5555
จุ๊ๆ… มะม้าชอบขี้บ่นดีนักใช่มั้ย เอาเลย เด็กๆ ไฟร์เออร์… 5555
เรือล่องมาใช้เวลาพอสมควรครับ เราลงที่ท่า Motohakone-ko เพื่อลงไปเที่ยวโทริอิกลางน้ำ อีกหนึ่ง Landmark ของที่นี่กัน
จาก Motohakone-ko จะมีท่ารถบัสสาย Hakone Tozan Bus อยู่ เราก็ขึ้นรถบัสมาลงยังป้าย Kowakien เพื่อเข้าพักที่เรียวกัง Hakone Hotel Kowakien
ข้างนอกเรียวกังอาจจะดูเก่าสักหน่อย แต่พอเข้ามาด้านในมันช่างหรูหราและใหม่อย่างไม่น่าเชื่อครับ ห้องพักก็ใหญ่โตพักสบายมากๆ อาหารเย็นก็โอเคเลย อาหารเช้าเลือกได้ว่าจะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์หรือแบบญี่ปุ่นก็ได้
ตรงข้ามกับที่พัก เป็นสวนน้ำออนเซ็น Yunessun ครับ
ปกติขึ้นชื่อว่าสวนน้ำก็สนุกสำหรับเด็กๆอยู่แล้ว แต่พอเป็นสวนน้ำที่เป็นน้ำร้อนออนเซ็นด้วยแล้ว มันยิ่งสนุกขึ้นไปใหญ่เลย
แตกต่างจากออนเซ็นที่อื่นที่จะต้องเปลือยเท่านั้น ที่นี่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆใส่ชุดว่ายน้ำเข้าไปเล่นได้ ทำให้คนไทยที่มักจะอายเรื่องนี้หมดกังวลได้ ก็เหมือนไปเล่นสวนน้ำทั่วไป แต่มันสนุกตรงน้ำเป็นน้ำร้อนทั้งหมด มีสระตรงกลางใหญ่มาก จะนอนแช่ตัวสบายๆก็ได้
แต่ถ้าเล่นก็มีสไลด์เดอร์ยาวๆ สระของเล่นเด็ก ใครเบื่อออนเซ็นแบบเดิมๆ ที่นี่มีบ่อเก๋ๆอย่างบ่อไวน์แดง, บ่อกาแฟ, บ่อชามราเมง บ่อปลาตอด โอ้ว… บอกได้เลยว่าสนุกสุดยอดครับ
รุ่งเช้าได้เวลาเดินทางต่อจาก Hakone ใช้รถบัสสาย Hakone Tozan Bus นั่งมาลงยัง Gotemba Station พอถึงป้าย Gotemba แล้ว ให้เดินข้ามสถานี JR ลงมายังท่ารถบัส Fujikyu Bus Terminal ต่อรถมาลงที่ Kawaguchiko Station อีกทีครับ
และแล้วก็ไม่ผิดหวังครับ วันนี้ฟูจิซังออกมาโชว์ตัวให้พวกเราชื่นชมอย่างที่หวังไว้
การเดินทางในช่วง Kawaguchiko แนะนำให้นั่งรถ Retro Bus ครับ โดยเจ้ารถสายนี้มันจะวิ่งวนไปตามโรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยวของ Kawaguchiko เลย
เส้นทางการวิ่ง http://bus-en.fujikyu.co.jp/heritage-tour/detail/id/1/
ทะเลสาบคาวากูจิโกะกับภูเขาไฟฟูจิสวยเหลือเกิน
ผมเคยได้ให้สัญญากับภรรยาผมไว้ ว่าจะพาเธอไปอุ้มทั่วทุกหนทุกแห่งที่สวยงามของโลกใบนี้ และนี่ก็เป็นการอุ้มที่สวยงามอีกครั้ง
เนื่องจากเรียวกัง Kozantei Ubuya ที่จองไว้ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน เราเลยฝากกระเป๋าแล้วมาเที่ยว Ropeway กันก่อน
ที่ตรงนี้เราเคยมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 5 ปีก่อน แล้วความสุขก็เกิดขึ้นใหม่อีกครั้งตรงที่เดิม
ความสุขเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือน้องกาย
บรรยากาศดีแบบนี้ เหมาะแก่การหอมแก้มลูกๆเป็นที่สุด
ลงจาก Ropeway อย่าลืมแวะชิมคุ้กกี้ร้าน Fujiyama Cookie ที่ตั้งอยู่ด้านล่างนะครับ คุ้กกี้เค้าหอมอร่อยมาก
ที่พักคืนนี้ของเราที่ Kawaguchiko จองไว้ที่ Kozantei Ubuya ครับ ที่นี่จองยากและราคาแพงมาก
ที่จองยากและแพงมาก ก็คงเพราะบ่ออนเซ็นส่วนตัวที่มีวิวภูเขาไฟฟูจิสวยๆแบบนี้แหละครับ
และเมื่อห้องราคาแพง เราจึงไม่ออกไปเที่ยวไหน ขอใช้เวลากับห้องพักสวยๆแบบนี้ตลอดวันครับ
“ทำไมฉันจะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเก็บเงินไว้จ่ายให้โรงพยาบาลตอนแก่ด้วยล่ะ
ไม่มีทางหรอก ฉันเลือกที่จะใช้เงินที่ฉันหามาเพื่อมีความสุขกับครอบครัวดีกว่า”
- 2Madames.com –
รุ่งเช้าวันใหม่ อากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ท้องฟ้ามีเมฆหมอกมาปกคลุม ทำให้ฟูจิซังหายไปด้วย มีฝนตกเล็กน้อย อากาศก็หนาวด้วย
พวกเรานั่ง Retro Bus มาเที่ยวกันที่ Kawaguchiko Music Forest Museum ที่นี่ได้ชื่อว่าคือ Little Europe หรือยุโรปน้อยๆแห่งภูเขาไฟฟูจิครับ
เค้ามีบริการแต่งชุด Cosplay เป็นเจ้าหญิงเจ้าชายด้วยนะครับ ค่าเช่าผู้ใหญ่ 1,000 เยน เด็ก 500 เยน แต่งชุดแบบนี้ เข้ากับบรรยากาศมากทีเดียว
วันนี้คุณนายแอน น้องเกรซ น้องกาย สวยหล่อมั้ยครับ
ที่นี่จำลองหมู่บ้านน่ารักๆสไตส์ยุโรปมาตั้งไว้ที่ญี่ปุ่นครับ มีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงกล่องเพลงสวยๆ ของน่ารักๆเต็มไปหมด
ค่าเข้าผู้ใหญ่ 1,500 เยน แต่แนะนำให้หาคูปองตามที่พักไปแสดงจะได้ลดเหลือ 1,200 เยนครับ
แต่ไฮไลท์สำคัญคือการแสดงโชว์วาดภาพด้วยทรายที่ทำเป็นเรื่องราวต่างๆประกอบเสียงเพลงเพราะๆ ซึ่งเป็นโชว์ที่สวยงามและน่าชมมาก
คุณนายแอนแต่งชุดเจ้าหญิงเดินที่โถงบันได เข้ากันกับบรรยากาศได้ดีมาก (ยกเว้นหน้าหมวยๆนะ 5555)
ใช้เวลาเที่ยวอยู่หลายชั่วโมง บ่ายวันนั้นเราก็นั่งรถบัสไปยังโตเกียว
รายละเอียดดูตามนี้นะ http://highway-buses.jp/fuji/
เช้าวันใหม่ โปรแกรมวันนี้คือพาเด็กๆไปเที่ยวสวนสนุกระดับโลกอย่างโตเกียว ดิสนี่ย์ซี Tokyo Disney Sea
รถไฟสายมิกกี้เมาส์น่ารักมากมาย ที่ญี่ปุ่นตัวการ์ตูนหมี Duffy และ Shelliemay ดังมากๆครับ ที่จับบนรถไฟก็เป็นหู Shelliemay เลย
ถึง Tokyo Disney Sea แล้วจ้า มีตัวละครอย่าง Groofy มาให้การต้อนรับอยู่
เข้ามาด้านใน โอ้โห มันช่างยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ
สักพักตัวละครต่างๆของ Disney ก็นั่งเรือมาเต้นแสดงกันตรงลานด้านหน้า เด็กๆชมกันเพลินเลยครับ
ภายใน Tokyo Disney Sea แบ่งเป็นหลายโซนมาก มีตั้งแต่ Mediterranean Harbor, American Waterfront, Toy’s Story, Port Discovery, Lost River Delta, Mysterious Island, Mermaid Lagoon, Arabian Coast
คือที่นี่มันใหญ่มากจริงๆ แต่คนก็เยอะด้วย จะเล่นอะไรทีต่อคิวกันยาว อันที่ฮิตๆรอกัน 2-3 ชั่วโมงนะ แต่เค้าจะมีระบบ Fast Pass เหมือนให้ไปกดจองคิวเล่นไว้ก่อน อย่าง Tower of Terror เนี่ย เราไปกดจองตั้งแต่ 11.00 น. ได้เล่นอีกที 17.00 น. เลยครับ แนะนำให้ไปกดจองไว้หลายๆที่ก่อน แล้วระหว่างนั้นก็เดินเล่นสวนสนุกไป
ส่วนโชว์ที่เด็กๆไม่ควรพลาดเลยคือ Triton’s Concert ที่ Mermaid Lagoon ครับ
เดินกันจนเย็น เราพาเด็กๆมาที่คาเฟ่นกฮูก Fukurou no Mise – Owl Café
พิกัดคาเฟ่นกฮูก Fukurou no Mise ลงที่สถานี Tsukishima ออกทางออก 10 เดินข้ามถนนมา ซ้ายมือจะเห็นร้าน Hotto motto และข้างๆอีกฝั่งจะเป็นซูเปอร์ เดินเข้าซอยมานิดนึงก็จะเจอร้านอยู่ด้านขวามือ
https://www.google.co.th/maps/place/Fukuro+No+Mise/@35.6631627,139.7798918,17z/data=!3m1!4b1!4m2!3m1!1s0x6018897a92122f09:0x232ad78bc2897f28
คาเฟ่นกฮูกแห่งนี้ เป็นร้านเล็กๆ ในร้านมีนกฮูกเพียบเลยครับ มีทั้งตัวเล็ก ตัวใหญ่ สีน้ำตาล สีขาว ตาใหญ่ ตาเล็ก มันเชื่องมาก เราสามารถนำน้องนกฮูกมาเกาะแขน เกาะไหล่ หรือลูบหัวมันก็ได้
ค่าเข้าราคาเดียวทั้งเด็กและผู้ใหญ่ 1 ชม. 2,000 เยน มีเครื่องดื่มให้คนละ 1 แก้ว (เครื่องดื่มธรรมดามากนะ เน้นนกฮูกมากกว่า) พร้อมของที่ระลึกพวกสร้อยคอหรือจี้เล็กๆให้คนละ 1 ชิ้น
ร้านนี้เล็กมากต้องมาล่วงหน้าแล้วจองคิวไว้นะ อย่างพวกเรามาทุ่มหนึ่ง กว่าจะได้เข้าสองทุ่มเลยครับ
ทางร้านเค้ามีชุดแฮรี่ พอตเตอร์พร้อมแว่นตากลมให้เราใส่ฟรีๆด้วย เรียกว่าเป็นอะไรที่สนุกสนานมากๆ
ข้อระวังคือ น้ำหอมจะเป็นอันตรายต่อน้องนกฮูกนะ น้องนกฮูกสามารถอึได้ทุกเมื่อ ดังนั้นใครโชคดีก็จะโดนมันทิ้งบอมม์ใส่ เด็กต่ำกว่า 2 ขวบห้ามเข้า
รุ่งเช้าวันใหม่ ขอมาจัดหนักบุฟเฟ่ต์เนื้อย่าง ขาปูยักษ์ หอยเชลส์ ร้าน Rokkasen Yakiniku ย่าน Shinjuku
ผู้ใหญ่ 7,300 เยน เด็กๆฟรี ทานได้ 90 นาที
คนเยอะมาก ควรจองล่วงหน้า หรือรีบมารอก่อนเวลา ไม่งั้นมีสิทธิ์อดกิน
เนื้อลายสวยถือว่านิ่มอร่อยระดับหนึ่ง ไม่ถึงกับสุดๆแบบโกเบหรือมัตสึซากะนะ แต่ก็ฟินได้ด้วยปริมาณไม่อั้น คอหมูใช้ได้ ปูยักษ์ก็โอเคไม่ถึงกับพวกร้านที่ขายขาปูเฉพาะ บรรยากาศร้านและการบริการโอเค เทียบกับราคาที่จ่ายไปก็ควรค่าแก่การมาจัดหนักครับ
วันนี้มีคิวพาเด็กๆมาพิพิธภัณฑ์โดราเอมอนครับ หรือที่เรียกกันเป็นทางการว่า Fujiko F Fujio Museum ซึ่งเป็นชื่อของคนวาด Doraemon นั่นเอง
ที่นี่ใครจะมาต้องจองล่วงหน้านะ ที่หน้างานจะไม่มีการขายตั๋ว ต้องจองมาเท่านั้น วิธีการจองก็ให้ไปที่ร้าน Lawson แล้วทำตามวิธีนี้
http://l-tike.com/fujiko-m/english/
ตอนกดตู้ไม่ยากหรอก แต่มันจะยากตอนจ่ายตังครับ เพราะเราจะไม่มีบัตรอะไรที่จ่ายเงินตู้นี้ได้ แนะนำให้ไปตามพนักงานมากดให้เราครับ บอกเค้าว่าเรามีเงินสด ให้เค้าช่วยกดจองให้หน่อย เมื่อทำสำเร็จ เค้าจะออกใบเสร็จที่สามารถมาเปลี่ยนเป็นบัตรเข้าที่พิพิธภัณฑ์โดราเอมอนมาให้ครับ
รอบในการจองก็มีตั้งแต่ 10 โมง, เที่ยง, บ่ายสอง, บ่ายสี่ และต้องมาห้ามเลทกว่าที่จองไว้เกิน 30 นาทีนะ ใครตั้งใจจะมาเสาร์ อาทิตย์แนะนำให้จองล่วงหน้าหลายวันหน่อย ไม่งั้นมันเต็มครับ
ที่ Fujiko F Fujio Museum ชั้นแรกๆจะเป็นชีวประวัติของผู้เขียนเป็นส่วนใหญ่ ห้ามถ่ายภาพด้านในในส่วนที่แสดงชีวประวัติครับ ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ แต่ชั้นบนๆจะมีของเล่นและของวิเศษต่างๆให้เด็กๆได้เล่น ความสนุกเริ่มต้นขึ้นละ
แต่ความสนุกจะไปอยู่ที่การได้ไปเยือนลานของเล่นต่างๆ รวมทั้งสนามเด็กเล่นในการ์ตูน, ไดโนเสาร์พีสุเกะ, ประตูวิเศษไปไหนก็ได้, บ่อวิเศษของผู้ตัดฟืน ฯลฯ
แฟนโดเรมอนอย่างครอบครัวเราสนุกมากเลยครับ
นอกจากนี้ยังมีเมนูอาหารน่ารักๆหลายอย่าง ใครอยากลองชิมขนมปังช่วยความจำ โดรายากิของโปรดของโดเรมอน ปังเมลอนของโปรดของโดเรมี่ เครื่องดื่มตัวการ์ตูนต่างๆ ก็มีให้ทานกันครับ
อีกวันเรามากันที่เมือง Yokohama ครับ
วันนี้เราจะพาเด็กๆมาหาอันปันแมนกันบ้าง กับ Yokohama Anpanman Children’s Museum and Mall ที่นี่จะแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ๆนะ คือ ส่วนมอลล์ อันนี้จะเป็นร้านขายของ ร้านอาหารต่างๆ เข้าฟรีครับ อีกส่วนคือส่วนของพิพิธภัณฑ์อันนี้จะเสียค่าเข้าครับ
ส่วน Mall มีร้านขายของต่างๆที่น่าเสียทรัพย์เยอะมาก ทุกอย่างดูจะน่ารักจริงๆ
มาถึงก็เติมพลังด้วยอาหารจานน่ารักๆเอาใจเด็กๆกันเลย
ด้านในของพิพิธภัณฑ์ก็จะเน้นเป็นตัวการ์ตูน Anpanman และเหล่าผองเพื่อน ด้านในไม่ค่อยจะใหญ่เท่าไหร่นัก เหมาะกับเด็กเล็กๆนะ ถ้าเป็นเด็กโตอาจจะดูเบื่อๆครับ
ก่อนกลับแวะกินขนมปังรูปตัวการ์ตูนกัน น่ารักและอร่อยดีนะ
ตอนเย็นเราไปดูโชว์กันที่ Robot Restaurant ยาน Shinjuku กัน
ด้านหน้าร้านตกแต่งแฟนซีมากๆ มีหุ่นยนต์สาวสองตัวให้ขึ้นไปบังคับเล่นแล้วถ่ายรูปฟรีกันได้ด้วย
ระหว่างที่รอการแสดงจะมีห้องที่ตกแต่งอลังการเว่อร์วังให้นั่งรอ ระหว่างนั้นจะมีดนตรีมาแสดงให้ชม รอให้คนที่จองบัตรไว้มาพร้อมกันเสียก่อน
เมื่อถึงเวลาแสดง เราก็เดินลงมาชั้นล่างสุด แล้วโชว์ก็เริ่มต้นขึ้น การแสดงเริ่มต้นด้วยการตีกลองของเหล่าสาวสวย ต่อด้วยการต่อสู้ของนินจา และหุ่นยนต์ต่างๆ ตลอดเวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็ถือว่าเป็นโชว์ที่จัดเต็มครบทั้งแสง สี เสียง และสาว Sexy แต่ครอบครัวที่มากับเด็กๆก็ไม่ต้องกังวลครับ ไม่มีเนื้อหาอะไรที่เป็นอันตราย
กิจกรรมนี้ได้รับความนิยมมากในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ แทบไม่มีชาวญี่ปุ่นมาชมเลย อาจจะเป็นเพราะราคาค่าเข้าที่แพงถึงคนละ 8,000 เยน (ถ้าเอาอาหารด้วยเพิ่ม 1,000 เยน และต้องจองล่วงหน้า)
โดยรวมๆ ผมว่าเป็นโชว์ที่สนุกนะ เพลิดเพลิน แต่ราคาแอบแรงไปหน่อยเท่านั้นเอง
ความบันเทิงสำหรับเด็กๆยังไม่พอ วันนี้จะพาเด็กๆมาหาคิตตี้ที่ Sanrio Puroland กัน
ด้านในจะแบ่งเป็น 4 ชั้น ชั้น3-4 จะเป็นร้านค้าและร้านอาหาร
มีที่ถ่ายภาพเพียบเลย ส่วนใหญ่ก็จะออกแนวหวานๆ กุ๊กกิ๊กน่ารักหวานแหวว น่าจะถูกใจกับสาวๆและเด็กๆครับ
ที่ชั้น 2 จะเป็นโถงต้นไม้ใหญ่ Tree of Wisdom จะมีการแสดงเป็นรอบๆด้วยนะ แสง สี เสียง และเหล่าการ์ตูนจากซาริโอ้ออกมา Dance กันมันส์เลย
เครื่องเล่นส่วนใหญ่จะเหมาะกับเด็กๆนะ ถ้าคุณไม่ใช่แนวหวานแหววหรือสาวกคิตตี้ ที่นี่อาจจะไม่เหมาะกับคุณครับ
แต่ถ้าคุณเป็นสาวกของคิตตี้แล้ว ที่นี่อาจจะเป็นสวรรค์เลยหละ
กิจกรรมไฮไลท์ของที่นี่ ที่ไม่ควรพลาดได้แก่ Sanrio Character Boat Ride เป็นการล่องเรือชมพวกตุ๊กตาต่างๆ เด็กๆจะชอบมากครับ
หิวๆก็มาทานข้าวที่แสนจะน่ารักกัน มื้อนี้เด็กๆทานกันหมดไวมาก เชื่อแล้วว่าจานช่วยได้จริงๆ
กล่องข้าวเอากลับบ้านได้ด้วยนะ น่ารักน่าทานมากๆ
วันใหม่เราเริ่มโปรแกรมเที่ยวด้วยการไปขึ้น Tokyo Skytree กัน ลิฟท์ที่นี่เร็วมากเลยอ่ะ ขึ้นแปปเดียว ถึงด้านบนเลย
เราสามารถเดินชมวิวได้รอบ 360 องศาเลย
วิวเมืองโตเกียวจากมุมสูงนี่สวยมากๆครับ
ลงจาก Skytree เราก็ไปเดินเล่นย่าน Asakusa กัน เจอขนมปังหน้าตาแปลกๆ ลองชิมดูอร่อยเหมือนกันนะ
Landmark สำคัญที่ใครต่อใครพากันมาถ่ายภาพด้วย ก็คือ เจ้าโคมไฟสีแดงยักษ์หน้าวัด Sensoji temple นั่นเอง
ผ่านประตูโคมไฟแดงเข้ามาก็เจอกับร้านค้าเรียงรายยาวจนถึงด้านในวัดเลยครับ คนเยอะมากๆ
ที่แนวกำแพงรั้ววัดมีร้านเทมปุระชื่อดัง Daikokuya Tempura คนต่อคิวรอกินกันยาวเลย เราก็อุตส่าห์ไปรอกับเค้าด้วย รอไปเกือบชั่วโมงกว่าจะได้กิน
ผมสั่ง Tendon พร้อมกุ้ง 4 ตัวมา จานนี้ราคา 2,000 เยนแน่ะ
บอกตรงๆว่าน่าผิดหวังมาก ไม่กรอบอร่อยเท่าไหร่เลย มีดีแค่มันเป็นกุ้งลายเสือแค่นั้นครับ แถมแพงก็แพง ไม่ชอบครับ
ตรงเข้ามาเดินเล่นในวัด Sensoji temple ต่อ ดอกซากุระเริ่มบานล้างแล้ว สวยงามมากเลยครับ
จบจากวัด Sensoji temple เราก็แวะมาเที่ยว Ueno Park แหล่งชมซากุระสำคัญของโตเกียวครับ
ผมมาก่อนซากุระจะบานเต็มที่ หรือที่เรียกว่า Full Bloom เล็กน้อย แต่ก็ถือว่าสวยงามมากครับ
ยามเย็นมีการเปิดไฟที่โคมไฟ บรรยากาศก็สวยไปอีกแบบครับ
ไม่ไกลจาก Ueno Park ก็จะมีตลาด Ameyoko ซึ่งถือเป็นแหล่งช็อปปิ้งสำคัญที่โด่งดังมากในหมู่คนไทย รวมทั้งตึกม่วงก็อยู่ที่นี่ครับ
เดินผ่านร้านขายข้าวหน้าซาชิมิตามสั่ง ราคาไม่แพง ลองสั่งดูครับ
คือปลาอร่อยและถูกมากอ่ะ จานขวาแค่ 500 เยนเอง ส่วนจานซ้าย 900 เยนครับ
เช้าวันสุดท้ายก่อนกลับ ขอทิ้งท้ายด้วยการไปชมซากุระที่สวน Shinjuku Gyoen สวนสาธารณะที่อยู่ท่ามกลางย่านเมืองใหญ่และตึกสูง
วันนี้ซากุระเริ่มบานเยอะขึ้นกว่าเมื่อวานอีกครับ สวยงามสุดๆเลย
ซากุระที่ Shinjuku Gyoen มีหลายพันธุ์มาก ทั้งพันธุ์ที่บานช้าบานเร็ว มีหลากหลายสี บางต้นก็มีกิ่งย้อยลงมาเตี้ยๆ
ได้ชมดอกไม้สวยๆกับครอบครัวที่รัก มีความสุขมาก ช่วงเวลาแบบนี้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมครับ
บรรยากาศดีๆแบบนี้ ชาวญี่ปุ่นก็นิยมจะมานั่งกินดื่มชมดอกซากุระบาน หรือที่เรียกว่า “การฮานามิ”
ครอบครัวเราก็เลยเตรียมอาหารและขนมต่างๆมาฮานามิกับเค้าเหมือนกัน และที่ไม่ลืมพกมาทานด้วยก็คือขนมชินมัยของโปรดของเด็กและตัวเราด้วย คริๆ
บอกเลยว่าอาหารง่ายๆแบบนี้ แต่วิวทำให้รสชาติอาหารอร่อยขึ้นเยอะ
ผมมาที่สถานี Tokyo เพื่อต่อรถบัสกลับสนามบินนาริตะครับ แถวท่ารถบัส มีซากุระให้ชมเยอะมากๆ สวยสุดๆครับ
วิธีไปสนามบินนาริตะที่ประหยัดที่สุดวิธีหนึ่งคือการนั่ง Tokyo Shuttle ครับ ค่ารถแค่ 1,000 เยนต่อคนครับ เด็กถ้านั่งตักฟรีด้วย แต่ถ้าจองล่วงหน้ามาก่อนอย่างน้อย 2 วัน จะลดไปอีก 100 เยนอีกต่างหาก
รายละเอียดตารางเดินรถตามไปลิงก์นี้ครับ http://www.keiseibus.co.jp/en/kousoku/nrt16.html
ถึงสนามบินเครื่อง Airbus A380 ของการบินไทยก็พร้อมจะนำเรากลับกรุงเทพ และแล้วก็จบทริปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองเอาใจเด็กไปอย่างสมบูรณ์ หวังว่าทุกท่านจะได้รับข้อมูลและความสุขจากรีวิวฉบับนี้ไปไม่มากก็น้อย
วันนี้ลากันไปก่อนนะครับ บะบาย
ปล.หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share
หรืออยากใกล้ชิดกันมากขึ้น แอด Line มาได้เลย มีรีวิวใหม่จะส่งไปบอก อยากคุยกับแอดมิน Line มาคุยเลยจ้า ID : @2Madames กดตรงนี้ก็ได้
หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป