ทริปพาเด็กน้อยเบลล่าวัยขวบครึ่ง ตะลุยญี่ปุ่น ตอนที่สาม ตามหาฟูจิซัง แบบไม่มีรถเข็น ไม่มีเป้อุ้ม กระเตงๆกันเพียวๆตลอดทริป จะสนุกสนานประทับใจขนาดไหนมาติดตามกันต่อได้เลยครับ
และแล้วก็มาถึงตอนที่สามของเบลล่าตะลุยเจแปน ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรีวิวมาโดยตลอดนะครับ ทุกๆlike ทุกๆ share ทำให้ผมรู้สึกดีใจมากๆที่รีวิวของผมอาจเป็นประโยชน์กับทุกๆท่านนะครับ
รีวิวตอนแรก Japan Our Dream Destination : เด็กน้อยตะลุยโตเกียว ขอไปอีกหลายๆเที่ยวนะคะป๊า :
http://www.2madames.com/japan_by_bljourney/
รีวิวตอนที่สอง B&L Family in Japan Part II : หนูเบลล่าพาลุยโอไดบะ:
http://www.2madames.com/japan_by_bljourney2/
เมื่อเอ่ยถึงญี่ปุ่น สิ่งแรกที่หลายๆคนจะนึกถึงก็คือ ภูเขาไฟฟูจิ ผมเชื่อว่าหลายๆคนมาญี่ปุ่นก็อยากที่จะไปถ่ายรูป ไปชมวิวสวยๆของภูเขาไฟฟูจิกัน ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น อย่างที่เกริ่นตั้งแต่ตอนแรกว่า การจัดทริปครั้งนี้สถานที่ที่ห้ามพลาดคือการมาชมฟูจิซังกันแบบใกล้ชิด และ Kawaguchiko (คาวากูชิโกะ) ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่จะเติมเต็มความฝันของเราครับ
ภูเขาฟูจิ มีชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า “ฟูจิซัง”(Fujisan– 富士山) ซึ่งในหนังสือในสมัยก่อนเรียกว่า “ฟูจิยะมะ” เนื่องจากตัวอักษรคันจิตัวที่ 3 (山) สามารถอ่านได้สองแบบทั้ง “ยะมะ” และ “ซัง” ภูเขาไฟฟูจินี้เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีความสูงราว 3,776 เมตร (12,388 ฟุต) ขนาดเส้นรอบวงอยู่ที่ประมาณ 100 กิโลเมตร ตั้งอยู่บริเวณจังหวัดชิซึโอะกะ และจังหวัดยะมะนะชิ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัดโตเกียว ภูเขาไฟฟูจิเคยระเบิดมาแล้วซึ่งครั้งหลังสุดที่ระเบิดคือเมื่อปี พ. ศ. 2250 (ค.ศ. 1707) ซึ่งตรงกับยุคสมัยเอโดะ และในปี พ.ศ. 2556 องค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้ภูขาไฟฟูจิเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในวันที 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา ทำให้ภูเขาไฟฟูจิเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม แห่งที่ 13 และเป็นมรดกโลก แห่งที่ 17 ของประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งการท่องเที่ยวในวันนี้ เราจะต้องเดินทางไกล เป็นการเดินทางด้วยรถบัส กว่าชั่วโมงครึ่ง จะไหวมั้ยน้ออาหนูเบลล่า โดยตารางการเดินทางของเราวันนี้นะครับ จะต้องไปขึ้นรถบัสที่สถานีชินจูกุ เพื่อไป Kawaguchiko เราจองรถบัสไว้ล่วงหน้าผ่านทางเว็บนี้ครับ http://highway-buses.jp/fuji/ เพื่อจะได้มีที่นั่งแน่นอน ในรอบเช้าตรู่ หรือใครจะสะดวกไปซื้อล่วงหน้าก็ได้ครับ สามารถซื้อที่ชั้นสองของจุดขายตั๋ว เราจองรถไว้รอบ 7.40 ซึ่งต้องมาถึงสถานีรถบัสเพื่อซื้อตั๋วก่อนอย่างน้อยประมาณ 15 นาที จากโรงแรม Mercure Ginza สถานี Ginza ขึ้นสาย Marunouchi Line มาที่ Shinjuku JR ใช้เวลา 16 นาที รถไฟมาทุก 6 นาที
กองทัพเดินด้วยท้องครับ เราจึงเตรียมเสบียงไปก่อน กะไปกินบนรถบัสครับ นมและขนมปังจาก Lawson การเดินทางวันนี้เราต้องรีบมาให้ทันรถไฟรอบ 7 โมง เผื่อเวลาในการเดินหลงกันหน่อยเพราะสถานีชินจูกุเป็นเหมือนกับจุดศูนย์รวมการขนส่งกันเลยทีเดียวครับ ตัวสถานีค่อนข้างใหญ่ ถ้าเดินหลงไปไม่ถูกนี่จบกันเลยครับ
ขอขอบคุณลายแทง ยาชุดสำหรับแก้อาการแก้มึนงง … การจองตั๋ว / จุดขึ้นรถ / แผนที่ / พาส ** ใน Hakone-Gotemba-Kawa ของติวเตอร์ตู่ครับ
และ คลิปวีดีโอ เดินจาก สถานี JR Shinjuku ทางออก West Exit ไปยังท่ารถบัส keio เพื่อไป kawaguchiko โดยคุณ DRIFTAWAY
มาถึงสถานีชินจูกุ ให้เรายึดทางออก west exit เท่านั้นครับ เดินตามป้ายมาเลยครับ เราต้องออกที่ Odakyu Line west Ground Gate อยู่ๆป้ายหาย ต้องวิ่งไปถาม เจ้าหน้าที่ ว่ามาถูกทางมั้ย ขึ้นมา เจอศูนย์บริการนักท่องเที่ยว Odakyu Sightseeing Service Center ด้วยความเข้าใจว่าซื้อตั๋วรถบัสตรงนี้ เราจึงเข้าไปสอบถามได้ความว่าเคาน์เตอร์ที่ขายตั๋วไป Kawaguchiko ของ Odakyu Sightseeing Service Center เปิดแปดโมง อ้าววววว ผมก็เลยสอบถามไปแล้วผมจะไปยังไง จองรอบ 7.40 มาจะทำอย่างไร รถบัสจะออกแล้วด้วย เจ้าหน้าที่ก็เลยชี้ทางสว่างมาให้ พร้อมบอกว่าสถานีรถบัสอยู่ทางโน้นนนค่ะ ไปซื้อตั๋วตรงโน้น ที่ข้างๆห้าง Yodaibashi จ้า ตรงนี้ไม่ใช่ที่ซื้อตั๋วรถบัสที่เราจะไป หน้าแตกเลย ตรงที่เราจะไปคือ Keio Bus เปิดแต่เช้าตรู่ไปออกตั๋วได้สะดวกครับ แนะนำให้จองมาก่อนนะครับ โอกาสเต็มสูง
สำหรับ Odakyu Sightseeing Service Center ที่เราไปผิดมา จะบริการข้อมูลการท่องเที่ยวและการเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จำหน่ายและจองตั๋ว “Romance car” Limited Express, Hakone Freepass, Enoshima-Kamakura Freepass, Ito-kanko Freepass ครับ
เหลือบดูนาฬิกาอีก 10 นาทีจะ 7.40 แล้ว งานเข้า ใส่เกียร์ 5 รีบจ้ำเลยครับ ไปถึงที่สถานีซื้อตั๋วแบบ งงๆ ยืนเอกสารที่เราจองให้เค้าไป ราคาปกติต่อเที่ยวอยู่ที่ 1,700 เยนครับ ถ้าซื้อไปกลับลดเหลือ 1,530 เยน 2 คนไปกลับก็จาก 6,800 เหลือ 6,120 เยนครับ
ตารางการเดินรถ Keio Bus ไป Kawaguchiko, FujiQ Highland นะครับ
หน้าสถานีเป็นแบบนี้ครับ ตอนเช้าถ่ายไม่ทัน ^^
รถจะมาจอดที่ด้านทางขวาของสถานีขายตั๋วครับ
มาแล้ววววว ได้ไปชัวร์ๆแล้ว แต่แล้วก็มีเจ้าหน้าที่เดินตรงดิ่งเข้ามาหาผมเลย แล้วก็ขอดูตั๋วก่อนที่รถจะจอด แล้วก็บอกว่า อาตี๋อ้วน ลื้อลืมตั๋วไว้ใบนึงนะ ตอนจ่ายตังค์หยิบมาไม่ครบ แป่วววว ด้วยความซุ่มซ่ามของผมเองแท้ๆเกือบไม่ได้ไปแล้ว
บรรยากาศภายในรถนะครับ
ใช้เวลาการเดินทางทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง 45 นาที นั่งรถชมวิวกันไปเรื่อยๆครับ เด็กน้อยก็กินนม กินขนมไป
ระหว่างทางจะมีการแวะจอดตามป้ายเป็นระยะๆครับ
และแล้วก็ได้เห็นฟูจิซังออกมาต้อนรับตั้งแต่บนรถเลย
ราวๆเก้าโมงครึ่งก็มาถึงที่หมายของเราครับ สถานี Kawaguchiko มาถึงปุ๊บก็มุ่งไป Tourist Information Center ก่อนเลย ถ้าหันหน้าเข้าตัวอาคาร Tourist Information Center จะอยู่ซ้ายสุดครับ ที่ฝากกระเป๋าอยู่ขวาสุด
ขอแผนที่ สอบถามเส้นทางท่องเที่ยว ติดต่อโรงแรมให้รถมารับซึ่งได้ความว่ารถจะมารับหลังบ่ายสองเท่านั้น >< และสอบถามเรื่องบัตร 2 days package ซึ่งบัตร 2 days นี้ สนนราคาที่ 2,000 เยน สามารถขึ้น Retro Busได้ไม่จำกัดเที่ยว ในเวลา 2 วัน ขึ้นกระเช้า Kachi Kachiyama Ropeway และนั่งเรือชมวิวฟูจิ ที่ Kawaguchiko Lake
ซึ่งถ้าแยกเป็นอย่างๆ จะมีค่าใช้จ่ายตามนี้ครับ
ค่ารถ เที่ยวละ 150-480 เยน
ค่ากระเช้า 900 เยน
ค่าเรือ 700 เยน
ซื้อเหมาคุ้มกว่าแน่ๆครับ
รูปจากติวเตอร์ตู่ครับ ตอนไปผมก็print รูปนี้ไปถามพนักงานเอาว่าจะซื้อบัตรแบบนี้อ่ะครับ
จุดขายบัตร 2 days package จะอยู่ตรงที่ขายตั๋วรถไฟนะครับ ผมไปงงหาอยู่หลายที่เลย
ชมวิวฟูจิซังกันตรงสถานีก่อนเลย
ซึ่งถ้าเกิดจะซื้อเฉพาะตั๋ว Retro Bus ไม่เอาตั๋วกระเช้ากับล่องเรือ แบบ 2 days Unlimited ก็มีจำหน่ายในราคา 1000 เยนครับ (ไม่แน่ใจว่าซื้อที่เดียวกันหรือไม่นะครับ) หลังจากได้บัตรเรียบร้อยก็ ได้เวลาออกเที่ยว ซึ่งเราก็จะไปฝากกระเป๋าที่ล็อคเกอร์กันก่อน โดยมี 3 ขนาด 300, 500 และ 800 เยน ตามขนาดตู้ครับ ฝากได้ถึงเที่ยงคืนนะครับ
จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ Tourist Information Center ได้ความว่าแถวๆนี้ก็มีเที่ยวรอบๆทะเลสาบ Kawaguchiko กับขึ้น Kachi Kachiyama Ropeway ว่าแล้วก็หยิบแผนที่แผ่นใหญ่มาให้แล้วก็อธิบายเส้นทาง ให้เดินตามทางนี้ไป เจอตรงนี้เลี่ยวซ้าย เจอแยกเลี้ยวขวา เลี้ยวขวาอีกที ก็ถึงแล้ว ประมาณ 10 นาที สาเหตุที่เราไม่รอรถ Retro Bus นะครับ เพราะรถรอบนั้นพึ่งจะออกไปถ้ารออีกคัน จะนานเลยครับ อีกอย่างเส้นทางเดินรถจะไปอ้อมทางทะเลสาบแล้วค่อยวนกลับมาทาง Kachi Kachi Ropeway ถ้าเดินจะตัดมาตรงๆเลยครับ
ข้อมูลการท่องเที่ยวรอบๆ Kawaguchiko สามารถดูได้จากเวบนี้นะครับ
http://transportation.fujikyu.co.jp/english/gettingaround/index.html
ตารางเวลาการเดินรถ Retro Bus สำคัญมากเลยนะครับถ้ามาไม่ทันพลาดไปนี่รอกันยาวเลยครับ ซึ่งสามารถขอแผ่นพับได้ที่ Tourist Information Center ครับ
ป้ายหยุดรถที่น่าสนใจ ในเส้นทาง Retro Bus
Retro Bus จะมีป้ายจอดรถอยู่ทั้งหมด 21 ป้าย มาดูกันครับว่าป้ายไหนน่าสนใจบ้าง
– ป้ายหมายเลข 1 สถานี Kawaguchiko ทั้งสถานีรถไฟ, รถบัส, ที่ฝากกระเป๋า, Tourist Information Center
– ป้ายหมายเลข 7 Kawaguchiko Herb Kan ที่จัดแสดงสมุนไพร ดอกไม้มากมาย ตลอดจน ชาสมุนไพร ของที่ระลึกต่างๆ ด้านหลังอาคารเป็นสวนสมุนไพร http://www.fujisan.ne.jp/spot/info_e.php?ca_id=2&if_id=204
– ป้ายหมายเลข 10 Yuransen Ropeway Iriguchi จุดขึ้นกระเช้า Kachi Kachiyama Ropeway มองเห็นวิว ของทะเลสาบ Kawaguchiko และฟูจิซังได้อย่างงดงาม ข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ KachiKachiyama.pdf กระเช้าจะเปิดให้บริการเวลา 9.00-17.10 น. และออกทุกๆ 5-10 นาที ใช้เวลาประมาณ 3 นาที แต่ถ้าเดินเท้าต้องใช้เวลาถึง 40 นาที ที่ฝั่งตรงข้าทางขึ้นกระเช้าจะมีบริการล่องเรือทะเลสาบ Kawaguchiko
– ป้ายหมายเลข 12-14 จะเป็นย่านโรงแรมทั้งแถบเลยครับ
– ป้ายหมายเลข 15 Kawaguchiko Bijutsukan – Kawaguchiko Art of Museum เป็นพิพิธภัณฑ์รูปภาพของฟูจิซังในมุมต่างๆ
– ป้ายหมายเลข 16 Ukai orgel no Mori Bijutsukan ที่ป้ายนี้จะมีจุดท่องเที่ยว Kawaguchiko Crafts Park กับ Music Forest ดินแดนแห่งความสุนทรีย์ ของผู้ชื่นชอบเสียงเพลง
– ป้ายหมายเลข 17-18 Kawaguchiko Sarumawashi Gekijo Konohana Bijutsu-kan กับ Kubota Itchiku Bujutsu-kan จะมีทางเดินเลียบทะเลสาบพร้อมกับชมวิว ฟูจิซังไปด้วย ในช่วงซากุระบานจะมีซากุระบานสะพรั่งตลอดทางเดิน และในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะมีอุโมงค์เมเปิ้ลสีแดงเป็นแนวยาวอยู่ริมถนน สวยงามมากๆ นอกจากนี้ตรงป้ายที่ 17 จะมี Kawaguchiko Monkey Show Theater เป็นการแสดงโชว์ลิงครับ เด็กๆอาจจะชอบกัน ข้อมูลเพิ่มเติมและรอบการแสดงนะครับ Monkey Show Timetable
– ป้ายหมายเลข 19 Sunnidemae Nagasaki Koen Iriguchi ป้ายนี้ลงหน้า Sunnide Resort ครับ ด้านหน้าก็มีจุดชมวิว มีเรือถีบเรือพายให้บริการ และมีสถานที่ท่องเที่ยวคือ Itchiku Kubota Art of Museum เป็นพิพิธภัณฑ์กิโมโนของ ท่าน Itchiku Kubota ครับ ข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ https://www.jnto.go.jp/eng/location/spot/museum/itchikukubotaart.html
– ป้ายหมายเลข 20-21
ป้าย Kitamahasomae จะมี Oishi Park (大石公園) ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบคาวากูชิโกะฝั่งเหนือ อยู่ระหว่างป้านจอดที่ 20-21 สามารถมองข้ามทะเลสาบไปเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อย่างโดดเด่นเต็มตา ที่นี่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นซึ่งมาพักผ่อนตากอากาศถือเป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดจุดหนึ่งเลยทีเดียว http://www.marumura.com/travel/?id=3073
ป้าย Kawaguchiko Shizen Seikatsukan ป้ายสุดท้ายของ Retro Bus ที่ป้ายนี้จะมี Kawaguchiko Natural Living Center ร้านขายของที่ระลึก ของฝาก มีที่นั่งทานกาแฟ มาลิ้มรสแยมและsoftcream บลูเบอร์รี่ ของขึ้นชื่อของที่นี่ ซึ่งจุดนี้ก็สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อย่างชัดเจนสวยงามเหมือนกัน https://www.yamanashi-kankou.jp/foreign/english/spot/p2_2830.html
เพิ่มเติม สำหรับท่านที่สนใจจะไป Pagoda Chureito หรือที่เรียกกันว่าเจดีย์แดง ก็สามารถนั่งรถไฟจากสถานี Kawaguchiko ไปอีก 2 สถานี ลงที่สถานี Shimo-Yoshida ค่ารถ 300 เยน เดินจากสถานีไปประมาณ 10 นาที และขึ้นบันไดวัดใจกันกว่า 400 ขั้น ไม่แน่ใจเป๊ะๆว่ากี่ขั้นนะครับ ที่หาข้อมูลมามีตั้งแต่ 400-545 ขั้น ผมไม่ได้ไปนะครับ อุ้มหนูน้อยหนัก 10 โลกว่าๆ พร้อมทั้งกระเป๋า สงสัยจะได้นอนสลบอยู่ข้างบน ^^ รูปและข้อมูลเพิ่มเติมดูได้ที่ Japan-guide นะครับ
สำหรับท่านที่สนใจขึ้นไปฟูจิชั้น 5 ต้องแล้วแต่ช่วงเวลานะครับ หน้าหนาวนี่ปิดครับ จุดแดงๆคือ สถานี Kawagichiko ครับ ตั๋วรถมีขายในสถานี Kawaguchiko แบบ Round-Trip 2,000 เยน One-Way 1,500 เยน
หรือซื้อจาก https://www.kkday.com/th/product/21733-tour-from-tokyo-mt-fuji-5th-station-lake-kawaguchi-japan?cid=9079
และแล้วก็มาถึงที่หมายกันเรียบร้อย เดินกันเหงื่อซึมๆครับ 15 นาที มาก็เดินตามทางไปขึ้นกระเช้า แต่แล้วเบลล่าก็ขอแวะทักทายเพื่อนก่อน (ไปรู้จักกันตอนไหนเนี่ย^^)
ร่ำลากระต่ายตัวล่างไปแล้วมาเจอด้านบนอีกรอบ คราวนี้นานเลย ^^
ในที่สุดก็มาถึงทางขึ้นกระเช้าครับ นำบัตรที่เราได้มายื่นให้ที่ช่องขายตั๋วได้เลยครับ
สามารถจองตั๋วมาล่วงหน้าจาก https://www.kkday.com/th/product/141628-lake-kawaguchi-mt-fuji-panoramic-ropeway-round-trip-ticket?cid=9079
แล้วก็มาต่อคิวเตรียมขึ้นกระเช้ากัน คนไม่เยอะมากครับเช้านี้
จากในมโนที่คาดไว้ตอนแรกว่าจะต้องนั่งสบายๆชมวิวสวยๆ แต่แล้วววว ความเป็นจริงก็ปรากฏ เเน่นขนัดกันเลยทีเดียว เบลล่าไม่ปลื้มค่า มองไม่เห็นวิว ^^
ใช้เวลากันสักพักก็มาถึงจุดด้านบน ภาพแรกที่เราเห็นคือ ฟูจิซัง โผล่มาทักทายอย่างไม่เขินอายกันเลย ดื่มด่ำ อิ่มเอมกับวิวฟูจิซังกันไปครับ
มาชมวิวฟูจิซังกันนะครับ ไม่มีเขินอาย คุ้มค่ากับที่มามากๆครับ
มุมกระต่ายน้อย จะอยู่ที่ชั้นสองของจุดถ่ายรูปด้านหลังอาคารขายของนะครับ จากในรูปร่มมุมซ้ายล่างจะเป็นจุดให้บริการถ่ายรูปครับ
จุดบริการถ่ายรูปนะครับ พร้อมกรอบ อยู่ที่ประมาณ 1000 เยน จะได้ถ่ายรูปคู่กับกับทานูกิและกระต่าย สัญลักษณ์ของที่นี่เลยครับ คนถ่ายก็จะบอกว่าเค้าจะพูด ฟูจิซัง ให้เราพูด Daisuki ได-สุ-คิ だいすき 大好き ซึ่งแปลว่า ชอบมาก
มีศาลเจ้าอยู่ด้านบน มีรูปปั้นกระต่ายกับทานูกิอยู่ด้านหน้า
มองไปทางไหนก็จะมีกระต่ายกับทานูกิอยู่ตลอดเลยครับ
หลายๆคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องมีทานูกิกับกระต่ายที่ Kachi Kachi Ropeway ตามที่หาข้อมูลมานะครับ
จากนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นเล่าว่า มีตากับยายคู่นึงอาศัยอยู่แถวๆภูเขา ปลูกผักทำสวนกันไปตามประสา แต่ก็มีเจ้าทานูกิมาทำให้พืชผักเสียหายตลอด คุณตาจึงไม่พอใจมากๆ อยากที่จะกำจัดเจ้าทานูกิตัวนี้ จึงวางกับดักและสามารถจับเจ้าทานูกิได้ที่แปลงผัก คุณตาจึงจับเจ้าทานูกิมาไว้ที่บ้านก่อนแล้วออกไปทำสวนต่อ เจ้าทานูกิรู้ว่าคุณยายเป็นคนใจดี มีเมตตา จึงออกอุบายว่าสำนึกผิดแล้ว ขอให้ปล่อยเถิด คุณยายหลงเชื่อจึงปล่อยเจ้าทานูกิออกมา แต่ทานูกิจอมวายร้ายกลับฆ่าคุณยายทิ้ง คุณตากลับมาเห็นศพก็เสียใจมากๆ และก็มีเจ้ากระต่ายเข้ามาบอกว่าไม่ต้องเสียใจ เดี๋ยวเราจะแก้แค้นให้
วันต่อมากระต่ายจึงไปตีสนิทกับทานูกิแล้วออกอุบายให้ทานูกิ ขนฟืนให้ แล้วกระต่ายก็เอาหินเหล็กไฟมากระทบกัน เป็นเสียง kachi kachi จุดไฟไปที่ฟืนบนหลังของทานูกิ ทานูกิถามว่าเสียงอะไร กระต่ายบอกว่าที่นี่คือภูเขา kachi kachi ไม่ต้องห่วง สุดท้ายเจ้าทานูกิก็โดนไฟไหม้ไป
วันต่อมาเจ้ากระต่ายแกล้งทำเป็นกระต่ายอีกตัว เข้าไปแสดงความเป็นห่วง เอาขี้ผึ้งไปให้ทา แต่จริงๆคือมัสตาร์ต ยิ่งทำให้แผลแสบขึ้นไปอีก เจ้าทานูกิโกรธมากๆ
วันต่อมา เจ้ากระต่ายแกล้งทำเป็นกระต่ายอีกตัวเหมือนเดิม ต่อเรือด้วยไม้แล้วชวนทานูกิไปจับปลากัน พร้อมออกอุบายให้ทานูกิทำเรือจากโคลนสิ จะได้จับปลาได้เยอะๆ ทานูกิก็หลงเชื่อสร้างเรือจากโคลนขึ้นมาออกไปจับปลา สุดท้ายเรือก็จมลงไปพร้อมกับเจ้าทานูกิ (รูปที่เบลล่าไปนั่งเรือกับกระต่ายด้านบนครับ)
มาครั้งนี้เจ้าทานูกิได้สำนึกผิดถึงสิ่งที่ตัวเองเคยทำมา พร้อมสัญญาว่าจะกลับตัวเป็นคนดีแล้ว คุณตาก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบในท้ายที่สุด
อ้างอิงจาก http://leverettfolktales.blogspot.com/2012/06/kachi-kachi-mountain.html
สำหรับท่านที่ต้องการชมวิวแบบงามสุดๆ ขอแนะนำให้ขึ้นมาช่วงบ่ายครับ เพราะตอนเช้าจะย้อนแสง ถ่ายรูปแล้วไม่ฟินเท่าที่ควร แต่ นะครับ แต่ ต้องวัดดวงนิดนึงเพราะฟูจิซังพร้อมที่จะหลบหน้าหลบตาเราตลอดเวลา ผมเห็นตอนเช้าฟ้าเปิด เลยรีบขึ้นมาก่อนเลยครับ
ด้านหลังของอาคารของที่ระลึก เห็นมีคนญี่ปุ่นมาร่อนจานเทียนเล็กๆให้ลอดห่วงเชือกให้ไปโดนซุ้มประตูด้านหลัง คงเป็นการเสี่ยงทายอธิษฐานอะไรประมาณนี้ครับ
หม่าม้า ใครปิดไฟคะ
ทิ้งท้ายบน Kachi Kachi Ropeway กับกระต่ายน้อย ตัวเอกของเรื่องราวที่นี่กัน
ตอนขาลงมานี่เจอคิวรอขึ้นกระเช้ายาวเหยียดเลยครับ โชคดีว่าเราขึ้นไปเร็ว
เสร็จสิ้นภารกิจแรกของวัน หลังจากขึ้นกระเช้าแล้วต่อไปก็ล่องเรือใน ทะเลสาบ Kawaguchiko ครับ
ทะเลสาบคาวาคูจิโกะจัดเป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 จากทั้งหมด 5 ทะเลสาบที่ตั้งอยู่บริเวณตีนภูเขาไฟฟูจิ โดยทะเลสาบนี้มีเส้นรอบวงยาวประมาณ 19 กิโลเมตร
ทะเลสาบทั้ง 5 ที่เกิดจากการปะทุของหินเดือดใต้ภูเขาไฟฟูจิ เมื่อเย็นแล้วยุบตัวลงเป็นแอ่งกักเก็บน้ำตามธรรมชาติจนกลายเป็นทะเลสาบ ที่ตั้งอยู่ทางทิศต่างๆ ในเมืองฟูจิโยชิดะ และมีชื่อเรียกดังต่อไปนี้คือ
- ทางเหนือ มีทะเลสาบ Kawaguchiko เป็นศูนย์กลางในการชมภูเขาไฟฟูจิได้ชัดมาก จึงมีที่พักพร้อมทั้งบ่อน้ำแร่ธรรมชาติให้แช่ได้ในทุกฤดูกาล การเดินทางจากโตเกียวไปสะดวกที่สุด
- ทางตะวันตกเฉียงเหนือ มีทะเลสาบ Saiko ที่แวดล้อมด้วยผืนป่าไม้อันอุดมที่อยู่ชายฝั่งด้านตะวันตก
- ทางตะวันตก มีทะเลสาบ Shojiko ที่เล็กสุดในบรรดาทะเลสาบทั้ง 5 ได้รับการแนะนำให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจระดับโลกเป็นเวลายาวนาน
- ทางตะวันตกสุด มีทะเลสาบ Motosuko ที่ลึกที่สุดและน้ำในทะเลสาบใสสะอาดมาก รูปฟูจิสะท้อนน้ำบนธนบัตรพันเยนก็เป็นรูปจากที่ทะเลสาบแห่งนี้ครับ
การเดินทาง ไปทะเลสาบทั้ง 3 แห่งข้างต้น โดยรถบัสจากสถานี Kawaguchiko จะสะดวกที่สุด แต่ละแห่งใช้เวลาราว 20 นาที 40 นาที และ 50 นาที ตามลำดับ เพราะอยู่ไปในทิศทางเดียวกัน - ทางตะวันออกสุด มีทะเลสาบ Yamanakako ที่ใหญ่สุดในบรรดาทะเลสาบทั้ง 5 จึงเป็นที่ตั้งของรีสอร์ท และบ้านพักตากอากาศฤดูร้อนจำนวนมาก
การเดินทาง โดยรถบัสประจำเส้นทางจากสถานี Fujiyoshida บนสาย Fujikyuko ราว 30 นาที
ท่าเทียบเรือจะอยู่ตรงข้ามทางขึ้น Kachi Kachi Ropewayเลยครับ ลงมาด้านล่างเดินข้ามถนนมาได้เลย ด้านล่าง Kachi Kachi Ropeway จะมีร้านขนมเป็นคุกกี้ ฟูจิซังครับ หน้าตาแบบนี้ครับ
อร่อยดีเหมือนกันครับ กลิ่นหอมมากๆ เบลล่าคอนเฟิร์ม (เบลล่าบอกอร่อยทุกอย่างเลยที่ญึ่ปุ่น)
มาถึงท่าเทียบเรือก็ยื่นบัตรสีขาวๆที่ซื้อมาใน package ได้เลยครับ เรือที่จะพาเราออกไปชมวิวสวยๆจอดรออยู่แล้วครับ มีออกเป็นรอบๆนะครับ เช็ครอบก่อนขึ้น Kachi Kachi ก็ได้ครับ จะได้ลงมาพอดีกัน
มีที่นั่งด้านนอกชมวิวรับลมแบบเต็มๆ กับด้านในห้องกระจกนะครับ ช่วงแรกๆเราก็นั่งกันด้านนอก ชมวิวแบบสั่นๆกันไป สักพักก็ค่อยอพยพเข้าด้านในครับ
สปีดโบ้ท ไม่แน่ใจว่าสำหรับชมวิวหรือเปล่า แต่เห็นมีวิ่งกันตลอดเลยครับ
เรือถีบก็มีให้บริการครับ แต่พอเจอคลื่นจากเรือใหญ่กับสปีดโบ้ทก็มีโคลงๆบ้างครับ
กิจกรรมหลักของคนแถวนี้เลยครับ ตกปลา มีเกือบทุกจุดริมฝั่งทะเลสาบ
พอเรือเริ่มออกจากท่า หันไปก็เห็นฟูจิซังทันทีเลยครับ
ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็เรียบร้อยครับ อิ่มเอมมากๆ ฟ้าใส เคลียร์สุดๆ
ได้เวลาอาหารกลางวัน เหลียวซ้ายแลขวา เลือกที่ร้านนี้ครับ คนเยอะสุด อยู่ฝั่งเดียวกับ Kachi Kachi Ropeway ครับ ใกล้ๆทางขึ้นเลยครับ
เติมพลังกันเรียบร้อยก็เดินย่อยกันหน่อยครับ ด้านล่างเป็นร้านของฝากด้วยพอดี เดินสำรวจดูราคาก่อน
ใกล้เวลาบ่ายสอง รถจากโรงแรมจะมารับแล้ว ขอสารภาพตามตรง ระหว่างทางเดินจากสถานี Kawaguchiko มาถึงที่นี่และตลอดทางกลับ เราไม่เห็น Retro Bus แม้แต่คันเดียว แต่พอถึงสถานีปุ๊บ Retro Bus ก็ค่อยเผยโฉมให้เห็นพอดี ><
เราเดินมาที่ Tourist Information Center ติดต่อให้แจ้งโรงแรมให้ส่งรถมารับ ต้องรอประมาณ 20-30 นาทีครับ ระหว่างรอก็เจอรถไฟขบวนนี้มาเทียบชานชลาพอดี
รถมาแล้ว เย้ นั่งรถชมวิวไปเรื่อยๆครับ Sunnide Resort อยู่ที่ป้าย retro bus ที่ 19 ครับ ใช้เวลา 20 นาทีโดยประมาณ ทั้งรถมีแค่เราสามคนครับ ^^
และแล้วก็มาถึงที่หมายของเรา Sunnide Resort ซันนิเดะ รีสอร์ท http://www.sunnide.com/englishl.html
ระหว่างรอทำการเช็คอิน ก็นั่งชมวิวฟูจิกันไป
โรงแรมนี้มีห้องพักหลายรูปแบบครับ ทั้งแบบ Cottage กับแบบห้องธรรมดา (เรื่องการจองที่นี่ เล่นเอามึนเหมือนกันครับ ไม่แน่ใจว่าที่เราจองไปถูกห้องหรือไม่ ^^ รูปห้องจะคล้ายๆกัน)
ส่วนแบบ Cottage จะสังเกตเห็นเป็นกระท่อมแยกๆกันอยู่ด้านบนครับ
เราเลือกแบบ Japanese Western Style with Open-Air Bath พร้อมอาหารเย็น และอาหารเช้า สนนราคาคืนละ 45,000 เยน (ปาดเหงื่อเบาๆ) นอน Touganeya 4 คืนยังไม่เท่าที่นี่คืนเดียว
สาเหตุที่ทำไมเราเลือกที่นี่นะครับ ง่ายๆสุดเลยครับ ข้อสำคัญสุด ขอวิวฟูจิซังแบบเปิดโล่ง เห็นเต็มๆ ไม่มีอะไรบัง ซึ่งโรงแรมที่จะตอบโจทย์ตรงนี้มีแค่ 2 โรงแรมครับคือ Sunnide Resort เบอร์ 18 กับ Wilderness Park Lodge เบอร์ 21 แต่พอหาข้อมูลรีวิวเก่าๆไปเรื่อยๆมีคนcommentเรื่องความสะอาด ที่ Wilderness Park Lodge ก็เลยตัดจนเหลือที่ Sunnide Resort ที่เดียวครับ
รายละเอียดรีวิว เพิ่มเติม โรงแรมรอบๆ Kawaguchiko Lake ดูได้จากที่นี่ครับ http://japan-guides.blogspot.com/2010/07/kawaguchiko.html
ตอนแรกแอบมีเขวๆไป Kukuna นิดนึง น้องสาวพึ่งไปมา แต่พอรวมราคาเด็กแบบไม่เอาอาหาร ไม่เอาที่นอน จ่ายเพิ่ม 5,000เยน รวมๆแล้วไม่ต่างกับ Sunnide ที่ไม่ต้องจ่ายเพิ่มสำหรับเด็กเล็ก จึงเลือกที่นี่เลยครับ อย่างที่บอกว่าห้องพักน้อยมาก วิธีจองอาจจะลำบากนิดนึง ห้องพักมีไม่เยอะ ยิ่งถ้าต้องการแบบมี Private bath จะยิ่งน้อยครับ เลยต้องเช็คหลายๆที่ครับ Agoda, Booking, เวบโรงแรมเอง จองไม่ได้เลย สุดท้ายมาได้ที่ Japanican.com
ตึกห้องพักกับล็อบบี้จะอยู่คนละตึกกันนะครับ wifi internet เล่นได้แค่ล็อบบี้เท่านั้น
เช็คอินเสร็จก็มีพนักงานพาไปที่ห้อง ระหว่างนั้นก็ได้พูดคุยกันเล็กน้อย เค้าบอกช่วง 2-3 ปีมานี้คนไทยมาพักเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อนมากๆ เค้าก็ดีใจที่เป็นที่นิยม
มาถึงห้องพักครับ สามโมงเป๊ง ซินเดอเบลล่า ก็สลบไปตามเคยครับ
ห้องพักก็จะมีแบ่งพื้นที่เป็นห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ แยกกันเป็นส่วนๆ ห้องนอนจะมีบานประตูเปิดปิดได้แล้วก็มีเตียงดูดวิญญาณอยู่กลางห้องเลยครับ นุ่มมากๆ
บริเวณห้องนั่งเล่นครับ ปูด้วยเสื่อทาทามิ ควบคุมอุณหภูมิ พื้นอุ่นเดินสบายเลยครับ
ห้องอาบน้ำครับมีเป็นโซนให้นั่งอาบ มีเก้าอี้ มีผักบัว ฝักบัวที่นี่จะเป็นแบบในออนเซ็นครับ น้ำจะไม่ได้ไหลตลอด ต้องกดเปิดเรื่อยๆครับ
โซนอ่างแช่น้ำครับเป็นน้ำร้อน แต่ไม่ใช่น้ำแร่นะครับ ใครอยากแช่น้ำชมวิวฟูจิแบบใกล้ชิดก็สามารถเปิดประตูกระจกห้องอาบน้ำได้ครับ หรือถ้ากลัวหนาวจะปิดกระจกก็ได้ ส่วนเรื่องกลัวว่าจะโป๊มั้ย คนที่อยู่ข้างล่างจะเห็นมั้ย ห้องที่ผมอยู่ชั้น 2 จากข้างล่างมองไม่เห็นครับ จะมีส่วนพื้นที่ระเบียง กับ ลานโล่งกันไว้
สามารถปรับอุณหภูมิ เพิ่มน้ำร้อน น้ำเย็นได้ครับ
วิวแบบนี้แช่กันตัวเปื่อยเลย
ชุด Amenities ทั้งของผู้หญิงผู้ชายมีครบครับ เอากลับไม่ได้นะครับ ^^
ในตู้มีหมอน ผ้าห่ม ที่นั่ง เพิ่มเติมน่าจะไว้ใช้ในกรณีเสรืมที่นอน
ระเบียงด้านนอกห้องครับ เปิดประตูทะลุจากห้องน้ำได้
ชุดยูกาตะวางไว้ให้พร้อมครับ ของผมต้องไปเอาไซส์ใหญ่พิเศษมา ผ้าเช็ดตัวกับรองเท้าแตะอยู่ชั้นล่าง
ไปเที่ยวกับเด็ก อย่าลืมตัวปิดรูปลั๊กนะครับ
ห้องน้ำครับ แยกจากโซนห้องอาบน้ำมาเลย มีเกมกด เอ๊ย ปุ่มควบคุมชักโครกครับ เปิดฝา ปิดฝา เป่าลม ฉีดน้ำ
ตามโปรแกรมกะว่าจะออกไปเที่ยวใกล้ๆ แต่มาเจอห้องแบบนี้ วิวแบบนี้ ขอใช้เวลาในนี้แบบเต็มที่ที่สุดดีกว่าครับ
ช่วงบ่ายๆ ฟูจิซังเริ่มหลบหลังเมฆครับ เริ่มมีเมฆมาบังบ้างครับ ระหว่างเบลล่าชาร์จแบต ป๊าขอชาร์จบ้าง นั่งเก้าอี้นวดไป จิบชาไป ชมวิวไป ฟินนนน ส่วนหม่าม้าขอผ่อนคลายด้วยการแช่น้ำ แล้วขึ้นมานวดต่อ ฟินสุดๆเหมือนกัน
ระหว่างรอ ขอลงไปหน้าโรงแรมเก็บภาพฟูจิซังยามเย็นซะหน่อย
มุมแบบนี้แหละครับที่ต้องการ ขอมุมแบบเปิดโล่งเต็มๆ
ใครจะมาพายเรือ ถีบเรือที่นี่ก็มีครับ
ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว มื้อเย็นวันนี้เราจองเวลาไว้ 6 โมงเย็นครับ กลับมาที่ห้องรอเบลล่าตื่น
หนูน้อยนอนไปสามชั่วโมง ตืนมาแบบ งงๆ ที่นี่ที่ไหน ภูเขาใหญ่มากกกกกกก
ห้องอาหารจะอยู่ชั้น 1 ของอาคารห้องพักครับ ชั้น 2 มีห้องพัก 6 ห้อง ชั้น 3 มี 3 ห้อง
อาหารจัดมาเป็นชุดครับ แนว “ไคเซกิ” (ชุดอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิม) ข้อมูลจาก Yokoso Japan ครับ
อาหารแบบไคเซกิคือรูปแบบอาหารที่เป็นสุดยอดของญี่ปุ่น มีความประณีตทั้งวิธีการเตรียมอาหารและการตกแต่ง ส่วนสำคัญที่สุดของอาหารประเภทนี้ คือ การใส่ความรู้สึกถึงฤดูกาลและการดึงรสธรรมชาติของวัตถุดิบต่างๆ ออกมา ซึ่งหมายความว่าเมนูนี้จะใช้เฉพาะวัตถุดิบตามฤดูกาลที่ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ตัวอย่างเช่น ทะเคโนะโขะ (หน่อไม้) ในฤดูใบไม้ผลิ, เห็ดมัตสึทะเกะในฤดูใบไม้ร่วง,
และคัตสึโอะ (ปลาโอ) ในต้นฤดูร้อน บางครั้งจะมีการใส่วัตถุดิบพิเศษที่เรียกว่า “ฮะชิริ” ซึ่งถูกเก็บเกี่ยวก่อนฤดูของมันเพื่อเพิ่มคุณค่าด้วย แม้ว่าอาหารแต่ละจานในชุดอาหารนี้จะเป็นจานเล็กๆ แต่สีสันและการผสมผสาน วัตถุดิบต่างๆ วิธีการฝานหรือหั่นวัตถุดิบเพื่อใช้ในการตกแต่ง และภาชนะที่ใส่ล้วนแสดงถึงสุนทรียศาสตร์ของวัฒนธรรมญี่ปุ่น อาหารร้อนจะเสิร์ฟในขณะที่ยังร้อนอยู่ ส่วนอาหารเย็นจะเสิร์ฟในจานที่แช่เย็นไว้ ร้านอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีห้องส่วนตัว ปูด้วยเสื่อทาทามิ และทุกอย่างได้รับการออกแบบด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด
รวมทั้งของตกแต่งและดอกไม้ประดับ ไม่นานมานี้มีร้านอาหารแบบเคาน์เตอร์ที่ไม่เป็นทางการเกิดขึ้นจำนวนมาก แต่บรรยากาศละเอียดประณีตยังคงเหมือนเดิม เจ้าของร้านอาหารและพนักงานเสิร์ฟมีความสุภาพเรียบร้อย และให้บริการแก่ลูกค้าอย่างดีเยี่ยม บรรยากาศแบบนี้มาจากจิตวิญญาณแห่งซะโด (วิถีแห่งชา) ของญี่ปุ่นโบราณ อันที่จริงแล้ว แต่เดิมอาหารแบบไคเซกิหมายถึงอาหารที่เสิร์ฟก่อนดื่มชาในพิธีชงชา การชื่มชมฤดูกาลต่างๆ อย่างลึกซึ้ง และการเอาใจใส่ต่อลูกค้าอย่างอบอุ่น แสดงถึงอารมณ์สุนทรีย์ที่ให้คุณค่ากับความสงบและความเรียบง่าย ซึ่งนั่นก็คือจิตวิญญาณแท้จริงของ “วาบิ” (การสัมผัสถึงความบริสุทธ์ในความเรียบง่าย) อันเป็นที่เชิดชูในซะโด (วิถีแห่งชา) แน่นอนว่าวิธีการรับประทานและมารยาทเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับอาหารแบบนี้ แต่อย่ากลัวที่จะถามอะไรก็ตามที่คุณสงสัย และที่สำคัญที่สุดคือการผ่อนคลายและเพลิดเพลินกับรสชาติของวัตถุดิบ
มาดูเมนูกันครับ ^^ เมนูของคนเดียวครับ มีแค่ Lobster กับ Sashimi ที่เป็นจานรวมครับ
เสิร์ฟทีละจาน เพื่อจะได้ลิ้มรสความอร่อยอย่างเต็มที่
ส่วนของเบลล่าก็มีข้าวสวยกับฟูริคาเกะ ซึ่งเบลล่าบอกหนูขอกินกับหม่าม้าดีกว่าคะ
หนูจะกิน Lobsterค่ะ
ตบท้ายด้วยของหวาน
เบลล่าไปตีซี้กับพี่สาวพนักงานเสิร์ฟคนนี้ครับ เธอคอยดูแลที่โต๊ะตลอดเลย สักพักเดินหายไปแปปนึง เดินกลับมาพร้อมตุ๊กตากระดาษ 3 ตัว น่ารักมากๆ
ฟินมากๆๆๆๆครับมื้อนี้ อาหารจัดมาสวยงาม อร่อยมากๆด้วย
ผ่านการเดินทางไกลของวันที่สามที่ญี่ปุ่นไปแบบสบายๆ ให้หม่าม้ากับเบลล่าทิ้งตัวเอนกายพักผ่อนบนเตียงนุ่มๆไปก่อน ป๊าขอไปออนเซนซะหน่อย
ก่อนที่จะไปแช่ออนเซ็นกันก็มาดูข้อควรปฏิบัติในการแช่ออนเซ็นกันสักนิดนึงนะครับ
1. ใส่ชุดยูกะตะที่ทางเรียงคังเตรียมไว้ให้ในห้องพัก เตรียมผ้าขนหนูใส่ตะกร้าที่ทางเรียวคังจัดให้
2. เมื่อไปถึงห้องอาบน้ำจะมีล็อคเกอร์ สามารถเก็บของสำคัญไว้ในล็อคเกอร์แล้วนำกุญแจติดตัวเข้าห้องอาบน้ำ (กุญแจมักมีห่วงเอาไว้สวมข้อมือหรือข้อเท้าได้) หากเป็นไปได้ไม่ควรนำของมีค่าติดตัวมาที่ออนเซ็น
3. ไม่สวมชุดว่ายน้ำ, ผ้าเช็ดตัว ลงบ่อออนเซน เขาจะมีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ให้เราถอดเสื้อผ้าเก็บไว้ในตะกร้าใส่ผ้า หรือในล็อคเกอร์ จะมีผ้าขนหนูผืนเล็กๆ เอาไว้ปิดหน้า เอ๊ยไม่ใช่ เอาไว้ใช้ขัดขี้ไคลเวลาอาบน้ำ หรือเช็ดหน้าเวลาแช่น้ำร้อนแล้วเหงื่อออกครับ หรือบางคนเขินก็เอาไว้ปิดร่างกายเวลาเดินเข้าไปที่อ่างออนเซนครับ
4. อาบน้ำล้างร่างกายก่อนลงแช่ ในที่ที่จัดเตรียมไว้ให้ นอกจากจะเพื่อความสะอาดแล้ว ยังช่วยช่วยปรับอุณหภูมิของร่างกายก่อนลงแช่น้ำอีกด้วยครับ ซึ่งอุณหภูมิน้ำของน้ำแร่จะอยู่ที่ประมาณ37-42 องศาเซลเซียส โดยจะมีก๊อกน้ำหรือฝักบัวเรียงเป็นแถว มีเก้าอี้ตัวเล็กๆ ไว้ให้นั่งอาบกันครับ
5. เข้าห้องน้ำปัสสาวะ, ทำธุระต่างๆให้เรียบร้อย ก่อนลงแช่
6.ไม่ย้อมสีผม, ซักผ้า, แปรงฟัน ในห้องแช่ออนเซน
7.ไม่ทิ้งผ้าอ้อมเด็ก ไว้ที่เตียงเด็ก ในห้องแต่งตัว นอกจากนี้จะมีป้ายบอกประมาณว่าถ้าเด็กยังควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ไม่ควรพาลงไปครับ แต่เด็กเล็กๆไม่ควรแน่นอนครับ ร่างกายปรับอุณหภูมิไม่ทันแน่ๆ
8.ไม่ลงบ่อแช่ หากมีอาการมึนเมา ซึ่งจะเป็นรบกวนผู้อื่นและยังเป็นอันตรายอาจทำให้เสียชีวิตได้อีกด้วย
9. ระมัดระวังไม่ให้น้ำกระเด็นโดนผู้อื่น ขณะอาบน้ำ ลงและขึ้นจากบ่อน้ำ
10. ไม่ถ่ายภาพ ยกเว้นบางออนเซนที่อนุญาต หากต้องการถ่ายภาพ ต้องส่งเสียงบอก ผู้ที่ใช้บริการที่อยู่ในนั้นก่อน
11. ไม่ใช้บ่อน้ำแร่ในการที่ผิดวัตถุประสงค์, ลามก อนาจาร
12. ไม่ยืนอาบน้ำ และควรเก็บเก้าอี้, แชมพูให้เรียบร้อยหลังการใช้
13. ไม่สาดน้ำใส่กัน และไม่ส่งเสียงดัง รบกวนผู้อื่น
14. หลังแช่เสร็จ ก่อนเข้าห้องแต่งตัว ควรใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่ถือเข้า เช็ดตัวให้หมาดก่อนเข้าสู่ห้องแต่งตัว
15. สวมยูกะตะ ส่วนผ้าเช็ดตัวที่เปียกและไม่ต้องการใช้แล้ว ให้ทิ้งลงถังในห้องแต่งตัวได้เลยไม่ต้องนำกลับห้องพักก็ได้
นอกจากนี้ยังมีเทคนิคในการแช่น้ำร้อนเล็กๆน้อยๆครับ (ขอบคุณข้อมูลจาก http://anngle.org/th/j-culture/culture/onsen-manner.html ครับ) เช่น
– การลงแช่น้ำร้อนนั้น ควรจะค่อยๆเอาร่างกายลงทีละส่วน โดยเอาขาลงไปก่อน แล้วนั่งแช่โดยนั่งให้ตัวอยู่บนขอบอ่าง
แล้วแช่เฉพาะขา เพื่อให้ร่างกายค่อยๆปรับตัว แล้วค่อยๆหย่อนตัวลง ถ้ามีขั้นบันไดในอ่างให้นั่งบนขั้นบันไดก่อน เพื่อให้ร่างกายช่วงล่างปรับตัวกับความร้อน
เมื่อรู้สึกชินแล้วจึงลงไปนั่งกับพื้นอ่างครับ เท่านี้คุณก็จะรู้สึกสบาย หรือที่พูดเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “Kimochi ii”
– ถ้าน้ำร้อนอุณหภูมิ 42 องศาก็ควรแช่ประมาณ 10 นาที แต่ถ้าน้ำร้อนน้อยลงมา เช่น ประมาณ 37-39 องศา ก็สามารถแช่ได้ถึง 20 นาที
แต่ไม่ควรแช่นานเกินไปเดี๋ยวจะเป็นอันตรายได้ครับ เคยเห็นบางคนแช่นานจนเป็นลมไปเลยก็มีครับ และระหว่างที่แช่ก็ควรจะนวดตามร่างกายไปด้วย การนวดในระหว่างแช่น้ำร้อนนั้นจะทำให้เลือดไหวเวียนได้ดีกว่าการนวดในเวลาปกติ
– หลังจากที่ขึ้นจากการแช่น้ำร้อนแล้ว บางคนก็ว่าไม่ควรจะล้างตัวเพราะจะทำให้ร่างกายเสียอุณหภูมิ แต่สำหรับบางคนที่ผิวบาง
น้ำแร่ที่มีแร่ธาตุบางอย่างอาจจะทำให้ผิวแพ้ได้ ก็ล้างตัวได้ แต่ควรปรับให้อุณหภูมิของฝักบัวใกล้เคียงกับน้ำที่แช่ หลังจากนั้นก็ใช้น้ำเย็นราดขา จะช่วยป้องกันอาการเท้าเย็นได้
บริเวณทางเดินแยกจากหน้าอาคารห้องพักไปออนเซนครับ
ชั้นบนของผู้ชาย ชั้นล่างของผู้หญิง
บริเวณห้องแต่งตัวครับ มีล็อคเกอร์ไว้ใส่ของมีค่า
รูปด้านในไม่สะดวกถ่ายมาฝากครับ คนเยอะทั้งเช้าทั้งเย็นเลยครับ ด้านในจะมีสองส่วนครับ บ่อ indoorใหญ่ 1 บ่อ กับบริเวณที่อาบน้ำ ถัดไปด้านนอกจะมีบ่อ outdoor 2 บ่อ เป็นบ่อเล็กกับใหญ่ เอารูปจากเวบโรงแรมมาฝากครับ
แช่น้ำไปชมวิวฟูจิซังไป มีความสุขมากๆ ผ่อนคลายได้สุดๆเลย หลับสบายกันไปคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ ค่ำคืน แห่งความสุข กับ ฟูจิซังยามค่ำคืนครับ (ลืมขาตั้งกล้องไว้ที่โตเกียว T_T เสียใจ)
เช้าวันต่อมา วันที่ 4 ของการตะลุยที่ญี่ปุ่น ณ เวลา 6 โมงเช้า ผมตื่นขึ้นมาทักทายฟูจิซัง และก็ได้เจอกับภาพนี้ ภาพที่เจอตอนหาข้อมูลมา Kawaguchiko แต่รายละเอียดไม่ชัดเจนว่าต้องถ่ายที่ไหน ฟูจิซังสะท้อนน้ำ มาอยู่ตรงหน้านี่เอง เห็นวิวแบบนี้จากหน้าต่างงห้อง รีบคว้ากล้องลงไปเลยครับ
ภาพสะท้อนภูเขาไฟฟูจิที่เห็น ชาวญี่ปุ่นมักจะเรียกภาพนั้นว่า Sakasa Fuji ซึ่งหมายความว่า ภาพสะท้อนของภูเขาไฟฟูจิครับ
ภาพวิวนี้อยู่ถึงแค่ 7 โมงนะครับ หลังจากนั้น ก็จะไม่สะท้อนชัดขนาดนี้
รีบไปปลุกหม่าม้ากับหนูเบลล่ามาถ่ายรูปยามเช้ากัน สุขสุดๆครับ
มื้อเช้าวันนี้ 8 โมงครับ ลงมาที่ชั้นล่างเหมือนเดิม
เนื่องจากต้องเช็คเอาท์ก่อน 10 โมง และจะมีรถไปส่งที่สถานี Kawaguchiko รอบเดียวตอน 10.10 ถ้าจะฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมแล้วเที่ยวแถวๆนี้ก่อนก็ได้ครับ แต่ต้องกลับไปสถานีเอง เราจึงนั่งรถของโรงแรมกลับไปสถานี ไปฝากกระเป๋าในล็อคเกอร์แล้วนั่ง Retro Busไปเที่ยวต่อคนแน่นทีเดียวเลยครับ ยิ่งป้ายแรกที่ออกจากสถานีด้วยยิ่งแน่นมากๆ ตามตารางที่เรากำหนดไว้คร่าวๆ กะว่าจะไป Music forest ป้ายที่ 16 ก่อนแล้วก็เลยไป Oishi Park ป้ายที่ 20-21 ยืนรอสักพักรถก็มาแล้วครับ เลทไปนิดนึง พอไปถึงป้ายที่ 16 ก็เลทจากตารางไป 20 นาทีได้
Music Forest ดินแดนแห่งความสุนทรีย์ ของผู้ชื่นชอบเสียงเพลง รายละเอียดเพิ่มเติมนะครับ http://www.japan-guide.com/e/e6913.html เวลาเปิดปิด 9:00 ถึง 17:30 (เข้าได้ถึง17.00)
บัตรผ่านประตูราคา 1,300 เยนต่อคน แต่ทาง Sunnide ออกคูปองลด200เยนมาให้ (คาดว่าน่าจะมีส่วนลดหลายโรงแรมนะครับ)
บรรยากาศภายในจะเป็นอาคารสไตล์ยุโรปกับสวนสไตล์ยุโรปเช่นกัน โดยจะสามารถมองเห็นฟูจิซังได้จากภายใน Music Forest นี้เช่นกันและมีเครื่องดนตรีในรูปร่างแปลกๆรวมถึงหีบเพลงเก๋ๆให้ลองเล่นกัน
อันนี้ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไรครับ ลองsearch ดูเรียกว่า Orchestral Bells ภาษาไทยคือระฆังราว เบลล่าชอบมากๆๆๆๆๆๆ
ผลไม้ก็เป็นMusic Box เหมือนกันครับ
เครื่องนี้ตีที่ปลายท่อก็จะเป็นเสียงดนตรีโน้ตต่างๆครับ
แผนที่ภายในนะครับ อาคารส่วนจัดแสดงจะมี2อาคารด้านซ้ายครับ หมายเลข 1, 2 และ 4 อาคารขวาเป็นร้านอาหาร ด้านหลัง 2 อาคารเป็นร้านขายของที่ระลึกครับ หมายเลข 3 คือลานชมน้ำพุเต้นรำ
การแสดงโชว์ในแต่ละจุดจะมีเป็นรอบๆครับ
อาคารแสดงโชว์ส่วนแรก หมายเลข 1,2 จะเป็นจำลองมาจากเรือไททานิค และ โชว์ Music Box แปลกๆ และ Music Box สมัยโบราณ จะอยู่ในอาคารเดียวกันครับ
ส่วนหมายเลข 3 ลานแสดงโชว์น้ำพุเต้นรำอยู่ด้านนอกอาคารครับ
อาคารหมายเลข 4 จะเป็นโชว์ Music Box อัตโนมัติที่ใหญ่ที่สุดของโลก สูง 5 เมตร ยาว 13 เมตร ตุ๊กตาทุกตัวจะขยับเล่นเครื่องดนตรีตามจังหวะเพลงครับ แสดงรอบละ 10 นาที
ส่วนจำหน่ายของที่ระลึกก็จะมี Music Box หลากหลายรูปแบบมากๆ ทั้งแบบสวยๆ คลาสสิค และแนวน่ารักๆแบบผลไม้ สัตว์ต่างๆ
เสร็จสิ้นจาก Music forest ก็เกือบสองโมงแล้วครับ จากที่กะว่าจะไป Oishi Park เกรงว่าจะไม่ทันรถบัสขากลับตอน 16.10 เราจึงตัดสินใจไปชม Kawaguchiko Art of Museum ที่ป้ายที่ 15 แทนครับ เดินย้อนขึ้นมานิดนึง
บริเวณด้านนอกยังพอมีหิมะให้เบลล่าได้เล่น ได้จับอยู่บ้าง หลังจากเมื่อวานยังไม่กล้าเล่น วันนี้ทั้งจับ ทั้งโยน แถมจะชิมอีกต่างหาก ^^
ภายในห้ามถ่ายรูปนะครับ เป็นรูปถ่าย รูปวาดต่างๆเกี่ยวกับภูเขาไฟฟูจิ มีรูปมุมสวยต่างๆพอสมควรเลยครับ ค่าบัตรเข้าชม 1,000 เยน
เดินเสพงานศิลป์เสร็จก็มารอรถ Retro Bus เพื่อจะกลับไปสถานี Kawaguchiko ตามตารางรถจะมาประมาณ 14.37 ใช้เวลา 17 นาที กลับไปถึงสถานีตอน 14.54 แต่แล้วโดยไม่คาดคิด ถึงเวลาแล้วรถก็ยังไม่มา รอกันไปด้วยใจระทึก 5 นาทีก็แล้ว 10 นาทีก็แล้ว 20 นาทีแล้วรถยังไม่มา หนูอยากกลับแล้ววววว รถแท็กซี่ก็วนเวียนมาโฉบถามเป็นระยะๆ เบลล่าก็ยังเริงร่า เล่นสนุกอยู่ เผลอแวบเดียวก็อยู่ในสภาพนี้ครับ ><
ในที่สุด 15.10 Retro Busสีน้ำตาลก็โผล่มาให้เห็น เย้ ได้กลับแล้ว
ในที่สุดก็มาถึงสถานีตอนประมาณ 15.40 รถค่อนข้างติดครับ เป็นช่วงเด็กเลิกเรียนพอดี
มานั่งพักหายใจ ระหว่างรอรถบัสกลับสู่โตเกียว ก็มาเก็บภาพกับรถไฟหน้าสถานีกันสักเล็กน้อย ก่อนจะอำลาฟูจิซังอย่างเป็นทางการ
เผื่อใครมีเวลาจะช๊อปปิ้ง ร้านขายของในสถานีกับฝั่งตรงข้ามก็มีครับ ขนม ของฝาก ของที่ระลึกต่างๆ ราคาพอๆกันครับ
มีของที่ระลึกอีกอย่างเพื่อใครสนใจนะครับ มีขายที่ร้าน Lawson ใน Kawaguchiko บะหมีถ้วยลายฟูจิซังครับ ต้องคว่ำถ้วยนะครับจะเป็นลายฟูิจซัง ถ้วยใหญ่กว่าปกติราคาประมาณ 300 เยนครับ อร่อย เครื่องเยอะมากๆ
16.10 เป๊ะๆ รถก็มาถึงครับได้เวลากลับโตเกียวแล้ว
ขากลับรถติดเลยทีเดียวครับ ยิ่งตอนใกล้ๆถึงชินจูกุ รถบัสที่เรานั่งไปถึงช้ากว่ากำหนดประมาณ 30 นาทีครับ ก็เลยกะว่าจะไปหามื้อเย็นกินกันแถวๆที่พัก โดยจะเอาสัมภาระทั้งหมดเก็บที่โรงแรมก่อนแล้วค่อยออกมากินข้าวกัน
จากสถานี Shinjuku กลับไปยัง Ueno เราเลือกเส้นทาง JR ครับ ไม่ต้องเปลี่ยนขบวนรถ JR Yamanote คนเยอะเกือบตลอดทั้งวันเลยครับ เรากลับมาช่วงเย็นๆวันจันทร์พอดี เลยต้องยืนไปสักพักนึง
Kansai Area Pass : https://www.kkday.com/th/product/20286-jr-kansi-hokuriku-area-pass?cid=9079
มื้อเย็นวันนี้ หลังจากเดินผ่านร้านนี้หลายรอบเห็นกระดองปูอยู่2กระสอบ แขวนไว้หน้าร้าน เราจึงขอลองสักหน่อย ร้านอยู่แถวๆตลาดอาเมโยโกะ ครับ ถ้าเข้ามาทางร้านของเล่น เดินตรงเข้ามาเจอสี่แยก เลี้ยวซ้ายเดินไปอีกแยกนึงก็เจอแล้วครับ ร้านนี้เปิด 24 ชั่วโมงครับ
บรรยากาศในร้านครับ
เตาประจำแต่ละโต๊ะครับ
ออเดิร์ฟของป๊า 800 เยน
สั่งหอย กุ้ง แล้วก็ปู พนักงานก็หันหลังไปตักขึ้นมากันเลย สดๆ มาแล้ว ปู และ กุ้ง
แล้วก็หอยตัวเล็กๆสามตัว ^^ 1000เยน
มื้อเย็นของเบลล่าเป็นข้าวผัดครับ มื้อนี้สนนราคารวม 4,800 เยน
อิ่มท้องของคาวแล้วก็ได้เวลาของหวาน คราวก่อนมาญี่ปุ่นได้ลิ้มลองแล้วติดใจพุดดิ้งร้าน Pastel มากๆ สำหรับคนที่ชอบความหวาน เข้มข้น หนักๆ น่าจะชอบครับ สาขาตรง Ueno อยู่ๆแถวๆสะพานลอยข้ามแยกที่เราจะข้ามกลับไปยังโรงแรมพอดีครับ ปิดสี่ทุ่ม อยู่ในห้าง ซึ่งตัวห้างปิด 3 ทุ่ม ครับ สามารถเข้าออกทางสะพานลอยได้เลย เบลล่าชอบมากๆๆๆๆกับพุดดิ้งร้านนี้ครับ
เลือกกินไม่ถูกกันเลย
และแล้วภารกิจตามฝันของเราในวันที่ 3 และ 4 ก็ได้เสร็จสมบูรณ์ ได้ทักทายกับฟูจิซัง แช่น้ำร้อน แช่ออนเซน กินปู ต่อด้วยพุดดิ้ง Pastel ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามรีวิวมาจนถึงช่วงสุดท้ายสำหรับตอนแรกของรีวิวฉบับนี้ ผมจะพยายามเรียบเรียงข้อมูลต่างๆให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกๆท่านที่สนใจ และ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกๆท่าน ถ้ามีข้อมูลอะไรผิดพลาด ตกหล่นไปก็ขออภัยมาด้วยครับผม ขอส่งท้ายรีวิวด้วยฟูจิซังสวยๆอีกสักรูปครับ
โดยในตอนต่อไปจะเป็นการพาเบลล่าไปหาเพื่อนใหม่ของเธอครับ Beluga กับฉลามวาฬ และ ผองเพื่อน Mickeyทั้งหลาย มาติดตามความสนุกในตอนสุดท้ายของ The Journey of B&L Family in Japan ได้เร็วๆนี้ครับ
สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณทุกๆท่านเป็นอย่างมากที่ได้เข้ามาติดตามรีวิวของผม ผมได้ใช้เวลาและพลังงานมากมายในการเขียนรีวิวฉบับนี้โดยหวังว่าจะเป็นข้อมูลและมีประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจจะเดินทางไปนะครับ สุดท้ายนี้ หากท่านชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ หรือ กด Like ที่ Fanpage ของผม https://www.facebook.com/BLJourney เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆน้อยแก่ผมและทีมงาน 2Madames.com ทุกคนครับ
The Journey of B & L Family
Blogger แนวครอบครัว พ่อ "แบงก์" แม่ "เล้ง" และ "น้องเบลล่า" ผู้รักการท่องเที่ยว การถ่ายภาพ เล่าเรื่องราวต่างๆ จากจุดเริ่มด้วยทริปการเดินทางของคนสองคน บัดนี้ถึงเวลาที่จะมาเปิดโลกการเดินทางอีกรูปแบบนึง เมื่อมีเจ้าตัวน้อย ตัวแสบประจำบ้านร่วมออกตะลุยไปด้วยกัน มาร่วมรับรู้เรื่องราวการเดินทางและความสนุกสนานของครอบครัว bank113 กันนะครับ The Journey of B&L Family https://www.facebook.com/BLJourney