เดือน ต.ค. 58 ผมได้มีโอกาสพาครอบครัวไปเที่ยวประเทศเนเธอร์แลนด์ Netherland และเบลเยี่ยม Belgium 11 วัน มีโอกาสได้ไปเยือนดินแดนแห่งคูคลอง ผู้คนนิยมปั่นจักรยานมากกว่ารถยนต์ ไปดูต้นตำรับของกังหันลม เดินทางผ่านเมืองสวยๆมากมาย ชิมช็อกโกแลตที่เค้าว่ากันว่าอร่อยที่สุดในโลก(อร่อยจริงๆนะ) ไปเจอเมืองแปลกๆที่มีเส้นเขตแดนผ่าไปกลางบ้านกลางเมือง มีเรื่องราวสนุกๆ และเคล็ดลับการเดินทางดีๆที่เหมาะกับครอบครัวมากมายเลย คุณพร้อมจะฟังหรือยังหละ ผมจะเล่าให้ฟัง…
เชิญรับชมคลิปบรรยากาศการเที่ยวเพิ่มอรรถรสก่อนครับ
โปรแกรมการเดินทางของเราตลอด 11 วัน ตั้งแต่ Amsterdam เมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ Netherland ค่อยๆขับรถเที่ยวลงไปยันใต้สุดของ Belgium ที่เมือง Dinant
15 ต.ค. – ออกเดินทางด้วยชั้นธุรกิจของสายการบิน EVA Air สู่อัมสเตอร์ดัม Amsterdam ประเทศเนเธอร์แลนด์ Netherland
16 ต.ค. – เที่ยวอัมสเตอร์ดัม Amsterdam วันแรก เช่าจักรยานเที่ยว Dam Square, Westerkerk, Nieuwmarkt (Floating flower market), ป้าย IAMSTERDAM หม่ำแพนเค้กขั้นเทพ Upstairs หม่ำเฟรนฟรายร้านลึกลับ Vleminckx Sausmeesters
17 ต.ค. – เดินเล่นถนนสายช้อปปิ้ง Damrak, ช้อปปิ้ง Lego ร้าน Intertoy, หม่ำเฟรนฟรายอันดับหนึ่ง Manneken Pis, กระโดดถ่ายรูปหน้า Amsterdam Central Station, ขับรถไป Volendam และเที่ยวหมู่บ้านกังหันลม Zaanse schans
18 ต.ค. – ออกจากอัมสเตอร์ดัม มุ่งหน้าสู้เมืองเฮก Den Haag เมืองแห่งศาลโลก เที่ยว Binnenhof และ Peace Palace เที่ยวต่อที่ Delft ชม Nieuwe Church และเข้าพัก The Cubehouse ที่ Rotterdam เดินเล่นชมสะพาน Erasmusbrug โบสถ์ Laurenskerk และห้างใหม่ Markthal
19 ต.ค. – เดินทางต่อไปเที่ยวเมืองแอนต์เวิร์ป Antwerp ชมสถานีรถไฟสุดสวย Antwerp Central Station, ชิมช็อกโกแลต Leonidas, Godiva แล้วจบที่โบสถ์ Cathedral of our Lady แล้วเดินทางต่อไปเก็นต์ Ghent เที่ยว St Michael’s Bridge ถ่ายภาพมุมมหาชนที่ Graslei and Korenlei
20 ต.ค. – เที่ยวเมืองบรูกส์ Brugge ล่องเรือชมคลอง ชม Belfry of Bruges ชิมช็อกโกแลตร้าน Olivier’s Chocolate Shop&Bar
21 ต.ค. – เที่ยว Dinant ชมโบสถ์ Notre-Dame of Dinant เที่ยวป้อม Citadelle de Dinant
22 ต.ค. – เที่ยวบรัสเซลส์ Brussel เมืองหลวงของประเทศเบลเยี่ยม Belgium ชมวิหาร St Michael and St Gudula Cathedral และจัตุรัสสุดสวย Grand Place และรูปปั้นเด็กยืนฉี่อันแสนโด่งดัง Mannekin Pis
23 ต.ค. – เที่ยวเมืองสองประเทศ Baarle-Nassau และ Baarle-Hertog แล้วมุ่งหน้าสู่เมืองอูเทรคต์ Utrecht
24 ต.ค. – เที่ยววิหาร Domtoren และ St Martin’s Cathedral แล้วไปเที่ยวปราสาท Castle De Haar แล้วเดินทางกลับกรุงเทพ
25 ต.ค. – ถึงกรุงเทพอย่างแฮปปี้ดี๊ด๊า ทำงานเก็บเงินไปเที่ยวใหม่ อิอิ
ปล.ทริปนี้ครอบครัวเราเที่ยวแบบสบายๆนะครับ ไม่ได้เที่ยวครบถ้วน เอาไฮไลท์ๆเท่านั้น เน้นใช้เวลาท่องเที่ยวสบายๆไม่เร่งรีบนะครับ
การเตรียมตัวเที่ยวเนเธอร์แลนด์-เบลเยี่ยม
1.) วิซ่า ค่าธรรมเนียม คนละ 2,400 บาท เด็ก 1,400 บาท ต่ำกว่า 6 ขวบ ฟรี
ข้อมูลการยื่นและเตรียมเอกสารตามลิงก์นี้ (ต้องจองคิวนัดล่วงหน้าด้วยนะ)
http://www.vfsglobal.com/netherlands/thailand/thai/
2.) การใช้ไฟฟ้าและหัวปลั๊ก หัวปล๊กไม่เหมือนกัน ต้องพก International Adapter ไปด้วยนะครับ
3.) ค่าเงิน 1 Euro = 40.25 บาท (ต.ค. 58) เช็คอัตราแลกเปลี่ยน http://superrichthai.com/exchange.aspx
4.) เวลาช้ากว่าไทย 5-6 ชั่วโมง (แล้วแต่เดือน) ตัวอย่างเช่น เมืองไทย 6:00 น. ที่เนเธอร์แลนด์-เบลเยี่ยมจะเท่ากับ 1:00 น.
5.) อาหารและเสบียง ที่จริงสำหรับใครที่ไม่ติดเรื่อง European Food แบบยุโรปจำพวกเบอร์เกอร์ ขนมปัง สเต็ก ฯลฯ สามารถซื้อทานตามร้านอาหารได้เลย ราคาค่อนข้างสูงประมาณจานละ 10-20 ยูโรต่อมื้อ จานค่อนข้างใหญ่นะ เชื่อว่าน่าจะอิ่มครับ แต่สำหรับครอบครัวไหนที่พอจะทำอาหารเป็น และต้องการทานอาหารไทยบ้าง ก็สามารถเตรียมเสบียงไปจากเมืองไทยได้ เราเตรียมพวกเครื่องปรุงผงแบบซอง รวมทั้งพวกน้ำมันพืช น้ำปลา ข้าวสาร ขนมนมเนยต่างๆ แล้วพวกของสดไปหาซื้อตาม Supermarket ที่นั่นแทน พวกปลากระป๋อง หอยกระป๋อง ผมก็พกไปด้วย เผื่อมื้อไหนฉุกเฉินหาของสดไม่ได้ก็จะได้มีวัตถุดิบพร้อมปรุงเลย การทำอาหารในต่างแดน ผมจะชอบมาก เพราะนอกจากจะประหยัดค่าอาหารแล้ว การได้ทานอาหารไทยในต่างแดนนี่มันช่างอร่อยกว่าพวกอาหารฝรั่งมาก แถมทำให้คิดถึงบ้านน้อยลงด้วยนะ
เคล็ดไม่ลับ การประหยัดค่าอาหาร
มันก็เป็นธรรมดาเหมือนเมืองไทยที่เวลาเราไปทานอาหารตามร้านอาหารราคาก็จะแพง แต่ถ้าเราไปซื้อของมาทำเองก็จะถูกกว่ามาก มากแค่ไหน ยกตัวอย่างนะ มื้อกลางวันที่ครอบครัวเราเที่ยวกันอยู่ เราจะไม่เดินทางกลับมาทำอาหารทานที่บ้านหรอก เสียเวลาเกินไป ไม่งกขนาดนั้น (ชิมอาหารต่างบ้านต่างเมืองบ้างก็ได้) ค่าอาหารมื้อที่ทานข้างนอกจะตกอยู่ราวๆ 30-50 ยูโร (ประมาณ 1,200 – 1,500 บาท) พอแปลงเป็นเงินไทยแล้วก็ค่อนข้างแพงเลยทีเดียว แต่ถ้าเราซื้อมาทำเองจะอยู่ราวๆมื้อละไม่เกิน 5 -10 ยูโรเท่านั้น ดังนั้นมื้อเช้าและมื้อเย็นส่วนใหญ่ผมจะเลือกกลับมาทานอาหารที่ปรุงเองครับ แค่เอาส่วนต่างมาคูณกับจำนวนมื้อที่ไม่ต้องทานข้างนอก ลองคำนวณดูครับ เยอะมากมายมหาศาลเลยทีเดียว
ปล. ถึงเราจะทำงานหาเงินมามากพอที่จะทานในภัตตาคารได้ทุกมื้อ แต่เราก็เลือกที่จะทำอาหารทานเพื่อประหยัดเงินส่วนหนึ่ง แต่เราไม่ได้งก หรือเดินทางไปเพื่อไปเป็นยาจกในต่างประเทศ เรายินดีจ่ายเพื่อทานของดีของอร่อยต่างบ้านต่างเมืองเช่นกัน วัฒนธรรมอาหารแต่ละประเทศถือเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางเช่นกัน
โยเกิร์ตที่เนเธอร์แลนด์เบลเยี่ยมนี่ดีงามมาก อร่อย
พวกเบียร์นี่ราคาถูกกว่าน้ำอัดลมอีกครับ
คุณนายแอนภรรยาผมรับบทแม่ครัวตลอดทริปเลย
ยกตัวอย่าง อาหารบางอย่างที่ทำง่ายๆเลยนะ เมนูยำปลากระป๋อง อันนี้แทบจะเป็นของที่พกมาจากไทยทั้งหมด
ส่วนผสมก็ง่ายๆเลย มีแค่ปลาแมกเคอเรลในซอสมะเขือเทศ (ที่จริงยี่ห้อไหนก็ได้นะ แต่ครอบครัวผมชอบยี่ห้อ TCB เพราะรู้สึกเนื้อปลาแน่นอร่อยดี) อุ่นด้วยไมโครเวฟก็ได้ เทในจาน แล้วหั่นพริกที่เตรียมมาจากไทย (ผ่านตม.ฉลุย ยุโรปไม่เคร่งเลย) บีบมะนาวลงไป แค่นี้ก็ได้กับข้าวง่ายๆ ทานกับข้าวสวยร้อน รสชาติอาหารไทยถูกปากคนไทยที่สุดแล้ว
บางมื้อก็กึ่งสำเร็จรูปก็ได้นะ มาม่าถ้วยคนละถ้วย ใส่หอยลายกระป๋องของ TCB ลงไป ก็ฟินละ
ส่วนพวกทูน่ากระป๋อง ก็ทำกับข้าวง่ายเช่นกัน
แค่นำมาอุ่นร้อน แล้วใส่พวกผงลาบสำเร็จรูปลงไป (ยี่ห้อรสดี อร่อยมาก)
แค่นี้ก็ได้ลาบทูน่ามาทานแล้ว อาจจะไม่ถึงกับอร่อยมากแบบทานที่เมืองไทย แต่ผมว่านาทีนั้นแก้ขัดได้อย่างยอดเยี่ยมเลยหละครับ
6.) การจองที่พักในต่างประเทศ ผมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การเดินทางเลย ครอบครัว 2Madames.com ชอบที่หาที่พักแปลกใหม่มากกว่าการนอนในห้องสี่เหลี่ยมอันแสนน่าเบื่อตามโรงแรม เราจึงมักจะจองที่พักผ่าน Airbnb เสมอ
ซึ่งบ้าน Airbnb ก็จะมีที่พักแปลกๆเก๋ๆเพียบ ตัวอย่างเช่น ที่พักที่ Rotterdam ของครอบครัวเราคืนนี้ ที่ตั้งอยู่กลางใจเมือง (เทียบกับกรุงเทพก็น่าจะคือสยามสแควร์) ติดสถานีรถไฟใต้ดิน บ้านเป็นกล่องทรงลูกบาศก์ตั้งอยู่บนเสา ทำให้ผนังของบ้านทั้งหลังเอียงตามไปหมด มี 4 ชั้น 2 ห้องนอน กว้างใหญ่เว่อร์วัง
สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักบ้านแบบ Airbnb ลองอ่านบทความนี้ก่อนนะ
แนะนำ Airbnb เว็บจองที่พักสำหรับครอบครัว บ้านน่ารักๆกับราคาเป็นมิตรสบายกระเป๋า
ใครสนใจอยากจะจองที่พักเก๋ๆแบบนี้บ้าง (มีให้จองได้ทั่วโลกนะ เมืองไทยก็มีหลายจังหวัด) ลงทะเบียนลิงก์นี้ก่อน
www.airbnb.com/2madames
รับเครดิตฟรีไว้จองที่พักก่อนเลย 25 USD ประมาณ 800 บาท
มีห้องนั่งเล่นอยู่ชั้นบนสุดที่รายล้อมด้วยหน้าต่างไว้ชมดาวบนฟ้ายามค่ำคืนด้วย
ห้องครัวทันสมัยมีอุปกรณ์ครบ ทั้งเตาอบ เตาไฟฟ้า เครื่องล้างจาน น่าใช้มาก แถม Host เจ้าของบ้านใจดีน่ารักมาก บอกว่ามีขนมปัง,ไข่,น้ำผลไม้ บอกว่าทานได้ตามชอบใจเลย เรียกว่าดีงาม ชอบสุดๆ
ดูแต่ภาพนิ่งอาจจะไม่เห็นภาพนะ งั้นให้คุณนายแอนกับน้องเกรซพาชมบ้านหลังนี้กัน
ส่วนที่พักที่เบลเยี่ยม ครอบครัวเราพักใน Villa หลังใหญ่ มีพื้นที่กว่า 3,000 ตร.ม.(เกือบสองไร่) รายล้อมไปด้วยสวนสีเขียวที่มีบ่อน้ำ ต้นไม้ และโต๊ะจิบชาน่ารักๆในสวน
ด้านในตกแต่งเก๋ไก๋น่ารักสุดๆ ห้องนอนมีเตียงกว้างๆสามารถเปิดหน้าต่างมองลงไปเห็นสวนสวยๆ
อีกห้องนอนเป็นห้องเด็กมีเตียงสองชั้นพร้อมโต๊ะเขียนหนังสือน่ารักๆ
ห้องน้ำสีชมพูมีอ่างให้นอนแช่น้ำสบายๆ
ที่นี่เราพักอยู่กับ Mr.George และภรรยาเจ้าของบ้านที่ดูแลเราเป็นอย่างดี ทุกเช้าจะคอยทำอาหารเช้ายกมาเสิร์ฟถึงโต๊ะ มีชีสและแฮมแบบท้องถิ่นให้ชิมพร้อมขนมปังอุ่นๆแสนอร่อย อิ่มแล้วยังมาพูดคุยอธิบายแนะนำการท่องเที่ยวในเมือง Ghent ให้ฟังอย่างคนพื้นที่ที่รู้จริงให้ฟังด้วย
การเข้าพักที่คล้ายๆ Home Stay แบบนี้ให้ประสบการณ์การเดินทางที่ดีมากๆจริงๆ เป็นการเข้าถึงทั้งวัฒนธรรมต่างๆและอาหารแบบท้องถิ่นจริงๆให้กับครอบครัวเรา
ราคาก็ไม่แพงเลย ที่นี่จองผ่าน airbnb มาในราคาแค่ประมาณ 7,000 บาทต่อคืน แต่เหมือนได้เป็นเจ้าของ Villa ทั้งหลัง บอกได้เลยว่าโคตรเก๋อ่ะ
ส่วนที่พักคืนสุดท้ายของทริป ที่พักแห่งนี้อยู่กลางใจเมือง Utrecht พิเศษสุดๆคือ อยู่ริมคลองเลย เราสามารถนำโต๊ะออกมานั่งดื่มเครื่องดื่มชิลด์ริมน้ำมองเรือแล่นผ่านไปผ่านมาได้ นอกจากนี้ยังมีไวน์และเบียร์แถมฟรีจากเจ้าของที่พักให้ด้วย
ส่วนที่พักเป็นห้องที่ลักษณะคล้ายกับถ้ำ เพดานเป็นก้อนอิฐเก่าแก่สวยงาม มีชุดครัว โต๊ะทานอาหาร โซนนั่งเล่นกว้างๆ โซฟาปรับเป็นเตียงได้ (นอน 4 คนสบายๆ) ตกแต่งแบบเรียบง่าย แต่ก็เพียบพร้อมไปด้วยความสะดวกสบาย มีจักรยานให้ปั่นเที่ยวรอบเมืองฟรีด้วยอ่ะ
บ้านหลังนี้จองผ่าน Airbnb ในราคาหกพันบาทต่อคืน ถือเป็นที่พักอีกแห่งที่ถูกใจมากครับ เพราะคงไม่มีที่พักโรงแรมไหนจะมอบประสบการณ์ชิลด์ริมน้ำแบบนี้ได้
ส่วนห้องขับแขกกว้างๆตกแต่งอบอุ่น เป็นที่พัก Airbnb ที่อัมสเตอร์ดัมครับ
ชุดครัวครบกว่าอยู่ที่บ้านเมืองไทยอีก แบบนี้ทำอาหารกันสนุกเลยครับ
7.) มาว่ากันเรื่องยานพาหนะในการเดินทางของพวกเรากันบ้าง
ทริปนี้เราเลือกที่จะเช่ารถขับเที่ยวครับ ด้วยเหตุผลที่ว่าเรามีเด็กเล็กเดินทางด้วยถึง 2 คน ทำให้มีสมบัติข้าวของเยอะ และผมก็ไม่แบกกระเป๋าขึ้นลงรถไฟด้วย เราจึงเลือกวิธีเช่ารถขับแทนนี่แหละครับ เด็กๆก็ไม่เหนื่อย เราก็ไม่เหนื่อย แถมใช้รถในการเก็บข้าวของได้ด้วย
ส่วนราคาก็ไม่แพงเลย 10 วัน เจ็ดพันกว่าบาทเอง (ตกวันละเจ็ดร้อยอ่ะ) รวมค่าประกันก็แค่เก้าพันกว่าๆ
ปล.ค่าเช่ารถไม่แพง แต่ค่าจอดรถแพงนะ นอกเมืองจะจอดฟรี แต่ถ้าเมืองใหญ่จะอยู่ที่ชั่วโมงละ 2-4 ยูโร เวลาจองที่พักต้องเลือกแบบที่มีที่จอดให้นะครับ ถ้าไม่มีก็ต้องใช้วิธีขับรถไปจอดที่ Garage หรือว่าออกไปจอดที่จอดนอกเมือง Park & Ride เข้ามาอีกที
ขับรถที่ยุโรปเนี่ย เวลาเติมน้ำมันไม่มีเด็กปั้มเติมให้นะ อยู่ที่นี่คนเค้าเติมน้ำมันกันเอง เติมเสร็จก็จำเลขหัวจ่ายน้ำมันไว้ แล้วเดินไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ ราคาน้ำมันก็ประมาณ 1.3-1.5 ยูโรต่อลิตรครับ ในเบลเยี่ยมน้ำมันจะถูกกว่าเนเธอร์แลนด์นะ
8.) การขี่จักรยาน เนื่องมาจากทั้ง Netherland และ Belgium คนนิยมปั่นจักรยานกันมาก เรียกว่าเยอะกว่าขับรถยนต์เยอะ อีกทั้งรัฐบาลก็สนับสนุนเต็มที่ มีเลนจักรยานให้ปั่นกันเลย นิยมจนกระทั่งว่า Amsterdam ได้รับยกย่องให้เป็นเมืองหลวงแห่งการปั่นจักรยานเลยทีเดียว
ก็อุตส่าห์มาถึงเมืองหลวงจักรยานแบบนี้ สักครั้งในชีวิต เราเลยเช่าจักรยานปั่นกับเค้าด้วย 1 วันครับ
จักรยานมีหลายแบบมาก แต่สำหรับเด็กแล้ว จะมีแบบเอาเบาะเสริมมาตั้งด้านหลังจักรยานสองล้อก็มี หรือจะเป็นแบบซาเล้งที่ให้ในภาพก็มีครับ
ที่จริงตอนแรกผมจะเลือกแบบสองล้อนะ แต่เก้าอี้เสริมของเด็กมันหมด เลยต้องเลือกแบบซาเล้งแทน ข้อดีคือ มันปลอดภัยครับ มีทั้งเข็มขัดนิรภัยรัดน้องๆ และมันมีสามล้อเลยไม่มีโอกาสล้มครับ ส่วนข้อเสียคือมันหนักครับ ขนาดผู้ชายแบบผมยังปั่นซะปวดน่องปวดขาไปหมด แนะนำสำหรับคนที่แข็งแรงจริงๆเท่านั้นนะครับ
ราคาค่าเช่าแพงพอสมควรนะ หากเป็นสองล้อทั่วไปราคาต่อวัน 8.5 – 13 ยูโร ถ้าแบบซาเล้ง 25 ยูโร ค่าประกันอีกหลายตังอยู่ เบ็ดเสร็จจ่ายไป 55 ยูโร ถือว่าแพงเอาเรื่องเลย แต่เอาน่ะไม่ได้เช่าทุกวัน สักครั้งในชีวิตขอลองหน่อยก็แล้วกัน
คนที่นี่เค้าปั่นจักรยานกันเร็วมาก เวลาเดินอยู่บีฟุตบาทก็ต้องคอยระวังให้ดีว่าไม่ได้ไปเดินอยู่บนเลนจักรยานนะ แม้กระทั่งตามแยกเค้ายังมีไฟแดงไฟเขียวให้สำหรับจักรยานโดยเฉพาะเลย
9.) สำหรับการใช้อินเตอร์เนต
เดี๋ยวนี้ที่ดีที่สุดคือการเช่า Pocket Wifi ไปจากไทยครับ เจ้าใหญ่ที่สุดของไทย ก็ได้แก่ Global Wifi มีทั่วโลกเลย สามารถรับและคืนได้ที่สนามบินก็ได้ด้วย เค้ามีบูทที่ชั้น B ของสุวรรณภูมิครับ (แถวๆ ทางเข้า Airport Link) เวลาจะเดินทางก็ไปรับมาก่อน กลับมาก็แวะไปคืนแค่นั้นเองครับ สะดวกดี
ค่าเช่าคิดเป็นรายวัน ถ้าใช้หลายๆเครื่องก็คุ้มกว่าเปิดโรมมิ่งครับ สัญญาณ 3g รวดเร็วลื่นไหลดีครับ
สำหรับเนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยม ค่าเช่าจะอยู่ที่ 380 บาท/วัน
สำหรับราคาและรายละเอียดต่างๆ เข้าที่เว็บ : http://globalwifi-thai.com/
เอาล่ะ เกริ่นเรื่องการเตรียมตัวตั้งเยอะแล้ว มาเริ่มเดินทางเที่ยวกันเลยดีกว่า
ทริปนี้ผมอยากให้ครอบครัวนั่งสบายๆ เลยเลือกบินหรูหราสักหน่อย โดยเรานั่งชั้นธุรกิจของ EVA Air ไฟล์ทนี้บินตรงไม่ต้องแวะที่ไหน นั่งยาวลงที่อัมสเตอร์ดัมเลย
ใครสนใจก็ดูรีวิวนี้ได้เลยครับ รีวิวแชร์ประสบการณ์ Royal Laurel Class ชั้นธุรกิจ สายการบิน EVA Air บินตรง กรุงเทพ-อัมสเตอร์ดัม
เริ่มเล่าตั้งแต่เมืองแรกเลยนะครับ เมืองอัมสเตอร์ดัม Amsterdam ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์
ถ้าจะให้สักสามคำสำหรับเมืองนี้ หนึ่งในนั้นจะต้องมีคำว่าคูคลองแน่นอนครับ
ด้วยสภาพภูมิประเทศอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล จึงมีคลองน้ำรอบเมืองเพื่อป้องกันน้ำท่วม ชาวอัมสเตอร์ดัมจึงมีทั้งรถและเรือจอดอยู่ข้างบ้านเป็นปกติ
เวลาที่มีแสงส่องลงมา เงาในแม่น้ำจะสะท้อนสะพานเป็นแว่นตาเลยครับ
ลำคลองเหล่านี้ถือเป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์ของเมือง Amsterdam เลยครับ
เวลาผมสอนลูก ผมจะไม่ได้สอนให้ลูกอยู่ในเทพนิยาย แต่ผมจะสอนให้ลูกของผมเข้าใจโลก
ชีวิตของเราทุกคนมีทั้งดีและร้าย มีทั้งสุขและทุกข์ ไม่มีใครมีความสุขตลอดเวลา หรือทุกข์ตลอดไป
ยามสุขก็สะสมไว้ ยามทุกข์จะได้แบ่งมันออกมาใช้
ยามทุกข์ก็อดทนไว้ ยามสุขจะได้เรียนรู้คุณค่าของมันได้อย่างเต็มที่
ทุกข์บ้าง จะได้สุขเป็น
สุขบ้าง จะได้รู้คุณค่าของชีวิต
โบสถ์ Westerkerk โบสถ์ที่ใหญ่สุดในเมือง และบริเวณนี้ก็ยังเป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Fault in Our Stars ด้วย
ด้านหน้า RijksMuseum จะมีป้าย I amsterdam ซึ่งถือเป็น Signature ที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปด้วย
เข้าไปยืนถ่ายภาพตรงตัวอักษรเลย
ลูกเอ๋ย…
พ่อและแม่ไม่มีสมบัติจะมากองให้
ก็มีแต่การศึกษา และประสบการณ์บนโลกใบกว้างนี้เท่านี้แหละที่เตรียมไว้ให้
ให้หนูได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่อันแข็งแกร่ง
พ่ออยากให้หนูเข้าใจโลกทั้งด้านดีและด้านร้าย
ขอโทษที่พ่อปล่อยให้หนูลุกเองเมื่อหนูล้ม
เพียงเพราะความเจ็บปวดบางครั้งก็มีคุณค่าให้หนูได้เรียนรู้วิธีลุกขึ้นเอง
เมื่ออนาคตวันข้างหน้า ในวันที่พ่อไม่อยู่ หนูจะได้เข้มแข็งพอ และสอนหลานของพ่อให้เข้มแข็งเช่นกัน
Dam Square ตรงนี้เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญๆอย่าง Royal Palace (Koninklijk Palace) กับโบสถ์ Nieuwe Kerk ช่วงที่ไปมีงานวัดมาจัดเต็มพื้นที่เลยครับ กลายเป็นสวนสนุกย่อมๆไปเลย
ข้ามถนนมาจะเป็น National Monument สร้างเพื่อระลึกถึงเหยื่อผู้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2
แถวนี้จะมีนกพิราบเยอะมากครับ แถมนกที่นี่เชื่องมาก ไม่ค่อยจะมีความเกรงใจมนุษย์บ้างเลย…
ด้านหลังของ Royal Palace เป็นห้างชื่อ Magna Plaza ตัวอาคารสวยงามดีครับ
ถนนคนเดิน Kalverstraat เป็นถนนสายช้อปปิ้งเส้นยาวมาก เดินกันได้ทั้งวันครับ
เราเดินเลียดถนน Dam Rak ถนนสำคัญอีกสายที่เชื่อมระหว่าง Dam Square กับ Amsterdam Central Station มีเรือจอดรอผู้โดยสารที่สนใจล่องเรือชมเมืองอัมสเตอร์ดัม
Amsterdam Central Station สถานีรถไฟที่เป็นเหมือนศูนย์กลางในการเดินทางของเมืองนี้
Bloemenmarkt (Floating Flower Market) ตลาดดอกไม้ ถือเป็นอีกจุดที่ได้รับความนิยมในการมาเดินเล่น
จะมีดอกไม้ขายเยอะมาก ส่วนใหญ่จะออกเป็นแนวเมล็ดพันธุ์ให้ไปปลูกเองซะส่วนใหญ่ ที่อเมสซิ่งจิงกาเบล น่าจะเป็นต้นกัญชาก็มีจำหน่ายอย่างถูกต้องตามกฏหมายด้วยแฮะ
จัตุรัส Rembrandtplein กับรูปปั้นเหล่าทหารยามนับสิบตัว
ตอนที่ไปเยือน Amsterdam ครอบครัวเรามีเพื่อนคนไทยเจ้าถิ่นที่อยู่อาศัยเมืองนี้มาเกือบ 20 ปี มาต้อนรับเรา พามาทานร้านแพนเค้กในตำนานครับ
ร้านนี้ชื่อว่า Pannenkoekenhuis Upstairs เป็นร้านเล็กๆมีประมาณ 4 โต๊ะ แต่คนรอกินเป็นร้อยครับ
แพนเค้กเค้าอร่อยมากอ่ะ แป้งเหนียวนุ่มชุ่มลิ้นดีแท้ เราสามารถเลือกหน้ามาทานได้ด้วยนะ ทั้งกล้วย, สตอเบอร์รี่, ช็อกโกแลต
และของอร่อยที่อัมสเตอร์ดัมอีกอย่างก็คือ เฟรนฟรายครับ เรามีสองร้านที่อร่อยมาแนะนำ ร้านแรก ชื่อว่า Vleminckx Sausmeesters พิกัด
กับร้าน Manneken Pis (โลโก้เด็กฉี่) สรุปแล้วอร่อยทั้งสองร้านนะ แต่ผมว่าตราเด็กฉี่ชนะนิดๆครับ
ใครมาถึงเนเธอร์แลนด์อย่าลืมซื้อ Lego ครับ ราคาถูกกว่าบ้านเราพอสมควรเลย ร้านที่แนะนำได้แก่ Intertoy ครับ
เจ้าหนูน้อยทั้งสองได้ไปคนละ Set ดีใจกันใหญ่เลย
เมืองต่อมาที่เราเที่ยวคือ Volendam ครับ เป็นเมืองท่าเรือที่น่ารักมาแห่งหนึ่ง แต่โชคไม่ดี เจอฝนเข้าให้เต็มๆครับ เลยไม่ค่อยจะมีภาพสวยๆมาอวดมากนัก
เจอฝนเข้าไปแบบนี้ เดินข้างนอกไม่ได้ เลยแวะถ่ายภาพแบบจัดเต็ม แปลงร่างเปลี่ยนชุดให้เป็นคนเนเธอร์แลนด์โบราณเสียเลย
ค่าถ่ายภาพ : สำหรับ 4 คน 26.5 ยูโร ได้ภาพกลับบ้านด้วย 1 ใบใหญ่หรือ 4 ใบเล็ก เลือกได้
Zaanse Schans หมู่บ้านกังหันลม และเช่นเดิม ไม่มีแสงแดดหรือฟ้าครามให้ชมนะครับ ฟ้าขาวสลับฝนล้วนๆ
รองเท้าไม้เป็นอีกสัญลักษณ์ของคนที่นี่ครับ มีเยอะจริงๆ มีให้ถ่ายภาพเกือบทุกที่ และก็เป็นสินค้าที่ระลึกอันดับต้นๆของ Netherland เลย
เก็บภาพครอบครัวเสียหน่อย น่ารักมั้ย…
ถึงอากาศจะไม่ค่อยดี พระอาทิตย์ไม่ออกมาทำงาน แต่เราก็ยังยิ้มและมีความสุขได้จ้า
เมืองเฮก The Hague (Den Haag) เป็นเมืองศูนย์รวมราชการของประเทศ Netherland ครับ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของศาลโลกด้วยนะ ในภาพคือ Peace Palace ครับ
อีกมุมมหาชนของเมืองเฮก คือ Binnenhof หรือ ทำเนียบรัฐบาลของเนเธอร์แลนด์ครับ
ด้านในมีจัตุรัสสวยๆให้เดินเล่นด้วยนะ
มายุโรปช่วงเดือน ต.ค. เจอทั้งฝน ฟ้าขาว ไม่มีแสงแดด แต่ก็จะได้ใบไม้สีสันสวยงามในช่วงฤดู Autumn นี่แหละเป็นสิ่งปลอบใจ
มาเที่ยวเมือง Delft กันต่อนะ เริ่มจากจุดแรกเลย The Eastern Gate (“Oostpoort”)
จัตุรัสของเมืองกับ City Hall สวยๆ
อาตี๋กายกับแอคชั่นกระโดด ด้านหลังคือ Nieuwe Church ครับ เคยชมรีวิวมา ด้านบนหอคอยมีวิวเมืองจากมุมสูงที่สวยงามมาก ตอนแรกวางแผนมาจะขึ้นไปชมนะ แต่พอเห็นความสูงแล้ว ประกอบกับอาการล้าจากการปั่นจักรยานมา เลยคิดว่าเปลี่ยนใจดีกว่า กลัวขาจะเดี้ยง ยังมีอีกหลายวันที่ต้องเดินอีกเยอะ แต่ถ้าใครแข็งแรง เชียร์ให้ขึ้นนะครับ
จัตุรัสกลางเมือง Delft ชิลด์ดีครับ แวะนั่งทานข้าวซะเลย เพลินๆ
หนุ่มน้อยคนนี้นับวันจะโพสท่าถ่ายภาพเก่งขึ้นทุกวันๆ
ปิดท้ายวันด้วยการเดินทางเล่นที่เมือง Rotterdam ครับ เราพักกันที่นี่ 1 คืน ที่พักก็อยู่กลางเมืองเลย ถือโอกาสเดินเล่นเมืองเสียหน่อย
โบสถ์ Laurenskerk เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโปรแตสแตน สร้างด้วยไม้อายุหลายร้อยปี
ถนนคนเดิน Hoogstraat มีร้านค้าและของขายเพียบครับ
ร้านที่ของถูกๆเลยชื่อร้าน Xenos ครับ
ปกติของที่ร้านอื่นจะราคาแพงกว่าเมืองไทยนะ แต่ของร้านนี้แหละที่เค้าตั้งราคาไว้แบบน่าซื้อมาก
ดู Snickers แพค 5 ชิ้น ราคา 1 ยูโร 40 บาท คือตกชิ้นละ 8 บาท แหม… ถูกดีจริง
ส่วน Landmark ของ Rotterdam อีกแห่งคือห้างใหม่อย่าง Markthal ตกกลางคืนจะเปิดไฟสีสันสวยงามมากเลย ด้านในเป็นตลาดอาหารนะครับ
ออกจาก Netherland ข้ามพรมแดนมุ่งหน้าสู่ประเทศเบลเยี่ยม Belgium เราเริ่มต้นเที่ยวกันที่เมือง Antwerp ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศนี้
สำหรับคนที่มาเที่ยวเมือง Antwerp จะต้องมาชมสถานีรถไฟของที่นี่ครับ ตกแต่งสวยงามหรูหรามาก
เค้าว่ากันว่าที่นี่ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสถานีรถไฟที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปเลยทีเดียว
จากสถานีรถไฟเดินเล่นตลอดทางกับถนน Meir มีร้านรวงขายของเต็มไปหมด แล้วอย่าลืมมาถ่ายภาพกับฝ่ามือตรงนี้นะครับ
มาถึงเบลเยี่ยมแล้ว ต้องชิมช็อกโกแลตนะครับ อร่อยมากจริงๆ
มีการทำเป็นรูปต่างๆให้ดูน่าสนใจด้วยครับ
กล่องนี้ซื้อจากร้าน Leonidas ราคากล่องละ 6 ยูโร คือแบบว่าดีงามอ่ะ อร่อย
ใครชอบดื่ม Hot Chocolate ก็เจ้มจ้นมากๆ อย่าลืมใส่วิปครีมนะ ที่นี่วิปอร่อยเวอร์
เดินเล่นมาเรื่อยๆก็จะเจอกับ Church of Our Lady Antwerp ครับ
เด็กๆบ้านนี้แข็งแรงมากๆ เดินเท่าไหร่ไม่มีบ่น เวลาผู้ใหญ่นั่งพัก ก็ไม่พักนะ ไปวิ่งเล่นเก็บใบไม้แดงเล่นซะงั้น พลังล้นเหลือจริงๆ
เราลงใต้ไปอีกหน่อยกับเมืองเก็นต์ Ghent ครับ
จุดที่เป็นศุนย์รวมที่เที่ยวสวยๆเลยก็คือ St Michael’s Bridge มองไปด้านหลังคือ Sint-Niklaaskerk ครับ
ริมแม่น้ำ Leie กับโบสถ์ Sint-Michielskerk
เดินเล่นตรงนี้เพลินมากครับ ยิ่งช่วงค่ำๆนี่สวยงามมากครับ
บ้านตรงนี้เรียกว่า Graslei ซึ่งเป็นหนึ่งในมุมมหาชนยอดนิยมของเก็นต์ Ghent
แม่น้ำสะท้อนเงาอาคารสวยๆขึ้นมาอย่างงดงามสุดๆ
สวยมากอ่ะ บอกเลย
มาเที่ยวที่เมืองมรดกโลกอย่างเมืองบรูกส์ Brugge กันต่อ ตรงจัตุรัสของเมือง ชม Belfry of Bruges สวยงาม อลังการมากๆ
โค้งน้ำมุมมหาชนของ Brugge
กิจกรรมยอดฮิตของที่นี่คือการล่องเรือชมคลอง
ราคา ผู้ใหญ่ 8 ยูโร เด็ก 4 ยูโร
บ้านเมืองสวยงามก็ฟินกันไปทั้งครอบครัว
แวะชิมช็อกโกแลตร้าน Olivier’s Chocolate Shop&Bar ร้านนี้อันดับ 1 ของ Tripadvisor เลย
มาเที่ยวเมืองบรัสเซลส์ Brussel เมืองหลวงของ Belgium กันต่อ
ที่ยอดฮิตอันดับ 1 ของเมืองนี้ก็คือ จัตุรัส Grand Place รายล้อมด้วยเหล่าอาคารเก่าอันสวยงามและกลมกลืนกันทางสถาปัตยกรรม และถือว่าเป็นจัตุรัสที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ที่นี่สวยมากๆครับ สุดยอด
Galerie de la Reine เรียงรายด้วยร้านค้าขายของเพียบ
St Michael and St Gudula Cathedral กับใบไม้สีสวยๆในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
ด้านในสวยมากอ่ะ
National Basilica of the Sacred Heart in Koekelberg อันนี้ไม่ได้ลงไปดูนะครับ แค่ขับรถผ่านครับ
มาถึงเบลเยี่ยมอีกอย่างที่ต้องชิมคือ Waffle นะ มีทั้งร้านถูกและแพง บางทีร้านแพงๆก็ไม่ได้ว่าอร่อยนะ อย่างร้านนี้ Waffle ชิ้นละ 1 ยูโร เครื่องอย่างละ 0.8 ยูโร
อร่อยใช้ได้เลยหละ
ที่บรัสเซลส์ Brussel มีรูปปั้นเด็กยืนฉี่ชื่อว่า Mannekin Pis ปกติจะมีเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นชุดต่างๆนะ แต่ตอนผมไปแก้ผ้าอยู่ซะงั้น
น้องกายบอกว่ายืนฉี่แบบนี้ หนูก็ทำได้ ไม่เห็นยากเลย ทะเล้นจริงๆ เด็กน้อย 5555
มุ่งหน้าลงใต้ของ Belgium ไปที่เมือง Dinant เมืองนี้สวยงามมาก แต่เสียดายที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยสักเท่าไหร่
เมืองนี้มีประวัติศาสตร์การสู้รบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ครับ โดยฝ่ายตั้งรับคือ ทหารเบลเยี่ยมและฝรั่งเศสช่วยกันต่อต้านทหารเยอรมัน
บนสะพานกลางเมืองจะมีแซกโซฟอนสีสันสวยงามตั้งตกแต่งไว้ด้วย
ที่ริมน้ำก็มีรูปปั้นของท่าน Charles de Gaulle นายทหารและรัฐบุรุษชาวฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเป็นที่รู้จักในนาม นายพลเดอ โกล
ด้านในของโบสถ์ Notre-Dame of Dinant
มาเมืองนี้ให้ขึ้นไปชมป้อม Citadelle de Dinant มีประวัติศาสตร์การต่อสู้ในสงครามครั้งที่ 1 ให้ชมเพียบนะครับ
ในภาพเด็กๆสนุกกับการยิงปืนใหญ่โบราณใส่มะม้า 555
พวกเราย้อนขึ้นมา Netherland อีกครั้ง โดยแวะเมืองสองประเทศอย่าง Baarle-Nassau และ Baarle-Hertog
ความพิเศษของเมืองนี้ คือเป็นเมืองที่มีเส้นเขตแดนแบ่งระหว่างประเทศเนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยม (ตัว B คือแดนเบลเยี่ยม และ NL คือแดนเนเธอร์แลนด์) โดยเส้นแบ่งเขตนี้ผ่าเข้าไปกลางเมือง บางทีก็ผ่าเข้าไปกลางบ้าน บางทีก็ผ่าเข้าไปกลางห้างสรรพสินค้า โดยที่ผู้คนที่นี่ก็ใช้ชีวิตไปอย่างปกติ (แต่คนนอกอย่างเรางงไปเลย)
ทีนี้ความสนุกก็คือ เราสามารถเดินข้ามประเทศไปมาได้วันละหลายๆรอบ หรือจะกระโดดข้ามประเทศ หรือจะจูบข้ามประเทศแบบผมก็ยังได้ เก๋มั้ยหละ…
เส้นพรมแดนผ่ากลางบ้านเลยครับ ยังงงอยู่ว่าตกลงบ้านนี้อยู่ประเทศไหนเนี่ย
ช่วงปลายๆทริป ผมปวดขาสุดๆ ยกขาใส่ถุงเท้าเองไม่ได้
บ่นแค่นี้ ลูกสาวเดินมาหยิบถุงเท้าใส่ให้เลยอ่ะ น้ำตาจิไหล น่ารักมากเลย สาวน้อยของพ่อ
เมืองสุดท้ายที่จะเที่ยวกันคือเมืองอูเทร็คท์ Utrecht
เมืองอูเทร็คท์ Utrecht เป็นเมืองขึ้นชื่อเรื่องการศึกษาครับ มีมหาวิทยาลัยชื่อดังตั้งอยู่ ทำให้เมืองนี้มีประชากรที่เป็นนักศึกษาอยู่ไม่น้อย กลางเมืองมี Dom Tower ตั้งสูงเป็นสง่าอยู่
ข้างๆกันเป็นวิหาร St Martin’s Cathedral
มีสวนสวยๆข้างวิหารด้วยนะครับ
ใกล้ๆกับเมือง Utrecht ผมแวะเที่ยวปราสาท Castle de Haar
ค่าเข้าชม : เฉพาะชมสวน ผู้ใหญ่ 4 ยูโร เด็ก 3 ยูโร ถ้าชมด้านในด้วย 14 ยูโร
เว็บไซค์ : http://www.kasteeldehaar.nl/english-version/
ด้านในใหญ่โตมากครับ ผมแค่เดินรอบนอก ไม่ได้เข้าไปชมด้านในยังใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆเลย
ด้านใหญ่สวยงามสุด ยิ่งใหญ่อลังการมากๆ
ผมได้สัญญากับภรรยาไว้ว่าจะพาเธอไปอุ้มทั่วทุกหนทุกแห่งบนโลกอันสวยงามใบนี้ และครั้งนี้ก็เป็นการอุ้มอีกครั้งที่แสนประทับใจครับ
ปราสาทดูสวยงามและน่าเกรงขาม
มีสวนกวางด้วยนะ เจ้าของปราสาทนี่อย่างรวยเลยครับ
เที่ยวที่สุดท้ายแล้วละ ต้องกลับบ้านแล้ว ถือเป็นอีกทริปที่แม้จะมีอุปสรรคเรื่องอากาศบ้าง แต่ทริปเนเธอร์แลนด์-เบลเนี่ยมก็จะคงอยู่ในความทรงจำไปอีกนานแสนนาน
ตลอด 11 วัน ผมมีเรื่องเล่ามากมาย แต่คงไม่สามารถเล่าจบได้ในตอนเดียว ไว้ติดตามรายละเอียดต่างๆของทริปในตอนต่อไปนะครับ
ปล.หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share
หรืออยากใกล้ชิดกันมากขึ้น แอด Line มาได้เลย มีรีวิวใหม่จะส่งไปบอก อยากคุยกับแอดมิน Line มาคุยเลยจ้า ID : @2Madames กดตรงนี้ก็ได้
หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป