ผมฝันไว้หลายปีแล้วว่าสักครั้งในชีวิต อยากจะพาครอบครัวไปท่องเที่ยวไปยังประเทศที่มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามระดับโลกอย่างประเทศ New Zealand ยิ่งได้รู้ว่าประเทศนิวซีแลนด์นั้นเป็นต้นแบบของการขับรถบ้านท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในโลกด้วยแล้ว ผมจึงไม่ลังเลที่จะเลือกขับรถบ้าน (Campervan) เป็นยานพาหนะและเป็นที่พัก ห้องน้ำ ห้องครัวของครอบครัวเราตลอดการเดินทางด้วย รถบ้านด้านในเป็นยังไง คันใหญ่มั้ย ขับยากหรือเปล่า ชาร์ตแบตรถยังไง เติมน้ำถ่ายน้ำตรงไหน ตกลงเที่ยวแบบนี้มันถูกไม่ถูก ดีไม่ดีอย่างไร มีอะไรต้องเตรียมตัวก่อนมาขับรถบ้านเที่ยวบ้าง เที่ยวแบบนี้ชิลด์แค่ไหน ตามมารับชมรีวิวกันครับ
แผนการเดินทาง 16 วัน ตะลุยเกาะเหนือยันเกาะใต้ New Zealand ระยะทางโดย Google ประมาณ 2,600 กม. แต่ผมขับจริงรวมแวะนั่นแวะนี่และหลงทาง กว่า 3,000 กม.ครับ
5 พ.ค. – ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยสายการบิน JetStar
6 พ.ค. – เปลี่ยนเครื่องที่ Melbourne International Airport แล้วบินต่อไปลง Auckland Airport
7 พ.ค. – รับรถบ้านแล้วเดินทางลงใต้ เที่ยวฟาร์มแกะ Agrodome นอนที่เมือง Rotorua
8 พ.ค. – แวะทักทายนกกีวี่ Kiwi ที่ Rainbow Springs Natural Park แล้วแวะชม Government Gardens ของเมือง Rotorua แล้วเดินทางต่อไปยังเมือง Taupo แวะชมน้ำตก Huka Falls
9 พ.ค. – เดินทางไปยังเมืองหลวง Wellington เที่ยวพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ Te Papa Tongarewa
10 พ.ค. – ข้ามเรือ Ferry ของบริษัท BlueBridge จากเกาะเหนือไปเกาะใต้ ลงท่าเรือที่ Picton แล้วแวะไปกินหอยแมลงภู่ที่ร้านดัง The Mussel Pot ประจำเมือง Havelock ผ่านชิมไวน์ย่าน Marlborough ที่ The Vines Village แวะทักทายแมวน้ำบนโขดหินที่ Kaikoura
11 พ.ค. – ลงเรือ Whale Watch ไปชมปลาวาฬหัวทุย และปลาโลมาตัวเป็นๆ แวะกิน Fish & Chips ร้านดัง แล้วมุ่งหน้าไป Akaroa
12 พ.ค. – เดินทางไปยังเมือง Akaroa เดินเล่นในเมือง
13 พ.ค. – เที่ยวฟาร์มอัลปาก้า Shamarra Alpacas ออกเดินทางไป West Coast
14. พ.ค. – แวะชิมพายร้านดัง The Famous Sheffield Pie Shop ขับรถผ่าน Castle Hill, Arthur Pass ถนนลอยฟ้า Otira Via-duct เที่ยวเมือง Hokitika
15 พ.ค. – มุ่งหน้าสู่เมือง Fox Glacier เที่ยวธารน้ำแข็ง ชมทะเลสาบกระจก Lake Matheson Reflection Island
16 พ.ค. – ชมทะเลสาบ Lake Hawea เที่ยว Puzzling World นั่งชิลด์ริมทะเลสาบ Wanaka Lake ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เมือง Arrowtown
17 พ.ค. – ขึ้น Queenstown Skyline Gondola & Luge เดินเล่นในเมือง มุ่งหน้า Mt.Cook แวะซื้อผลไม้ร้าน Jones‘s Fruit Stall ที่เมือง Cromwell
18 พ.ค. – มุ่งหน้าไปขึ้น Helicopter ที่ Mt.Cook ชมวิว Lake Tekapo บน Mt John Observatory ถ่ายภาพกับ Church of the Good Shepherd
19 พ.ค. – เก็บตกเมือง Christchurch กับผลกระทบหลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ นั่งเครื่องบินสายการบิน Emirate ไป Sydney เพื่อเปลี่ยนเครื่อง
20 พ.ค. – นั่ง Air Asia X จาก Sydney กลับถึงประเทศไทย
การเตรียมตัวก่อนเดินทางไป New Zealand
1.) วีซ่า ต้องเตรียมหลักฐานและยื่นวีซ่าผ่านตัวแทน ผู้ใหญ่เป็นกลุ่มคนละ 2,300 บาท ค่าธรรมเนียมยื่นผ่านตัวแทน 800 บาท เด็กๆยื่นเป็นครอบครัวพร้อมพ่อแม่ได้ ดูรายละเอียดการเตรียมเอกสารและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.ttsnzvisa.com/th-en/Home
2.) การใช้ไฟฟ้าและหัวปลั๊ก กระแสไฟฟ้าเหมือนไทยครับ แต่หัวปล๊กไม่เหมือนกัน ต้องพก International Adapter ไปด้วยนะครับ
3.) ค่าเงิน 1 NZD = 25.25 บาท (พ.ค. 58) เช็คอัตราแลกเปลี่ยน http://superrichthai.com/exchange.aspx
4.) เวลา เร็วกว่าไทย 5 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น เมืองไทย 6:00 น. ที่นิวซีแลนด์จะเท่ากับ 11:00 น.
5.) อาหารและเสบียง
ทริปนี้ครอบครัวเราต้องกินอยู่บนรถบ้าน Campervan หลายวัน จึงเตรียมเสบียงไปเยอะสุดๆ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องแกงซองและพวกซีอิ๊ว น้ำปลา พริกป่น ที่หาซื้อที่นั่นไม่ได้ครับ ส่วนพวกเนื้อสัตว์ ของสด ค่อยไปซื้อตาม Supermarket ที่นั่นอีกทีครับ สำหรับครอบครัวที่มีน้องๆที่ดื่มนมจากแก้วได้แล้ว ถ้าอยากประหยัดน้ำหนักกระเป๋าก็ไปซื้อนมที่นั่นทานก็ได้ น้องเกรซน้องกายบอกว่านมสดที่นั่นอร่อย ราคาแพงกว่าเล็กน้อย ส่วนที่จะแนะนำให้เอาไปด้วยคือ พวกชามะนาวซองผงสำเร็จรูป พกไปชงดื่มที่นั่น ฟินมากๆครับ
ที่ New Zealand มีกฎระเบียบเรื่องการห้ามนำเนื้อสัตว์ พืช ผักผลไม้ เข้าประเทศครับ แต่พวกเครื่องแกง อาหารแห้งเข้าได้ครับ แต่ต้องเข้าช่องสีแดง Declare ให้เรียบร้อย ถ้าจัดอาหารรวมไว้ที่กระเป๋าเพียงใบเดียวได้ก็จะยิ่งดีง่ายต่อการตรวจ แนะนำให้ทำใบ Food List ไปด้วยนะครับ ห้ามเสี่ยงเข้าช่องเขียวนะ เสี่ยงโดนปรับสูงมาก ให้เค้าตรวจแต่โดยดี อะไรไม่ได้ก็แค่ทิ้งไป ที่เห็นทั้งหมดในรูปผ่านหมดครับ ง่ายดายกว่าที่ Sydney มากๆ
6.) อากาศ
นิวซีแลนด์ ประกอบด้วย 4 ฤดูกาล ได้แก่
ฤดูร้อน ธันวาคม – กุมภาพันธ์ อากาศร้อน พระอาทิตย์ตกดึก มีเวลาเที่ยวกลางวันเยอะ ถือเป็นช่วงเวลาพีคสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวนิวซีแลนด์ และราคาที่พัก รถเช่า ทุกสิ่งอย่างก็แพงและจองยากไปพร้อมๆกันด้วย
ฤดูใบไม้ร่วง มีนาคม – พฤษภาคม ครอบครัวเราไปช่วงฤดูนี้ครับ อากาศจะเริ่มเย็นลง เกาะเหนือเช้าๆค่ำๆก็จะลงมาเหลือเลขตัวเดียวปลายๆ 8-9 องศา กลางวันก็กำลังดี 17-21 องศา แต่เกาะใต้นี่หนาวเลยครับ ต่ำใกล้ๆ 0 องศาไปหลายวัน พระอาทิตย์จะเริ่มตกเร็วขึ้น ใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีไปเป็นสีแดง สวยงามไปอีกแบบ ข้อดีคือ พ้นฤดูท่องเที่ยวไปแล้ว ที่พัก รถเช่าจะจองง่ายและราคาประหยัดลง
ฤดูหนาว มิถุนายน – สิงหาคม อากาศหนาวจัด มีหิมะตก เวลาขับรถต้องเตรียมโซ่ไว้มัดล้อกันลื่น เป็นช่วงที่เข้าน่า Low ของที่นั่น ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในการท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ แต่อาจจะดีสำหรับการเล่นสกีและหิมะครับ
ฤดูใบไม้ผลิ กันยายน – พฤศจิกายน อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น อุณหภูมิใกล้เคียงกับฤดูใบไม้ร่วง ตามสถานที่ท่องเที่ยวคนก็จะไม่เยอะเท่าหน้าร้อน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภูมิประเทศของที่ New Zealand เป็นเกาะ จึงมีฝนตลอดปี ควรพกร่ม เสื้อกันฝนไว้ด้วย ช่วงวันแรกๆและกลางๆทริป ผมโดนพิษฝนถล่ม ตกมาทั้งวันทั้งคืนติดๆกันหลายวัน ทำเอาแผนเที่ยวกระทบไปเยอะมาก ต้องคอยเช็คพยากรณ์อากาศผ่านเว็บตลอด แล้วปรับแผนหน้างานเอาครับ เอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ
7.) การใช้โทรศัพท์และอินเตอร์เนต
สำหรับการใช้อินเตอร์เนตข้ามแดนและการเปิดโรมมิ่ง ทริปนี้ผมเตรียมตัวไปจากเมืองไทยเพราะไม่อยากไปวุ่นวายหาซื้อ Local SIM หรือวิ่งหา WiFi Free ที่โน่น เดี๋ยวจะไม่ทันได้รายงานสด ผมเลยซื้อ SIM2FLY ของ AIS 1 2 Call มาเพื่อเปิดโรมมิ่ง โดยมีแพกเกจอินเตอร์เน็ตให้เลือกตามต้องการ โดยที่เราไม่ต้องกังวลเรื่องเน็ตรั่ว นอกจากนี้การโทรโรมมิ่งก็ไม่แพงครับ แค่นาทีละประมาณ 25 บาท รายละเอียดเพิ่มเติม : http://www.ais.co.th/roaming/sim2fly/
อีกทางเลือกของการใช้อินเตอร์เนตในต่างแดน คือ เช่า Pocket Wifi ครับ ทริปนี้ใช้ของ Global Wifi ใครสนใจก็ดูรายละเอียดที่ได้นี่เลยครับ http://globalwifi-thai.com/
8.) Application ช่วยหา Campsite
สำหรับใครที่ขับรถบ้านเที่ยวแบบผม แนะนำให้โหลดแอพ Britz NZ Roadtrip มันจะจับตำแหน่ง GPS เราว่าเราอยู่ตรงไหน แล้วใกล้ๆเรามี Campsite หรือ Supermarket ให้ดู สมมุติว่าวันนี้เย็นแล้ว อยากหา Supermarket หรือที่พัก เปิดแอพดูเลย มีรีวิวให้อ่านก่อนตัดสินใจด้วย ดีงามมากๆจ้า
Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=nz.co.britz
Ios : https://itunes.apple.com/us/app/britz-nz-roadtrip/id906468182?mt=8
ปล. รถบ้าน Campervan ไม่สามารถจอดนอนตรงไหนตามใจนะครับ มันไม่ปลอดภัย และผิดกฎหมาย เราต้องไปนอนตาม Campsite ต่างๆ โดยอาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังในส่วนต่อไปครับ
9.) การขับรถและใบขับขี่สากล
นิวซีแลนด์ขับพวงมาลัยขวาเหมือนประเทศไทย การขับขี่จึงไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่ ใบขับขี่สามารถใช้ของประเทศไทยรุ่นที่มีภาษาอังกฤษได้เลย หรือถ้าใครมี International Driver License พกไปด้วยก็ดีครับ
สิ่งที่ต้องระวังมากๆ คือ
– Speed Limit ของที่นั่นค่อนข้างเข้มงวดมาก ในเมืองขับได้ไม่เกิน 50 km/h ชานเมือง 70 km/h นอกเมือง 100 km/h กล้องจับความเร็วเยอะมาก ไม่ควรเกินเด็ดขาด ไม่งั้นอาจจะเจอ Ticket หรือใบสั่งค่าปรับแพงมากๆ
– ผู้ใหญ่ต้องขัดเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลา เช่นเดียวกับเด็กๆ หากอายุต่ำกว่า 7 ปี ต้องนั่งอยู่บน Car Seat นะครับ ห้ามใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่รถ ยกเว้นพวก Bluetooth อนุญาตได้
– สะพานเลนเดียว มีเยอะมากๆ มันจะมีทางหลัก กับทางรอง ทางรองต้องหยุดให้รถจากทางหลักข้ามก่อนเสมอ
– วงเวียนเยอะมาก ต้องให้ทางรถจากวงเวียนไปก่อน
– เลี้ยวซ้ายต้องรถสัญญาณไฟนะ ไม่ผ่านตลอด
– รถใหญ่อย่างรถบ้าน Campervan ต้องขับชิดเลนซ้ายตลอด อีกอย่างรถบ้านคันมันจะใหญ่และยาวกว่ารถเก๋งพอสมควร เวลาเลี้ยวให้ชะลอความเร็วนะครับ ผมมีช่วงขับรถบนเขา มีโค้งไปกินเลนตรงข้ามนิดเดียว โดนรถคันอื่น Report มีรถตำรวจตามมาแจกใบสั่งเลย ค่าปรับตั้ง 150 เหรียญแน่ะ แพงมาก น้ำตาจิไหล
10.) รถบ้าน Campervan
รถบ้านที่ New Zealand มีหลายแบรนด์ให้เลือกอยู่ครับ เอาเจ้าใหญ่ๆหลักๆจะเป็นยี่ห้อ Kea, Maui, Britz โดยทั้งสามเจ้านี้เจ้าของเดียวกันครับ แยกแบรนด์ไปตามความใหม่ของรถ Kea รถจะใหม่สุด ออฟชั่นรถล่าสุด แต่ก็มากับราคาที่แพงสุดด้วย ส่วน Maui จะกลางๆครับ ความใหม่ปานกลาง ราคาปานกลาง ส่วนผมเลือก Britz เหตุผลง่ายๆเลยคือมันถูกสุดครับ รถอายุประมาณ 4 ปี ด้านในรถก็มีเก่าไปบ้าง แต่ก็เครื่องยนต์โอเคเลยครับ ขับทางไกลๆตลอดทริปตั้งสามพันกิโล ไม่มีอาการงอแงแม้แต่น้อย วิ่งฉิวมากๆ เลือกตามกำลังในกระเป๋าดูเอานะครับ โดยรวมผมขับ Britz ไม่แย่เลย ดีเลยแหละ
เว็บจองรถ Britz : http://www.britz.co.nz/
รถ 4 คน รุ่น Explorer (เกียร์ Auto) ราคาเช่าฤดูกาลท่องเที่ยว (เดือน ธ.ค.-ก.พ.) วันละ 92 เหรียญ ถ้าฤดูกาลอื่นจะมีลดไป 25% เหลือวันละ 69 เหรียญ ฤดูหนาวอาจจะลดถึง 40% แล้วแต่โปรโมชั่น
แต่รุ่นที่ผมขับเป็นรุ่น แบบ 6 คนนะครับ Frontier (เกียร์ Auto) ราคาเช่าฤดูกาลท่องเที่ยว (เดือน ธ.ค.-ก.พ.) วันละ 107 เหรียญ ถ้าฤดูกาลอื่นจะมีลดไป 25% เหลือวันละ 80.25 เหรียญ ฤดูหนาวอาจจะลดถึง 40% แล้วแต่โปรโมชั่น
ราคานี้เฉพาะค่าเช่ารถนะครับ พวก GPS, Car Seat โต๊ะเก้าอี้ Picnic ต่างๆ ต้องเช่าแยกต่างหากนะครับ
ฟังราคาแล้วอาจจะรู้สึกว่าไม่ถูก แต่ที่จริงมันต้องไปถัวเฉลี่ยกับราคาที่พักที่อาจจะลดลงเพราะเช่าแค่ Campsite ไม่ต้องเช่าโรงแรมอีก โดยส่วนตัวคิดว่าการขับรถบ้านเที่ยวอาจจะไม่ใช่วิธีประหยัดแบบถูกที่สุด และก็ไม่ได้สบายที่สุดเพราะต้องมีงานประจำเกี่ยวกับรถเช่นเติมน้ำ ถ่ายของเสีย อาบน้ำห้องรวม
แต่ผมคิดว่าการขับรถบ้าน ถือเป็นวิธีการท่องเที่ยวที่จะให้ประสบการณ์เข้าถึงประเทศนิวซีแลนด์มากที่สุด เพราะอะไรยังไง เดี๋ยวจะค่อยๆเล่าให้ฟังต่อไปนะ
มาชมภายในรถบ้านที่จะเป็นทั้งยานพาหนะ, ที่หลับที่นอน, ห้องครัว, ห้องนั่งเล่น, ห้องน้ำ บนรถกันบ้างนะครับ
รถบ้านรุ่น Frontier ยี่ห้อ Mecedes Benz เครื่อง 2,200 ซีซี ใช้น้ำมันดีเซลครับ วงเลี้ยวดีมาก เห็นรถบ้านคันใหญ่ๆแบบนี้ เลี้ยวดีกว่ารถกะบะเมืองไทยบางยี่ห้ออีกครับ รวมๆแล้วขับไม่ยากเลย ด้านหน้าสุดนั่งได้ 2 ที่นั่งครับ
บริเวณตัวรถจะเป็นเคาน์เตอร์ครัวยาวๆ มีตู้เย็นและไมโครเวฟนะ เตาแก๊ส เครื่องดูดควันและตู้เย็นจะใช้งานได้ตลอด แต่ไมโครเวฟจะใช้ได้เฉพาะตอนที่เราเสียบปลั๊กรถบ้านที่ Power Campsite เท่านั้นครับ
ชุดครัวหลักจะมีเตาแก๊สมาให้ มีเครื่องปิ้งขนมปัง กาต้มน้ำร้อนแบบไฟฟ้า หม้อ กระทะ เครื่องครัว จานชามช้อนส้อมครบชุด มียันไปถึงแก้วไวน์เลยครับ
ส่วนห้องน้ำใช้เป็นทั้งที่ขับถ่าย และสามารถอาบน้ำได้ มีน้ำอุ่นด้วยนะ
ตรงกลางเป็นโซฟาและโต๊ะ นั่งได้ตรงนี้อีก 4 คน และโซฟาตรงนี้สามารถแปลงร่างเป็นเตียงได้ด้วย
ส่วนเหนือคนขับ จะมีอีกเตียง มาพร้อมบันไดใช้ในการขึ้นลง เวลาไม่ใช้บันไดก็เก็บเข้าไปในตู้ด้านซ้าย มีทีวีด้วยนะ แต่ไม่เคยเปิดเลยอ่ะ
อาณาจักรด้านบนนี้เป็นที่นอนของเด็กๆทั้งสองคนครับ ดูเด็กๆก็จะชอบที่นอนแบบนี้ด้วยสิ
มีเรื่องเล่าเล็กน้อย…
บางครั้งครอบครัวเราจะจอดรถพักทำอาหารทานมื้อกลางวันกัน ภรรยาผมจะเป็นคนจัดแจงทำอาหาร ส่วนผมพอเปิดถังแก๊สให้ภรรยาแล้วก็มีหน้าที่ดูแลเด็กๆ
ระหว่างที่รอภรรยาเตรียมอาหารอยู่นั้น ลูกๆจะมีเกมส์โปรด คือเกมส์ยักษ์กับลูกแมว กติกาเล่นง่ายๆครับ ผมเป็นยักษ์ เด็กๆเป็นลูกแมว ยักษ์จะคอยวิ่งไล่จับลูกแมว ส่วนลูกแมวจะสามารถไปหลบบนเตียงชั้นสองบนรถบ้านได้ ถือเป็นเขตปลอดภัย ความสนุกก็คือ ลูกแมวจะคอยมายั่วยักษ์ให้ตามไปจับตัวเอง พอตัวเองหลบทันก็จะหัวเราะเสียงดังชอบใจกันใหญ่
เกมส์แบบนี้ผู้ใหญ่แบบเราเล่นก็อาจจะไม่ได้สนุกสักเท่าไหร่หรอก แต่ก็แปลกผมกับภรรยากลับมีความสุขมากๆ เป็นความสุขจากเสียงหัวเราะและรอยยิ้มกว้างๆสุดมุมปากของเด็กๆแบบนี้
ความสุขแบบนี้มันเป็นความสุขที่อิ่มใจมากๆ บางครั้งก็ทำให้ชวนคิดไปว่า นี่หรือเปล่าที่อาจจะเป็นความสุขแท้จริงที่ใครต่อใครเฝ้าตามหากัน
ก็แปลกดีที่หลายครั้งความสุขแบบนี้ก็เป็นเรื่องหายากสำหรับบางคน หลายคนแม้จะร่ำรวยทรัพย์สินล้นฟ้าก็ยังหาความสุขแบบนี้ไม่เจอ ทั้งๆที่มันก็อยู่ใกล้ๆตัวเรานี่เอง
เรื่องแบบนี้บางครั้งก็เป็นเรื่องง่าย บางครั้งก็เป็นเรื่องยาก มันขึ้นอยู่กับตัวของคุณล้วนๆเลย
แต่เชื่อผมมั้ยว่าความสุขแบบนี้มันมักจะแอบซ่อนอยู่ใกล้ๆคนที่เรารักเสมอเลย ไม่เชื่อก็ลองไปหาดูสิ…
ส่วนด้านหลังจะเป็นโซฟาที่สามารถประกอบโต๊ะไว้ทานอาหาร หรือจะแปลงร่างเป็นเตียงนอนแบบนี้ก็ได้
การขับรถบ้านเที่ยวในนิวซีแลนด์มันค่อนข้างจะเป็นประสบการณ์ที่ดีมากครับ
เพราะอะไรน่ะหรอ ก็เพราะวิวทิวทัศน์สองข้างทางมันช่างสวยงาม บางครั้งเราจะเจอภูเขาสวยๆ
บางครั้งก็จะเจอทะเลสาบงามๆ
บางครั้งก็มาสองอย่างพร้อมกันเลยทั้งภูเขาและทะเลสาบ
เวลาเราเจอวิวสวยๆริมทะเลสาบ
เราก็สามารถจอดรถ Relax หรือจะทำอาหารทานกันเลยก็ได้
ขอบอกเลยว่ามาม่าริมทะเลสาบ เป็นมาม่าที่อร่อยที่สุดในสามสิบแปดโลกครับ 5555
ทานอาหารมื้อเที่ยงกับครอบครัวเรากันมั้ยครับ
อาหารมีอยู่อย่างเดียวคือ มักกะโรนีเบคอนกับกุ้งสด
อาหารไม่ได้แพงแต่แสนอร่อย เพราะเป็นฝีมือภรรยาที่รัก
วัตถุดิบก็แสนธรรมดา แต่รสชาติช่างวิเศษเพราะได้ร่วมโต๊ะกับคนที่เรารักและรักเรา
ทานเสร็จปล่อยเด็กๆวิ่งเล่น รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เป็นดั่งเสียงเพลงที่ช่างไพเราะจับหัวใจ
ต่อให้เอาอาหารชั้นเลิศจากภัตตาคารหรูมาแลก ผมก็จะขอเลือกทานมื้ออาหารแสนธรรมดานี้อย่างแน่นอน
มื้อนี้อร่อยสุดๆไปเลย
และถ้าคุณขับรถจนเริ่มเหนื่อย หรือว่าขับรถผ่านทะเลสาบสวยๆ แล้วเกิดอาการอยากจะนอนริมทะเลสาบตรงนี้แหละ เราขับรถบ้านมา มันย่อมทำได้สิ หา Campsite เหมาะๆจากแอพ แล้วก็จอดรถเลย
เอาโต๊ะเก้าอี้ออกมากาง จะทานอาหารกันริมทะเลสาบ
หรือจะจุดเทียน จิบไวน์กับภรรยาแบบนี้ มันก็สุดแสนจะโรแมนติกไปอีกแบบ
ค่ำๆเราก็เข้านอนไปพร้อมๆกับวิวแบบนี้
ตื่นมาพร้อมกับบรรยากาศดีๆ
ออกไปจิบกาแฟร้อนๆ ชมพระอาทิตย์ขึ้นริมทะเลสาบได้เลย (นาทีนั้นมันฟินมากครับ สวรรค์แท้ๆ)
ทานอาหารเช้าง่ายๆข้างๆรถ ทั้งหมดที่กล่าวมามันช่างเป็นประสบการณ์ในการท่องเที่ยวที่หาไม่ได้จากวิธีอื่น นอกจากเที่ยวแบบ Campervan
มากล่าวถึง Campsite ที่เราใช้จอดนอนกันบ้าง ตามที่เกริ่นไว้แล้วว่าในประเทศ New Zealand ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถตั้งแคมป์ หรือจอดรถบ้านนอนที่ไหนก็ได้นะ เราจะต้องจอดค้างคืนตามจุดที่เค้าอนุญาตเท่านั้น หลักๆจะมีทั้ง Powered site (มีไฟฟ้า), Non-Powered site (ไม่มีไฟฟ้า) จอดนอน Motel ห้องพักเล็กๆ หรือบางครั้งจะจอดตามจุดที่จัดไว้ให้ของ DOC (หน่วยงานของนิวซีแลนด์) ซึ่งจะมีราคาถูกแพงต่างกันไป
DOC Campsites จะถูกที่สุด ส่วนใหญ่ไม่มีไฟฟ้า บางครั้งจะมีห้องน้ำให้ ไม่มีบ้าง แต่วิวจะดี อยู่ท่ามกลางหุบเขาบ้าง ริมทะเลสาบบ้าง เรียกว่านอนท่ามกลางธรรมชาติสุดๆครับ
Campsites ของเอกชน จะมีห้องครัว ห้องทานข้าว ห้องน้ำมีน้ำอุ่น Facilities ต่างๆ เช่น ห้องนั่งเล่น, สนามเด็กเล่นให้ใช้ จุดถ่ายของเสีย จุดเติมน้ำเข้ารถ โดยจะมีให้เลือกระดับการเข้าพักอีกเช่น
Non-Powered sites ใช้ Facilities ต่างๆได้ แต่ไม่มีที่เสียบปลั๊ก
Powered Sites ใช้ Facilities ต่างๆได้ เสียบปลั๊กได้
หรือบางที่จะมีแบบบริการห้องพักเลยก็มี ราคาก็ไล่กันขึ้นมาครับ อยู่ที่ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกของสถานที่เค้าแค่ไหน
บาง Campsite ที่จอด Campervan ติดกับทุ่งหญ้ามีฝูงแกะเลยครับ ใครนอนไม่หลับก็ออกมานั่งนับแกะได้เลย 5555
Campsite ก็มีแบรนด์เหมือนกัน โดยจะมีมาตรฐานต่างๆกันไป ถ้าเอาแบบดี สะอาด มีมาตรฐานหน่อย ก็เลือกพวกค่าย Top 10, Family Park, Kiwi Park ราคาอาจจะแพงกว่าพวกบ้านๆ แต่ก็แลกมาด้วยความสะอาดและสิ่งอำนวยความสะดวกมาตรฐานครบครัน
จะขอหยิบภาพ Campsite ที่ดีๆหน่อยมาให้ชมนะครับ อย่างที่แพงที่สุดของ Top 10 คือมันดีจริงๆ แต่ราคาก็แพงสุดเลย คิดเป็นต่อหัว เด็กครึ่งราคาบ้าง เบ็ดเสร็จผมพัก 4 คนก็ตั้งแต่ 40-60 เหรียญต่อคืนครับ ถ้าเป็นค่าย Family Park กับ Kiwi ราคาก็เบาลงมาหน่อย แต่ผมว่าราคาถูกหรือแพงมันมีเหตุผลนะ เคยพักแบบค่ายอิสระคืนละ 20 เหรียญ แต่มันเก่ามาก น้ำอุ่นจำกัดเวลาอะไรแบบนี้ครับ
ตัวอย่างภาพ Campsite กันสักชุดเนอะ ห้องนั่งเล่นของ top 10 มาครบทุกอย่าง TV, โซฟา, หนังสือ, เกมส์กระดานต่างๆ ยันโต๊ะปิงปองเลย บางครั้งก็มีเกมส์ตู้ด้วย
ห้องนั่งเล่นบางครั้งก็เป็นห้องทานอาหารด้วยกันเลย
ส่วนใหญ่จะมีตู้ซักผ้าและเครื่องอบหยอดเหรียญไว้บริการด้วยนะครับ
ส่วนครัวกลางบางที่ก็มีน้ำอุ่นล้างจานก็สบายมือหน่อย มือไม่แข็ง ส่วนเตาทำอาหาร เครื่องปิ้งขนมปัง ไมโครเวฟ ยันจานชามต่างๆส่วนใหญ่จะมีให้ครบครับ
มื้อแรกๆจะเห่อทำอาหารบนรถหน่อย แต่พอหลังๆจะลงมาใช้ห้องครัวของ Campsite ครับ เพราะมันสะดวกกว่ามาก
ปล.น้องเกรซช่วยงานครัวมะม้าแอนด้วยอ่ะ สมเป็นลูกสาว ฉายแววเป็นแม่บ้านแม่เรือนในอนาคต ปะป๊าปลื้มๆ
บางที่จะมี Free Food ประเภทพรุ่งนี้ชั้นขึ้นเครื่องกลับบ้านแล้ว อาหารเครื่องปรุงที่เหลือ ไม่อยากแบกกลับไป ก็บริจาคให้เพื่อนร่วมที่พักเสียเลย
ทำอาหารเสร็จก็มีโต๊ะทานข้าวให้นั่งทานแถวนั้นเลย
ในบริเวณห้องครัวและห้องทานอาหารตาม Campsite จะเป็นศูนย์รวมของนักเดินทางนานาชาติครับ บางครั้งเราจะได้เพื่อนใหม่มาแชร์อาหารของแต่ละคน นั่งพูดคุยเรื่องราวการเดินทางก็ได้ เด็กๆก็มีเพื่อนใหม่ครับ (คุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ก็เล่นกันได้นะ 555)
สนามเด็กเล่น มีไล่ตั้งแต่เบสิก บางที่ก็เก่าๆ บางที่ก็อลังการงานสร้างไปเลย
ชมความดีงามไปหลายอย่างแล้ว ทีนี้มาชมงานประจำวันที่เกิดจากการขับรถบ้านกันบ้าง
- งานทำความสะอาด กวาดพื้น เช็ดโต๊ะทั่วไป
- ปลั๊กไฟเวลาพัก Powered Site ก็เปิดไปเสียบตามตู้ไฟ ทำให้ปลั๊กในรถทำงาน เราก็สามารถชาร์ตมือถือ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆได้
- เปิดแก๊สเพื่อปรุงอาหารและทำน้ำอุ่นบนรถ
- เช้ามาก็ถ่ายน้ำเสียทิ้ง เติมน้ำดี โดยต้องทำที่จุด Dump Station นะครับ
- ของเสียจากการขับถ่าย อันนี้ไม่ต้องทำทุกวัน ขึ้นอยู่กับปริมาณขับถ่ายครับ ต้องทำที่ Dump Station เช่นกัน
อุปกรณ์ที่ควรพกมาด้วย
- รองเท้าแตะ ไว้เปลี่ยนตอนไปเข้าห้องน้ำ
- ไฟฉาย หรือจะเป็นมือถือโหลดแอพไฟฉายก็ได้ เพราะกลางคืน Campsite มืดมาก
- ชุดคลุมอาบน้ำ ไว้ใส่ตอนไปอาบน้ำที่ห้องน้ำรวม
- เทียน+ถ้วยกันลม+ไฟแช็ค ไว้จุดแล้วนั่งฟินด้านนอกรถ
งานต่างๆเหล่านี้ นักท่องเที่ยวประเภทคุณหนูคุณหญิงคุณนาย อาจจะเหมาะกับการนอนโรงแรมสบายกว่านะครับ การนอนบนรถบ้านอาจจะเหมาะกับครอบครัวที่ดูแลตัวเองได้สักหน่อยนะครับ วันแรกๆจะงงๆเล็กน้อย ยังไม่ชิน แต่วันหลังๆนี่เชี่ยวชาญแล้ว ทำแปปเดียวเสร็จครับ
สำหรับครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนฝูงที่พกแม่ครัวมาด้วยอย่างครอบครัวผม ภรรยาคุณนายแอนรับหน้าที่แม่ครัวตลอดทริป อาหารส่วนใหญ่ที่ทำจะเป็นอาหารไทยที่ซื้อของสดมาทำร่วมกับเครื่องปรุงรสแบบซองที่เตรียมมาจากไทย
หน้าตาอาจจะดูไม่หรูหรามาก แต่รสชาติแซ่บเหมือนแม่ครัวสุดๆ ตอนนี้กินจนรู้หมดแล้วว่ายี่ห้อไหนอะไรอร่อย ไว้มีเวลาจะมารีวิวให้ชมนะครับ
เข้าซูปเปอร์มาร์เกตเพื่อซื้อผักและของสด ราคาก็แพงกว่าเมืองไทยเกือบทุกอย่าง ยกเว้นพวกผลไม้ครับที่ถูกกว่า แถมผักสดเองก็มีให้เลือกน้อยมาก
เมื่อของสดมาเจอกับเครื่องปรุงที่ขนมาจากไทย ความฟินต่างแดนจึงบังเกิด
ลาบหมูแซ่บๆของรสดี อร่อยมากๆ อาหารไทยยิ่งอร่อยขึ้นทวีคูณเมื่อกินที่ต่างประเทศ
เริ่มเที่ยวเลยดีกว่า มีอะไรให้เที่ยวกันบ้าง เริ่มจากเกาะเหนือกันเลย
อะโกรโดม(agrodome) เป็นฟาร์มเลี้ยงแกะซึ่งปรับปรุงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว รอบฟาร์มที่จัดแต่งอย่างลงตัวและเป็นธรรมชาติฟาร์มแห่งนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองโรโตรัวราว 10 กิโลเมตร ภายในมีอาคารสำหรับจัดการแสดง สร้างเหมือนโรงนาขนาดใหญ่ มีเวทีสูงและอัฒจันทร์เป็นชั้น ๆ ลดหลั่นกันลงมาสำหรับให้แกะมายืนโชว์ตัว และติดป้ายชื่อสายพันธุ์ของแกะจากทั่วโลก 18 สายพันธุ์ มีการแสดงการโกนขนแกะและรีดนมวัวด้วย
ค่าเข้าชม
Agrodome Farm Show
ผู้ใหญ่ 32.5 NZD
เด็ก 5-15 ปี 16.3 NZD
Family (ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 3) 85 NZD
นอกจากนั้นยังมีโชว์หมาต้อนแกะด้วยนะ เก่งมากๆเลยอ่ะ
รายละเอียดเพิ่มเติม : http://www.agrodome.co.nz/
Rainbow Springs ที่นี่เป็นแหล่งชมปลาเทราต์, กิ้งก่าTuatara, มีโชว์นกให้เด็กๆชมท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ใหญ่ๆ
แวะทักทายนกกีวี่ Kiwi ด้วยนะ
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ 40 NZD
เด็ก 3-15 ปี 20 NZD
Family (ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 3) 99 NZD
รายละเอียดเพิ่มเติม : http://www.rainbowsprings.co.nz/
Rotorua Government Garden แวะชมอาคารแปลกตาที่ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะและประวัติศาสตร์
น้ำตกฮูก้า Huka Falls น้ำตกสีครามขนาดใหญ่ มีปริมาณน้ำที่ตกลงมาเฉลี่ยแล้ว คือ 200,000 ลิตรต่อวินาที มีต้นกำเนิดมาจากแม่น้ำไวกาโต้ ซึ่งไหลมาจากทะเลสาบเตาโป โดยคำว่า“Huka” ในภาษาเมารีแปลว่า “โฟม” มีที่มาจากฟองที่ขาวอันเกิดจาก การที่น้ำตกลงมานั่นเอง
ทะเลสาบเทาโป (Lake Taupo) เป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปออสเตรเลียรวมถึงเอเชีย ด้วยขนาด 616 ตารางกิโลเมตร ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้มีขนาดพอๆ กับประเทศสิงคโปร์ทั้งประเทศเลยทีเดียว
ลงยาวๆมาเที่ยวเมืองหลวงของประเทศ New Zealand อย่าง Wellington กันบ้าง
Museum of New Zealand Te Papa Tongarewa ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีนะครับ
ด้านในมีหลายอย่างให้เยี่ยมชมตั้งแต่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ, แผ่นดินไหว, ชาวเมารี, ประวัติศาสตร์การตั้งอาณานิคม เป็นต้นครับ
ข้ามเรือมายังเกาะใต้กันดีกว่า ปัจจุบันมีบริษัทเฟอร์รี่ดังๆอยู่ 2 เจ้า คือ Interislander และ Bluebridge เจ้าแรกจะแพงกว่าแต่มีคนบอกว่าเรือใหม่กว่าเจ้าที่สอง
ของผมข้าม Ferry โดย Bluebridge ครับ เหตุผลก็คือมันถูกกว่าอ่ะ เท่าที่นั่งมาบนเรืออาจจะเก่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่แย่นะ มีมุมของเล่นให้เด็กๆเล่นซนด้วย หลับๆไปไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงเกาะใต้ครับ
ข้ามมาฝั่งเกาะใต้ที่เมือง Picton เราขับรถผ่านย่าน Marlborough ซึ่งเป็นเขตการทำไร่ไวน์สำคัญของ New Zealand ตลอดสองข้างทางจะปลูกไวน์ไว้เยอะมาก บางแห่งก็เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้เราสามารถแวะไปเยี่ยมชมและลองชิมไวน์ได้ด้วย
เราไม่ได้วางแผนจะแวะที่ไหนเป็นพิเศษครับ แต่มาขับผ่าน The Vines Village ซึ่งคล้ายๆกับ Community Mall ริมทาง มีไวน์ให้ชิมหลายร้าน ราคาไม่แพงครับ
นอกจากจะชิมไวน์ได้แล้ว ยังมีที่ให้เด็กๆเล่นกันด้วย สนุกสนานกันใหญ่เลย
มี Kissing Booth ตั้งอยู่ด้วย แบบนี้ไม่พลาดหรอก จูงมือภรรยาเข้าไปจุ๊บๆเลย วางกล้องตั้งเวลาถ่าย กดไปหลายเทคหน่อย อ้างว่าภาพเบลอบ้าง มุมยังไม่ได้บ้าง หลอกจุ๊บๆเล่น ทำเอาฝรั่งแถวนั้นอิจฉากันไปตามๆกัน อิอิ
แวะมาเมือง Havelock เพื่อแวะชิมหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ครับ ร้านดังต้องร้านนี้เลย The Mussel Pot
ร้านนี้มีชื่อเสียงเรื่องหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ครับ หอยตัวโตและสดมาก วันนี้ลองชิมหอยนึ่งครีมกระเทียม กับหอยย่างกระเทียมและเนยสมุนไพร
ต้องบอกว่ารสชาติไม่ธรรมดาครับ หอยสดหนึบเด้งเคี้ยวอร่อยปากมากๆ ร้านนี้ขอปักหมุดให้ทุกคนตามมาทานกันด่วน บอกได้คำเดียวว่าสุดยอดมากครับ
ปล.ให้เยอะมาก คุณนายแอนกินหอยจนอิ่มถึงคอเลยครับ 555
ต้องยอมรับว่าประเทศนิวซีแลนด์นี่เป็นประเทศที่ร่ำรวยความเป็นธรรมชาติสุดๆ ครอบครัวเราขับรถบ้านลัดเลาะชายฝั่งทะเล ก่อนจะถึงเมือง Kaikoura จะมีเจ้าแมวน้ำนอนโชว์กายให้พวกเราสามารถเดินเข้าไปชมได้อย่างใกล้ชิดพอสมควร
เรียกว่างานนี้เด็กๆที่เพิ่งจะเคยเห็นแมวน้ำตามธรรมชาติตื่นเต้นกันยกใหญ่ (รวมทั้งพ่อแม่ด้วยแหละ ครั้งแรกเหมือนกัน)
มาถึง New Zealand ต้องชิมสองอย่างนะครับ อย่างแรกคือ ไอติม Hokey Pokey มีเม็ดๆหวานๆผสมในเนื้อไอติม และน้ำผึ้ง Manuka Honey จะซื้อเป็นน้ำผึ้งเลยก็ได้นะ แต่ผมชอบแบบครีมมาทาทานกับขนมปัง หอม หวาน อร่อยมากเลยครับ
ที่เมือง Kaikoura มีเรือออกไปชมปลาวาฬหัวทุยหรือ Sperm Whale
การล่องเรือ Whale Watch นี้ดีอยู่อย่างที่ผู้ประกอบการเรือคำนึงถึงความปลอดภัยมากๆ หากอากาศไม่ดี เค้าก็จะไม่ห่วงเอาเงินเลยนะ จะ Refund เงินคืนให้กับผู้โดยสาร หรืออนุญาติให้เลื่อนตั๋วเป็นรอบอื่นได้ด้วย เค้าบอกว่ามีโอกาสประมาณ 95% ที่จะพบเห็นปลาวาฬ แต่ถ้ารอบไหนไม่เห็น ไม่เป็นไรจ้า เค้าจะคืนเงิน 80% ของค่าตั๋วหรืออนุญาติให้มาลงเรืออีกรอบได้เป็นการปลอบใจ ใจดีมีศีลธรรมในการค้าดีมาก ขอชมเลย
ค่าล่องเรือ
ผู้ใหญ่ 145 NZD
เด็ก 3-15 ปี 60 NZD
Family ลดให้ 10%
รายละเอียดเพิ่มเติม : http://www.whalewatch.co.nz/
เรือแล่นออกจากฝั่งไปประมาณ 20 นาที เรือเด้งขึ้นเด้งลงพอได้มึน (มีฝรั่งอ้วกแตกไปหนึ่งคน) พอกัปตันเรือบอกว่าเจอปลาวาฬแล้ว ทุกคนก็รีบวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ด้วยเพราะอากาศดีมากๆ เลยได้เจอปลาวาฬประมาณ 5 ตัวเห็นจะได้ นางขึ้นมาพ่นน้ำโชว์รับแขก (เหมือนจะรู้งาน)
แถมก่อนจะว่ายลงไปยังยกครีบหางอันใหญ่โตสวยงามเป็นการโบกมืออำลาอีกด้วย สุดยอดมากๆ
พอชมปลาวาฬเสร็จ เรือก็แล่นกลับท่า ระหว่างทางดันมีกองทัพปลาโลมาว่ายมาข้างๆเรือ ดูๆแล้วน่าจะมีประมาณร้อยตัวได้ เที่ยวมาว่ายน้ำข้างๆเรือ บางตัวก็กระโดดหมุนตัวโชว์
สร้างความฟินแก่ผู้โดยสารในวันนี้มากๆ ผมนี่กดชัตเตอร์กล้องไม่ยั้งเลยครับ
ชมเป็นคลิปที่นี่เลย
หาของกินในเมือง Kaikuora กันต่อ ตอนแรกผมอยากจะทาน Crayfish หรือกุ้งมังกรชื่อดังของเมืองนี้ แต่ปรากฏว่าเช้าไป ยังไม่มีร้านไหนขาย เรามีคิวต้องเดินทางต่อด้วย รอไม่ได้ เลยมาจบที่ร้าน Fish n’ Chips ร้านหนึ่ง เค้าเคลมว่าเป็นอันดับ 2 ของ New Zealand เป็นอันดับ 1 ของเกาะใต้เลย
คือ Fish & Chips เค้าไม่แพงเลยอ่ะ ปลาทอดอร่อยดีครับ เฟรนฟรายก็ไม่เลว
ประเทศนิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ควบคุมเวลาในการเที่ยวให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ยากมากๆ ทางหนึ่งชั่วโมง ขับยังไงก็กลายเป็นสองชั่วโมง
เหตุผลก็เพราะ สองข้างทางวิวมันสวยเกินไป จอดแวะถ่ายภาพอยู่นั่นแหละ ไม่ถึงเสียที
วิวสวยๆแบบนี้นายแบบของเราก็ชอบด้วยสิ ยิ้มหวานเลย…
เมือง Akaroa เป็นเมืองเล็กๆน่ารักๆ ที่มีกลิ่นอายแบบฝรั่งเศส และ อังกฤษรวมตัวกัน มีทะเลสาบสีฟ้าเย็นเจี๊ยบ และมีหอยแมลงภู่ที่สามารถจับเป็น (ในเขตให้จับเท่านั้น) และยังมีวิวเส้นทางขับรถธรรมชาติที่สวยมากเส้นหนึ่งในเกาะใต้ (ชื่อเมืองอ่านว่า อะ-คา-รัว เป็นภาษาเมารี แปลว่า Long Harbour)
Akaroa Lighthouse Landmark สำคัญของเมืองนี้
มุมมหาชนที่ใครต่อใครมาถึงที่เมือง Akaroa ก็ต้องมาถ่ายภาพคู่กับท่าเรือน่ารักๆนี้ครับ
ใกล้ๆกันมีอนุสาวรีย์ครับ
ชีวิตคนเรามีหน้าที่ต้องทำหลายอย่าง แต่ถ้าเลือกได้จริงๆ ผมจะขอเป็นเพียงจิตรกรวาดความสุขก็พอ
Shamarra Alpacas ที่นี่เป็นฟาร์มอัลปาก้าขนาดใหญ่มากครับ มีอัลปาก้าเยอะมาก แต่ละตัวก็น่ารักมากๆ ขนจะปุยกว่าที่เจอที่ประเทศไทยเยอะ นิสัยมันเชื่องมาก เราสามารถเข้าไปให้อาหาร จับขน ลูบคอ และถ่ายภาพด้วยสบายๆเลย
Shamarra Alpacas Farm ถือเป็นที่เที่ยวที่ดีที่สุดที่หนึ่ง ประสบการณ์ได้ใกล้ชิดกับเจ้าอัลปาก้าแบบถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้สร้างความสนุกสนานแบบไม่ธรรมดาครับ
แต่ที่นี่ขาดการทำตลาดที่ดี เลยทำให้คนรู้จักน้อย Farm Tour วันนี้มีแค่เราครอบครัวเดียวที่มาเที่ยวครับ ทำให้มีโอกาสใกล้ชิดเจ้าอัลปาก้าแบบ Exclusive (เหมาฟาร์มเที่ยวส่วนตัวเลย)
ค่าเข้าชมฟาร์ม
ผู้ใหญ่ 45 NZD
เด็ก 5-15 ปี 25 NZD
รายละเอียดเพิ่มเติม : http://www.shamarra-alpacas.co.nz/
ปล.ทางเข้าฟาร์มรถบ้าน Campervan ขึ้นมาไม่ได้นะครับ ต้องโทรให้เค้าลงมารับ
ออกเดินทางสู่ West Coast ผ่านแวะชิมพายร้านดัง The Famous Sheffield Pie Shop ที่เมือง Sheffield
ร้านนี้ทำพาย Homemade จะมีพายร้อนใส่เนื้อสัตว์อะไรพวกนี้ลงไป และพายผลไม้ ชิมดูแล้วพายร้อนอร่อยกว่านะ
ขับรถผ่าน Southern Alps มีจุดชมดังๆเช่น Castle Hill เป็นก้อนหินที่อยู่บนภูเขา มีเยอะมากๆครับ ฝนตกตลอดทางเลยครับ ไม่ได้ลงไปเดินเลย
ถนนลอยฟ้า Otira Via-duct ช่วงนี้เป็นถนนลอยฟ้าที่แก้ปัญหาดินถล่มจากภูเขาครับ มีอีกจุดที่เห็นชัดกว่านี้ แต่ผมหาที่จอดถ่ายรูปไม่ได้ครับ
ระหว่างจอดรถถ่ายภาพถนนลอยฟ้า เห็นนกเคีย Kea นกแก้วภูเขาเจ้าถิ่น เกาะเด่นเป็นสง่าอย่างกับนายแบบครับ
ด้วยสภาพไม่เอื้ออำนวย แผนการเที่ยวที่วางไว้หลายที่อย่าง Pancake Rocks ที่อุทยาน Punakaiki และเมือง GreyMouth ต้องเป็นอันล้มเลิกไป
เราเลยมุ่งหน้าไปยังเมือง Hokitika ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตหยกครับ
จากนั้นเรามุ่งตรงไปยังเมือง Fox ตั้งใจจะไปชมธารน้ำแข็ง Fox Glacier ด้วยการนั่ง Helicopter แต่ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าสภาพอากาศมีลมแรง งดทุกเที่ยวบิน เลยอดบินเลย ครั้นจะเดินไปชมก็ไม่น่าจะเหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กเล็กๆครับ น่าเศร้าใจมาก
ไม่ไกลจาก Fox Glacier เป็นที่ตั้งของทะเลสาบกระจก Lake Matheson Reflection Island
ที่ตรงจุดนี้ต้องเดินเข้าไปในป่าประมาณ 30 นาทีจากต้นทาง ซึ่งตลอดทางถูกรายล้อมไปด้วยต้นไม้และป่าเขา ทำให้อากาศที่นี่บริสุทธิ์มากๆ
ผมสูดหายใจลึกๆเข้าเต็มปอด มองดูภาพพื้นน้ำนิ่งสงบของทะเลสาบ สะท้อนเงายอดเขา Mt.Cook ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขึ้นมา มันสวยงามราวกับงานศิลปะมหัศจรรย์ที่ถูกสรรค์สร้างโดยธรรมชาติแท้ๆ
ทุกสิ่งดูจะหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วคราว คล้ายโลกไม่ได้หมุนไปไหน ผมพยายามซึมซับบรรยากาศอันน่าประทับใจตรงนี้ให้มากที่สุด
แต่ในใจอยากจะหยุดวันเวลาไว้ที่ตรงนี้เหลือเกิน
Lake Hawea ทะเลสาบฮาเวีย ตั้งอยู่ใกล้กัน กับทะเลสาบ Wanaka แต่ไม่โด่งดังติดปากนักท่องเที่ยว แต่มันสวยจริงๆนะ
ผมได้สัญญากับภรรยาไว้ว่าจะพาเธอไปอุ้มทั่วทุกแห่งบนโลกใบนี้ และนี่ก็เป็นการอุ้มอีกครั้งแห่งความทรงจำครับ
ผมเลือกพักแคมป์ไซค์ริมทะเลสาบ Lake Hawea ครับ
บางครั้งเป้าหมายในชีวิตก็ไม่ได้คือทรัพย์สิน เงินทอง ของนอกกาย
แต่มันคือการได้ทำให้ใครสักคนมีความสุขก็เพียงพอแล้ว…
ทุ่งหญ้าที่มีแกะแบบนี้ จะสามารถพบให้เห็นอยู่ทุกที่ครับ จำนวนประชากรแกะในนิวซีแลนด์มีเยอะกว่าชาวนิวซีแลนด์หลายเท่าตัวครับ
มีครั้งหนึ่งที่แวะจอดรถถ่ายภาพข้างทางแบบนี้ ปรากฏว่ารถบ้านขอผมล้อหลังไปติดหล่มครับ คิดว่าจะต้องแย่แน่แล้ว เพราะถนนโล่งว่างมากๆ แต่โชคดีมากครับ มีนักท่องเที่ยวฝรั่งเศสขับรถผ่านมาพอดี ผมรีบโบกมือขอความช่วยเหลือ แม้รถของพวกเค้าจะวิ่งเลยผ่านไปแล้ว แต่เค้ารีบกลับรถมาช่วยเข็นรถให้ออกจากหล่มได้สำเร็จ ผมรีบขอบคุณชาวฝรั่งเศสกลุ่มนั้นเป็นการใหญ่ แม้ไม่ใช่ธุระของเค้า แต่ก็ยินดีให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ซึ้งน้ำใจของพวกเค้าจริงๆ เสียดายที่รถจอดกลางถนนเลยไม่มีเวลาได้ถ่ายภาพกับพวกเค้า ต้องขอขอบคุณชาวฝรั่งเศสกลุ่มนี้มากครับ
เจอบ้านข้างทางสวยดีครับ แวะจอดรถถ่ายภาพกับภรรยาซะหน่อย ระหว่างนั้นเองมีรถวิ่งสวนออกมา ผมกับแอนตกใจมากๆ เกรงจะไปรบกวนเจ้าของบ้านเค้า
ปรากฏว่าต้องแปลกใจครับ Mrs. Linda เจ้าของบ้าน (ไม่รู้จักกันมาก่อน) เห็นพวกเรากำลังถ่ายภาพหน้าบ้านเธอ อุตส่าห์ขับรถลงมาช่วยกดภาพให้ แถมชวนให้พวกเราพาเด็กๆไปเล่นกับแกะที่บ้านของเธอครับ
แกะบ้านลินดาน่ารักมากครับ เชื่องคนเหมือนหมาเลยครับ ลินดากับสามีของเธอหยิบขนมปังให้ครอบครัวผมป้อนแกะอย่างใกล้ชิด
บ้านของเธอและสามีสวยและน่าอยู่มาก ผมเห็นแล้วคิดในใจว่าช่างน่าอิจฉาวิถีชีวิตของคนที่นี่จริงๆ อากาศบริสุทธิ์ บ้านเมืองเงียบสงบ ผู้คนก็มีน้ำใจดีจริงๆ
Puzzling World อยู่ระหว่าง Lake Hawea และเมือง Wanaka
ค่าเข้าชม + เขาวงกต
ผู้ใหญ่ 20 NZD
เด็ก 5-15 ปี 14 NZD
Family (ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2) 61 NZD
รายละเอียดเพิ่มเติม : http://www.puzzlingworld.co.nz/
ด้านหน้าจะมีมุมให้ถ่ายรูปเล่นกันกับหอนาฬิกาจะล้ม บางคนก็ทำท่าแปลกๆ สนุกสนานเฮฮาดีครับ
มาที่นี่อย่าลืมแวะมาถ่ายรูปเล่นกับห้องน้ำด้านหลังนะครับ เป็นส้วมหลุมโบราณ ขำขันไปอีกแบบ
ด้านในมีหลายส่วนที่สนุกสนานครับ ทั้งเกมส์กลต่างๆที่ทิ้งไว้ให้เล่นบนโต๊ะอาหาร ส่วนจัดแสดงภาพสามมิติ และบ้านเอียง โดยบ้านหลังนี้พอเราเข้าไปแล้ว ทุกอย่างจะเอียงไปหมด ข้าวของสามารถไหลจากด้านล่างขึ้นสู่เพดานได้
ห้องพิศดาร ทำให้คนตัวใหญ่กลายเป็นคนตัวเล็ก คนตัวเล็กกลายเป็นคนตัวใหญ่ได้
ด้านนอกจะมี The Great Maze เขาวงกตที่หาทางออกยากมากครับ เค้าเขียนไว้ว่า เฉลี่ยคนทั่วไปจะเดินระยะถึง 3-5 กิโลเมตรกว่าจะออกได้เลยทีเดียว
ครอบครัวเราเดินอยู่นาน ไม่ไหวจริงๆ กลัวว่าจะต้องค้างคืนในนี้แทนจะได้ไปเที่ยวต่อ เลยต้องขอยอมแพ้ออกทาง Give Up เลย
ทะเลสาบวานาก้า Lake Wanaka เป็นอีกจุดที่วิวดีมากครับ สวยงามทั้งแผ่นน้ำและภูเขา อยู่ตรงนี้แค่ชมวิวก็ไม่อยากไปไหนแล้วครับ
ขับรถต่อมาไปเที่ยวเมือง Arrowtown กัน วิวจากบนภูเขามองเห็นแสงส่องลอดจากก้อนเมฆมายังที่เมืองพอดีเลยครับ
เมือง Arrowtown เดิมทีเป็นเมืองนักขุดทอง อดีตเมืองที่เคยรุ่งเรืองมากในด้านการขุดทอง บ้านเรือนก็เลยจะมีความเป็น Cowboy มีของที่ระลึกขายเพียบ เดินเล่นกันสนุกเลยครับ
Arrowtown ที่นี่ยังเป็นเมืองที่เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีได้งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในนิวซีแลนด์
Queenstown เมืองใหญ่ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดของนักท่องเที่ยวที่มานิวซีแลนด์ ได้ชื่อว่า “Adventure Capital of the World” และเป็น the “second most attractive tourist destination in the world” มีนักท่องเที่ยวมาเยือนปึละ 1.2 ล้านคน
ควีนส์ทาวน์ตั้งอยู่ที่เกาะใต้ของนิวซีแลนด์ ข้างทะเลสาบ Lake Wakatipu ล้อมรอบด้วยเทือกเขาต่างๆ Remarkable ร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ เปิดบริการ 24 ชั่วโมง และมีเทศกาลต่างๆทุกฤดูกาล สนุกกับกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ ได้แก่ bungy jumping, jetboating, skydiving, hiking, white water rafting, paragliding, mountain biking และอื่นๆ
Skyline Gondola กิจกรรมสุดฮิตของที่นี่ ขึ้นไปชมวิวเมือง Queenstown ในมุมสูงจาก Bob’s peak ครับ
ค่าใช้จ่าย Skyline Queenstown Gondola + Luge 10 รอบ
Family (ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2) : 133 NZD
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.skyline.co.nz/queenstown/
บนนี้มีกิจกรรมแสนสนุกอย่าง Luge หรือว่ารถแข่งไหลลงจากเขา (เคยพาไปเล่นที่สิงคโปร์ครั้งหนึ่งแล้ว เด็กๆชอบมาก) แต่ที่นี่แพกเกจเค้าเล่นได้หลายครั้งกว่าสิงคโปร์เยอะเลยครับ เราเล่นกันไปคนละ 5 รอบ มันส์เหาะไปเลย
ได้นั่งกระเช้าชมวิวสวยแบบนี้ด้วยนะ ฟินมากๆเลย
ตกบ่ายมาเดินเล่นในเมืองกันหน่อย เริ่มจากตรงริมทะเลสาบ Lake Wakatipu ละกัน
Lake Wakatipu เป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเกาะใต้ รองจากทะเลสาบ Te Anau สวยมากครับ แต่ได้อารมณ์ความคึกคักของเมืองและผู้คนมากกว่าทะเลสาบอื่นๆ
ดูน้องเกรซสิ นางชิลด์มากเลย
พวกเราใช้เวลาในการเดินเล่นช้อปปิ้งและซื้อของฝากจากที่นี่ครับ ข้าวของก็ถูกกว่าที่เมืองอื่นด้วยนะ โดยสินค้าที่เป็นที่นิยมก็คือ ครีมรกแกะ ที่นี่ถูกกว่าไทยมหาศาลมากมาย แถมได้ของแท้ผลิตจาก New Zealand เลย
อากาศดีชะมัด เลยขอทานมื้อกลางวันตรงถนนคนเดินเลยนี่แหละ ทานไปนั่งมองผู้คนไป ดีงามมาก
แวะขึ้นเหนือผ่านเมือง Cromwell เมืองแห่งผลไม้ ต้องแวะซื้อผลไม้จากร้านชื่อดัง Jones’s Fruit Stall
ผลไม้นิวซีแลนด์ที่ดีงาม อร่อย ไม่แพง ได้แก่ กีวี (ให้เลือกลูกนิ่มๆนะจะหวาน แข็งๆยังไม่สุกมันจะเปรี้ยว), ลูกพลับ, ลูกแพร์, ลูกพีช, องุ่น, แอปเปิ้ล พวกนี้มีโอกาสก็ทานเยอะๆครับ กลับมาไทยมันแพงอ่ะ
มุ่งหน้า Mt.Cook ขับรถผ่านทะเลสาบเล็กๆ น้ำนิ่งสะท้อนภาพดั่งกระจกขึ้นมาเลย สวยจริงอะไรจริง
แถวนี้มีฟาร์มปลาแซลมอน High Country Salmon คนจอดรถแวะซื้อเพียบ ไปลองหน่อยดีกว่า
มีขายหลายอย่างมาก ตั้งแต่แซลมอนซาชิมิกินดิบๆ หรือจะรมควันแบบร้อนหรือแบบเย็น ซื้อแบบทั้งตัวเลย หรือจะแบบ Lunch Set ก็มี
เค้ามีให้ชิมก่อนซื้อนะ หลังจากชิมดูแล้วถูกใจแบบรมควันเย็นครับ ซื้อมาชิ้นหนึ่งไม่แพงเลย เอามาแล่เอง ราดน้ำจิ้มซีฟู๊ดไปหน่อย สวรรค์บนลิ้นเลยอ่ะ สดมากมาย
มุ่งหน้า Mt.Cook กันต่อ อยากขึ้น Helicopter พาเด็กๆไปเล่นหิมะบน Mt.Cook สุดๆ แต่เช่นเคยครับ อากาศไม่ดี งดบินทุกไฟล์ท ดวงกุดจริงๆ
Lake Pukaki น้ำสีฟ้าน่าโดดมากเลย
งั้นโดดหน่อยแล้วกัน กระโดดนะ โดดน้ำไม่ไหวหนาวตายแน่ๆ
Lake Tekapo สำหรับใครที่อยากชมทะเลสาบเทคาโปให้สวย ต้องชมจากมุมสูงอย่าง Lake Tekapo บน Mt John Observatory
วิวบน Mt John Observatory นี้สวยเกินจะบรรยาย
ลมแรงมากนะครับ แนะนำให้เตรียมชุดกันหนาวให้เพียงพอ
ผมเป็นคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว ฝันไว้ตั้งแต่เด็กแล้วว่าอยากจะไปชมความสวยงามทุกหนทุกแห่งบนโลกใบสีฟ้าๆนี้
ชีวิตไม่ง่ายนัก แต่ไม่ว่ายังไงก็ตั้งใจจะพยายามเดินตามความฝันของตัวเองให้มากที่สุด
แค่หวังไว้ว่าสักวัน
“…ฝันจะเป็นจริง…”
ทิ้งวิวสวยๆบน Mt.John อีกสักภาพครับ
ช่วงปลายทริปขับรถบ้านที่นิวซีแลนด์ ตอนนั้นผมกับภรรยาอยู่กันที่ Mt.John เบื้องหลังเป็น Lake Tekapo วิวจากตรงนี้สวยงามมาก
สายลมพัดลมเย็นๆมาปะทะตัว ผมนอนเล่นกับภรรยาบนพื้นที่มีหญ้านุ่มๆ ส่วนเด็กๆนั่งทานขนมกันอยู่ ผมยังจำได้เป็นอย่างดีว่าจิตใจตอนนั้นว่างเปล่า ไม่ได้คิดเรื่องงานหรือเรื่องอื่นใด สมองช่างโล่งดีแท้
นอนเล่นกันไป พูดคุยกันเล็กน้อย ความสุขมันเกิดขึ้นเต็มหัวใจ อยากให้วันเวลาเดินช้าลง หรือถ้าหยุดเวลาไว้ตรงนั้นได้ก็คงจะดี
เราสองคนยังจำช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี เราทั้งคู่สัญญาไว้ว่าไว้เราจะกลับมาตรงนี้อีกครั้ง
ในวันนั้นฉันและเธออาจจะแก่ชรา ในวันนั้นร่างกายคงจะเปลี่ยนแปลงไปตามวัย แค่อยากจูงมือของเธอมานั่งตรงนี้ด้วยกัน เพื่อหวังจะได้มาระลึกช่วงเวลาแห่งความรักและความสุขที่มีให้แก่กันแบบนี้อีกสักครั้ง แค่นั้นจริงๆ….
Church of the Good Shepherd เป็นโบสถ์ที่สร้างเพื่อคนที่รักที่ได้ตายจากไป ใกล้กันจะมีอนุสาวรีย์สุนัขต้อนแกะ (Sheep Dog) สร้างด้วยสำริด เมื่อ ค.ศ.1968 เพื่อยกย่องคุณความดีของสุนัขคอลลี่แสนรู้ที่ช่วยเหลือชาวไร่ในการเลี้ยงแกะสมัยอดีต
จุดหมายสุดท้ายของทริป เข้าชมเมือง Christchurch หลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 2010 – 2011
แผ่นดินไหวขนาด 7.1 ริกเตอร์ ในปี 2010 และขนาด 6.3 ริกเตอร์ ในปีต่อมา ทำให้อาคาร 80% ของ Town Center เมือง Christchurch พังพินาศย่อยยับ โดยเฉพาะ ChristChurch Cathedral สถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังของเมือง ก็ไม่สามารถรอดพ้นภัยธรรมชาติครั้งนั้นไปได้
ผมเดินสำรวจใจกลางเมือง พบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ว่างเปล่า เหลือแต่ตึกร้างที่ได้รับความเสียหายรอการทุบทิ้ง พื้นที่หลายๆส่วนกลายเป็นที่จอดรถค่าจอดแสนถูกยิ่งกว่าถูก Shopping Center ถูกย้ายไปถนนอีกสาย แต่ไปเดินแล้วช่างเงียบเหงาเหลือเกิน พูดคุยกับเจ้าของร้านขายของที่ระลึก เค้าบอกว่าไม่มีอะไรเหมือนเดิมหลังจากแผ่นดินไหว เศรษฐกิจในเมืองโดยรวมเงียบเหงามาก อาจจะเป็นเพราะรายได้ส่วนสำคัญเคยที่มาจากการท่องเที่ยวหายไป
เท่าที่เดินเล่นมา ต้องยอมรับว่าใครจะมา New Zealand ก็ข้าม Christchurch ไปได้เลยครับ เพราะในเมืองไม่เหลืออะไรให้เที่ยวเลยแม้แต่น้อย
มุมเงียบเหงาของสวนสาธารณะในเมือง ปกติคนก็น้อยอยู่แล้ว พอ Town Center เสียหาย ยิ่งทำให้ Christchurch เงียบเหงาหนักเลยครับ
ได้เวลากลับบ้านกันเสียที ตลอด 16 วันในประเทศนิวซีแลนด์ ผมมีเรื่องราวมากมายอยากจะเล่า แต่คงไม่สามารถเล่าได้ทั้งหมดในตอนเดียวได้ ยังไงจะเล่าทั้งหมดในรีวิวฉบับเต็มอีกครั้งนะครับ
บทสรุปสำหรับการขับรถบ้าน Campervan เที่ยวเกาะเหนือเกาะใต้ของนิวซีแลนด์ในครั้งนี้ ขอกล่าวสั้นๆให้คนที่กำลังตัดสินใจเลือกวิธีการท่องเที่ยวแบบนี้ว่า การเที่ยวแบบขับรถบ้านอาจจะไม่ใช่วิธีการท่องเที่ยวที่ประหยัดที่สุด หรือสะดวกสบายที่สุด
แต่เป็นวิธีการท่องเที่ยวที่เข้าถึงประเทศได้ดีที่สุด ไม่มีที่ไหนจะขับรถบ้านเที่ยวได้ดีไปกว่าประเทศอันเป็นต้นฉบับแห่งการขับรถบ้านเที่ยวของโลกแบบนี้แล้ว การได้ขับรถได้พักผ่อนแบบนี้มันเป็นประสบการณ์ที่สุดยอด จนผมกล้ายืนยันกับทุกท่านได้เลยว่า เป็นการท่องเที่ยวที่สนุกมาก จนสักครั้งหนึ่งในชีวิตคุณต้องหาโอกาสมาลองขับรถบ้านเที่ยวแบบนี้ดู แล้วคุณจะหลงรักประเทศนี้แบบผม
ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมและทักทาย หวังว่าคงจะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และได้รับความสุขแบบครอบครัวกลับไปไม่มากก็น้อย
วันนี้ลากันไปก่อนแล้วนะครับ ติดตามตอนต่อไปได้ในเร็ววัน สวัสดีครับ
ตอนที่ 2 : ขับรถบ้านเที่ยวเกาะเหนือนิวซีแลนด์ Rotorua-Taupo-Wellington
ปล.หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share
หรืออยากใกล้ชิดกันมากขึ้น แอด Line มาได้เลย มีรีวิวใหม่จะส่งไปบอก อยากคุยกับแอดมิน Line มาคุยเลยจ้า ID : @2Madames กดตรงนี้ก็ได้
หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป