เด็กน้อยขวบครึ่ง ไม่มีรถเข็น ไม่มีเป้อุ้ม ไม่ใช้สลิง ไม่มีตัวแสดงแทน ตะลุยญี่ปุ่น จะสนุกสนานขนาดไหน ทริปต่างประเทศครั้งแรกของเราสามคน จะเป็นอย่างไร มาติดตามลุ้นกันนะครับ ^^
จากความตั้งใจจะพาเจ้าหนูเบลล่าออกทริปต่างประเทศ หลังจากซ้อมในประเทศมาเรียบร้อยแล้ว ญี่ปุ่น คือประเทศแรกที่นึกถึง ทั้งจากความสวยงาม ความเป็นระเบียบ ความสะอาด การเดินทางสะดวก อาหารอร่อย ญี่ปุ่นจึงมาวินอย่างไม่ต้องสงสัย ^^
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สองของครอบครัวเราที่ไปญี่ปุ่นกันเอง ครั้งแรกเมื่อประมาณ4ปีที่แล้ว กับทริปโตเกียว โอซากา แบบขำๆ ขอฝากรีวิวเก่าๆไว้ด้วยนะครับ
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2010/01/E8717467/E8717467.html
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2010/01/E8719243/E8719243.html
สิ่งพิเศษในครั้งนี้คือมีสมาชิกตัวน้อยผู้ร่วมทริปมาด้วยอีกหนึ่งคน ซึ่งเป็นผู้กำหนดทิศทาง ตารางการเดินทางทั้งหมดของทริปนี้กันเลย มาติดตามกันดูนะครับ แล้วคุณจะรู้ว่าการพาเด็กน้อยขวบครึ่งไปญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ^^
ญี่ปุ่น ในช่วงปลายปีที่แล้ว อากาศเย็นมาเร็วกว่าที่กำหนด ทำให้มีการคาดว่าซากุระจะบานเร็วขึ้น 2-3สัปดาห์ เราจึงกะว่าจะเดินทางช่วงกลางเดือนมีนาคม เผื่อจะได้สัมผัสความงามของซากุระไปด้วยเลยในทริปนี้ การเดินทางออกต่างประเทศครั้งแรกของเราสามคน จึงต้องมีการวางตารางการเดินทางที่เผื่อสมาชิกตัวน้อยผู้ร่วมทริปมากๆ
ในการจัดทริปพาเด็กน้อยวัยขวบครึ่งไปด้วยนี้ มีสิ่งที่ผมต้องนำมาใช้ในการวางแผนจัดเตรียมทริปนี้อยู่หลายอย่างเลยทีเดียวครับ เกร็ดเล็กๆน้อยๆในการจัดทริปคร่าวๆของผมมีดังนี้ครับ
– สภาพอากาศ สถานที่ที่จะไปต้องไม่หนาวเกินสำหรับเด็กเล็ก เพราะเด็กเล็กๆจะไม่สามารถทนต่อสภาพอากาศที่หนาวเย็นได้นานๆ เกิดเจ็บป่วยไม่สบายตอนอยู่ต่างประเทศคงลำบากแน่ๆ
– เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของเด็ก ในช่วงที่คาดว่าจะไปอากาศน่าจะอยู่ราวๆไม่เกิน15องศา เสื้อผ้าของเบลล่าส่วนใหญ่ผมจะใช้ของUniqlo เสื้อ กางเกงแบบฮีทเทค แล้วก็เสื้อแหนมของเด็กๆ เอาอยู่ครับกับอากาศระดับนี้ แต่ปัญหานิดหน่อยของการหาเสื้อผ้าฮีทเทคของUniqloในไทย อาจจะมีปัญหาเรื่องไซส์ไม่ครบบ้าง ต้องลองหาหลายๆสาขาครับ
– อาหารและนม ผมว่าช่วงที่เหมาะในการเริ่มพาเด็กไปต่างประเทศควรเป็นช่วงที่เค้าทานอาหารหยาบๆแบบของผู้ใหญ่ได้บ้างแล้วครับ สักขวบกว่าๆกำลังโอเค จะได้ทานอาหารตามร้านได้ เพราะคงไม่สะดวกถ้าต้องเอาอาหารแช่แข็งไปอุ่นที่นั่น หรืออาจพกอาหารสำเร็จรูปเช่นพวก พีชชี่ ไฮนซ์ ไปสลับๆบ้างก็พอไหวครับ สำหรับเบลล่านั้นสามารถทานอาหารแบบผู้ใหญ่ได้ และโชคดีที่ไม่แพ้อาหารอะไรเลยไม่ได้เตรียมอาหารไป แต่จะเอาพวกขนมที่ชอบติดไปแทน ส่วนเรื่องนมนั้น เบลล่ายังกินเต้าอยู่จึงทุ่นตรงส่วนนี้ไปได้บ้าง แต่ก็ติดนมแม่สต๊อคไปนิดหน่อย แล้วไปหาซื้อนมกล่องที่นั่นแทน ซึ่งเบลล่าชอบนมกล่องที่ญี่ปุ่นมากๆ
– การเดินทางแต่ละสถานที่ ผมมีแนวทางง่ายๆประมาณนี้ครับ
- การเดินทางพยายามเปลี่ยนสายรถไฟให้น้อยที่สุด นั่งอ้อมได้แต่อย่าขึ้นลงบ่อย
- หลีกเลี่ยง rush hour 7-9โมงเช้า โดยเด็ดขาด เพราะจากคราวที่แล้วที่ได้ไปสัมผัสบรรยากาศปลากระป๋องยามเช้ามาคงไม่สนุกแน่ถ้าต้องพาเบลล่าไปด้วย ส่วน rush hour ช่วงเย็นก็ยังไม่หนักเท่าตอนเช้า
- ตารางการเดินทางหลวมๆ ต้องเผื่อเวลาเบลล่าจะนอน1-2ชั่วโมงในแต่ละวัน เวลาป้อนข้าวมื้อละ30-40นาที
- ร้านอาหารที่จะไป ต้องมีเมนูที่เด็กกินได้ เด็กเล็กยังต้องหลีกเลี่ยงอาหารพวกปลาดิบ อาหารรสเผ็ดอยู่
– สถานที่เที่ยวที่อยากไป ตอนเริ่มจัดทริปก็พยายามกำหนดคร่าวๆมาก่อนครับว่าอยากไปไหน เดินทางอย่างไร มีเด็กไปด้วยสะดวกมั้ย ซึ่งสถานที่ที่ผมกำหนดไว้ในทริปนี้ก็คร่าวๆดังนี้ครับ Disneyland, วัดเซ็นโซจิ, Tokyo Sky Tree, Toy R Us ที่โอไดบะ, Yokohama Hakkeijima Sea Paradise และฟูจิซัง
– โรงแรมที่พัก พยายามอย่าเปลี่ยนหลายที่ มีที่หลักซักที่จะเหมาะกว่า เก็บกระเป๋าเข้าออกทุกคืน เพลียกันแน่ๆครับ อีกอย่างเวลาเช็คอินแต่ละที่จะอยู่ราวๆบ่ายสามโมง ส่วนเช็คเอาท์ก็สิบโมงถึงเที่ยง จะมีช่วงเวลาที่ต่างกันถ้าจะย้ายโรงแรมก็ต้องเอากระเป๋าไปฝากไว้ก่อน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ควรนำมาตัดสินใจนะครับ
- เดินทางสะดวก
- ใกล้ร้านสะดวกซื้อก็ดีครับ(น้ำ นม ขนม แพมเพิส จะได้หาซื้อได้ง่ายๆ)
- มีบริการรับฝากกระเป๋าไว้ได้ เวลาที่อาจต้องไปค้างที่อื่นบ้างบางคืน ต้องดูดีๆนะครับบางที่รับฝากจริงแต่จะให้วางไว้เฉยๆที่มุมล๊อบบี้ไม่มีใบรับฝากใดๆ ซึ่งอาจเกิดการสูญหายหรือสับเปลี่ยนได้นะครับ
- เรื่องควันบุหรี่หรือกลิ่นบุหรี่ซึ่งจะไม่เหมาะแน่ๆในการพาเด็กเล็กไป โรงแรมบางที่จะปลอดบุหรี่ บางที่จะแบ่งโซนห้อง เวลาจองก็ควรดูดีๆนะครับ
- เครื่องซักผ้า อบผ้า ถ้ามีก็จะสะดวกมากขึ้นในการเตรียมเสื้อผ้า ตลอดจน การเก็บกระเป๋ากลับ
- การจัดกระเป๋า ก่อนอื่นควรเช็คกับสายการบินให้แน่ใจนะครับว่าเราสามารถนำไปได้กี่ใบ ใบละกี่กิโล จะได้วางแผนในการจัดของ
ซื้อของในขากลับได้
- ถุงสูญญากาศ ช่วยในการจัดกระเป๋าได้เยอะเลยครับ เพราะช่วยลดพื้นที่ของเสื้อผ้าแต่ละชุดที่จะใส่ลงกระเป็า ทำให้ใส่ได้มากขึ้น ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายๆครับ ตามร้านไดโซะ60บาทก็มีครับ มีให้เลือหลายขนาดตามความเหมาะสมเลยครับ
- ถ้าจะต้องไปพักที่อื่นระหว่างทริปแล้วกลับมาอีกครั้ง แนะนำให้จัดเสื้อผ้าที่จะต้องไปที่อื่นใส่กระเป๋าเล็กไว้ครับ แล้วฝากกระเป๋าใหญ่ไว้ที่โรงแรม นำแต่ใบเล็กติดตัวไป จะสะดวกกว่าครับ
- ถุงพลาสติก นอกเหนือจากนำไปใส่เสื้อผ้าเก่าแล้ว ควรนำถุงใบเล็กๆสำหรับใส่แพมเพิสใช้แล้วก่อนทิ้งถังขยะก็จะดีครับ
- กระเป๋าสำรอง ติดไปใช้เผื่อกระเป๋าจะออกลูกในขากลับนะครับ อันนี้แล้วแต่เทคนิคแต่ละคนเลยครับ จะเอาใบเล็กใส่ใบใหญ่ไป หรือ โหลดกระเป๋าไปต่างหากใช้โควต้ากระเป๋าให้เต็มที่ ^^ ส่วนตัวผมใช้ถุงสายรุ้งครับ ถ้านึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไรก็คือถุงที่จะเห็นแม่ค้าใส่ของไปขายกันครับ ถุงใหญ่ๆสีสดๆ ปัจจุบันมีทั้งลายคลาสิค ลายการ์ตูน ให้หาซื้อกันครับ ถ้าไม่รู้จะซื้อที่ไหนที่แมคโครมีนะครับใบใหญ่ประมาณ190บาท
- แพมเพิส ติดไปเผื่อเหลือเผื่อขาดดีๆครับ ของผมตอนแรกเอาไปแบบพอดีๆ กะว่าจะไปหาซื้อที่นู่นเพราะน่าจะถูกกว่า แต่เอาเข้าจริงๆต้องซื้อแพคใหญ่ถึงจะถูก และหาซื้อไม่ง่ายเลยครับ ตามร้านสะดวกซื้อมีบ้างไม่มีบ้างนะครับ แพคเล็กๆราคาก็แพงอยู่
ส่วนอุปกรณ์ที่ต้องจัดเตรียมไปนะครับ ขอเอา check list ของคุณอินมาไว้ให้ตรวจสอบกันตกหล่นกันนะครับ
http://www.2madames.com/checklist-pack-bag
ส่วนเฉพาะเจาะจงของผมนอกเหนือจากที่จัดตามปกติก็มี
- เอกสารการจองโรงแรม รถไฟ รถบัส โรงแรม
- คูปองส่วนลด
- แผนที่รถไฟในโตเกียวหลายใบหน่อย เยินทุกวันเลย http://www.tokyometro.jp/en/subwaymap/pdf/routemap_en.pdf
- แผนที่โรงแรม(คราวที่แล้วพลาด ลืมเอาไปเดินหา งง เลย)
- ลายแทงร้านอาหาร แหล่งช๊อปปิ้ง
- ประกันภัยการเดินทาง
- ยาที่จำเป็นต่างๆ อีนนี้สำคัญมากๆนะครับ ของผู้ใหญ่ก็แก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้แพ้อากาศ ลดน้ำมูก คลายกล้ามเนื้อ ประมาณนี้ ส่วนของเด็กก็ ยาลดไข้ ยาหยดจมูก แอร์เอ็กซ์ ยาแก้ไอ เกลือแร่ซอง ชุดล้างจมูก
- ปรอทวัดไข้ แล้วแต่สะดวกเลยนะครับ ใครมีแบบไหน ยังไง ส่วนตัวผมใช้แบบวัดทางหู วัดได้รวดเร็วกว่า สะดวกกว่า
- ที่ดูดน้ำมูกไฟฟ้า แรงดูดจะสม่ำเสมอ ไม่ระคายเคืองจมูกเท่าใช้คัตต้อนบัต
- ตัวเสียบรูปลั๊กครับ ไปกับเด็กเล็กๆเผลอไม่ได้กันเลยที่เดียว พกไปติดไว้เพื่อความปลอดภัยดีกว่าครับ
- รถเข็น เป้อุ้ม ตามสะดวกครับ น้องๆยอมใช้แบบไหนก็จัดกันไป แต่เบลล่าไม่ยอมสักอย่างก็ไม่ต้องอาไป ^^
- ข้อนี้เป็นoption เสริมครับ เก้าอี้เด็ก ช่วยให้เวลากินข้าวสะดวกขึ้นเยอะเลยครับ ยิ่งถ้าไปกันแค่สามคน เวลากินข้าว อย่าไปคาดหวังว่าทุกร้านจะมีเก้าอี้เด็ก และเก้าอี้เด็กบางร้านก็ไม่มีสายรัด ถ้าเอาติดไปได้โดยเราก็ต้องหัดให้เค้าใช้ให้ชินก่อนด้วยนะครับจะช่วยเวลากินข้าวได้ดีมากๆ ไม่งั้นได้จับ อุ้ม วิ่งไล่ ป้อน กันสนุกแน่ๆ ^^ บางร้านมีเก้าอี้เด็กก็จริงแต่ไม่มีเข็มขัดรัด ดังนั้นถ้าพอเอาไปไหวก็เอาไปครับ ผมใช้รุ่นที่เป็นกระเป๋าใส่ของได้ด้วยครับ ตามรูปเลยครับ กระเป๋าสีส้มๆ
- สายจูง สำหรับน้องๆหนูที่เริ่มเดินเริ่มวิ่ง ใช้สายจูงช่วยจะสะดวกและปลอดภัยมากขึ้นนะครับ ไม่ต้องสนใจใครจะมองว่าเหมือนอะไร ยังไง ถ้าเกิดเราคลาดสายตาแค่ชั่วขณะหรือเผลอลูกหายไป จะมาโทษใครคงไม่ได้ จึงอยากให้มีการป้องกันไว้ก่อน
สำหรับผู้อยากไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองนะครับ ตอนนี้มีเพจมีเวบข้อมูลท่องเที่ยวญี่ปุ่นมากมายไว้หาข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ นี่คือตัวอย่างเวบหลักๆที่ผมใช้ประกอบการจัดทริปไปญี่ปุ่นครับ
- องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น:http://www.yokosojapan.org/
– องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่นแบบภาษาอังกฤษ: http://www.yokoso-japan.jp/en/
– Japan-guide :http://www.japan-guide.com/
– Pantip.com :http://pantip.com/tag/ประเทศญี่ปุ่น
– เพจ ติวเตอร์ตู๋ :https://www.facebook.com/pages/Japanthaifanclub/171184692941905
– ภาษาญี่ปุ่นสำหรับนักท่องเที่ยว :http://www.yokosojapan.org/download/handbook_japan_thai.pdf
– เพจรวมพลคนไปญี่ปุ่น สงกรานต์: https://www.facebook.com/groups/gotojapaninapril/1481274302101876
– Japan Travel: http://th.japantravel.com/
– Japan Guide: http://japan-guides.blogspot.com/
– รีวิวโรงแรมรอบๆทะเลสาบคาวาคูจิโกะ: http://japan-guides.blogspot.com/2010/07/kawaguchiko.html
ลายแทงของถูก
– ไม่ใช่กรูรู แต่กรูรู้ ของถูกในโตเกียว :https://www.facebook.com/maichaiGURU
ลายแทงร้านเด็ด
– ร้านอาหารเด็ดๆ แผนที่ตัวกลม โดยคุณskybox: http://pantip.com/topic/30094615
– แผนที่ตัวกลม: https://maps.google.com/maps/ms?
Weather Forecasts : พยากรณ์อากาศในญี่ปุ่นแต่ละเมืองในแต่ละวัน
– http://weather.yahoo.co.jp/weather/
– http://weather.jal.co.jp/en/
– http://www.jma.go.jp/en/yoho/
รวมลิงค์เกี่ยวกับการเดินทาง
– เช็ควิธีการเดินทางและตารางรถไฟ : http://www.hyperdia.com/
– Limousine Bus Airport: http://www.limousinebus.co.jp/en/bus_services/
– รถไฟของ keisei line สนามบิน-tokyo (Ueno): http://www.keisei.co.jp/keisei/tetudou/skyliner/us/fares/index.html
– ตารางเดินรถ skyliner: http://www.keisei.co.jp/keisei/tetudou/skyliner/us/ae_timetable/
– รถบัสไปฟูจิ คาวาคูจิโกะ ฮาโกเน่ จองตั๋วล่วงหน้าได้ ซื้อตั๋วไปกลับมีส่วนลดครับ : http://highway-buses.jp/fuji/
– การเดินทางรอบๆบริเวณคาวาคูจิโกะ :http://transportation.fujikyu.co.jp/english/gettingaround/index.html
– เว็บรวบรวมเรื่องเส้นทางรถไฟ pass ต่างๆ ประเภทรถไฟ ในญี่ปุ่น: www.jprail.com
– แผนผังสถานีรถไฟในโตเกียวและเครือข่ายของ JR East : http://www.jreast.co.jp/E/stations/index.html
จองตั๋วจาก KKDay
https://www.kkday.com/th/product/25780-skyliner-and-tokyo-metro-hour-ticket?cid=9079
https://www.kkday.com/th/product/18551-tokyo-narita-airport-limousine-bus-transfer-ticket?cid=9079
สถานที่เที่ยว
– YOKOHAMA HAKKEIJIMA SEA PARADISE: http://www.seaparadise.co.jp/english/
– เว็บหลักของ Tokyo Disney Resort : http://www.tokyodisneyresort.jp/en/index.html
Tokyo Skytree
- เว็บพยากรณ์ปริมาณนักท่องเที่ยว Tokyo Disney Resort:
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2010/10/E9815785/E9815785.html
http://www15.plala.or.jp/gcap/disney/
อื่นๆ (ขอบคุณข้อมูลจากคุณแป้ง เพจรวมพลคนไปญี่ปุ่น สงกรานต์ ด้วยนะครับ)
การกรอกเอกสารเข้าประเทศญี่ปุ่น: http://xn--e3cpngb3e7c9a2a9izbc4a.com/detill9-27-07-55.html
Pocket Wifi :http://www.chillpainai.com/scoop/874/Pocket-WiFi-Router
เบอร์ติดต่อยามฉุกเฉิน
สถานทูตไทยในญี่ปุ่น : เบอร์ hot line สถานทูตไทย กรุงโตเกียว กรณีป่วย+เสียชีวิต 090-44357812เบอร์ทั่วไป 03-3222-4101 ต่อ 232, 260, 270
เบอร์ติดต่อสายการบิน
Delta : 02-660-6999(8:00am – 5:00pm (Mon-Fri) Closed (Sat, Sun and Holidays)), 02-1342-573 (Daily 21:00 hrs -12:00 hrs)
Cathey : 02-263-0606
JAL : 02-131-3300 8:00-17:00 (Thailand Time) /ex. Sa.Su.Hol.
Air Asia : +66 2 515 9999 (8.00 – 21.00 ทุกวัน)
Thai Airway : 02-356-1111
ANA : 02-238-5121(8:30-17:30Sa.Hol. 8:30-13:00, ex.Su.)
China eastern : (66) 2 6366975 – 80
Vietnam Air : + 66 2 655 4137-40
China Airline : Tel : 66-2-250-9898
ประกันการเดินทางต่างประเทศ
AXA : http://www.axa.co.th/311/th/retail-insurance/travel/smarttraveller-plus
BUPA : http://www.bupa.co.th/th/individuals/travel-insurance/index.aspx#.UwMvo_l_uM4
กรุงเทพประกันภัย : http://www.bangkokinsurance.com/insurance/comprehensive-travel-accident-insurance-pub-page01_th.html
CHUBB : http://www.chubb.com/international/thailand/index3.html
SOS: https://www.internationalsos.com/en/
เมืองไทยประกันชีวิต : http://www.muangthaiinsurance.com/products_EnjoyTravel.htm
AIG : http://www.aig.com/th/stinternational_2113_341417.html
Allianz: http://aga24h.allianz-assistance.co.th/corporate/th/index.php
หลังจากได้แหล่งข้อมูลมากมาย ก็เริ่มมาจัดการการเดินทางกันครับ ช่วงที่เราจะไปถือเป็นช่วงคาบเกี่ยวของหลายๆอย่างเหมือนกันครับ จะพีคก็ไม่พีคซะทีเดียวนักท่องเที่ยวไทยเริ่มทยอยไปเที่ยวกันแล้ว, รอลุ้นซากุระจะบานก่อนมั้ย, รอลุ้นพายุหิมะว่าจะหมดหรือยัง, เป็นช่วงสุดท้ายก่อนญี่ปุ่นปรับภาษีขึ้นจาก5%เป็น8%, โปรโมชั่นสายการบินต่างๆจะออกมาหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่ที่สอบถามทางเอเจนซี่จะบอกว่าทุกปีจะมีตั๋วโปรช่วงหลังเมษาไปแล้ว
เหนือสิ่งอื่นใดคือเรื่องตั๋วเครื่องบินครับ ราคามีตั้งแต่หมื่นต้นๆไปจนถึงสามสี่หมื่นบาทต่อคน ซึ่งตั๋วเครื่องบินผมขอแบ่งคร่าวๆเป็น3กลุ่มนะครับแล้วแต่ความสะดวกของแต่ละท่าน
- low cost airline มีให้เลือกกันหลายหลาย บินไปต่อเครื่องกันที่นู่นที่นี่ตามสะดวกครับ ราคาก็จะถูกสุด รวมๆแล้วอยู่ที่ราวหมื่น (ช่วงที่ผมไป Thai airasiaX กับ NokScoot ยังไม่เปิดนะครับ)
- สายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบที่ต้องแวะtransit เปลี่ยนเครื่องซึ่งราคาก็จะสูงกว่าlow cost มาอีกระดับนึง รวมๆอยู่ที่ 13000-16000บาท เช่น Cathay, China Eastern
- สายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบ แบบบินตรงถึงญี่ปุ่นเลย ซึ่งราคาก็จะแพงสุด ราคาปกติก็เริ่มที่18000-30000บาทโดยประมาณ เช่น TG, ANA, Delta, JAL
สุดท้ายจากทั้งด้วยราคาและตารางการบิน อีกทั้งมีเด็กเล็กไปด้วยเราจึงเลือกบินตรงไปกับDelta ที่พึ่งขยายโปรมาพอดี ในราคาคนละประมาณ 18,000 บาท ส่วนของเบลล่า1090บาท เวลาเดินทางออกตีห้าถึงบ่ายสอง กลับทุ่มครึ่งถึงราวเที่ยงคืน ที่ชอบอีกอย่างคือน้ำหนักกระเป๋าให้คนละ2ใบ ใบละ22กิโล รวมเป็น4ใบ 88กิโล ไม่ต้องมานั่งพะวงจัดเข้าจัดออก ยิ่งอากาศเย็นเสื้อผ้าหนาๆแล้วด้วยยิ่งสะดวกเลยครับ
ได้ตั๋วเครื่องบินแล้วคราวนี้ก็กำหนดแพลนคร่าวๆ รวมทั้งจองโรงแรมกันต่อเลยครับ
เวบหลักที่ใช้ในการกำหนดแผนการเดินทางก็คือ http://http://www.hyperdia.com/en/ ค้นหาเส้นทางการเดินทางต่างๆ เพื่อความเข้าใจมากขึ้นแนะนำให้ปริ้นท์หรือเปิดรูปแผนที่รถไฟญี่ปุ่นไปด้วยนะครับ จะได้เห็นภาพมากขึ้น วางแผนได้ง่ายขึ้น
ส่วนการจองโรงแรมก็แล้วแต่ความสะดวก เรทราคาที่ได้ กันเลยครับ Agoda, Booking, Toyoko inn, Japanican หรือเวบของโรงแรมนั้นๆเองเลยครับ
ทริปนี้จะมุ่งเน้นอยู่ในโตเกียวและใกล้เคียงที่เดินทางสะดวกๆนะครับ โดยแพลนของเราจะเป็นดังนี้
วันแรก Narita-Ueno-Asakusa-Tokyo Sky Tree
วันที่สอง Odaiba เต็มวัน
วันที่สามและสี่ Kawakuchiko
วันที่ห้า Yokohama Hakkeijima Sea Paradise
วันที่หก Tokyo Disney Land
วันสุดท้าย เก็บตก ช้อปปิ้ง
โรงแรมในแต่ละคืนที่เราจองไว้นะครับ
คืนแรก – Ueno Touganeya Hotel
คืนที่สอง – Mercure Ginza (ใช้ Accor Freenight )
คืนที่สาม – Sunnide Resort Kawakuchiko
คืนที่สี่ – Ueno Touganeya Hotel
คืนที่ห้า – Ueno Touganeya Hotel
คืนสุดท้าย – Ueno Touganeya Hotel
โดยในรีวิวนี้ผมขอแบ่งเป็นสี่ตอนนะครับ
- ตอนแรกจะเป็นการเตรียมตัวและวันแรกในโตเกียว
- ตอนที่สองจะเป็นวันที่สอง โอไดบะ และรีวิวโรงแรมUeno Touganeya Hotel กับ Mercure Ginza
- ตอนที่สามจะเป็นการตามหาฟูจิซัง
- ตอนสุดท้าย จะเป็น Yokohama Hakkiejima Sea Paradise กับ Disneyland
เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ ก็เหลือแค่รอเวลา นับถอยหลังไปเรื่อยๆ ซึ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักษาสุขภาพของทุกคนให้พร้อมโดยเฉพาะเด็กน้อยประจำทริป จึงต้องมีการเก็บตัวช่วงใกล้ๆเดินทางนิดนึง ^^ หลีกเลี่ยงสถานที่เสี่ยงต่อการจะไม่สบายอย่างจริงจัง ซึ่งก่อนหน้าเดินทางประมาณ 1 เดือน เบลล่าก็ต้องแอดมิทเข้าโรงพยาบาลเพราะเป็นไข้หวัดใหญ่เลยยิ่งทำให้เราค่อนข้างกังวลนิดๆว่าถึงวันไปญี่ปุ่นจะเป็นอะไรอีกหรือไม่ จนในที่สุดก็ถึงวันเดินทาง ไฟลท์บินออกจากไทยตีห้าครึ่ง โจทย์แรกมาทันที เราจะต้องออกจากบ้านกี่โมง จะไปอย่างไร กลับอย่างไร จะปลุกเบลล่ากี่โมง
ประมาณตีสองกว่าๆ เราก็เริ่มปฏิบัติการทันที เคลื่อนย้ายสัมภาระทั้งหมด ล้อหมุน ใช้รถส่วนตัว ให้เบลล่านอนต่อบนคาร์ซีท ยืดระยะเวลานอนของเค้าให้นานที่สุด อีกชั่วโมงก็ยังดี อีกทั้งขากลับไฟลท์เที่ยงคืนก็จะได้ให้นอนกลับมาได้เลย นอกจากนี้จะเรียกแทกซี่ก็คิดว่าจะหายาก จะอันตรายมั้ย ตีสอง ตีสาม ถ้าเค้าง่วงหรือหลับใน ต่างๆนาๆ เลยเพื่อความสบายใจ ขับรถไปเอง ค่อยๆขับ ไม่รีบ ยอมจ่ายค่าจอดรถเอาดีกว่า
ถึงสุวรรณภูมิจอดรถเรียบร้อยเดินหาเคาน์เตอร์เช็คอิน ภาพแรกที่เห็นคือภาพนี้ โอ้ววว ตีสามจริงๆใช่มั้ย
แต่เนื่องจากเราเดินทางพร้อมเด็กเล็กจึงได้เข้าช่อง priority รอคิวเช็คอินไม่นานมากครับ
ผ่านImmigration ผ่านทุกอย่างเรียบร้อย ก็ได้เวลาboarding time พอดี พึ่งเห็นว่าสายการบินที่จะไปอเมริกา ถึงแม้จะแวะtransit ที่อื่นก่อนก็ตามจะตรวจเข้มงวดมาก โดยเฉพาะของเหลวเกิน100ml ถึงแม้จะซื้อที่duty free ก็ไม่ได้ ต้องฝากไว้เอาตอนขากลับแทน
โจทย์ต่อมาซึ่งถือเป็นข้อกังวลใจของพ่อแม่หลายๆคน ถ้าลูกร้องบนเครื่องจะทำอย่างไร มีวิธีไหนให้เค้าไม่งอแง ยอมนั่งได้ตลอดการเดินทาง ซึ่งวิธีที่ครอบครัวเราใช้บนเครื่องนะครับก็ตามนี้เลยครับ
เวลาเครื่องขึ้น เครื่องลงจะทำอย่างไร
– เพราะความกดอากาศที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วจะทำให้เด็กๆเจ็บหูได้ ผู้ใหญ่หรือเด็กโตก็อาจจะเคี้ยวหมากฝรั่งมั่ง หาวมั่ง หรือมีวิธีแก้ไข แต่เด็กเล็กทำเองไม่ได้ จะบอกก็ไม่ได้ได้แต่ร้อง
ตัวช่วยง่ายๆก็คือนมแม่ ถ้าเค้ายังกินเต้าอยู่ก็ง่ายหน่อย กะเวลาดีๆช่วงเครื่องกำลังจะขึ้น จัดท่าทางให้เรียบร้อย ดีไม่ดีเจ้าตัวน้อยอาจจะตีตั๋วยาวหลับไปเลย ^^ หรือบางทีอาจใช้ขนม หรือ ให้จิบน้ำเป็นระยะๆ ก็ช่วยได้
ปัญหาต่อมาคือบนเครื่องถ้าเจ้าตัวน้อยไม่นอน เริ่มเบื่อ ไม่อยากนั่งเฉยๆ จะทำอย่างไร ประเด็นนี้ก็อาจต้องใช้เทคนิคเฉพาะของแต่ละบ้าน
– หนังสือ ของเล่น ขนม หรือไม้ตายต่างๆก็งัดกันออกมา
– บางคนอาจใช้ไอแพด ไอโฟน เปิดการ์ตูนให้ดูก็พอได้ แต่อย่าให้ดูเยอะมากนะครับสำหรับเด็กเล็กๆ
– เด็กบางคนอาจชอบดูวิว ก็เลือกที่นั่งติดหน้าต่างไว้ แต่บางคนก็ชอบสำรวจเราก็ควรเลือกที่นั่งติดทางเดินแทน
– เรื่องเวลาบินก็มีส่วนสำคัญ เลือกให้ใกล้เคียงกับช่วงเค้านอนก็จะช่วยลดปัญหาบนเครื่องได้ส่วนนึง พอถึงที่หมายจะได้ไม่งอแงมากด้วย
ผ่านไปครึ่งทาง ได้เวลาเสริฟอาหาร อาหารมาพร้อมกับเบลล่าเริ่มตื่นพอดี สนุกสนานกันล่ะคราวนี้ ^^
จัดไปคนละเซตครับ เซตไข่ กับ เซตไก่ เด็กน้อยฟินมากกับอาหารเช้าบนเครื่องมื้อนี้
ชมวิวไปกินไป เพลินเลยครับ อาหารเช้าวันนี้
อีกสองชั่วโมงจะถึงที่หมาย เบลล่าชาร์จพลังเต็มที่ ของที่เตรียมมาเริ่มเอามาทยอยใช้เรื่อยๆ ทั้งหนังสือ ของเล่น สติ๊กเกอร์ และตัวช่วยอีกชิ้นที่ได้ผลเหมือนกันคือ จอส่วนตัวด้านหน้านี่แหละครับ เปิดรายละเอียดการบินให้เบลล่าดู ดูเครื่องบินเคลื่อนที่พร้อมกับชี้บอกว่าเรามาจากตรงไหน ผ่านอะไร จะไปไหน ^^
ผ่านไปได้ด้วยดีกับ6ชั่วโมงบนเครื่อง ลงมาเจอแถว Immigration ยาวเหยียด แน่นเลย เราก็ใช้ช่อง priority เหมือนเดิม ผ่านมาเรียบร้อย ได้เวลาเติมพลังก่อนเข้าสู่ตัวเมืองโตเกียว
แต่แล้วก่อนที่จะไปไหนไกล เราก็ได้เจอปัญหาต่อมา สัญญาณโรมมิ่งของเราสองคนไม่สามารถใช้งานได้ ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร อีกอย่างที่พลาดคือไม่ได้เช่า pocket wifi มา เห็นมีรีวิวว่าสามารถลงแอพ japan navi ลงทะเบียนแล้วเล่นฟรีไวไฟได้14วัน แต่ปัญหาคือมือถือเราสองคนไม่สามารถเชื่อมต่ออะไรได้เลย จนในที่สุดเจอฟรีไวไฟของสนามบินจึงไลน์บอกน้องให้ติดต่อ ais ให้แก้ปัญหาโรมมิ่งให้ด้วย (เกือบ24ชั่วโมง ในที่สุดก็เชื่อมต่อได้ ปัญหาคืออะไรก็ไม่รู้ ทาง callcenter ก็บอกไม่ได้)
ตัดกลับมากับอาหารญี่ปุ่นบนดินแดนซามูไรนี้กัน กองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ มื้อแรกและมื้อเดียวที่ได้ตามรอยคุณ skybox ก็คือมื้อนี้เลยครับ ที่สนามบินนาริตะ
รีวิวร้านนี้ของคุณ skybox นะครับ http://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12390358/E12390358.html
ร้านDashichazukeen
ข้าวหน้ามากุโร่กับซุปกา อร่อยเลยครับ ข้าวกับซุปรสอ่อนๆ มื้อแรกแบบญี่ปุ่นๆแบบนี้ ซดคล่องคอมากๆ
ค่อยๆเทซุปลงไปครับเนื้อปลาค่อยๆเปลี่ยนสีทีละนิด
เบลล่าจัดหนักเลยครับมื้อนี้
หลังจากเติมพลังเรียบร้อย ก็ได้เวลาเข้าเมือง ไปเคาน์เตอร์ skyliner ซื้อตั๋วเรียบร้อย คนละ1200+1200(ค่าreserved seat) ใช้เวลา45นาทีถึงueno รูปด้านล่างผมsearchจาก www.expedia.com นะครับ กำหนดเวลาคร่าวๆ ซึ่งผมจะปริ้นท์มาดูเวลาใกล้เคียงด้วย เพื่อจะได้รู้ว่ารถไฟแต่ละขบวนห่างกันกี่นาทีถ้าเราพลาดขบวนนี้ครับ ก็จะมีทุก20นาทีนะครับ
ก่อนออกจากสนามบิน อย่าลืมซื้อ Tokyo Metro special open ticket กันนะครับ ใช้ได้รถไฟใต้ดินสาย Tokyo Metro อย่างเดียว JR ไม่ได้นะครับ ลองคำนวณตั๋วต่อเที่ยวรวมๆกันดูก่อนก็ได้ครับ ว่าคุ้มหรือไม่ สนนราคาอยู่ที่ One-day Open Ticket ราคา 710 เยน ถ้าซื้อที่สนามบิน Narita ลดเหลือ 600 เยน ส่วน ถ้าเป็น Pass 2 วัน จะต้องใช้2วันติดต่อกัน 980 เยน ส่วนเวลานับจะนับถึงเที่ยงคืนของวันที่ใช้ครั้งแรกนะครับ เป็น1วัน ส่วนตัวผมลองคำนวณดูแล้วไม่คุ้มที่จะซื้อครับเลยไม่ได้ซื้อมา
สถานี Keisei Skyliner อยู่ด้านล่างนะครับ ซื้อตั๋วเสร็จกก็เดินลงบันไดเลื่อนไป ตัวล้อรถเข็นจะล็อคกับตัวบันไดเลื่อนนะครับ
ตั๋ว skyliner หน้าตาจะเป็นแบบนี้นะครับ มีระบุที่นั่ง รถไฟตู้ไหนชัดเจน แต่ผมก็ยังพลาดขึ้นผิดตู้ ^^
ที่นั่งหนูอยู่ไหนคะ
นั่งสบายๆเพลินๆชมวิวไปเรื่อยๆ 40กว่านาทีก็ถึง สถานี keisei ueno
แต่แล้วก่อนถึงที่หมายไม่ถึง 10 นาที เบลล่าก็ปิดสวิทช์เรียบร้อย งานเข้าซะแล้ว
Ueno จะมีสถานีรถไฟ3แบบนะครับ สถานีJR สถานีMetro และสถานี Keisei สามารถ เดินถึงกันได้ ไม่ไกลกันมากครับ แต่เวลาดูแผนที่ต่างๆจะได้ไม่งงนะครับ เช่นตามโรงแรมจะบอกว่าเดินออกสถานีแบบไหน ทางออกเท่าไหร่ ถ้าออกผิดนี่ เดินหากันมึน ล่ะครับ
รอบที่แล้วผมลืมแผนที่โรงแรม เดินกันมึน รอบนี้ก็ดันออกผิดทางออกอีก หากันมึนเหมือนเดิม ><
โรงแรมที่เราพักกันนะครับ ทริปนี้ใช้ที่นี่เป็นโรงแรมหลักของเราครับ Ueno Touganeya Hotel (http://www.tougane-h.com/e/)
ตัวโรงแรมอยู่ใกล้กับสถานี JR และ ทางเข้าสถานีmetro Ueno gate2 นะครับ แต่จาก skyliner ก็จะไกลนิดนึง มี Lawson อยู่ใกล้มากๆเลยครับ ชั้นล่างจะเป็นล็อบบี้ ห้องอาหาร ด้านหลังมีเครื่องซักผ้ากับเครื่องอบผ้าหยอดเหรียญ ไวไฟมีให้บริการทุกชั้นถึงห้องนอน ที่ปลื้มมากๆคือ
– ฝากกระเป๋าได้ โดยทางโรงแรมจะออกบัตรฝากกระเป๋าแล้วเอาไปเก็บไว้ในห้อง บางที่จะวางกองๆไว้ที่มุมล็อบบี้
– มีอ่างอาบน้ำในห้อง สวรรค์มากๆ เปิดน้ำร้อนแช่ตัว แช่ขา หลังจากเหนื่อยล้ามาทั้งวัน
จริงๆความตั้งใจแรกเราจะนอนที่ cube หรือที่เปลี่ยนชื่อเป็น non smoker hotel แต่ปัญหาคือห้ามนอนเกินห้องละ2คน เด็กทารกก็นับเป็น1คน ต้องจอง2ห้อง อีกทั้งไม่ให้ฝากกระเป๋า ก็เลยตัดโรงแรมนี้ทิ้งไป
เช็คอินเรียบร้อย รอเบลล่าตื่น ก็ออกไป วัดเซนโซจิ ย่านasakusa กันครับ รถไฟมีทุก3นาที
เราไปถึงเกือบ5โมงแล้วครับ มาชมบรรยากาศยามเย็นของ Asakusa กัน
ขอถ่ายรูปบ้างนะครับเดี๋ยวจะมีแต่รูปนางแบบ ^^ ขอชักภาพคู่กับ Tokyo Sky Tree กับ สัญลักษณ์ของเบียร์อาซาฮีซะหน่อย
จุดถ่ายรูปต่อมา ใครไม่ได้ถ่ายถือว่ามาไม่ถึงกันเลยทีเดียว ^^
เสร็จเรียบร้อยเริ่มเดินจากตรงป้ายด้านหน้าไปถึงตัววัด ระยะใกล้ๆแต่ใช้เวลาเดินนานมากๆครับ เพราะ มีจุดดึงดูดสนใจตลอดทางเลยครับ
และแล้วก็มาถึงที่หมายของเราครับ วัดเซนโซ (Sensoji) ที่หลายคนอาจเรียกว่าวัดเซนโซจิ หรือที่คนส่วนใหญ่มักเรียกกันจนติดปากกันว่า วัดAsakusa นั้น ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตและเป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งหนึ่งของโตเกียว เรียกว่าใครมาโตเกียวแล้วไม่ได้มาที่นี่เรียกว่ามาไม่ถึงกันเลยทีเดียว โดยบริเวณตัววัดนั้นตั้งอยู่ในย่าน Asakusa ก็เลยเป็นที่มาของการเรียกชื่อวัดนี้ด้วยนั่นเอง
ตามตำนานเล่าว่ามีชาวประมงได้พบรูปเคารพเจ้าแม่กวนอิม (Avalokitesvara) ในแม่น้ำสุมิดะที่อยู่ไม่ไกลนัก ราวปี ค.ศ.628 ภายหลังจากนั้นก็ได้มีการสร้างวัดขึ้นเพื่อประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมนี้ซึ่งวัดนี้สร้างเสร็จราวปี ค.ศ.645 ถือเป็นวัดพุทธที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียวเลยทีเดียว
จุดเด่นที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดี และต้องแวะมาถ่ายรูปกันแทบทุกคน ก็คือประตูทางเข้าด้านหน้า ประตูคามินาริมอน (Kaminarimon Gate) หรือที่แปลว่าประตูแห่งสายฟ้า (Thunder Gate) ทางด้านทิศใต้ของวัดซึ่งเป็นประตูขนาดใหญ่ที่มีโคมแดงขนาดยักษ์เป็นเอกลักษณ์นั่นเอง ประตูแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.941 แต่ทว่าถูกไฟเผาไหม้หลายครั้ง สำหรับประตูปัจจุบันนั้นสร้างขึ้นราวปี ค.ศ.1960 ประตูแห่งสายฟ้านี้มีเทพสองตนเฝ้าอยู่ด้านข้างนั่นก็คือเทพฟูจิน (เทพแห่งลม) และเทพไรจิน (เทพแห่งสายฟ้า) เฝ้าประตูอยู่ และจุดหัตถศิลป์อันสำคัญอีกจุดที่ซ่อนอยู่นั้นก็คือบริเวณใต้โคมแดงที่จะเป็นไม้แกะสลักรูปมังกรอันประณีตงดงาม สำหรับตัววัดด้านในนั้นประกอบไปด้วย ประตูโฮโซมอน (Hozomon)ที่มีขนาดใหญ่สองชั้นและโคมแดงยักษ์, วิหารฮอนโด (Hondo main hall) อันเป็นศาสนสถานหลักของวัด, และเจดีย์ 5 ชั้น อันสวยงาม นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแล้วคนญี่ปุ่นก็ยังนิยมมาขอพรที่วัดนี้กันอีกด้วย
เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน 06.00-17.00 น. (บริเวณวัดสามารถเดินชมได้ตลอด 24 ชม.)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://roojingjapan.com/ ครับ
มาถึงบริเวณวัดประตูด้านในปิดเรียบร้อยแล้ว แต่ก็สามารถสักการะขอพรจากด้านนอกกันได้นะครับ
หม่าม๊ากับเบลล่าก็ไม่ลืมที่จะกวักควันธูปเข้าตัวเพื่อความเป็นสิริมงคลกัน
เก็บบรรยากาศสวยๆในบริเวณวัดกันสักนิดนึง
ขอแวะชิมขนมเจ้าดัง ซาลาเปาทอด บริเวณหน้าวัดเซนโซจิหน่อยนะครับ เด็กน้อยหิวแล้ว กินไปพร้อมกับบอก หร่อยๆๆๆ ตลอดทางเลยครับ
เดินออกมาเจอร้านขนมอีกร้านนึง คนญี่ปุ่นต่อคิวซื้อกันเยอะเลยครับ เลยขอลองชิมมั่ง จะเป็นคล้ายๆดังโงะลูกเล็กๆแล้วก็โรยน้ำตาลครับ
เดินออกมาบริเวณด้านหน้าถนนเจอคู่บ่าวสาวมาถ่ายพรีเวดดิ้งกันบริเวณหน้าวัดครับ กับ รถลาก ดูคลาสสิค มากๆ ตากล้องนี่4-5คนเลยครับ วิ่งตาม วิ่งดักถ่ายกัน
เสร็จจากย่านAsakusa เราจะไปต่อที่ Tokyo Sky tree นะครับ วิธีเดินทางก็ตามนี้ครับ แต่ละเที่ยวห่างกัน 10นาที
ปัญหาคือ สถานีอยู่ไหน เพราะเป็นรถไฟสายใหม่ ใช้สถานีแยกออกไป เดินถามตำรวจแถวนั้น จึงได้ความว่า สถานีอยู่ที่ตึกนี้ครับ
ใช้เวลาแปปเดียวก็มาถึงที่หมายของเรา เดินออกจากสถานีก็เจอร้านยอดฮิตของคนไทยกันเลย tokyo banana shop
ซึ่งที่นี่มีขาย tokyo banana รุ่น Tokyo Banana Tree รส Choco Banana
Tokyo Banana รุ่นพิเศษที่ทำขึ้นมาสำหรับขายที่ Tokyo Skytree โดยเฉพาะ ได้แรงบันดาลใจมาจากลายเสือดาว สอดไส้ครีม Choco Banana เพิ่มความแปลกใหม่ เอาใจคนชอบชอกโกแลตเป็นพิเศษ มีให้เลือกซื้อทั้งหมด 3 ขนาด 4 ชิ้น 500 เยน, 8 ชิ้น 1050 เยน, 12 ชิ้น 1550 เยน (ราคาเป็นตอนที่ผมไปtaxยัง5%อยู่นะครับ) ซึ่งซื้อได้เฉพาะที่นี่ครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.tiewyeepoon.com
เดินเลยออกมาก็เจอร้านดังอีกร้านครับ moomin cafe ตกแต่งร้านน่ารักมากๆ น่านั่งสุดๆมี moomin ร่วมโต๊ะด้วย
เดินตามทางมาเรื่อยๆครับ จุดหมายคือ Tokyo Sky Tree
Tokyo Sky tree http://www.tokyo-skytree.jp/en/ Landmark แห่งใหม่ของโตเกียว ได้รับการบันทึกจาก Guinness world record (วันที่ 17 พฤษภาคม 2011) นับว่าเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในโลกด้วยความสูงที่ 634 เมตร รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มสร้าง Tokyo Sky tree ขึ้นในปี 2008 แล้วสร้างเสร็จ ปี 2011 และเพิ่งเปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปชมตึก Tokyo Sky tree ได้เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2012 ที่ผ่านมานี่เอง
โดยจุดชมวิวของ Tokyo Skytree จะมีสองระดับ คือ ระดับแรกที่ความสูง 350 เมตร และระดับความสูงที่สองที่ 450 เมตร โดยจะมีลิฟต์รับส่งที่เรียกว่า Tembo Shuttle ขึ้นลงที่ความเร็ว 600 เมตร ต่อนาที นับว่าเป็นลิฟต์ที่วิ่งเร็วที่สุดในญี่ปุ่น และสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้มากถึง 40 คนต่อเที่ยว
จุดชมวิว มีสองระดับชั้น มีชื่อเรียกดังนี้
Tembo Deck ชั้น 340, 345, 350 จุดเด่นที่ระดับนี้คือพื้นแก้วหนาที่ทนทานต่อความสูงระดับนี้ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถมองลงไปด้านล่างและเห็นถึงโครงสร้างเหล็กที่สวยงามของ Tokyo Sky tree
Tembo Galleria ชั้น 445 – 450 จะเป็นระเบียงยาวต่อเนื่องประมาณ 110 เมตร มองวิวได้โดยรอบ แถมระหว่างเดินจะมีเสียงสภาพภูมิอากาศจำลองประกอบ โดยเสียงจะถูกปรับให้เข้ากับอากาศด้านนอกในแต่ละฤดู
ขอขอบคุณข้อมูลจากเวบ http://roojingjapan.com ด้วยนะครับ
ราคาค่าบัตรเข้าชมในปัจจุบันนะครับ โดยจะมีแบ่งเป็น2ระดับ ตามด้านบนนะครับ ถ้าอยากขึ้นไปที่ระดับ 450m ก็จ่ายเพิ่มอีกนะครับ
บรรยากาศภายนอกครับ ลมแรงมาก เก็บภาพได้นิดหน่อย แล้วรีบเข้าด้านในครับ
ด้านในจะมีการตกแต่งเอาของหลายๆอย่างมาทำเป็นทรงหอคอยนะครับ
มาแบบบังเอิญ ลืมว่าวันที่ไปเป็น ไวท์ วาเลนไทน์ 14-3 เลยมีของที่ระลึกเล็กๆน้อยเป็นgimmickเก๋ๆครับ ด้ายแดงคล้องนิ้วก้อยของคู่รัก ^^ พร้อมกันนี้มีการจัดมุมพิเศษในช่วงนี้กันด้วยครับทั้งกล้องคู่รัก เก้าอี้คู่รัก สมกับเป็นญี่ปุ่นจริงๆ เรื่องราว story เยอะจริงๆ
เนื่องจากเราไปสถานที่ที่คนน่าจะเยอะมากๆ จึงไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้องเพราะคงไม่สะดวก ทั้งตั้งกล้องทั้งสัมภาระเด็กน้อย ^^ จึงใช้การดัน iso สูงๆแทน กับใช้มือถือส่องไฟช่วย เก็บรูปบรรยากาศบน Tokyo Sky Tree มาฝากกันได้นิดหน่อยนะครับ
บรรยากาศภายในลิฟท์นะครับ จะมีพนักงานคอยจัดคิวอยู่ด้านนอก ลิฟท์แต่ละตัวน่าจะตกแต่งคนละแบบกัน เพราะขาขึ้นขาลงผมขึ้นลิฟท์คนละตัว ข้างในก็คนละแบบครับ
ขึ้นมาถึงก็จะเจอฝูงคน เอ้ย ไม่ใช่ วิวสวยๆแบบนี้ครับ
ที่ Tokyo sky tree จะมีจุดบริการถ่ายรูปที่ผมเห็นก็3จุดนะครับ จัดตั้งบริการรูปละ1200เยนนะครับ จุด ถ่ายเองจะลำบากหน่อย ทั้งแสงน้อย คนเดินตลอด วิวหน้ากระจกนี่ผลัดๆกันตลอด จุดแรกอยู่ชั้นบนที่เราขึ้นลิฟท์ไปครับ ผมเฉยๆถ่ายกะวิว จุดสองลงมาสองชั้นตรงพื้นกระจกคือจุดที่ผมถ่าย จุดสามอยู่ชั้น5ตรงทางลง ร้านของฝาก เหมือนถ่ายกับโครงตัว Tokyo sky tree ข้างล่าง
ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆนะครับ โดยเฉพาะคู่หนุ่มสาวนี่มานั่งสวีทกันเยอะเลย
บริเวณเก้าอี้รูปหัวใจที่จัดเป็นพิเศษเฉพาะช่วงนี้ครับ
เบลล่าตื่นเต้นกับวิวมากๆ ว้าวๆๆๆตลอดเลยครับ
ตรงจุดนี้ก็จะเป็น Love Bench จุดพิเศษอีกจุดนึงที่จัดไว้ครับ
ตรงนี้จะเป็นแผนที่แบบ interaction พอเราจิ้มตรงไหนไปก็จะมีภาพขยายแล้วก็มีรายลัเอียดขึ้นมาให้ดูครับ
อิ่มเอมกับวิวสวยๆยามค่ำคืนกันแล้วก็ลงมาเดินเล่นข้างล่างครับ จะเป็นคล้ายๆห้างสรรพสินค้ามี food court มี ร้านขายของมากมาย ของเล่น ของที่ระลึก และพิพิธภัณฑ์ โดยชั้นล่างเป็นsuper market อยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า Tokyo Sky tree Town มาถึงทั้งทีมีหรือจะพลาด ต้องแวะชมนิดนึง ^^
และร้านที่ตั้งใจมาแต่เกือบหาไม่เจอนะครับคือร้านนี้ครับ Rilakkama Shop อยู่ชั้นเดียวกับ food court ข้างๆจะมีร้าน Takara Tomy มีของเล่นที่เป็นรุ่นเฉพาะที่นี่เหมือนกันครับ
เบลล่าได้ตุ๊กตา Rilakkuma คู่กับTokyo Sky Treeมาตัวนึง เพราะตอนไปเดินดูหยิบเอายอดหอคอยมาแคะจมูก เรียบร้อยกันไป
เดินกันเพลินไปหน่อยเกือบสามทุ่มแล้ว ร้าน Tokyo banana กำลังจะปิดแล้ว เลยต้องรีบลงไปจัดรุ่น limited edition กันซะหน่อย
ตั้งใจจะลงมาซื้อสตอเบอร์รี่ที่ซุปเปอร์ข้างล่างด้วย ตอนขึ้นไปเห็นเยอะมาก แต่พอลงมาภาพที่เห็นคือ เกลี้ยงครับ ได้มากล่องนึงให้เบลล่าชิม ^^
คราวนี้ก็ได้เวลาเดินทางกลับกันแล้วครับ จาก Tokyo Sky tree กลับไปยัง Ueno เราจะใช้เส้นทางตามนี้ครับ รถไฟมีทุก4นาที
สำหรับคนที่ต้องการถ่ายรูปมุมสูงของโตเกียวแบบสวยๆพร้อมติดวิวTokyo Sky Tree ด้วย ขอแนะนำไปถ่ายที่ Tokyo Metropolitan Government Building หรือ TMG Building ครับดูรีวิวตึกนี้ได้ที่นี่ครับ http://www.marumura.com/japanist_talkative/?id=1632 ส่วนตัวผมไม่ได้ไปครับ
แผนที่ ก็ตามนี้ครับผม
และแล้วก็ผ่านวันแรกไปอย่างสนุกสุดๆ เบลล่ามีความสุขมากๆ ไม่งอแงเลย กินได้เยอะกว่าปกติ ยิ้มทักทายคนอื่นๆทั่วไปเลย จะลำบากหม่าม๊าหน่อยตรงที่เวลาไปเที่ยว ไม่ยอมให้ผมอุ้มเหมือนเคย
ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามรีวิวมาจนถึงช่วงสุดท้ายสำหรับตอนแรกของรีวิวฉบับนี้ ผมจะพยายามเรียบเรียงข้อมูลต่างๆให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกๆท่านที่สนใจ และ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกๆท่าน ถ้ามีข้อมูลอะไรผิดพลาด ตกหล่นไปก็ขออภัยมาด้วยครับผม สำหรับตอนที่สอง จะเป็นวันต่อมาที่ไปตะลุยย่านโอไดบะ ย่านเมืองใหม่ของโตเกียว ไว้มาติดตามกันต่อนะครับว่าจะสนุกสุดเหวี่ยงขนาดไหน วันที่สองในการออกทริปญี่ปุ่นของเจ้าหนูวัยขวบครึ่งจะเป็นอย่างไร ^^
สุดท้ายนี้ หากท่านชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ หรือ กด Like ที่ Fanpage ของผม https://www.facebook.com/BLJourney เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆน้อยแก่ผมและทีมงาน 2Madames.com ทุกคน ขอบคุณมากๆครับ
The Journey of B & L Family
Blogger แนวครอบครัว พ่อ "แบงก์" แม่ "เล้ง" และ "น้องเบลล่า" ผู้รักการท่องเที่ยว การถ่ายภาพ เล่าเรื่องราวต่างๆ จากจุดเริ่มด้วยทริปการเดินทางของคนสองคน บัดนี้ถึงเวลาที่จะมาเปิดโลกการเดินทางอีกรูปแบบนึง เมื่อมีเจ้าตัวน้อย ตัวแสบประจำบ้านร่วมออกตะลุยไปด้วยกัน มาร่วมรับรู้เรื่องราวการเดินทางและความสนุกสนานของครอบครัว bank113 กันนะครับ The Journey of B&L Family https://www.facebook.com/BLJourney