ยุคนี้ พ.ศ.นี้ ญี่ปุ่นช่างเป็นประเทศที่คนไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวกันเหลือเกิน ด้วยเป็นประเทศที่คนไทยไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าในการเดินทางเข้าประเทศ สายการบินต่างเปิดเส้นทางบินแข่งขันกันจนตั๋วเครื่องบินที่ถูกลงมากมาย จนทำให้การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย ง่ายดายกว่าแต่ก่อนมาก
ประเทศญี่ปุ่นมีความน่าสนใจในการท่องเที่ยวทั้งความเจริญของเมืองใหญ่ๆ ภูมิประเทศและธรรมชาติที่สวยงาม เที่ยวได้ทุกฤดู ทุกภูมิภาค อาหารการกินก็เป็นที่คุ้นเคยกับคนไทย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ญี่ปุ่นจะเป็นจุดหมายในฝันของคนไทยหลายๆคน
ครอบครัวผมเป็นครอบครัวหนึ่งที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวอยู่แล้ว แต่เราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากนัก งบประมาณจึงเป็นสิ่งที่ผมต้องคำนึงอยู่เสมอ แต่หลังจากศึกษาและวางแผนการเดินทางแล้ว ด้วยเงินแค่ไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน ถ้ามันจะทำให้พวกเราไปฟินกันที่ประเทศอย่างญี่ปุ่นได้ถึง 10 วัน ก็แทบไม่ต้องตัดสินใจกันมากเลยใช่มั้ยหละ รับชมรีวิวนี้ แล้วคุณจะรู้ว่าการเที่ยวญี่ปุ่นมันไม่ได้แพงอย่างที่เราคิดก็เป็นไปได้
ทริปนี้เริ่มต้นด้วยโปรโมชั่นบินตรงไปกลับ กรุงเทพ-ฟุกุโอกะ ในราคาแค่ 5 พันกว่าบาทของ Jet Star ผมจึงไม่รอช้าทันทีที่จะสอยมาให้ครอบครัว 5 คน ซึ่งรวมกระเป๋า อาหารบนเครื่องแล้วยังราคารวมแค่ 6 พันต้นๆ นี่เป็นที่มาของทริปคิวชูแบบครอบครัว 10 วัน 30,000 ก็ฟินได้
ค่าใช้จ่ายจริงของทริปนี้ไม่รวมช้อปปิ้ง คือ 135,583 บาท (รวมตั๋วเครื่องบิน, อาหาร, ที่พัก, ค่าเข้าที่เที่ยว, อาหารว่าง, ค่าเช่ารถ, ค่าเดินทางต่างๆ และรวมทุกสิ่งอย่างแล้ว) ถ้าหาร 5 คน จะเท่ากับ 27,116.55 บาทต่อคน แต่ถ้าคิดว่าเด็กสองคนไม่นับเป็นค่าใช้จ่ายเท่าผู้ใหญ่ สมมุติว่าคิดเด็ก 2 คนรวมเป็นผู้ใหญ่ 1 คน หาร 4 คน จะเป็น 33,895.69 บาทต่อคนครับ ซึ่งอาหารการกินและของหวานอาหารว่างเป็นแบบจัดเต็มนะครับ หากใครไม่ทานหรูหราก็สามารถประหยัดลงได้อีกนะครับ
และแน่นอนเนื่องจากลูกทัวร์ของผม มีทั้งเด็กเล็กและอาม่าสูงวัย เราจึงมีโจทย์การเดินทางที่แตกต่างจากคนอื่น อาม่าต้องไม่แบกกระเป๋าและห้ามเดินเยอะเกินไป เราจึงไม่นั่งรถไฟเที่ยวแต่เลือกเดินทางด้วยรถเช่าแทน เด็กๆไม่ชอบพิพิธภัณฑ์หรือ งั้นเราตัดเปลี่ยนโปรแกรมไปสวนสนุกหรือ Aquarium กันเลยดีกว่า เราจะวางแผนเที่ยวอย่างไรให้เหมาะสม ตามไปรับชมรีวิวนี้กัน แล้วคุณจะรู้ว่า คิวชูแบบครอบครัวของเราสนุก ประหยัด และเหมาะกับครอบครัวแค่ไหน
Fukuoka เมืองใหญ่ที่สุดของเกาะคิวชู Kyushu ซึ่งอยู่ทางใต้ของญี่ปุ่น เป็นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยที่กิน ที่เที่ยว แหล่งแช่น้ำร้อนออนเซ็นที่สำคัญ อาหารการกินที่มีเอกลักษณ์ส่วนตัว มีประวัติศาสตร์เรื่องราวที่น่าสนใจ ที่จริงต้องใช้เวลานับเดือนในการสำรวจภูมิภาคนี้อย่างจริงจัง แต่พวกเรามีเวลาแค่ 10 วัน เราจึงเลือกท่องเที่ยวเพียงแค่ด้านเหนือของเกาะคิวชู ด้วยเมืองสำคัญๆอย่าง ฟุกุโอกะ Fukuoka, ซางะ Saga, ฮูสเทนบอช Huis Ten Bosch, นางาซากิ Nagasaki, เปปปุ Beppu, ยุฟุอิน Yufuin
โดยแผนการเดินทางของพวกเราตลอด 10 วัน เป็นดังนี้
1 ต.ค. 2557 เดินทางด้วยสายการบิน Jet Star เข้าที่พัก หม่ำราเมงในตำนาน Ippudo แล้วไปเที่ยวศาลเจ้าดาไซฟุ Dazaifu แล้วเย็นๆเดินเล่น ทานอาหารท้องถิ่นแท้ๆ Yatai แถวๆที่พักย่าน Tenjin
2 ต.ค. เปิดรถเช่า ออกเดินทางสู่เมือง Karatsu เพื่อชิม Live Squid ซาชิมิปลาหมึกเป็นๆ เที่ยวหมู่บ้านนินจา Hizen Yume Kaido เย็นไปศาลเจ้าจิ้งจอกยูโทคุอินาริ Yutoku Inari Shrine พักที่ Saga
3 ต.ค. เที่ยวสวนฮูสเทนบอช Huis Ten Bosch พัก รร. Watermark
4 ต.ค. เที่ยว Nagasaki Peace Park, สะพานแว่นตา Megane Bridge, ชมวิวที่สวยที่สุดของเมืองนางาซากิจากยอดเขา Mount Inasa
5 ต.ค. พาเด็กๆไปเล่นกับนกเพนกวิ้นที่ Nagasaki Penguin Aquarium ออกเดินทางไปเมืองเปปปุ แช่ออนเซ็น นอนเรียวกัง
6 ต.ค. ทักทาย Kitty ที่สวนสนุก Sanrio Harmonyland
7 ต.ค. ทัวร์บ่อน้ำพุร้อนนรก 8 บ่อ แช่ทรายร้อนริมทะเล
8 ต.ค. เดินเล่นหมู่บ้านแสนน่ารัก ยุฟุอิน Yufuin หม่ำขนมขั้นเทพ B-Speak บ่ายๆออกเดินทางกลับฟุกุโอกะ Fukuoka เดินเล่น Outlet Shopping : Marinoa City ไปชิลด์ยามเย็นที่ชายหาด Momochi
9 ต.ค. Shopping Day : Canal City Hakata
10 ต.ค. เดินทางกลับกรุงเทพ
ผมมีเรื่องราวการเดินทางมากมายตลอด 10 วัน แต่คงไม่สามารถเล่นทั้งหมดได้ในตอนเดียว สำหรับตอนแรกนี้จึงจะขอเล่าถึงภาพรวมของทริปว่าไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนการเดินทาง วิธีการเช่ารถและขับรถที่ญี่ปุ่นนะครับ
วีซ่า : ก่อนหน้านี้ที่ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นให้กับคนไทยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการพำนักระยะสั้นในประเทศญี่ปุ่นนั้น ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 กรกฏาคม พ.ศ.2556 และสามารถพำนักในประเทศญี่ปุ่นได้ 15 วัน (หากผู้ยื่นประสงค์จะพำนักในประเทศญี่ปุ่นเกิน 15 วัน หรือไปทำงาน หรือมีวัตถุประสงค์อื่นๆ จะต้องยื่นขอวีซ่าตามปรกติ)
ค่าเงิน : 100 เยน = 30.6 บาท (ก.ย. 57) เช็คค่าเงินได้ที่ http://superrichthai.com/exchange.aspx
การใช้โทรศัพท์และอินเตอร์เนต : สามารถเปิด Roaming จากไทยได้ โดยติดต่อ Operator ผู้ให้บริการได้เลย แต่ส่วนตัวผมคิดว่าค่าใช้จ่ายค่อนช้างแพง แนะนำให้เช่า Pocket Wifi แล้วต่ออินเตอร์เนต โทร Line กลับไทยจะดีกว่าครับ ประหยัดกว่ามาก
Pocket Wifi ผมใช้ของ iwifi ค่าเช่าคิดเป็นรายวัน ราคาแล้วแต่แพกเกจที่เลือกใช้ ราคาไม่แพง บริการส่งเครื่องก่อนเดินทางให้ด้วย สะดวกมาก ปลื้มๆมากๆขอบอก หรือถ้าใครที่ไม่ได้เดินทางหลายคนและไม่ได้ใช้ Data เยอะก็สามารถหา Pre-Paid Internet Sim ที่ขายที่สนามบินได้เลยครับ
สำหรับการเตรียมตัวการเดินทางพร้อมเด็กเล็ก ผมเคยเขียนบทความไว้แล้วที่ เทคนิควิธีการเตรียมตัวพา เด็กเล็ก ลูกน้อย ไปท่องเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเอง
แถม Checklist ในการจัดกระเป๋าเดินทางแบบครอบครัว
ขั้นตอนการเตรียมตัวเที่ยวคิวชูของครอบครัวน้องเบลล่า อันนี้ดีมากๆ ข้อมูลละเอียดยิบๆเลย http://www.2madames.com/bljourney_fukuoka_kyushu/
สำหรับครอบครัวผม เวลาเดินทางพร้อมกับเด็กเล็กๆอย่างน้องกาย สิ่งที่จำเป็นสุดๆที่จะช่วยประหยัดพลังงานของคุณพ่อคุณแม่ในการเดินทางได้มาก ก็คือ รถเข็นเด็กครับ เพราะเด็กเล็กๆยังไม่แข็งแรงเหมือนผู้ใหญ่ เดินได้ไม่นานก็เมื่อยครับ พอเมื่อยถ้าไม่มีรถเข็นมาด้วย ทีนี้ผู้ใหญ่ก็ต้องอุ้มครับ งานนี้คงมีคนปวดหลังกันแน่นอน แถมยังทำให้ไม่สะดวกด้วย น้องๆบางคนก็ยังเป็นวัยที่ต้องนอนกลางวัน รถเข็นที่ดีจึงควรปรับระดับเอนเบาะพิงได้ด้วย จะได้เป็นที่พักนอนกลางวัน ให้คุณพ่อคุณแม่ไม่เหนื่อยมากด้วย
ส่วนตัวผมเวลาเดินทาง ผมมักจะใช้ประโยชน์จากรถเข็นในการแขวนกระเป๋าต่างๆตรงที่จับรถเข็นด้วย เก็บของใต้เบาะนั่ง ทำให้เราไม่ต้องถือของให้เหนื่อยด้วย แต่พอแขวนของเยอะๆ รถมันจะหนักครับ ให้พยายามเลือกรถเข็นที่มีความแข็งแรง ที่สำคัญล้อต้องใหญ่นะครับ ไม่งั้นมันจะเข็นยากเวลาเจอทางไม่เรียบ
คุณสมบัติอีกอย่างที่รถเข็นน้อยคันจะมี คือเวลาพับเก็บต้องตั้งยืนได้ บอกเลยว่ามันดีมากๆ เวลาที่เดินทางพร้อมสมบัติเด็กๆเยอะๆ เพราะมันตั้งได้ ไม่ต้องก้มลงไปวางและหยิบให้เสียเวลา
ซึ่งสอบถามกันมาเยอะว่ารถเข็นยี่ห้อไหนดี ตอนนี้ตอบได้คำเดียวว่าชอบ Fedora มากๆครับ ราคาอาจจะสูงเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบว่าการใช้งานตอบโจทย์ได้ดีมากๆ ก็ยิ่งกว่าคุ้มค่าครับ
ใครสนใจก็เข้าไปที่เพจ FB ของ Fedora https://www.facebook.com/fedorathailand ได้เลยครับ
สำหรับเด็กเล็กที่ยังไม่เลิกผ้าอ้อมสำเร็จรูป เดินทางมาญี่ปุ่น ไม่ต้องขนมาเยอะนะครับ ให้จัดมาให้เพียงพอระดับหนึ่ง เพราะสามารถมาหาซื้อที่ญี่ปุ่นได้เลย เพราะราคาถูกกว่าเมืองไทยเสียอีก แถมไม่ต้องแบกขึ้นเครื่องบินมาให้เหนื่อย ประหยัดพื้นที่กระเป๋าได้อีกด้วยครับ
อีกเรื่องที่หลายครอบครัวมักจะมองข้ามกัน คือ เรื่องสุขภาพของน้องๆ เวลาเดินทางมาต่างบ้านต่างเมือง เปลี่ยนที่เปลี่ยนอากาศ เด็กๆหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่มักจะมีไข้หวัด ไอและเจ็บคอกันบ่อยๆนะ แนะนำให้พกยาลดไข้เด็กมาด้วยเสมอ
และเดี๋ยวนี้มีน้ำเกลือที่พกเป็นซองสามารถผสมน้ำไว้ล้างจมูกได้ด้วย ล้างจมูกทุกเช้าเย็น ก่อนออกและกลับที่พัก ช่วยลดอาการป่วยของเด็กๆได้เยอะมากครับ
สำหรับเรื่องไอ และเจ็บคอ แต่ก่อนผมพกเป็นยาแก้ไอแบบน้ำขึ้นเครื่องบินครับ โดนตรวจของเหลวเวลาจะขึ้นเครื่องยุ่งวุ่นวายมาก แถมปรากฏว่าโชคไม่ดีปิดฝาขวดไม่แน่น ยาหกเลอะเทอะเหม็นไปทั้งกระเป๋าเลยครับ
เดี๋ยวนี้ผมเลยเลือกพกลูกอมครับ ยี่ห้อ เนียมฉื่ออำ ตราลูกกตัญญู อันนี้ดีมากช่วยเรื่องอมแล้วก็ให้ความรู้สึกสดชื่น ทำให้ชุ่มคอ ทำให้ลดอาการกระหายน้ำ และลดอาการระคายเคืองคอ แสบคอและเจ็บคอ ของเด็กและผู้ใหญ่ได้สุดยอดเลย พกสะดวกด้วย ไม่โดนตรวจเวลาขึ้นเครื่องด้วย ปลื้มๆ
อีกข้อดีของลูกอมยี่ห้อ เนียมฉื่ออำ ตราลูกกตัญญู รสชาติมันอร่อยครับ รสบ๊วยนี่น้องเกรซน้องกายชอบมาก ไม่ต้องมีปัญหาเวลาพ่อแม่ให้ทานเลย ดีมากครับ
การเดินทางแบบครอบครัว ที่พักแนะนำให้จองล่วงหน้านะครับ อยากคิดว่าจะไปเดิน Walk-in ตามเอาดาบหน้า มีเด็กและผู้สูงวัยไปด้วย คงไม่อยากไปเสียเวลาหาที่พักหน้างานให้เหนื่อยและเสียเวลากันอีกเนอะ
ทริปนี้จองที่พักด้วย http://thailand.airasiago.com/ เพราะหลังจากเทียบราคาแล้ว ได้ราคาดีกว่าเว็บอื่นๆด้วย(เฉพาะช่วงเวลา) ซึ่งส่วนใหญ่หลายๆคนแยกไม่ออกว่าเหมือนหรือต่างกับ airasia.com อย่างไร ที่จริงแล้ว ก็ให้บริการที่พักที่ได้ราคาดีไม่ต่างกับเว็บจองที่พักอื่นๆอย่าง agoda หรือ booking.com เลย
ขั้นตอนในการจองก็ง่ายๆครับ แค่กรอกข้อมูลการเดินทางเข้าไป เช่น เมือง วันที่เข้าพัก จำนวนห้อง และจำนวนผู้เข้าพักลงไป
จากนั้นเว็บจะค้นหาโรงแรมต่างๆขึ้นมา โดยเราสามารถใช้ Filter ด้านซ้ายได้ด้วยว่า จะเอาโรงแรมกี่ดาว ราคาเท่าไหร่ สำหรับผมก็ไม่ได้ต้องการที่พักอลังการมาก เพราะเน้นเดินทางมากกว่าพักอยู่ที่โรงแรม ส่วนใหญ่จะจอง 3-4 ดาว ก็พอแล้วครับ
ถ้าเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะก็ให้เลือกที่พักที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟนะครับ จะได้เดินทางสะดวก
แต่ถ้าเช่ารถขับแบบผม เคล็ดลับความประหยัดอีกอย่างคือ เราสามารถเลือกพักนอกเมืองได้หน่อย จะได้ที่พักที่กว้างกว่า ประหยัดทั้งค่าเช่าและค่าจอดรถครับ ตัวอย่างเปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนกับ ถ้าคุณมาเที่ยวกรุงเทพแต่ไม่มีรถ คุณอาจจะต้องพักที่พักใกล้ BTS แต่ถ้าคุณเช่ารถ คุณอาจจะนอนชานเมืองหน่อย แล้วขับรถเข้ามาเที่ยวในเมืองแทนครับ
พอเราเลือกที่พักที่ชอบเสร็จก็จอง แล้วพิมพ์ไปเช็คอินที่นั่นได้เลย ไม่ต้องกังวลว่าห้องพักจะเต็มอีก เดินทางตามแผนที่วางไว้กันอย่างสบายใจได้เลย
ตัวอย่างที่พักของพวกเราที่ Beppu ชื่อว่า Nogamihonkan Ryokan ซึ่งเป็นเรียวกังที่นิยมมากในหมู่นักเดินทางชาวไทย เนื่องจากที่นี่เป็นเรียวกังที่ราคาไม่ได้แพงจนเกินไป แถมยังมีห้องให้เลือกทั้งห้องแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมและห้องแบบตะวันตก
ทั้งยังมีตู้บริการชาและน้ำดื่มให้กดกันฟรีๆ มีพื้นที่ส่วนกลางกว้างขวาง สามารถออกมานั่ง Relax พร้อมหนังสือการ์ตูนก็ยังได้
จุดเด่นที่สุดของ Nogamihonkan Ryokan คือมีบริการออนเซ็นทั้งบ่อสาธารณะแยกชายหญิง และห้องออนเซ็นส่วนตัวฟรีให้กับแขกที่มาพัก ซึ่งห้องส่วนตัวมีให้เลือกถึง 3 แบบเลยครับ
เรทต่อคืนถูกที่สุดตอนที่กำลังจะจอง ด้วยราคาแค่ 1,315 บาทต่อคืนสำหรับห้องตะวันตก และ 1,990 บาทต่อคืน สำหรับห้องญี่ปุ่น ไม่รวมอาหารเช้า ถ้าต้องการเพิ่มอาหารเช้าก็เพิ่มคนละ 1,070 เยน (ประมาณ 300 บาทต่อคน)
จากประสบการณ์ที่เข้าพัก ผมว่า Nogamihonkan Ryokan ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในการเข้าพักที่ Beppu ห้องพักกว้างและสะอาด แถมมีบริการออนเซ็นฟรีด้วย ราคาไม่ถึง 2 พันต่อคืน เรียกว่าคุ้มไม่รู้จะคุ้มยังไงแล้ว
ความพิเศษของทริปนี้คือการเดินทางแบบเช่ารถขับเอง ซึ่งปกติคนไทยจะนิยมเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นด้วยรถไฟ แต่การเดินทางแบบนี้ย่อมไม่เหมาะกับการเดินทางแบบครอบครัวที่มีเด็กเล็กและคนสูงอายุที่ไม่ต้องการแบกกระเป๋าขึ้นรถไฟแบบครอบครัวผม
10 วันของพวกเรา เราจะพาครอบครัวออกท่องเที่ยวไปในรูปแบบของการขับรถเที่ยว ซึ่งจะตอบโจทย์กับการท่องเที่ยวที่ไม่ต้องการแบกกระเป๋าขึ้นลงรถไฟ
สำหรับรถเช่าที่ญี่ปุ่น จะมีเจ้าใหญ่ที่ให้บริการคือ Toyota Rent a car กับ Nissan Rent a car โดยการเดินทางคราวนี้ผมมีสัมภาระเยอะครับ เลยเลือก Nissan เพราะเล็งรุ่น Latio ไว้เพราะตัวถังใหญ่ จุได้เยอะ สำหรับ Latio คนไทยอาจจะงงว่ารุ่นไหน มันคือ Almera เครื่อง 1.6 นั่นเองครับ
เว็บตัวกลางที่ได้รับความนิยมคือ http://www2.tocoo.jp/en/index เว็บนี้เค้าจะเปรียบเทียบราคาทุกยี่ห้อให้เรา แต่จะมีค่าธรรมเนียพิเศษชาร์ตเราอีกนะครับ ยังไงลองดูหลายๆเว็บเพื่อได้ราคาที่ดีที่สุดแล้วกันครับ
การขับรถในญี่ปุ่นง่ายมากครับ เพราะพวงมาลัยอยู่ด้านขวาเหมือนบ้านเรา ถนนหนทางก็กว้างขวางเป็นระเบียบดี แต่จะดียิ่งขึ้นหากว่าเลือกจองรถที่มี GPS ภาษาอังกฤษมาด้วย
ความเจ๋งของ GPS ที่ญี่ปุ่น คือ เค้าสร้างภาพจำลองตัวตึกมาให้เราเห็นได้ด้วย แต่จะมีในเมืองใหญ่และทางด่วนเท่านั้นนะครับ นอกๆเมืองจะเป็นเส้นๆครับ
อย่างไรก็ตามถึง GPS จะเป็นเมนูและพูดเป็นภาษาอังกฤษ แต่ชื่อถนน ชื่อสถานที่จะเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด แต่ไม่ต้องตกใจครับ เพราะมันจะมีให้กรอกเบอร์โทรศัพท์เพื่อหาพิกัดสถานที่ ซึ่งเราสามารถ Search หาเบอร์โทรที่พัก ที่เที่ยว ที่กินจาก google แล้วมากรอกใส่ GPS อีกที สะดวกมากๆครับ ไปถึงที่หมายไม่มีปัญหา
ระบบ ETC (Electronic Toll Collection) อธิบายให้ง่ายก็คือ Easy Pass ของบ้านเค้าครับ ซึ่งข้อดีกว่าการจ่ายเงินสดคือ มันจะรวดเร็วไม่ต้องต่อคิวจ่ายเงิน และบางครั้งจะมีส่วนลดค่าผ่านทางให้เราครับ ขั้นตอนการรับ ETC ต้องจองผ่านเว็บแล้วไปรับที่ไปรษณีย์ที่สนามบินครับ
รายละเอียดอ่านได้ที่ http://www2.tocoo.jp/en/contents/info/etc
การขับรถที่ญี่ปุ่น ที่แพงจริงๆไม่ใช่ค่าน้ำมันครับ แต่มันคือค่าทางด่วน แทบทุกครั้งที่ออกจากเมือง คุณจะต้องเสียค่าทางด่วนมหาศาลครับ ทั้งหมดที่ผมจ่ายตลอดการเช่ารถ 7 วันคือ 13,xxx เยน ซึ่งเรียกว่าแพงกว่าน้ำมันรถที่เติมอีก
ซึ่งเราก็มีทางเลือกเป็น Pass สำหรับทางด่วนครับ ซึ่งหากเดินทางไกลๆระหว่างเมืองเยอะๆ ซื้อเลยครับ คุ้มกว่าเห็นๆ
การจอดรถ บอกเลยว่าหากคุณขับรถเข้าไปในเมือง ส่วนใหญ่จะต้องเสียค่าที่จอดรถครับ ซึ่งส่วนใหญ่ค่าจอดจะเฉลี่ยอยู่ที่ 100 เยนต่อ 30 นาที แต่หากเป็นย่านธุรกิจจะแพงขึ้นกว่านี้อีกครับ
และที่จอรถส่วนใหญ่จะไม่มีคนคอยเก็บเงินนะครับ แต่จะเป็นระบบอัตโนมัติ พอเราจอดรถแล้วคานใต้ท้องรถจะกระดกขึ้นมา เวลาเราจะออกต้องไปจ่ายเงินที่ตู้จ่ายเงิน พอจ่ายเสร็จคานใต้รถจะเปิดให้เราออกเองครับ
หากจะให้สรุปภาพรวมว่าขับรถเช่าเที่ยวเปรียบเทียบกับการเดินทางด้วยรถไฟ ผมบอกได้เลยว่าขับรถแพงกว่าแน่นอนครับ แต่ก็มีข้อดีหลายอย่างเช่น ไม่ต้องแบกกระเป๋าขึ้นลงรถไฟ เปลี่ยนที่พักได้ตลอด เลือกพักนอกเมืองหน่อยก็ได้ ประหยัดค่าที่พักแพงๆในเมืองได้ แถมค่ำไหนนอนนั่นไม่ต้องย้อนกลับไปที่พักเดียว ทำให้ได้เวลาเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะภูมิภาคคิวชูเนี่ย ผมพบว่าที่เที่ยวบางเมืองเช่น ที่ Saga ที่เที่ยวหมู่บ้านนินจาใกล้กันมากกับ Yutoku Inari Shrine ขับรถไม่เกิน 20 นาที แต่ถ้านั่งรถไฟต้องนั่งอ้อมโลกเป็นหลายชั่วโมงเลยครับ ส่วนข้อเสียคือ ค่าใช้จ่ายแพงกว่า และต้องเหนื่อยขับรถเองครับ
ตั๋วเครื่องบิน ปัจจุบันมีเที่ยวบินจากกรุงเทพมากมายครับ ทั้งบินตรงและต้อง Transit เมืองต่างๆ โดยการเดินทางทริปนี้ ผมได้โปรโลกถล่มจาก Jet Star ในราคา 5 พันกว่าๆ รวมน้ำหนักกระเป๋าแล้วจะอยู่ที่ 6 พันเล็กๆ ฟินมาก
แต่ก็อย่างว่าครับ บิน Low Cost เครื่องบินเลยเล็กหน่อย ไม่มี Entertain ใดๆทั้งสิ้น อาหารและเครื่องดื่มก็ต้องซื้อเพิ่มนะครับ เอาน่ะถูกขนาดนี้ ทนๆไม่กี่ชั่วโมง ประหยัดไปหลายหมื่น ยอมครับ
มาให้ข้อมูลการเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง Fukuoka กันหน่อยดีกว่าครับ
สนามบิน Fukuoka ถือเป็นสนามบินในฝันสำหรับนักท่องเที่ยวยังเราๆครับ เพราะตัวสนามบินใกล้เมืองมากครับ ถ้าขับรถก็ไม่เกิน 15 นาที ค่าแท็กซี่จากสนามบินสู่สถานีหลักอย่าง Hakata หรือ Tenjin อยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 เยน ซึ่งก็เป็นทางเลือกที่ดีในการเข้าที่พักโดยไม่ต้องแบกกระเป๋าเองให้เหนื่อย
แต่ถ้าจะเดินทางโดย Subway ก็ไม่ได้ยากเลยครับ แค่ต้องนั่ง Free Shuttle Bus จาก International Terminal ไปยัง Domestic Terminal ก่อน (นั่งฟรีนะ) พอลงรถแล้วก็เลี้ยวขวาต่อ Subway ได้เลย
มาดู Floor Plan ของ International Terminal กันครับ พอเราผ่านทุกสิ่งอย่างออกมาแล้ว ให้ไปซื้อ Pass ต่างๆในการเดินทางที่หมายเลข 1 แล้วออกประตูหลักมาที่หมายเลข 2 เพื่อขึ้น Shuttle Bus ได้เลยครับ
เคาน์เตอร์หมายเลข 1 ขายตั๋ว Pass ต่างๆครับ
เนื่องจากวันแรกลงเครื่องบินมา 9:30 น. พวกเราจึงมีเวลาเที่ยวค่อนวันในการเที่ยว ในแผนที่วางไว้คือการไปไหว้ศาลเจ้าดาไซฟุ Dazaifu ซึ่งเมืองฟุกุโอกะก็มี Pass ให้เลือกอยู่มากมาย
ราคาตั๋วประเภทต่างๆ ที่ใช้ไป Dazaifu ได้
1. Dazaifu Stroll Ticket Pack (One-Day Journey) ราคา 1000 yen ใช้นั่ง Nishitetsu train ไปกลับ Dazaifu + คูปองขนมโมจิ Umegaemochi + ใช้เป็นส่วนลดค่าเข้าสถานที่ต่างๆดังนี้
Treasure Hall (Dazaifu Tenmangu Shrine) Admission: ¥100 discount
Kanko Historical Museum (Dazaifu Tenmangu Shrine) Admission: ¥50 discount
Kanzeon-ji Temple Treasure Hall Admission: ¥200 discount
Dazaifu Amusement Park Admission: ¥100 discount
Dazaifu Station Rent-a-Cycle ¥100 discount (available from 9:00 to 18:00)
http://www.nnr.co.jp/train/kippura/global/english/ticket/i_dazaifu.html
- Fukuoka City and Dazaifu Adults ราคา 1,340 yen นั่งรถไฟ บัส ต่างๆในเมือง Fukuoka ได้
เครดิต : จากคุณอาราโซะ pantip
ซึ่งสำหรับผมแล้วต้องไปที่พักย่าน Tenjin ด้วยพอดี เราจึงสอย Fukuoka City and Dazaifu Pass มาเลยครับ คุ้มสุดๆ เพราะงานนี้เด็กๆทั้งสองคนฟรีครับ
ซื้อ Pass เสร็จ ขึ้น Free Shuttle Bus มาลงหน้า Domestic Terminal แล้ว เลี้ยวซ้ายมารับ ETC ที่ไปรษณีย์ก่อน
สำหรับคนที่ไม่ได้เช่ารถเลี้ยวขวาลง Subway โลดเลยครับ
รับมาแล้วครับ ETC ซึ่งเราจะเอาไปใช้หลังจากรับรถเช่าวันถัดไปครับ ซึ่งในซองจะมีทั้งบัตร คู่มือการใช้งาน และซองไปรษณีย์ไว้สำหรับส่ง ETC กลับไปด้วยครับ
มาเริ่มเที่ยวกันเลยดีกว่า กับ ศาลเจ้าดาไซฟุ Dazaifu Tenmangu Shrine สร้างขึ้นเมื่อสร้างขึ้นในปีค.ศ.905 เป็นวัดชินโตที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของฟูกุโอกะ ถูกสร้างเพื่ออุทิศแด่ท่านมิชิสะเนะซึงะวะระ ศิลปินด้านวรรณคดีจีนและการศึกษา
การเดินทางต้องออกจากสถานี Tenjin แล้วเปลี่ยนเป็น Dazaifu Line จอดที่ถนนทางเข้าศาลเจ้าเลย
ถนนทางเข้าศาลเจ้านี่เอง นอกจากจะมีร้านค้า ร้านขนมเรียงรายตลอดทางแล้ว ยังมี Landmark ที่ทุกคนต้องแวะถ่ายภาพก็คือ ร้าน Starbucks Coffee ที่ถูกออกแบบแบบ Limited Edition ไม่เหมือนใครในโลกเลย
มุมมหาชนของศาลเจ้าดาไซฟุคือสะพานแดงๆข้ามบ่อน้ำเล็กๆแห่งนี้แหละ
ว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องการศึกษา ทั้งนี้ก็เพราะว่าท่านมิชิสะเนะซึงะวะระ ผู้เก่งกาจสามารถแต่งบทกลอนได้ตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ เมื่อท่านเติบโตขึ้นก็ได้รับราชการในตำแหน่งสำคัญที่เกียวโต ด้วยความดีของท่านทำให้ประชาชนต่างรักใคร่ท่านมาก แต่ก็ดันมีเคราะห์ที่ตระกูลของท่านดันไม่ถูกตระกูลใหญ่ของเกียวโตในเวลานั้น จึงถูกใส่ร้ายและเนรเทศมายังเกาะคิวชู จนกระทั่งบั้นปลายชีวิต ท่านได้มาพำนักยังเมืองดาไซฟุแห่งนี้จนเสียชีวิต
ด้วยคุณความดีที่ได้สร้างมาตลอดชีวิตจนเป็นที่รักใคร่ของทุกคน ประชาชนจึงร่วมใจสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้น ว่ากันว่าตอนที่ท่านเสียชีวิตนั้น วัวที่ลากเทียมเกวียนไม่ยอมเดินไปไหน ชาวบ้านจึงสรุปว่าท่านมิชิสะเนะคงอยากจะอยู่ตรงนี้ จึงสร้างศาลเจ้า ณ ตำแหน่งที่วัวหยุดนั่นเอง ดังนั้นในศาลเจ้าจะมีวัวอยู่หลายตัว และเป็นที่นิยมของเหล่านักเรียนนักศึกษาที่จะมาลูบคลำวัวและขอพรให้ประสบความสำเร็จทางการศึกษา
มาถึงที่นี่ก็ต้องเขียนป้ายขอพรเสียหน่อยนะ
ขอพรเรื่องการศึกษาจะได้เรียนเก่งๆนะ ลูก
สำหรับใครที่มีเวลาสามารถเดินเที่ยวไปยัง Kyushu National Museum และ วัด Komyozenji ต่อได้นะครับ
กลับมาย่าน Tenjin อีกครั้ง ราเมนในตำนานที่ต้องไปชิมให้ได้เลยคือ ราเมนของร้าน Ippudo ของเค้าอร่อยจริงๆครับ ไม่ว่าเส้นที่เหนียวนุ่ม น้ำซุปที่กลมกล่อมมาก
ไข่ยางมะตูมแสนอร่อย
และย่าน Tenjin นี่เอง ก็ถูกล้อมรอบไปด้วยแหล่งกิน ห้างดัง และแหล่งช้อปปิ้งมากที่สุดของเมือง Fukuoka เลยก็ว่าได้
อีกไฮไลท์หนึ่งสำหรับคนที่มาเที่ยวเมืองฟุกุโอกะ คือ การทานอาหารริมทางที่เรียกว่า Yatai นั่นเอง
Yatai เป็นร้านอาหารข้างทางที่เราอาจจะเคยได้เห็นตามการ์ตูน หรืออาจจะเป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่น ลองนึกภาพว่าเป็นร้านรถเข็นข้างทางยามค่ำคืน ที่มีผ้าบังด้านหน้า เราต้องลอดผ้าเข้าไปนั่งเก้าอี้ยาวร่วมกับใครอีกหลายๆคนในร้าน อาหารก็จะร้อนๆ อาจจะย่างบ้าง ต้มบ้าง กินไปดื่มไปพร้อมๆกับเบียร์หรือสาเกญี่ปุ่น
ข้าวผัดห่อไข่ ทำกันสดๆ เสิร์ฟกันร้อนๆเลย อร่อยมาก
ถือเป็นอีกประสบการณ์สำหรับคนที่มาฟุกุโอกะไม่ควรพลาดอย่างยิ่งครับ
ช่วงเวลาเช้าๆเนี่ย อาหารที่ครอบครัวผมทานประจำเลย คือ ข้าวปั้นห่อสาหร่ายครับ มีไส้หลายอย่างมาก ทั้งไส้ถั่ว ไส้ไข่กุ้ง แต่ที่อร่อยสุดผมว่าไส้ปลาแซลมอนนี่แหละ
หาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อครับ ราคาไม่แพงประมาณ 100-130 เยน ถือทานประหยัดเวลาเดินทางด้วย อิ่มท้องด้วย เด็กๆชอบกันมากครับ
ออกนอกเมืองมายังจังหวัดซางะ Saga กัน ผมแวะมาเมือง Karatsu เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทานปลาหมึกสดแบบเป็นๆครับ จับมาจากตู้แล้วทานกันเป็นๆเลยครับ
สบตากันเล็กน้อยก่อนทาน หนวดของมันยังขยับอยู่เลยอ่ะ สนนราคาก็แพงอยู่ครับ ชุดนี้ 2,800 เยน รวม Vat 8% แล้วก็ประมาณ 3,000 เยนครับ
รสชาติของปลาหมึกเป็นๆ บอกเลยว่ามันอร่อยจริงๆนะ
ส่วนใครที่สงสัยว่าหนวดปลาหมึกมันดูดลิ้นมั้ย ตอบเลยว่าดูดครับ เหมือนในหนังกวน มึน โฮ เลยอ่ะ แต่มันไม่เจ็บลิ้นนะครับ ถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับชีวิตดีจริงๆ
และในจังหวัดซางะ Saga ก็ยังมีที่เที่ยวแนวๆอย่างหมู่บ้านนินจา Hizen Yume Kaido ซึ่งบอกตรงๆว่าหารีวิวอ่านยากมาก คงเป็นเพราะเดินทางมาเที่ยวที่นี่ด้วยรถไฟยากมากครับ ต้องขับรถถึงจะสะดวกกว่า
ค่าเข้าชม : ค่าผ่านประตู+เล่นกิจกรรมต่างๆได้+แต่งชุดนินจา ผู้ใหญ่ 2,100 เยน เด็ก 1,600 เยน น้องกายฟรีจ้า
ภายในหมู่บ้านนินจาจะมีการจำลองการใช้ชีวิตของนินจาสมัยก่อน สามารถเยี่ยมชมเครื่องเรือนในบ้านของนินจาได้
กิจกรรมก็มีให้ทำหลายอย่างเช่น ฝึกยิงธนู, ปาดาวกระจาย, เป่าลูกดอก, ปีนป่ายฝึกวิชานินจา
ถือว่าเป็นอีกที่เที่ยวหนึ่งที่สนุกสนานไปทั้งครอบครัวเลย
ไม่ไกลจากหมู่บ้านนินจา คือ ที่ตั้งของศาลเจ้ายูโทคุอินาริ Yutoku Inari Shrine
ข้อดีของการขับรถเที่ยว คือ ไม่ต้องเดินเยอะ ไม่เหนื่อยมาก แถมมีเวลางีบในรถด้วย ลูกทัวร์ผมเลยยังสดใสทุกคน
หน้าศาลเจ้าก็ยังมีสะพานสีแดงคู่กับแม่น้ำสายเล็กๆเป็นจุดถ่ายภาพที่สวยงามเลยทีเดียว
ศาลเจ้ายูโทคุอินาริ(Yutoku Inari Shrine) สร้างขึ้นในปี 1688 เป็นศาลเจ้านิกายชินโต ประจำตระกูลนาเบะชิมะ(Nabeshima clan) ผู้ปกครองเมืองซากะ ในสมัยเอโดะ เป็นศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่และสำคัญเป็นอันดับ 3 รองมาจาก ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริ(Fushi-mi Inari Shrine) ในเกียวโต(Kyoto) และศาลเจ้าคะซะม่าอินาริ(Kasama Inari Shrine) ในอิบาระกิ(Ibaraki)
ด้านบนของตัวศาลเจ้า ก็เป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกจุดหนึ่ง โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิ ยามที่ดอกซากุระบานสะพรั่ง และช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่ใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง ส่วนศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่ประทับของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ที่ประชาชนต่างนิยมไปสักการะขอพรเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยว ความสำเร็จด้านธุรกิจ และความปลอดภัย
อันนี้อ่านไม่ออกว่าเกี่ยวกับอะไร แต่เห็นรูปหัวใจ น่าจะเป็นที่ขอพรความรักมั้งครับ
เดินขึ้นไปประมาณตึก 3-4 ชั้น จะมีเสาโทริอิสีแดงตั้งเรียงกันเป็นแถวเพียบเลย
ถ่ายภาพคู่กับภรรยาเสียหน่อย
มื้อเย็นก็แวะฝากท้องกับอาหารท้องกับร้าน Ringer Hut ซึ่งมีสาขาที่เมืองไทยด้วยนะ
กับ นางาซากิจัมปง ราเมน ขอมาชิมต้นตำรับแบบนางาซากิจริงๆ
รสชาตก็เหมือนราดหน้าของจีนผสมกับราเมนญี่ปุ่นครับ
ที่เที่ยวต่อมาเราจะพาไปเที่ยวสวนฮูสเทนบอช Huis Ten Bosch สวนสนุกบรรยากาศยุโรปครับ เรียกว่ายกฮอลแลนด์มาตั้งไว้ที่ญี่ปุ่นอย่างนั้นเลย
มุมมหาชนของที่นี่ คงไม่พ้นทุ่งดอกไม้กับกังหันลมครับ
ถ้ามาช่วงต้นปี ดอกไม้จะเป็นดอกทิวลิปนะครับ น่าจะสวยกว่านี้ด้วย
กอดภรรยาแล้วมโนว่าบ้านริมทะเลสาบและเรือยอร์ชเป็นของเราเอง 5555
แวะชม Flower Ice Café ที่ทุกสิ่งอย่างไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเก้าอี้ทำมาจากน้ำแข็ง
ภายใน Huis Ten Bosch จะแบ่งเป็นหลายโซนครับ ทั้ง Adventure Park, Flower Road, Attraction Town, Art Garden, Tower City, Amsterdam City, Thriller City, Forest Villa, Harbor Town, One Piece Thousand Sunny Cruise และ มีโรงแรมสวยๆตั้งอยู่เพียบเลยครับ
การเดินชมที่นี่ก็ต้องใช้เวลาเยอะมาก หมดทั้งวันยังไม่ทั่วเลยครับ
ส่วนสาวกของการ์ตูน ลูฟี่ One Piece ถ้าได้มาลองขึ้นเรือโจรสลัดจริงๆ คงต้องร้องกรี้ดแน่ๆ
ผมตั้งใจพักที่ รร. Watermark ด้านในสวนสนุกเลย เพราะตั้งใจจะเดินเล่นชมแสงสีของที่นี่
กลางวันว่าสวยแล้ว แต่พอเปลี่ยนกลางคืน มันยิ่งสวยและโรแมนติกขึ้นไปอีก
ค่าเข้าชมของที่นี่ เนื่องจากอ่านรีวิวที่หลายๆคนบอกว่าเครื่องเล่น การแสดงของที่นี่ไม่ค่อยคุ้มค่าตั๋ว ผมเลยซื้อแค่บัตรผ่านประตูไปเดินเล่นถ่ายรูปเท่านั้นครับ
ค่าผ่านประตูเท่านั้น เล่นเครื่องเล่นไม่ได้ : ผู้ใหญ่ 3,600 เยน เด็ก 4-12 ปี 1,400 เยน ต่ำกว่า 4 ปี เข้าฟรี
ผมชอบจีบภรรยาตัวเองครับ
บางครั้งก็หยอก บางครั้งก็แซว บางครั้งก็แอบขโมยหอมเลย
แม้สุดท้ายจะจบลงด้วยคำว่า “บ้า” (เบาๆ พร้อมรอยยิ้มมุมปาก)
หรือ จะถูกตีเบาๆแบบเขินๆ…
แต่เชื่อมั้ยว่ามันช่างช่วยให้ความรักกระฉับกระเฉง สดใหม่อยู่เสมอ
จีบภรรยาตัวเองทุกวัน จิตแจ่มใสเนอะ ไม่เชื่อก็ลองดูสิ..
พูดถึงไอศกรีมหน่อย ใครไปญี่ปุ่นลองชิม ไอติมแซนวิสของ Haagen Dazs ดูนะครับ อร่อยมากเลย ขอบอก
รุ่งเช้าวันใหม่ ออกเดินทางไปยังเมือง Nagasaki กัน
Landmark ที่สำคัญของที่นี่ก็คือ สวนสันติภาพนางาซากิ (Nagasaki Peace Park) สร้างขึ้นเพื่อรำลึกเหยื่อระเบิดปรมาณูที่กระหายน้ำจนเสียชีวิต มองเห็นอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน เป็นรูปปั้นผู้ชาย มือขวาชี้ขึ้นไปบนฟ้า สื่อถึงการเตือนให้เห็นภัยคุกคามจากระเบิดปรมาณู แขนข้างซ้ายขนานไปตามแนวราบ อันสื่อความหมายถึงความปรารถนาในสันติภาพของชาวโลก
ตรงกลางเมืองจะมีสะพานแว่นตา Megane Bridge กัน
มาถึงที่นี่ให้ลงไปเดินเลียบคลองด้านล่าง ฝึกฝนสายตาสังเกตุหาก้อนหินรูปหัวใจกันนะครับ
ขนมชื่อดังของเมืองนางาซากิ คือ Castella คาสเทลล่า
คาสเทลล่าคือขนมไข่หรือเค้กฟองน้ำของญี่ปุ่น จังหวัดที่เป็นต้นกำเกิดและมีชื่อเสียงในเรื่องการทำคาสเทลล่าคือนางาซากิ คาสเทลล่าเป็นขนมที่มีต้นกำเนิดมาจากโปรตุเกสครับ ราคาก็ไม่แพง ชิ้นละ 130 เยน
คนญี่ปุ่นนี่เค้าช่างคิดครับ ไม่ว่าจะเป็นแพกเกจจิ้งหรือรูปลักษณ์ของขนม ทำออกมาดูน่ารักน่าทานไปหมด
สำหรับใครที่เดินทางด้วยตัวเอง จะพบว่าอาหารญี่ปุ่นตามร้านอาหารไม่ค่อยจะมีผลไม้ให้ทานเท่าไหร่ ผมเจอร้านผลไม้ริมทางก็เลยซื้อทานเองตลอด โดยเฉพาะลูกพลับที่ญี่ปุ่น อร่อยมากครับ ราคาไม่แพงเหมือนเมืองไทยด้วย
อีกไฮไลท์หนึ่งที่หากใครที่มาเที่ยวเมืองนางาซากิ Nagasaki คือการขึ้นภูเขาไปชมวิวสวยๆจากมุมสูงจาก Mount Inasa (Inasayama) ซึ่งการชมวิวมุมสูงจากภูเขาแห่งนี้ถือเป็นวิวที่สวยที่สุดติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น รองจาก Mount Hakodate และ Mount Rokko เท่านั้น
การเดินทางก็ไม่ยากครับ สามารถเดิน 10 นาทีจากสถานี Nagasaki Station แล้วขึ้น Ropeway ราค่าขึ้นอยู่ที่ 720 เยนต่อเที่ยว หรือจะเลือกแบบไปกลับ 1230 เยนครับ
ส่วนใครที่ขับรถแบบครอบครัวผมก็สามารถขับรถขึ้นเขาไปจอดแล้วต่อ Free shuttle bus แบบไม่เสียตังค์ได้เลย
ครอบครัวผมไปเยือนมาแล้ว บอกเลยว่านอกจากวิวจะสวยงามแล้ว บรรยากาศยังช่างสุดแสนจะโรแมนติก ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับทุกคู่รักหรือครอบครัวที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
สำหรับอาหารบางมื้อ สามารถซื้ออาหารกล่องจากร้านสะดวกซื้อได้เลยครับ รสชาติไม่แย่ แถมมีลดราคาช่วงเย็นๆประจำครับ
ที่จริงคนส่วนใหญ่ที่มา Nagasaki จะต้องแวะไปพิพิธภัณฑ์หลายที่ แต่พวกเราเป็นทริปครอบครัว คงไม่สนุกกับการเดินในพิพิธภัณฑ์แน่นอนครับ เราจึงตัดโปรแกรมเหล่านั้นออก เสริมไปด้วยที่เที่ยวสำหรับเด็กๆอย่างสวนสนุกหรือ Aquarium แทน
Nagasaki Penguin Aquarium อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนางาซากิมากนัก แต่สำหรับคนที่ไม่มีรถอาจจะเดินทางลำบากหน่อยเพราะต้องนั่งรถบัสไป ไม่มีรถไฟเข้าถึง แต่คนที่มีรถขับรถแปปเดียวถึงครับ
ค่าเข้าชมก็แสนจะถูก ผู้ใหญ่ 500 เยน
เด็ก(อายุ 3-15 ปี) 300 เยนเองครับ
วิธีไป : ขึ้นรถเมล์คันสีแดงจากสถานีรถไฟ JR Nagasaki ออกจากทางออกด้านตะวันออก ข้ามสะพานลอย ขึ้นจากป้ายที่อยู่หน้าร้าน Yoshinoya สุดสาย Aba หรือ Kasuga-shako-mae ลงที่ป้าย Penguin Aquarium ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 30 นาที
ภายในใหม่และสะอาดมากๆ มีหนัง 3D เกี่ยวกับเพนกวิ้นให้ชมด้วย
เด็กๆจะได้เพลิดเพลินกับการดูนกเพนกวิ้น
นอกจากเพนกวิ้นแล้วก็ยังมีสัตว์น้ำอย่างอื่นนะครับ เช่น ปลาฉลาม ปลาไหล ปลาบึก ฯลฯ
ปลาบึกตัวใหญ่มาก น้องกายดูอย่างตั้งใจเลย
และในวันที่อากาศดีๆ เค้าจะพาเพนกวิ้นออกมาเดินเล่นที่ชายหาด สามารถสัมผัสลูกหัวเพนกวิ้นได้เลย น่าเสียดายวันที่ผมไปพายุกำลังจะเข้าครับ เลยงดกิจกรรมนี้ เสียใจมาก
ข้ามไปเที่ยวเมือง Beppu บ้าง ในภาพคือ Beppu Tower นะครับ
แวะทานร้านข้างทางร้านหนึ่ง ข้าวหน้าปลาไหลเทพมาก รอชมรายละเอียดในฉบับเต็มนะครับ
พวกปลาดิบ และซูชิในภาพเนี่ย ผมไปเดินซื้อตาม Supermarket ตอนก่อนห้างจะปิดสัก 1 ชั่วโมงครับ อาหารเหล่านี้จะลดครึ่งราคา หรือบางครั้งจะเจอปลาแซลมอนลายสวยๆ (รสชาติอร่อยกว่า Zen หรือ Fuji) ปลาชิ้นโตให้เยอะๆหลายๆชิ้น มาในราคาแค่ 50 บาท (150 เยน) ย้ำว่า 50 บาทเท่านั้น ไม่ได้อ่านผิดนะครับ
หรือจะเป็นซูชิรวมที่เมืองไทยราคาหลายร้อยบาท คุณจะทานได้ในราคาประมาณ 100-120 บาท โอ้ว… อร่อยด้วย ประหยัดด้วย
ทั้งนี้อาหารเหล่านี้คุณภาพก็ไม่แย่นะ พวกปลาดิบอร่อยกว่าเมืองไทยอีกครับ เหตุผลที่ถูกก็เพราะห้างที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับความสดใหม่ของอาหาร เค้าจะไม่เก็บข้ามวัน ไม่หมดก็ทิ้ง ก่อนจะปิดห้าง เค้าเลยลดราคาพิเศษแบบถูกเหลือเขื่อเลยทีเดียว
ลดครึ่งราคากันเห็นๆ สิ่งที่น่ากังวลอย่างเดียว คือ คุณอาจจะต้องแย่งชิงกับแม่บ้านชาวญี่ปุ่นเจ้าถิ่นที่ทราบเรื่องนี้เช่นกันนะครับ
เมืองเปปปุ Beppu เป็นเมืองขึ้นชื่อเรื่องน้ำพุร้อนครับ เป็นแหล่งแช่ออนเซ็นระดับต้นๆของญี่ปุ่น ใครที่มาเมืองนี้ จะพลาดการทัวร์บ่อนรก 8 บ่อ (Jigoku Meguri) อันเลื่องลือไม่ได้เลยนะครับ
ราคาค่าทัวร์ เหมา 8 บ่อ ผู้ใหญ่ 2,100 เยน ถ้าแยกเข้าจะอยู่บ่อละ 400 เยนครับ
โดยบ่อน้ำร้อนแต่ละบ่อจะมีลักษณะต่างกัน บางบ่อก็เป็นสีฟ้าน้ำทะเล อันเกิดจากแร่ธาตุบริเวณนั้นมีซิลิกอนออกไซค์เยอะเป็นพิเศษ หรือบางบ่อก็เป็นโคลนเดือด บางบ่อก็มีเลี้ยงสัตว์ต่างๆ เช่น ฮิบโปโปเตมัส, จระเข้, ปลาแปลกๆ ไว้เป็นจุดขายครับ
มาทัวร์บ่อนรกอย่าลืมชิมไข่ต้มจากแหล่งน้ำร้อนธรรมชาตินะครับ ใส่เกลือไปนิดหน่อยอร่อยใช้ได้เลยหละ
เกือบทุกบ่อจะมีออนเซ็นให้แช่เท้ากันฟรีๆด้วย อย่าลืมพกผ้าขนหนูเล็กๆไปกับตัวไว้เช็ดเท้าด้วยนะครับ
ส่วนบ่อนี้เป็นสีเลือดครับ สวยงามและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าในทรายร้อนอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่ทำให้ผิวพรรณสดใสและสุขภาพดี และยังสามารถรักษาโรคปวดเมื่อยได้อีกด้วย พวกเราจึงไม่พลาดที่จะอบทรายร้อน (Sand Bath) แถมด้วยบรรยากาศริมทะเลด้วย ชิลด์สุดๆไปเลย
ราคาต่อคน 1,030 เยนต่อ 15 นาที
สืบเนื่องจากทุกคนลงไปอบทรายร้อนริมทะเลกันหมด ส่วนน้องกายยังเด็กเกินไป เลยยังลงไปอบทรายกับคนอื่นเค้าไม่ได้
น้องกายเลยยืนเกาหัวอยู่ริมบ่อทราย ทำไมต้องลงไปนอนบนทรายกันด้วยเนี่ย กายไม่เข้าใจ 555
ส่วนเกี๊ยวซ่าที่เค้าเคลมว่าเป็น No.1 จากร้าน Osako Ohsho กรอบนอกนุ่มใน ไส้อร่อยดีครับ
อันนี้เป็นร้าน Tempura ที่ขึ้นอันดับ 2 ใน Tripadvisor ของเปปปุ ครับ ร้าน Toyotsune ครับ
มาถึงเปปปุทั้งที ต้องแช่ออนเซ็นสิเนอะ
บ่อนี้เป็นบ่อส่วนตัวของเรียวกังที่เราพักครับ เค้าให้บริการแขกที่เข้าพักฟรี ฟินกันไปทั้งครอบครัว
คนไทยเราซึ่งไม่ชินกับการแช่น้ำร้อนแบบคนญี่ปุ่น หลายคนไปเที่ยวแล้วที่อาบน้ำเป็นที่อาบน้ำรวม โดยเฉพาะออนเซ็น (โรงแรมบางโรงแรมก็เป็นห้องน้ำอาบน้ำรวม แต่อาจจะมีห้องอาบน้ำแยกให้ก็ดีไป)
ผมมีเกล็ดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการแช่น้ำ (Onsen) ที่เราควรรู้จักมารยาท ไม่ให้คนญี่ปุ่นส่งสายตามามองด้วยความเหยียดหยามมาฝากกัน
1.) ไม่นุ่งผ้าเช็ดตัวเข้ามาในห้องอาบน้ำรวม เขาจะมีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ให้เราถอดเสื้อผ้าเก็บไว้ในตะกร้าใส่ผ้า หรือในล็อคเกอร์(แล้วแต่ที่) ถอดทั้งหมดไม่เหลืออะไรเลย คนญี่ปุ่นจะนำเฉพาะผ้าผืนเล็กๆเข้าไป ก็ใช้ขัดขี้ไคลเวลาอาบน้ำ หรือเช็ดหน้าเวลาแช่น้ำร้อนแล้วเหงื่อออก ก็แล้วแต่จุดประสงค์ของแต่ละคน แต่ในปัจจุบันสาวๆญี่ปุ่นก็อายเหมือนกัน ถึงแม้จะอาบรวมกับผู้หญิงด้วยกัน ก็จะนำผ้าผืนเล็กขนาดผ้าเช็ดผมปิดร่างกายส่วนบนและส่วนล่างเวลาเดินเข้าในห้องอาบน้ำรวม หรือเดินจากก๊อกอาบน้ำไปอ่างน้ำแร่
2.) เป็นเรื่องของการชำระล้างร่างกายก่อนจะลงที่อาบน้ำรวม เขาจะมีก๊อกน้ำหรือฝักบัวเรียงเป็นแถว มีเก้าอี้ตัวเล็กๆ (เหมือนที่นั่งไว้ซักผ้าสมัยก่อน) ให้เรานั่งอาบชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อน นอกจากนี้ยังเป็นการปรับอุณหภูมิร่างกายให้เตรียมรับกับความร้อนของอุณหภูมิน้ำของน้ำแร่ที่ร้อนระดับ 37-42 องศาเซลเซียส
3.) ไม่ส่งเสียงดังรบกวนแขกผู้อื่น และไม่ดื่มสุราก่อนเข้ามาแช่น้ำร้อน อาจทำให้เสียชีวิตได้
4.) การลงแช่น้ำร้อนนั้น ควรจะค่อยๆเอาร่างกายลงทีละส่วน โดยเอาขาลงไปก่อน แล้วนั่งแช่โดยนั่งให้ตัวอยู่บนขอบอ่าง แล้วแช่เฉพาะขา เพื่อให้ร่างกายค่อยๆปรับตัว แล้วค่อยๆหย่อนตัวลง ถ้ามีขั้นบันไดในอ่างให้นั่งบนขั้นบันไดก่อน เพื่อให้ร่างกายช่วงล่างปรับตัวกับความร้อน เมื่อรู้สึกชินแล้วจึงลงไปนั่งกับพื้นอ่าง เท่านี้คุณก็จะรู้สึกสบาย หรือที่พูดเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “Kimochi ii”
5.) หลังจากที่ขึ้นจากการแช่น้ำร้อนแล้ว บางคนก็ว่าไม่ควรจะล้างตัวเพราะจะทำให้ร่างกายเสียอุณหภูมิ แต่สำหรับบางคนที่ผิวบาง น้ำแร่ที่มีแร่ธาตุบางอย่างอาจจะทำให้ผิวแพ้ได้ ก็ล้างตัวได้ แต่ควรปรับให้อุณหภูมิของฝักบัวใกล้เคียงกับน้ำที่แช่ หลังจากนั้นก็ใช้น้ำเย็นราดขา จะช่วยป้องกันอาการเท้าเย็นได้
รู้ธรรมเนียมกันแล้ว อย่าลืมนำไปใช้ในถูกต้องกันนะครับ
และที่ไม่ไกลจากเมืองเปปปุ จะมี Sanrio Harmonyland หรือสวนสนุก Kitty นั่นเอง
ค่าเข้าชมรวมเครื่องเล่นทั้งหมด คนละ 2,900 เยน นับเด็ก 4 ขวบขึ้นไปราคาเท่าผู้ใหญ่ น้องเกรซก็ต้องเสียด้วย เพราะเป็นสวนสนุกสำหรับช่วงวัยนี้เลย
งานนี้เด็กๆเลยได้ไปสนุกกับการพบปะทักทายกับเจ้าตัวการ์ตูนจาก Sanrio อย่างเต็มอิ่ม
แวะมาเยี่ยมชมบ้านคิตตี้แสนน่ารัก
ที่เด็กๆดูจะตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษก็คือ ขบวนพาเหรดจากเหล่าตัวการ์ตูนที่ออกมาเต้นตามเสียงเพลง สร้างความสุขแก่เด็กๆไม่น้อยครับ
เครื่องเล่นส่วนใหญ่จะออกเป็นแนวเด็กๆน่ารักๆนะครับ ดังนั้นสวนสนุกนี้จึงเหมาะเฉพาะกับเด็กๆ และสาวกของเหล่าตัวการ์ตูนเท่านั้นนะครับ
แต่สำหรับบ้านผม ต้องบอกว่า Happy กับที่นี่เลยทีเดียว
ทิ้งไว้สุดท้ายกับ Kids Menu ของที่นี่ แม้กระทั่งอาหารยังต้องเป็นคิตตี้เลย
ในจังหวัด Oita นอกจาก Beppu แล้ว ยังมีหมู่บ้านที่เป็นที่นิยมในการท่องเที่ยวภูมิภาคนี้ด้วย ได้แก่ ยุฟุอิน Yufuin ครับ ในภาพคือ Yufuin Floral Village ครับ
ตลอดทางเดินประมาณ 2 ก.ม. จะเต็มไปด้วยร้านค้าน่ารักๆ ร้านขนม ร้านอาหารอร่อยๆ ตลอดทาง เดินแล้วเพลินจริงๆ แต่เงินก็ละลายหายไปด้วยง่ายๆครับที่นี่
ขนมร้านในตำนานที่นี่ต้องยกให้กับ ขนมร้าน B-Speak ครับ คนเยอะตลอดเวลา ผมชิมดูแล้ว มันไม่ธรรมดาครับ เนื้อเค้กนุ่มนิ่ม ครีมอร่อย ไม่ธรรมดาครับ สุดยอด
เดินผ่านร้านอาหาร Snoopy จัดจานซะน่ากินมากเลยครับ
ใครที่มาเดินเล่นที่ Yufuin เดินให้สุดทางเลยนะครับ จะมีทะเลสาบเล็กๆกับโทริอิกลางน้ำอยู่ปลายทางครับ น้ำนิ่งสะท้อนภาพเป็นกระจกเลย
มีร้านบะหมี่เย็นที่ริมทะเลสาบ คนต่อคิวกันเพียบ ไม่ผิดหวังครับ เส้นและน้ำจิ้มอร่อยเลยอ่ะ
เราเหลือวันว่างๆอยู่ 1 วันสำหรับช้อปปิ้งโดยเฉพาะเลย โดยจุดหมายของเราอยู่ที่ Marinoa City ซึ่งเป็น Outlet Mall ครับ
กับอีกที่คือ Canal City Hakata ครับ
มาว่ากันเรื่องช้อปปิ้งโดยเฉพาะเลยนะ
เริ่มต้นจากรองเท้าอย่าง New Balance และ Onitsuka Tiger ราคาถูกกว่าไทยค่อนข้างมากเลย แถมมีรุ่นใหม่ๆให้เลือกเยอะกว่าไทยครับ
เสื้อผ้าเด็กน้อยใน Shop H&M ก็มีน่ารักๆอย่างเพียบ ไม่แพงด้วยครับ
สำหรับสาวๆถ้าจะช็อปปิ้งเครื่องสำอางราคาถูก แนะนำร้านนี้เลยครับ Matsumoto Kiyoshi เป็นร้านขายยาที่รวบรวมแบรนด์เครื่องสำอางทั้งแบรนด์ Local และแบรนด์ชั้นนำของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
บรรดาของดีของถูกที่เป็นที่นิยมของคนไทยก็หาซื้อได้ที่นี่เลย เรียกว่ามาที่เดียวมีครบแทบทุกอย่าง ทั้งเครื่องสำอาง และขนมสุดฮิตอย่าง Kit Kat ชาเขียว, Dark Chocolate, หรือขนมของเล่นที่ทานได้ก็มีด้วยน้า
แต่แนะนำอีกอย่าง ถ้าเพื่อนๆคนไหนพอมีเวลา อยากให้เดินสำรวจร้านขายยาเล็กๆร้านอื่นๆเปรียบเทียบดูก่อนนะครับ เพราะผมเจอสินค้าหลายชนิดถูกกว่าร้านนี้มากๆด้วย แอบเสียดายจริงๆ
นี่คือทั้งหมดทั้งมวลสำหรับบรรดาของฝากขึ้นชื่อ ที่ภรรยาผม ทำให้ขนหน้าแข้งของผมโกร๋นเลยทีเดียว
เพิ่มเติมข้อมูลสำหรับการช้อปปิ้งที่ญี่ปุ่น “ช้อปปิ้งกันเถอะๆๆๆๆ คสอ.ในร้านขายยา + มีอะไรในร้านสะดวกซื้อญี่ปุ่นบ้างนะ” Trip Japan Summer Backpack 2013 โดยคุณ megamovie
ต่อๆๆ แม้กระทั่งในสนามบินวันจะเดินทางกลับ ก็ยังมีไฮไลท์ที่ควรค่าแก่การเสียเงินอีกมากมาย ในรูปเป็นช็อคโกแลต Royce แสนอร่อย ต้องบอกว่าทานกันไม่กลัวอ้วนเลย ใครเป็นแฟนพันธ์แท้ Royce อย่าลืมพกถุงเก็บความเย็นมาใส่ด้วยนะจ้ะ หรือจะซื้อกับพนักงานก็ได้เลย
สำหรับใครที่มาเดินเล่นที่ Canal City Hakata ชั้น 5 มี Ramen Stadium อยู่ มีร้านราเมงอร่อยๆมาตั้งประชันกันหลายร้านมาก ต้องเด็ดจริงๆถึงจะอยู่ได้นะเนี่ย บอกเลย
มาชิมร้านต้นๆทาง รสชาติใช้ได้เลย แถมซื้อเป็นเซทราคาไม่แพงด้วย
ในสถานี Hakata มีร้านตามสั่งอยู่หลายร้านครับ ลองเข้าไปสั่งอาหารทานดู ไม่เลวเลยทีเดียว
หอยลายที่ญี่ปุ่นจะผัดแห้งๆหน่อย รสชาติสดอร่อยดีครับ เมนูนี้เด็กๆชอบเลยสั่งเบิ้ลมา 2 จานเลย
ต่อด้วยปลาอะไรสักอย่าง อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก เนื้ออร่อยเทพเลยอ่ะ แต่ก้างเยอะไปหน่อย
ปิดท้ายทริปด้วยบรรยากาศริมทะเลชายหาด Momochihama Beach ครับ มองไปไม่ไกลมี Fukuoka Tower ด้วย
ใกล้ๆกันมีสถานที่สวยๆน่าจะเป็นโบถส์ไว้แต่งงานหรือเปล่าไม่แน่ใจ ไม่เปิดให้เข้าชม แค่ถ่ายภาพอยู่ด้านนอกเท่านั้น
ในยุคที่ผู้หญิงหลายคนไม่กลัวโง่ แต่กลัวไม่สวย
เหล่าวัยรุ่น – พริตตี้ต่างอยากแจ้งเกิดเป็นเน็ตไอดอล ต้องพยายามเปิดนมให้ได้ Like มากที่สุดกัน
ในฐานะผู้ชาย ถ้าถามผมว่า ชอบผู้หญิงสวยมั้ย ถ้าไม่ใช่เกย์ กระเทย ผู้ชายทุกคนย่อมตอบว่าชอบแน่นอน
แต่ผมเชื่อว่าผู้หญิงที่ควรค่าแด่การยกย่อง ต้องมีมากกว่าความสวย
หลายวันก่อนได้ยินคำพูดจากท่านหนึ่งว่า ภรรยาที่ดีก็เปรียบเสมือนมงกุฏเพชรให้กับสามี มีเกียรติและศักดิ์ศรีของผู้หญิง ซึ่งได้มาจากการปฎิบัติตัวที่ดีงาม
คำพูดนั้นจริงทุกประการ…
ผู้ชายทุกคนชอบผู้หญิงสวย แต่หลงรักและอยากใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงที่ดี
ผมคงเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกที่มีมงกุฏเพชรที่ทั้งสวยและดีอยู่กับตัว
และผมสัญญาว่าจะดูแลมงกุฏเพชรนี้ไว้กับใจของผมเอง
Love you with all my love,
จบภาพสุดท้ายด้วยบรรยากาศความรักวามอบอุ่นระหว่างสองแม่ลูกริมทะเลละกันนะครับ
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางเกาะคิวชู 10 วัน สำหรับ 5 คน ผู้ใหญ่ 3 เด็ก 2 คน
ตั๋วเครื่องบิน 35,798 บาท
ที่พัก 36,862 บาท
อาหารหลัก 18,865 บาท
เดินทาง (รถเช่า+รถไฟ+แท๊กซี่) 17,944 บาท
น้ำมันรถ 3,123 บาท
ทางด่วน 4,168 บาท
จอดรถ 1,236 บาท
ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยว 14,235 บาท
ของว่างทานเล่น น้ำดื่ม 3,352 บาท
รวมค่าใช้จ่ายที่ไม่รวมช้อปปิ้ง 135,583 บาท
หาร 5 คน คิดเป็น 27,116.55 บาทต่อคน
ถ้าคิดเด็ก 2 คนรวมเป็นผู้ใหญ่ 1 คน หาร 4 คน จะเป็น 33,895.69 บาทต่อคนครับ
ผมมีเรื่องราวมากมายตลอด 10 วัน แต่คงไม่สามารถเล่าได้ทั้งหมดภายในตอนเดียว รายละเอียดทั้งหมด รอติดตามได้จากรีวิวฉบับเต็มตอนต่อๆไปนะครับ
ปล.หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share
หรืออยากใกล้ชิดกันมากขึ้น แอด Line มาได้เลย มีรีวิวใหม่จะส่งไปบอก อยากคุยกับแอดมิน Line มาคุยเลยจ้า ID : @2Madames กดตรงนี้ก็ได้
หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป