หากพูดถึงการไปท่องเที่ยวดินแดนยุโรปแล้ว หลายคนอาจจะกังวลเรื่องการขอวีซ่าที่ยุ่งยาก แต่มีหนึ่งประเทศในทวีปยุโรปที่คนไทยอย่างเราสามารถเดินทางไปเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าเลย ประเทศนั้นนั่นก็คือ “รัสเซีย” นั่นเอง
ประเทศรัสเซียถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่สามารถเที่ยวได้ทั้งธรรมชาติที่สวยงาม สามารถชมปรากฏการณ์แสงเหนือ เล่นสกีได้ในราคาที่ประหยัดกว่าที่ใดในโลก มีกิจกรรมสนุกๆอย่างนั่งรถลากเลื่อนโดยกวางเรนเดียร์และหมาฮัสกี้ พระราชวังและสถาปัตยกรรมในเมืองก็สุดแสนจะเว่อร์วังอลังการ วันนี้เราจะพาทุกท่านไปรับชมรีวิวเที่ยวรัสเซียผ่าน 3 เมืองยอดฮิตอย่าง มอสโก, เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และมูร์มันสค์ ซึ่งบอกได้เลยว่าเที่ยวรัสเซียด้วยตัวเองนั้นไม่ยาก ค่าครองชีพก็ถูกแสนถูก นับว่าเป็นเส้นทางยุโรปที่คนไทยไปง่ายและสบายกระเป๋าสุดๆ เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้ มีกิจกรรมต่างๆให้ทำมากมาย นอกจากการเตรียมเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ให้พร้อมแล้ว การเตรียมร่างกายให้ฟิต แข็งแรงพร้อมสำหรับการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ รวมถึงการเคลื่อนไหว การทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างคล่องตัวนั้น ก็สำคัญไม่แพ้กันเลย ดังนั้น เรามาดูกันดีกว่าว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้าง และทริปจะสนุกสนานแค่ไหน ตามไปรับชมกันเลยครับ
โปรแกรมเที่ยวรัสเซียด้วยตัวเอง 14 วัน มอสโก-เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก-มูร์มันสค์ Moscow-St.Petersburg-Murmansk
5 มี.ค 61 – เดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้วยสายการบิน Thai Airways การบินไทย Smooth as Silk บินตรงสู่ Moscow ประเทศ Russia แล้วต่อเครื่อง Red Wings ไปถึง Murmansk
6 มี.ค. – เที่ยว Teriberka หมู่บ้านอันโด่งดังริมฝั่งอาร์กติก ชมภูมิประเทศแบบทุนดรา ขาวโพลนไปด้วยหิมะสุดลูกหูลูกตา ทะเลสาบสลับกับสีสันต์เเห่งท้องฟ้าประสานกันอย่างลงตัว บนเส้นทางไปสู่ฝั่งอาร์กติก ขั้วโลกเหนือ (ระยะทางราว 150 กม.)
7 มี.ค. – เดินทางสู่หมู่บ้าน Lovozero ใช้เวลาเดินทาง 2.5 ชม. นั่ง snowmobile ออกสู่ทะเลสาบน้ำเเข็ง นั่งลากเลื่อนไซบิเรียนฮัสกี้ นั่งลากเลื่อนกวางเรนเดียร์
8 มี.ค. – เล่นสไลด์เดอร์ห่วงยางจากภูเขาหิมะ และเล่นสกีราคาสุดประหยัด
9 มี.ค. – บินจาก Murmansk สู่เมือง St.Petersburg โดนแท๊กซี่โกงระหว่างเข้าที่พัก พักผ่อนร่างกาย เลียแผลใจ
10 มี.ค. – เที่ยวเมือง St.Petersburg เริ่มจาก Palace Square / พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิทาจ / เดินเล่นบนแม่น้ำที่หนาวจัดจนเป็นน้ำแข็ง / Admiralty Building / มหาวิหารนักบุญไอแซค / ถนน Nevsky / Kazan Cathedral / โบสถ์หยดเลือด Savior on the Spilled Blood
11 มี.ค. – เที่ยวพระราชวังเยกาเจรีนา Catherine Palace
12 มี.ค. – เที่ยวพระราชวังเปเตียร์กอฟ Peterhof Palace
13 มี.ค. – เที่ยว Saint Petersburg Mosque / Peter and Paul Fortress กลางคืนนั่งรถไฟตู้นอน เดินทางสู่ Moscow
14 มี.ค. – ถึง Moscow เที่ยวจัตุรัสแดง Red Square / มหาวิหารเซนต์เบซิล Saint Basil’s Cathedral / ห้าง Gum / พระราชวังเคลมลิน Kremlin Palace
15 มี.ค. – เดินเล่นถนนคนเดิน Arbat Street / ตลาดนัดเจเจมอสโก Izmaylovskiy Vernisazh
16 มี.ค. – เดินเล่นในเมือง Moscow หม่ำไอติมเจลาโต้ / Cathedral of Christ the Saviour
17 มี.ค. – เดินทางกลับกรุงเทพโดยการบินไทย
18 มี.ค. – ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ
เชิญรับชมคลิปเที่ยวรัสเซีย แบบเต็มอิ่มภาพและเสียงจ้า
การเตรียมตัวเที่ยว Russia
1.) วีซ่า : ผู้ที่ถือพาสเปอร์ตไทยสามารถเดินทางท่องเที่ยวรัสเซียได้ไม่เกิน 30 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า จากประสบการณ์ที่ผ่าน ต.ม. ยื่นแค่พาสเปอร์ตเล่มเดียวเลย ไม่ต้องกรอกใบอะไรทั้งนั้น เจ้าหน้าที่ให้ผ่านเร็วมาก แทบไม่ต้องตอบคำถามอะไรเลย แต่อย่างไรก็ตาม ควรพกเอกสารต่างๆ เช่น ใบจองเครื่องบิน, ใบจองที่พัก, ประกันการเดินทางติดตัวไว้ เผื่อเจ้าหน้าที่เรียกถามจะได้ไม่มีปัญหาครับ
2.) ค่าเงิน : 1 รูเบิล (RUB) = 0.55 บาท (มี.ค. 61) เวลาคิดว่าข้าวของราคาเท่าไหร่ ก็จับหารสองเอาเลยครับ ประมาณนั้น
3.) เสบียงอาหาร : อาหารรัสเซียค่อนข้างไม่อร่อยครับ แต่พวกยูโรเปียนฟู๊ดตามร้านอาหารในเมืองก็ไม่แพงหรือแย่อะไรมากมาย เรียกว่าพอทานได้ครับ แต่ครอบครัวผมค่อนข้างติดอาหารไทย เลยเตรียมพกข้าวสาร และแกงซองสำเร็จรูปไปด้วย เวลาถึงที่ Russia ก็ไปซื้อพวกของสด เนื้อสัตว์ ผักสด มาปรุงทำกันเองครับ โดยเราจะทำแค่มื้อเช้าและมื้อเย็นครับ มื้อกลางวันก็ชิมอาหารพื้นเมืองไป ถือว่าเป็นการเข้าถึงวัฒนธรรมของคนรัสเซียอย่างหนึ่ง
4.) ที่พักในทริปนี้ เราจองอพาร์เม้นท์ที่มีครัวเพื่อทำอาหารไทยทานกัน โดยจองผ่าน airbnb และ booking.com เป็นหลัก
ที่พักของเราทั้ง 3 ที่ ค่อนข้างดีมากเลย กว้าง สะอาด ทำเลดี และไม่แพงเลย
Murmansk – https://www.booking.com/hotel/ru/comfort-apartments.th.html
St.Petersburg – https://th.airbnb.com/rooms/502579
Moscow – https://th.airbnb.com/rooms/5935479
ใครจะจอง Booking.com ลงทะเบียนลิงก์นี้ https://goo.gl/2gQY54 ก่อนนะ รับเครดิตไปจองที่พักฟรี 1,000 บาท
ส่วน Airbnb รับเครดิตฟรีเช่นกัน ลิงก์นี้ www.airbnb.com/2Madames ครับ
พิซซ่า เบอร์เกอร์ สเต็ก อาหารฝรั่งหรือจะมาสู้กับอาหารไทยได้ เวลาทานอาหารไทยในต่างแดนทำให้หายคิดถึงบ้านด้วยนะ
5.) วิตามินบำรุงร่างกาย
คือเวลาที่เราต้องเดินทางในต่างประเทศเนี่ย บางครั้งต้องเดินเยอะ ขึ้นรถลงเรือเนี่ย ร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยมาก หากเราไม่เตรียมร่างกายให้แข็งแรงฟิตพร้อมสำหรับการเดินทางและกิจกรรมต่างๆมากมายหละก็ คงหมดสนุกแย่ ซึ่งในการท่องเที่ยวต่างประเทศแต่ละครั้งนั้น เราจะต้องเดินกันตลอดทั้งวัน วันละหลายๆกิโล การเตรียมกระดูกและกล้ามเนื้อให้แข็งแรงจึงเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างแรก ตัวช่วยที่สำคัญที่ควรพกติดตัวไปด้วยเสมอเลยก็คือ แคลเซียมที่ผสมวิตามินดีและแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งแคลเซียมจะช่วยให้กระดูกแข็งแรง วิตามินดีจะช่วยดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย และช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ส่วนแร่ธาตุอื่นๆก็จะช่วยให้กระดูกมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งการมีกระดูกและกล้ามเนื้อที่แข็งแรงนั้น จะทำให้เราเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว พร้อมที่จะลุยไปกับทุกกิจกรรมในทริป นอกจากแคลเซียมแล้ว ก็ยังมีวิตามินรวม และวิตามินซี ที่จะช่วยไม่ให้เราป่วยง่ายระหว่างเดินทาง แค่นี้ก็มีตัวช่วยให้เราสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างที่ใจต้องการแล้ว
5.) ภาษาที่ใช้ในการท่องเที่ยว คือ ภาษาใบ้+อังกฤษ คนรัสเซียส่วนใหญ่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษครับ จะพอพูดได้บ้างตามร้านอาหาร แต่ก็น้อยมาก แต่ผู้คนก็พยายามสื่อสารกับเรานะ คนรัสเซียนิสัยไม่แย่ครับ ช่วยเหลือมีน้ำใจดี ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจะมีป้ายภาษาอังกฤษกำกับไว้ ส่วนมอสโกจะลำบากกับชื่อสถานีรถไฟหน่อย เพราะไม่มีภาษาอังกฤษเลย แนะนำให้โหลดแอพ Yandex Metro ไว้นะครับ มีประโยชน์มาก Android / IOS
6.) เสื้อผ้าตะลุยฤหนาวของรัสเซีย
ครอบครัวเรามาเที่ยวรัสเซียช่วงฤดูหนาว ซึ่งอากาศจะหนาวจัดถึง -35c เตรียมตัวเรื่องเสื้อผ้ากันอย่างไร
คือต้องเข้าใจก่อนว่าอุณหภูมิที่หนาวเย็นขนาดติดลบมากๆ ประกอบกับลมหนาวจัดที่พัดมาโดนร่างกายเนี่ย ชุดกันหนาวที่ใส่กันปกติจะเอาไม่อยู่นะครับ จำเป็นต้องชุดกันหนาวพวกที่ป้องกันความหนาวจัดจริงๆ แบรนด์ที่นิยมกันก็พวก The North Face หรือ Columbia ซึ่งต้องบอกว่าป้องกันความหนาวเย็นได้ดีมากเลยทีเดียว แต่ชุดกันหนาวแบรนด์พวกนี้ราคาจะค่อนข้างแพงนะครับ ระดับหลายพันจนไปถึงหลายหมื่นบาท
ประเด็นคือถ้าเราไม่ได้เที่ยวอากาศหนาวจัดแบบนี้บ่อยๆ ปีละครั้ง สองปีสามปีห้าปีครั้ง ซื้อมันจะแพงมาก แถมพอซื้อแพงแล้ว เราก็จำเป็นต้องใส่มันซ้ำๆครับ ชุดเดิมกลัวไม่คุ้มก็ใส่ซ้ำมันอยู่นั่นแหละ ถ่ายรูปก็จะเบื่อมากเลยชุดเดิมตลอด
ตอนนี้มีทางเลือกที่ดีกว่านั้นครับ ทริปตะลุยรัสเซีย ครอบครัวเราเช่าชุดกันหนาวจากร้าน เช่าเสื้อกันหนาว winterclothing ศุภาลัย ปาร์ค ตรงข้าม SCB Park รัชโยธินมา
ข้อดีของร้านนี้คือ เค้ามีชุดกันหนาวคุณภาพแบรนด์เนมให้เช่าทั้งชุดครับ ตั้งแต่หมวก,เสื้อ,กางเกง,รองเท้า,ถุงมือ แบบก็สวย มีให้เลือกเยอะมาก เจ้าของร้านคุณปอมดูแลและแนะนำดีมาก
การเช่าแบบนี้ก็ทำให้เราได้ชุดที่พร้อมจะเผชิญความหนาว ค่าใช้จ่ายถูกกว่า แถมได้เปลี่ยนชุดถ่ายภาพได้ทุกทริป ถ่ายภาพออกมา ภาพสวยไม่น่าเบื่อจำเจอีกต่อไปครับ
ใครมีทริปลุยหนาวลองดูทางเลือกการเช่าชุดแบบนี้ดูนะครับ ทริปไม่หนาวมากแบบแฟชั่นของแบรนด์ชั้นนำอย่าง Esprit, Zara ก็มีให้ยืมนะ เช่าเสื้อกันหนาว แบรนด์เนม และ เสื้อโค้ท ioon ไออุ่น จัดไปจ้า
7.) การใช้อินเตอร์เนต
ครอบครัวเราใช้อินเตอร์เนตกันหลายเครื่อง จึงไม่อยากไปซื้อซิมท้องถิ่นหลายๆซิม และไม่อยากแชร์ Mobile Hotspot ให้เปลืองแบต เลยเช่า Pocket Wifi ของ Tripizee ไป รับ-คืนเครื่องได้ที่ชั้นใต้ดินตรงหน้าทางเข้า Airport Link สนามบินสุวรรณภูมิได้เลย
สัญญาณในเมืองค่อนข้างโอเคครับ แต่ออกไปนอกเมืองเวลาไปล่าแสงเหนือจะไม่มีสัญญาณนะครับ แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเขตที่คนอยู่น้อย ทาง Operator ที่นั่นเลยไม่ครอบคลุมครับ
เริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า ทริปนี้เราเดินทางด้วยการบินไทย สายการบินแห่งชาติ ข้อดีของการบินไทย คือ เป็นไฟล์ทบินตรงสู่รัสเซียไม่ต้องไปแวะเปลี่ยนเครื่องที่ไหนให้เสียเวลาครับ ทำให้เหนื่อยน้อยลง มีเวลาเที่ยวเพิ่มขึ้นด้วย
น้องเกรซน้องกายชอบการบินไทย เพราะมีหนังภาษาไทยให้ดู และมีแอร์โอสเตสคนไทยที่เข้าใจคนไทยคอยดูแล แถมมีกระเป๋าขนมมาให้น้องๆทานระหว่างไฟล์ทบินด้วย ปลื้มๆ
จองตั๋วเครื่องบิน เลือกอาหารและที่นั่งได้ที่ https://www.thaiairways.com
หลังจากบินการบินไทยลงที่สนามบินมอสโกแล้ว เราจำเป็นต้องต่อเครื่องของ Red Wings ขึ้นไปอีกราวๆ 2 ชั่วโมงเพื่อไปยัง Murmansk ที่อยู่ทางเหนือของรัสเซียครับ
ใกล้ๆที่พักของครอบครัวเรา มีสนามเด็กเล่นที่มีรูปปั้นที่ทำจากน้ำแข็งด้วย
แถมมีสไลดเดอร์น้ำแข็งสุดมันส์ด้วยครับ
พิกัดสำหรับคนที่อยากมาสนุกแบบนี้ (น่าจะมีเฉพาะฤดูหนาวนะ) : https://goo.gl/maps/8Db6A63NL4z
สนุกแค่ไหนไปชมคลิปกัน
การเที่ยวที่ Murmansk เดินทางเองจะลำบากหน่อยนะ แนะนำให้จ้างไกด์ท้องถิ่นนะ เราไปกับคุณหยก นักศึกษา ป.โท คนไทยหนึ่งเดียวในเมืองมูร์มันสค์
โปรแกรมเที่ยวดังนี้นะครับ
Day 1 : 5 มี.ค. 2018 • รับจากสนามบินมูรมันสค์ ,ส่งที่โรงเเรม
Day 2 : 6 มี.ค. 2018 • Teriberka หมู่บ้านอันโด่งดังริมฝั่งอาร์กติก ชมภูมิประเทศแบบทุนดรา ขาวโพลนไปด้วยหิมะสุดลูกหูลูกตา ทะเลสาบสลับกับสีสันต์เเห่งท้องฟ้าประสานกันอย่างลงตัว บนเส้นทางไปสู่ฝั่งอาร์กติก ขั้วโลกเหนือ (ระยะทางราว 150 กม.)
Day 3 : 7 มี.ค. 2018 •ออกเดินทางสู่หมู่บ้าน Lovozero ใช้เวลาเดินทาง 2.5 ชม.
•นั่ง snowmobile ออกสู่ทะเลสาบน้ำเเข็ง
•นั่งลากเลื่อนไซบิเรียนฮัสกี้
•นั่งลากเลื่อนกวางเรนเดียร์
•ป้อนอาหารกวางเรนเดียร์
•ออกล่าเเสงเหนือ2 รถมารับ (21.00-00.00)
Day 4 : 8 มี.ค. 2018 ไปลานสกี + ดูแสงเหนือ
Day 5 : 9 มี.ค. 2018 • ส่งถึงสนามบินมูรมันสค์ เดินทางโดยสวัสดิภาพ
ค่าใช้จ่าย : ผู้ใหญ่ 350 USD เด็ก 200 USD
คือเที่ยวที่ Murmansk แนะนำให้ซื้อทัวร์นี้เลยนะครับ เพราะเที่ยวเองยากครับ แต่ละที่ไกลๆทั้งนั้น ขับรถก็ยาก ถนนเต็มไปด้วยหิมะ คุยอังกฤษกับคนที่นี่ก็ไม่ได้ มีคนไทยที่เข้าใจคนไทยมาดูแลดีกว่าเยอะครับ
ติดต่อได้ที่เพจนี้เลยครับ : https://www.facebook.com/murmanskaurora/
เริ่มต้นเที่ยวที่ Murmansk วันแรก คุณหยกก็เอารถตู้พร้อมคนขับรถมารับที่ที่พัก แล้วขับออกนอกเมืองมา สองข้างทางเต็มไปด้วยหิมะสุดลูกหูลูกตาครับ ลักษณะคล้ายๆทะเลทรายแหละ แต่เปลี่ยนจากทรายเป็นหิมะแทน ซึ่งเค้าเรียกว่าทุ่งทุนดรา Tundra ครับ
ทุ่งทุนดรานี้เป็นที่นิยมในการนำร่มชูชีพมาโต้ลมเล่นกันครับ แต่ส่วนตัวผมว่ามันหนาวเกินไปนะ
แต่ถึงจะหนาวแค่ไหน เด็กๆก็สนุกกับการเล่นหิมะตลอดเวลาเลย
โดยจุดหมายการเดินทางในวันนี้ คือหมู่บ้านชาวประมงริมขั้วโลกเหนืออย่าง Teriberka
เราได้ลองนั่ง Snow Mobile ที่จูงลากเตียงที่มีผ้าห่มขนสัตว์ ลากผ่านภูมิประเทศที่สุดยอด สวยงามสุดๆ
ปล.ไม่ได้ขับเองนะ ยืมขึ้นไปนั่งถ่ายรูปเฉยๆจ้า
ทุกอย่างที่นี่หนาวจัดจนเป็นน้ำแข็ง ทั้งทะเลสาบหรือน้ำตก อุณหภูมิน่าจะอยู่ที่ -30c แต่ลมทำให้หนาวจัดขึ้นไปอีก หนาวจนปวดนิ้ว หูชาเลยทีเดียว
ถึงจะหนาวจัด แต่ในความหนาวเย็นนั้น ก็ซ่อนความสวยงามมากมาย ก็นับเป็นประสบการณ์ที่ดีครั้งหนึ่งในชีวิต
บริเวณที่นอนถ่ายรูปกันนี้ ที่จริงเป็นน้ำตกที่แข็งตัวแล้วนะ
คุณนายแอนนอนถ่ายรูปสบายใจเชียว
วันที่ 3 ของการเดินทางท่องเที่ยวรัสเซีย ครอบครัวเราเดินทางมายังหมู่บ้าน Lovozero ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมือง Murmansk มาทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 2 ชั่วโมง
มาถึงก็มาเปลี่ยนชุดกันหนาวกันก่อนนะ ที่นี่เค้ามีชุดกันหนาวให้ยืมครับ
ที่หมู่บ้านนี้มีกิจกรรมสนุกมาก คือการลากเลื่อนโดยหมาไซบีเรียน ฮัสกี้ และกวางเรนเดียร์ ท่ามกลางภูมิประเทศที่เป็นทะเลสาบที่เย็นจนเป็นน้ำแข็ง
เจ้าหมาฮัสกี้พวกนี้ขนนุ่มมาก เชื่องคน แถมซนสุดๆ ไม่เห่าก็จะกระโดดกัดหูเพื่อนเล่นตลอดเวลา แต่พอถึงเวลาทำงานลากเลื่อน ก็กระตือรือล้นในการวิ่งจริงๆ วิ่งไปก็เห่าไป นั่งเลื่อนไปลมเย็นก็ปะทะตัวไป (อุณหภูมิประมาณ -30c หนาวเอาเรื่องเลย) ท่ามกลางวิวที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา ทำให้การนั่งให้เจ้าหมาฮัสกี้ลากไปจึงเป็นอะไรที่พิเศษจริงๆ เด็กๆชอบกันมาก (อย่าว่าแต่เด็กๆเลย ผู้ใหญ่ก็ชอบมากเช่นกัน)
น่ารักจริงๆเลย อยากห่อเอากลับไปบ้านสักตัวสองตัว อิอิ
น้องหมาลากได้ประมาณ 20 นาที เจ้าหน้าที่ก็จะพานั่งรถ Snow Mobile เข้าไปในป่าสนที่มีกวางเรนเดียร์หน้าตาน่ารักๆรออยู่ เพื่อจะสลับให้น้องกวางมาลากบ้าง น้องกวางจะเริ่มจากเดินลากก่อนจะเร่งสปีดวิ่งอีกที สนุกไม่แพ้น้องหมาเลย
ในกระโจมเค้าจะก่อกองไฟให้แขกสามารถเข้าไปหลบหนาวได้ แต่ควันจะเยอะหน่อยนะ
ชอบมุมนี้เป็นพิเศษ ถ่ายภาพสวยมากเลย
มาชมคลิปกันครับ
มื้อกลางวัน เราร่วมกันทานอาหารแบบรัสเซียแท้ๆกัน ข้าวของเค้าลักษณะจะคล้ายลูกเดือย ส่วนสลัดบีทรูทครับ รวมๆแล้วไม่อร่อยเลยอ่ะ ไม่ถูกปากจริงๆ แต่ก็ถือว่าได้ลองชิมอาหารรัสเซียแท้ๆครับ
เคยฝันไว้นานแล้วว่าสักครั้งในชีวิตจะต้องมาชม “แสงเหนือ” หรือออโรร่า ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หาชมได้ยากสำหรับคนไทยอย่างเรา
ทริปที่มารัสเซียครั้งนี้ เราต้องใช้ความพยายามถึง 3 คืน คืนแรกไม่เจอ คืนสองค่า KP Index ดัชนีความแรงก็อ่อนจนเกินไป จนคืนที่สาม เราเฝ้ารอตั้งแต่สามทุ่ม กว่าจะเห็นก็ประมาณเที่ยงคืนครึ่ง อุณหภูมิก็หนาวจัด -35c มือไม้นี่หนาวจนแข็ง เจ็บไปหมด
แต่สุดท้ายก็มีแสงสีเขียว วาดระบายผ่านท้องฟ้าออกมาให้ชมอย่างที่หวัง ผมตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก ตะโกนเรียกภรรยาและเด็กๆออกมาดูกัน ทุกคนตื่นเต้นที่ได้มองเห็นแสงที่สวยงามนี้มาก ตื้นตันที่ความพยายามของพวกเราที่บินข้ามฟ้าข้ามน้ำทะเลมาไกลจากบ้านเกิด อดทนความหนาวที่แสนจะทรมานร่างกาย อดทนรอเวลา จนได้มาเห็นตามความฝันที่ตั้งใจมาจริงๆ
ปล. ขออภัยที่ผมถ่ายภาพออกมาได้ไม่สวยนะครับ ถ่ายภาพมาเยอะแต่แสงเหนือถ่ายยากมากจริงๆครับ ฝีมือมีไม่พอ ขออภัยนะครับ
วันต่อมาคุณหยกพาพวกเรามาสไลด์เดอร์ห่วงยางลงจากภูเขาหิมะกัน
ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 450 RUB/คน/ชั่วโมงครับ
จ่ายเงินแล้วก็รับห่วงยาง แล้วไปรอขึ้นลิฟท์ นั่งห่วงยางให้เชือกลากขึ้นไปได้เลย
ขึ้นไปแล้วก็สไลด์เดอร์ลงมาอย่างมันส์เลยจ้า
สนุกแค่ไหนมารับชมคลิปกัน
ตกบ่ายทัวร์คุณหยกก็พาพวกเรามาเล่นที่ลานสกีกัน
ลานสกีที่รัสเซียเนี่ยถือเป็นที่นิยมของชาวนอร์เวย์ที่อยู่ใกล้ๆพรมแดน จะข้ามมาเล่นที่นี่กันเยอะ เพราะค่าเช่าอุปกรณ์และค่าลิฟท์ถูกมาก
ใครชอบเล่นสกี รัสเซียนี่คือสวรรค์เลยครับ
จาก Murmansk เรานั่งไฟล์ทในประเทศลงมาเที่ยวต่อที่ St.Petersburg
ตั้งแต่แว่บแรกที่มาถึง St.Petersburg ก็โดนโกงเลย เตือนภัยการเดินทางในรัสเซียกันหน่อย
เรื่องของเรื่องคือ เล่นสกีแล้วขาเจ็บ กระเป๋าสัมภาระก็เยอะ เลยไม่อยากจะนั่งรถบัสหรือ Metro แล้วต้องมาเดินต่อไปยังที่พัก เลยกะจะเรียก Taxi เข้าที่พักแทน
ลงเครื่องบินแล้วก็เลยไปถามราคาเคาน์เตอร์แท๊กซี่ เค้าบอกรถใหญ่ 1,700 rub (ประมาณ 900 บาท) เราคิดว่าแพงเพราะ Uber Black แค่ 1,000 rub เอง และคิดว่าปกติเคาน์เตอร์พวกนี้น่าจะราคาสูงกว่าเราเรียกเอง
เลยเดินออกมากะจะเรียกแท๊กซี่ เจอฝรั่งคนหนึ่ง บุคคลิกดี พูดภาษาอังกฤษได้ แถมห้อยป้าย Official Taxi อยู่หน้าเคาน์เตอร์ Information มาชวนให้ไปรถเค้า เราถามว่ากระเป๋าเยอะนะ มันบอกสบาย เราถามว่าเท่าไหร่ มันบอกกดมิเตอร์ เราคิดว่าน่าจะไว้ใจได้ ก็เลยคิดว่าจะไปกับมัน
พอออกมาจริงๆ เป็นรถ Toyota Harrier แต่หน้าตาเหมือนรถธรรมดาไม่เหมือน Taxi เลย ก็งงๆ แต่ก็ไม่รู้ทำไง ก็นั่งไป คนขับรถชวนคุยดีตลอดทาง เคยมาเมืองไทยโน้นนี่ แนะนำที่เที่ยวที่นั่นที่นี่ จนถึงที่หมาย
กดราคาออกมา 5,xxx rub (ประมาณ 2,600 บาท) เอ้ย… แม่งมันจะแพงกว่าขนาดนี้เลยหรา ต่อให้มันลด มันบอกว่าตามนี้แหละ โอ้ว… แพงกว่าเท่าตัวเลยนะ สุดท้ายต่อรองสุดๆได้ 4,000 rub แพงกว่าเท่าตัวจากเจ้าแรกอยู่ดี เจ็บใจมาก
ใครมา St.Petersburg แล้วจะนั่งแท๊กซี่ แนะนำจ่ายกับเคาน์เตอร์เลยนะ อาจจะแพงกว่าธรรมดาหน่อย แต่ชัวร์กว่านะ อย่าโดนฝรั่งฟันแบบพวกเรานะครับ เจ็บจริงๆ
เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St.Petersburg) มีประชากรมากกว่า 4.7 ล้านคน เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของรัสเซีย และเป็นมรดกโลกขององค์กรยูเนสโก
เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กสร้างโดยพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช เมื่อ พ.ศ. 2246 โดยตัวเมืองเริ่มสร้างด้วยการถมทรายและหินเป็นจำนวนมากเพราะว่าพื้นที่เดิมของเมืองนั้นเป็นดินเลนของทะเล พระองค์ทรงเลือกที่จะสร้างเมืองที่บริเวณนี้เพราะว่าตัวเมืองมีทางออกทะเลบอลติกและสามารถติดต่อไปทางยุโรปและประเทศอื่นๆได้ง่าย เพื่อการปฏิรูปรัสเซียให้ทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรปได้โดยง่าย ต่อมาเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์กจึงได้รับสมญานามว่าหน้าต่างแห่งยุโรป และได้เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิรัสเซียเป็นเวลา 206 ปี
ที่เที่ยวโดยรวมของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St.Petersburg) ตามภาพนี้เลยครับ พวกที่เที่ยวใจกลางเมือง ผมใช้เดินเอาล้วนๆนะครับ ส่วนที่อยู่ไกลออกไปเช่น Catherine Palace, Peterhof ต้องนั่ง Metro ไปต่อรถบัสครับ
มาเริ่มเที่ยวเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กกันดีกว่า เราเริ่มเดินกันบริเวณ Palace Square กันก่อนเลย
บริเวณ Palace Square จะมี Hermitage Musuem ซึ่งเป็นอาคารสีเขียวตั้งอยู่
มาเที่ยวในบรรยากาศหน้าหนาว หิมะทั้งเมืองเลยอ่ะ
หนาวจัดจนพวกเราสามารถลงไปเดินเล่นบนแม่น้ำที่เย็นจนกลายเป็นน้ำแข็งได้เลย
กองบัญชาการทหารเรือ Admiralty Building
พิกัด : https://goo.gl/maps/6VUbwp4C6i12
มหาวิหารนักบุญไอแซค
พิกัด : https://goo.gl/maps/WLPWq5zoq3q
ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 250 RUB เด็กเข้าฟรี
ด้านในสวยมากครับ เพดานสูงมีภาพสวยงามมากๆ
มหาวิหารนักบุญไอแซคเป็นอาสนวิหารออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังเป็นอาสนวิหารคริสต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก
เค้าว่ากันว่าหลังคาทำจากทองคำกว่า 100 กิโลกรัม และภายในตกแต่งด้วยหินอ่อนและหินอื่นๆกว่า 43 ชนิดเลยครับ
เที่ยวกันต่อที่ Savior on the Spilled Blood หรือที่คนไทยเรียกว่าโบสถ์หยดเลือด
น่าเสียดายที่บางส่วนถูกปิดซ่อมแซมครับ
พิกัด : https://goo.gl/maps/QvgUpLmhMF62
ถึงจะปิดไปบางส่วน แต่ก็ยังสวยงามอยู่ดีนะ
แต่มาเที่ยวแถวโบสถ์หยดเลือด ต้องระวังพวกโจรให้มากๆนะ โจรที่นี่เค้าว่าดุมาก ไม่ใช่แค่ล้วงกระเป๋า แต่มาล้อมวงแล้วปล้นนักท่องเที่ยวเลยก็มี
และครอบครัวเราก็มีประสบการณ์เชียดโดนปล้นมาเล่าให้ฟังด้วยครับ
เวลาประมาณสายๆ 10 โมงเช้า พวกเราเดินออกจากที่พักพร้อมเที่ยว วันนี้แดดดีฟ้าใส เลยจะเดินไปถ่ายรูปที่โบสถ์หยดเลือดอีกครั้ง ต้องเดินอีกเส้นทางที่ไม่ได้อ้อมมาก
ปรากฎเดินๆไป แอนรู้สึกแปลกๆ มีผู้ชายตัวใหญ่ๆล่ำๆ สูงกว่าอินน่าจะเกือบฟุตนึงได้ แต่งตัวดีสะพายกระเป๋า LV เดินตามระยะประชิด มากัน 4-5 คน ทำท่าทางมีพิรุธ แต่ก็พยายามกลบเกลื่อนให้เหมือนนักท่องเที่ยว
พอแอนหันไปดู มันก็หยุดๆนิดนึง เลยบอกอินที่เดินนำข้างหน้า อินหันมา พวกมันก็หยุดอีก แต่ก็บอกแอนว่าไม่มีไรหรอกๆๆ
เดินไปอีกหน่อย มีรถเน่าๆมาจอดเทียบเลยหน้าพวกเราไปหน่อย ลดกระจกเปิดไฟขอทางแล้วหันไปทางกลุ่มด้านหลัง แอนยิ่งระแวงหนักเข้าไปอีก
เลยเดินอีกประมาณ 10 ก้าว เห็นร้านจิวเวลรี่เปิดแล้วพอดี เลยรีบเดินแซงอิน และบอกอินให้มาหลบในร้านก่อน ปรากฎว่ามันเดินตามมาออกันหน้าร้าน อินเข้าร้านคนสุดท้ายเพราะต้องรอเด็กๆเข้าหมดก่อน
แอนหันไปจ้องพวกมันมีคนนึงกำลังง้างแหวกกระเป๋ากล้องอินพอดี ดีที่รูดซิปไว้หมด แล้วพออินเข้าร้านได้ มันก็ถอยเดินกลับไปทางเดิม
นี่ระวังตัวสุดๆแล้วนะ ถ้าเดินต่อไม่หลบในร้าน โดนแน่ๆ เพราะถัดไปไม่มีร้านให้หลบแล้ว โดนปล้นแน่นอน
แต่สุดท้ายก็รอดมาได้นะ เฮ้อ… ตื่นเต้นชะมัด
มาชมด้านในของ Savior on the Spilled Blood กันบ้างนะครับ
สีสันของที่นี่อาจจะไม่สดใสเหมือนมหาวิหารไอแซค แต่มันจะดูออกแนวขลังมากกว่าครับ
ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 250 RUB เด็กเข้าฟรี
มาพูดถึงค่าครองชีพที่ Russia กันบ้างนะ
ค่าครองชีพค่อนข้างจะใกล้เคียงกับประเทศไทยมากครับ บางอย่างก็ถูกกว่า บางอย่างก็แพงกว่า อย่างเรื่องที่พักเนี่ย อพาร์ทเม้นท์ทำเลดี กว้างๆ คืนละสองถึงสามพัน
อาหารส่วนใหญ่ราคาแพงกว่าไทยนิดเดียว แต่บางอย่างก็ถูกกว่า อย่าง Burger King เนี่ย บ้านเราชุดหนึ่งสองร้อยสามร้อยนะ แต่ที่ Russia ถูกกว่าครับ ไก่นัตเก็ต 15 ชิ้น 60 บาท เบอร์เกอร์บางอันร้อยเดียวก็มี
แต่พวกชาหรือเค้กในคาเฟ่ต่างๆ เอาแบบไม่หรูมาก ราคาจะค่อนข้างสบายกระเป๋า เค้กตกชิ้นละ 50-60 บาท ชากาแฟก็กาละ 150 บาท ดื่มได้สองถึงสามแก้ว รสชาติไม่แย่นะ บางร้านอร่อยด้วย คุ้มมาก
มาเที่ยวรัสเซียในฤดูหนาว บางวันหิมะก็ตกทั้งวัน กิ่งไม้ต้นไม้ไม่เหลือใบเลย แต่พอมาเรียงรายเป็นทางยาวๆแล้วมีหิมะปกคลุม ถ่ายรูปออกมาก็สวยไม่เบานะ
พวกเราเดินมาเที่ยวมหาวิหารคาซาน Kazan Cathedral กันต่อ
สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ในปีค.ศ. 1708 ตั้งอยู่ใจกลางเมือง บนถนนเนฟสกี้ ถนนเส้นหลักของตัวเมืองเลยค่ะ แต่เดิมนั้น ที่นี่เป็นเพียงโบสถ์เล็กๆ ต่อมาในสมัยการปกครองของพระเจ้าปอลด์ที่ 1 ในปีค.ศ. 1800 ได้ทำการสร้างวิหารใหม่ ให้เป็นวิหารที่ใหญ่และสวยงามมากขึ้นกว่าเดิม
พิกัด : https://goo.gl/maps/vY9Vntr9Gmr
บริเวณแถวนี้เป็นจุดตัดระหว่างถนนเนฟสกี้ Nevsky Prospect ซึ่งถือเป็นถนนสายหลักของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก มีทั้ง Metro และเป็นทางเดินไปโบสถ์ Savior on the Spilled Blood ทำให้เป็นแหล่งคนพลุกพล่านสุดๆ ใครมาเดินแถวนี้ก็ควรระวังตัวจากพวกมิจฉาชีพมากๆนะครับ มีคนโดนและเตือนกันไว้เยอะมาก
เราเดินเล่นไปตามถนนเนฟสกี้ Nevsky Prospect ไปเรื่อยๆ เจอกับหุ่นช็อกโกแลตตัวโต มีป้ายเขียนว่า Chocolate Museum อ่ะ ขอไปเที่ยวดูสักหน่อย
ที่จริงแล้วมันเป็นร้านขายช็อกโกแลตนั่นแหละ เข้าไปดูฟรีนะ มีช็อกโกแลตทำเป็นรูปต่างๆเยอะมาก บางอันก็แปลกสุดๆ สนุกไปอีกแบบครับ
มาพูดถึง Metro ของที่รัสเซียกันบ้างนะครับ ระบบจะเป็นการแตะบัตรเพื่อเข้าครั้งเดียว ตอนออกเดินออกได้เลย หากซื้อ 20 รอบขึ้นไปจะได้รับส่วนลดครับ ซึ่งถ้ามาหลายๆคนก็ซื้อ 20 รอบใบเดียว แล้วใช้แตะด้วยกันได้นะ
สถานีรถไฟใต้ดินที่นี่ลึกมากครับ ขนาดลงบันไดเลื่อนยังรู้สึกว่านาน ยาวสุดๆไปเลย
ส่วนตัวชานชลาของ Russia เอง ก็ขึ้นชื่อว่าหรูหราอลังการสุดๆ ยิ่งสถานีใจกลางเมืองก็ยิ่งหรูครับ มีคนบอกผมว่า แต่ก่อนมีการทำสงครามกัน ทำให้ผู้คนที่นี่ต้องมาหลบภัยใต้ดินบ่อยๆ ทำให้รัฐบาลเค้ายอมลงทุนตกแต่งให้หรูหรา ผู้คนจิตใจจะได้ไม่หดหู่จากสงครามจนเกินไปนั่นเอง
วันนี้เรามาเที่ยวโซนด้านทิศใต้ของเมือง St.Petersburg กัน
เริ่มจากโบสถ์ Chesmenskaya โบสถ์นี้ไม่ค่อยดังเท่าไหร่ แต่กลับเป็นโบสถ์ที่ผมชอบ เพราะสีของโบสถ์สวยดีครับ ด้านในจะเก่าๆหน่อยนะ
พิกัด : https://goo.gl/maps/7q3XPi6Twxr
Metro : Moskovskaya
หิมะเริ่มละลายบ้างแล้ว (ถ้ามันป่นมากจะปั้นไม่ได้ครับ ต้องชื้นนิดหนึ่ง) เด็กๆเลยช่วยกันปั้นตุ๊กตาหิมะ Snowman กัน
ปล. ที่ Murmansk พยายามปั้นไม่สำเร็จ เพราะหิมะแห้งจนเกินไปครับ
เราเดินทางกันต่อไปที่ Catherine Palace วิธีการเดินทางก็เดินกลับมา Metro : Moskovskaya แล้วเดินไปหน้าตึกในภาพ มันจะคล้ายๆอู่รถเมล์ รถมินิบัสจอดกันเยอะมาก สังเกตุไม่ยาก ให้ขึ้นรถบัสหมายเลข 342 หรือ 545 ถ้ารถเต็มเขาก็ออกเลย ค่ารถ 40 RUB ตอนขึ้นหาที่นั่งแล้วเดินไปจ่ายให้คนขับเลย
ใครจะไปเที่ยวพระราชวังอย่างเดียว ลงป้ายพิกัดนี้ : https://goo.gl/maps/SUhb6kktb4M2
ยังไงก็พยายามบอกคนขับให้เตือนให้ลงด้วย ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องก็เอาภาพให้เค้าดูครับ
แต่ใครอยากจะมาเที่ยว Pushkinsky แบบครอบครัวเรา ลงป้ายนี้ครับ : https://goo.gl/maps/X6q3PfxjWcr
จะมีโบสถ์สวยๆอยู่อันหนึ่ง หลังคาทองอร่ามเลย
มีอูฐและรถม้าให้ถ่ายภาพหรือขี่เล่นด้วยนะ แต่ผมเลือกให้ขี่ถ่ายภาพเฉยๆ 100 RUB ครับ
หลังจากหาอะไรทานแถวๆนั้นแล้ว ก็เดินต่อมาเที่ยวที่พระราชวังเยกาเจรีนา หรือ Catherine Palace กันต่อเลย พิกัดตามนี้นะ : https://goo.gl/maps/KeiK8AHmy6F2
อาคารทางเข้ายอดหลังคาสวยสุดๆไปเลย
ตัวพระราชวังทาสีฟ้าสลับขาว มีสีทองแซมอยู่บ้าง
ซื้อตั๋วเข้าชมด้านในนะ ราคา 700 RUB เด็กต่ำกว่า 18 ปี เข้าฟรี
ทางขึ้นบันไดสวยหวานมาก
เข้ามาโถงชั้น 2 แล้วต้องร้องว้าวๆๆๆครับ เพราะผนังของวังเป็นทองครับ ดูหรูหราและสวยงามมาก ภายในมีห้องต่างๆเยอะมาก แต่มันจะซ้ำๆหน่อยนะ
อีกวันเราเดินทางมาเที่ยวที่พระราชวัง Peterhof กันบ้าง
การเดินทางมาได้หลายวิธีที่สะดวก แต่แพงที่สุด คือ นั่งเรือ Hydrofoil พิกัด : https://goo.gl/maps/EwuVxLnFAhE2 ต่อเดียวถึงครับ แต่ตอนที่ผมมา แม่น้ำมันดันแข็งเป็นน้ำแข็ง เรือมันก็ไม่วิ่ง
ก็เลยต้องมาวิธีนั่ง Metro มาลงที่สถานี Avtovo แล้วนั่งรถบัส К-300, К-424, К-424А มาครับ ลงป้าย https://goo.gl/maps/dpKzmosoYW12 ใช้เวลารวมประมาณ 1 ชั่วโมงครับ แต่ค่าใช้จ่ายถูกกว่าแบบเรือเยอะเลยครับ
พอเข้าพระราชวังปีเตอร์ฮอฟมา ต้องตกตะลึงอีกครั้ง เพราะมันกว้างใหญ่มากๆ
ไฮไลท์ของที่นี่คือจะมีน้ำพุที่เป็นลักษณะของเมืองนี้ ซึ่งตอนที่ดูภาพก่อนเดินทาง มันสวยงามจริงๆ แต่พอเรามาผิดฤดู มันเลยแข็งไม่มีน้ำแบบนี้ครับ
แถมไม่รู้ว่าวันจันทร์เค้าปิดพระราชวังนะ เข้าชมด้านในไม่ได้อีก แงๆๆๆๆ
วันสุดท้ายที่ St.Petersburg ฝนตกลงมา หิมะบนพื้นก็ละลายทั้งลื่นและเฉอะแฉะไปหมด
เราก็มาเที่ยวชม Saint Petersburg Mosque กัน พวกเราชมได้แต่ด้านนอกครับ เพราะประตูเค้าปิด เลยอดเข้าไปชมด้านในเลย
เข้าด้านในไม่ได้ มายืนชมประตูก็ยังดี สวยดีไม่น้อยครับ
พิกัด : https://goo.gl/maps/s7zaDJ7FPTD2
ตรงข้ามกัน เดินมาเที่ยว Peter and Paul Fortress กันต่อ
พิกัด : https://goo.gl/maps/gqAUihQcKzD2
ในนี้มีรูปปั้นกระต่ายเพียบเลยครับ ถ่ายภาพกันตามชอบใจ
และเนื่องจากมันเป็นป้อมปราการ ก็เลยมีปืนใหญ่ให้ชมกันด้วย
เก้าอี้ทรงสวยงามตั้งล้อมเป็นวงกลมเลย สวยดีครับ
ถึงเวลาอำลาเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เดินทางต่อไปยังมอสโก
ครอบครัวเราใช้วิธีจองตู้นอนบนรถไฟข้ามคืนไปมอสโกกันครับ ข้อดีคือ เราสามารถเดินทางตอนเวลากลางคืนแล้วไปถึงที่มอสโควช่วงเช้า ก็สามารถเที่ยวต่อได้เลย ประหยัดค่าที่พักไป 1 คืน และค่าเดินทางก็ถูกกว่าการเดินทางโดยเครื่องบินด้วย
ในห้องโดยสารจะแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งละสองเตียง บนและล่าง มีโต๊ะให้ 1 อัน มีหมอนและผ้าปูที่นอนให้ มีประตูกั้นห้องและปิดล็อกได้ พื้นที่ตรงกลางก็พอประมาณ เราสามารถเก็บสัมภาระใต้ที่นั่งและโต๊ะได้ ครอบครัวเรากระเป๋า 3 ใบใหญ่ยังเหลือๆ
มีแซนวิสและน้ำดื่มให้ ตามภาพครับ
ตอนแรกก็กังวลว่าจะไหวมั้ย แต่พอได้ลองเดินทางจริงๆ รถไฟรัสเซียใหม่และสะอาด ปลอดภัยดีครับ อาจจะไม่สะดวกเรื่องห้องน้ำเท่าไหร่ แต่ก็ได้นอนหลับยาวๆ สบายเหมือนนั่งบิสซิเนสคลาสบนเครื่องบินเลย
ก่อนถึงมอสโก 30 นาทีจะมีเจ้าหน้าที่มาเคาะเรียกให้เตรียมตัว โดยรวมแล้วถือเป็นทางเลือกการเดินทางที่ประหยัดและสบายไม่น้อยเลยทีเดียว
มาเที่ยวมอสโกกันดีกว่านะครับ
ที่เที่ยวมอสโกมีเยอะเหมือนกัน จะมีแถวกลางใจเมืองพวกจัตุรัสแดง Red Square โบสถ์หัวหอมเซนต์เบซิล พระราชวังเคลมลิน Kremlin Palace และพวกถนนคนเดิน Arbat Street และตลาดนัดเจเจมอสโก Izmaylovskiy Vernisazh
หรือใครอยากไปนอกเมืองก็จะมี Tsaritsyno Museum-Reserve หรือ The Holy Trinity-St. Sergius Lavra แห่งเมืองเซอร์กิเยฟโปซาด
ครอบครัวเราตอนแรกตั้งใจจะไปให้หมดนะ แต่หลังจากเที่ยวโบสถ์และพระราชวังมาเยอะพอสมควร ลูกทัวร์โดยเฉพาะคุณนายแอนและน้องเกรซเริ่มจะเอียนโบสถ์ ประกอบกับอากาศลดไปติดลบถึง -9c เดินเที่ยวกันไม่ค่อยจะไหว เลยตัดโปรแกรมบางส่วนทิ้งไป เน้นเดินเล่น จิบชากินขนมแทนครับ
มาเริ่มเที่ยวกันเลยเนอะ ที่แรกเรามากันบริเวณจัตุรัสแดง Red Square ซึ่งบริเวณนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมากที่ล้อมรอบจัตุรัสแดงไว้
สถานี Metro ที่ใกล้ที่สุด คือ สาย 1 สีแดง Okhotny Ryad (Охотный ряд) / สาย 2 สีเขียว Teatral’naya (Театральная) / สาย 3 สีน้ำเงิน Revolution square (Площадь Революции)
ที่เที่ยวยอดนิยมที่สุดและเกือบจะเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ Russia เลย ก็คือ มหาวิหารเซนต์เบซิล Saint Basil’s Cathedral หรือคนไทยจะเรียกกันว่าโบสถ์หัวหอม
มหาวิหารเซนต์เบซิล Saint Basil’s Cathedral เป็นอาสนวิหารของศาสนจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย ตั้งอยู่ที่จัตุรัสแดง กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย สร้างโดยซาร์อีวานที่ 4 แห่งรัสเซีย หรือซาร์อีวานจอมโหด เพื่อฉลองชัยชนะเหนือพวกมองโกลที่กรีธาทัพมาเมืองคาซาน เมื่อปี ค.ศ. 1552 ผลจากชัยชนะครั้งนี้ทำให้รัสเซียสามารถรวมชาติได้เป็นปึกแผ่น จึงสร้างมหาวิหารแห่งนี้ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1555
มหาวิหารเซนต์บาซิลมีรูปทรงที่ไม่เหมือนโบสถ์อื่น คือมีโดม 8 โดมล้อมรอบโดมที่ 9 ที่อยู่ตรงกลาง ทำให้อาคารมีรูปทรงแปดเหลี่ยม ด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบรัสเซียโบราณอันได้รับอิทธิพลมาจากไบแซนไทน์ที่เป็นโดมทรงหัวหอมกับสถาปัตยกรรมที่เรียกกันว่ารัสเซียนกอธิก หอคอยสูงรูปกระโจมเป็นอิทธิพลจากยุโรปตะวันตก ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงกลายเป็นหอคอยสูงรูปแท่งเทียนกำลังลุกไหม้บนปลายลำเทียน ส่งความโชติช่วงชัชวาลย์เป็นเครื่องบูชาเทพเจ้าบนสวรรค์
มหาวิหารนี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชื่อปอสต์นิค ยาคอฟเลฟ (Postnik Yakovlev) และด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรมจึงทำให้มีเรื่องเล่าสืบต่อกันว่า ซาร์อีวานที่ 4 ทรงพอพระทัยในความงดงามของมหาวิหารแห่งนี้มาก จึงมีคำสั่งให้ปูนบำเหน็จแก่สถาปนิกผู้ออกแบบด้วยการควักดวงตาทั้งสอง เพื่อไม่ให้สถาปนิกผู้นั้นสามารถสร้างสิ่งที่สวยงามกว่านี้ได้อีก การกระทำในครั้งนั้นของพระเจ้าอีวานที่ 4 จึงเป็นที่มาของสมญานามอีวานผู้โหดร้าย (Ivan The Terrible)
ค่าเข้าชมด้านใน ผู้ใหญ่คนละ 500 RUB เด็กฟรี จะจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เดินชมกัน
อีกด้านหนึ่งของจัตุรัสแดงจะคือห้าง GUM ซึ่งเป็นห้างที่เปิดมายาวนาน สร้างตั้งแต่ปี 1890 ที่นี่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นห้างที่มีของขายตลอด แม้จะเป็นช่วงสงครามหรือช่วงเวลาที่ยุโรปเศรษฐกิจตกต่ำ ที่ไหนหาของยาก แต่ที่นี่จะมีของขายเสมอ
ด้านในมี 3 ชั้น มีโดมกระจกโค้งเป็นหลังคา ตรงกลางมีลานน้ำพุสวยงามด้วย
เราแนะนำให้ชิมไอติมตักรถเข็นที่กระจายอยู่ทั่วห้างนะ ราคาโคนละ 100 RUB อร่อยดีนะ บอกเลย
ตรงข้ามห้าง GUM ก็คือกำแพงของพระราชวังเคลมลิน Kremlin ตรงกลางจะมีสุสานของท่านเลนินด้วย
จัตุรัสแดงนี่เป็นมุมถ่ายภาพโปรดของผมเลย เพราะหันไปทิศไหนก็ถ่ายภาพงามไปหมด
ผมเคยสัญญากับภรรยาเอาไว้ว่า จะพาเธอไปอุ้มทุกที่ที่สวยงามของโลกใบนี้
และนี่ก็เป็นการอุ้มที่หนาวและสวยที่สุดครั้งหนึ่ง
ตราบใดที่สองขาสองแขนของผู้ชายคนนี้ยังมีแรง ฉันจะพาเธอไปอุ้มต่อนะ และจะมีไว้สำหรับเธอคนเดียวเท่านั้น
ที่ Moscow ก็มี Kazan Cathedral นะ แต่เล็กกว่า St.Petersburg เยอะเลย
เดินต่อไปอีกจะเป็นพิพิธภัณฑ์สงคราม
ส่วนตรงนี้คือ State Historical Museum
ตกบ่ายเราเข้าไปเที่ยวพระราชวังเคลมลินกัน
ค่าเข้าผู้ใหญ่คนละ 500 RUB เด็กเข้าฟรี
เข้าไปแล้วจะเจอกับปืนใหญ่พระเจ้าซาร์ที่ว่ากันว่ามีขนาดลำกล้องใหญ่ที่สุดในโลกในช่วงเวลานั้น เหตุว่าสมัยนั้นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ก็พยายามจะสร้างบารมีให้ประเทศอื่นๆเกรงกลัว และรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของชาติของตน ก็เลยพยายามสร้างแต่อะไรใหญ่ๆครับ แต่ว่ากันว่าปืนใหญ่อันนี้ก็ไม่ได้ถูกใช้จริงๆนะครับ
ระฆังพระเจ้าซาร์ มีน้ำหนักมากกว่า 200 ตัน สร้างในสมัยพระนางแอนนาที่ทรงประสงค์จะสร้างระฆังใบใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อนำไปติดบนหอระฆัง แต่เมื่อปี 1701 ไฟไหม้หอคอย ระฆังจึงตกแตกเป็นเสี่ยงๆ ดังนั้นกษัตรีซารีนา อานนา ทรงรับสั่งให้นำเศษซากระฆังที่แตกให้มาหล่อใหม่เป็นครั้งที่สองในปี 1737 แต่เกิดความผิดพลาดระหว่างการหล่อทำให้ระฆังแตกออกมา
ใน Kremlin Palace ยังมีโบสถ์อีกหลายโบสถ์ให้เดินชมกัน โบสถ์นี้คือโบสถ์อัสสัมชัญครับ
Cathedral of Christ the Saviour เป็นอีกหนึ่งโบสถ์ที่สวยงาม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมอสโกเลย
ด้านในเข้าชมฟรี แต่ถ่ายภาพไม่ได้นะ
การเดินทางลงสถานี Metro : Kropotkinskaya (Кропоткинская)
จากสะพานตรง Cathedral of Christ the Saviour สามารถมองไปเห็น Kremlin Palace ได้ด้วย สวยไปอีกแบบ
ไม่ไกลจาก Cathedral of Christ the Saviour มีถนนคนเดินอารบัต Arbat Street ครับ
ใครจะมา Metro สาย 2 สีน้ำเงิน ก็ลงสถานี Arbatskaya (Арбатская) หรือ Smolenskaya (Смоленская)
ถนนสายนี้เป็นถนนคนเดินครับ จะมีร้านค้าและร้านอาหารมากมาย แต่ของที่ระลึกต่างๆ เดินดูเล่นๆไปก่อนนะครับ เพราะที่ตลาด Izmaylovskiy Vernisazh ของจะถูกกว่ามากครับ
ถนนนี้ปรากฏมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ในประวัติเมืองมอสโก บันทึกว่าเคยเกิดเพลิงไหม้ครั้งหนึ่งเมื่อปี 1493 ในสมัยศตวรรษที่ 16 ในรัชสมัยกษัตริย์อีวานจอมโหด ถนนสายนี้เป็นที่อยู่อาศัยของตำรวจลับ ต่อมาในสมัยศตวรรษที่ 17 เป็นที่อยู่ของชนชั้นขุนนาง และศิลปินที่มีผู้อุปถัมภ์ พอมาถึงศตวรรษที่ 20 มีการสร้างตึก 2 ชั้นและ 3 ชั้นดังที่เห็นได้ในปัจจุบัน ปี 1917 ตึกเหล่านี้ใช้เป็นอพาร์ทเมนท์ที่อยู่ร่วมกันหลายครอบครัวของชนชั้นกรรมกร แต่พอมาถึงสมัยสหภาพโซเวียต ถนนอารบัตเป็นที่ย่านพักของเกิดมีชนชั้นใหม่ นั่นก็คือ สมาชิกระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์ ประมาณปี 1985 ถนนอารบัตได้กลายเป็นถนนคนเดิน ต่อมาก็เป็นถนนที่ใครๆก็รู้จัก และคึกคักที่สุด เพราะเป็นแหล่งชุมนุมศิลปิน จิตรกร ร้านขายของที่ระลึก ร้านกาแฟ ศูนย์วัฒนธรรม โรงละคร เป็นต้น
สำหรับใครที่หาร้านอาหารสบายๆสไตส์รัสเซีย-ยูโรเปียน แนะนำร้าน My.My เป็นร้านที่แฟรนไชส์กระจายอยู่ทั่วๆเมืองเลย อาหารไม่แพง ไก่บาร์บีคิวอร่อยมากครับ
และก็ถึงเวลาช็อปปิ้งแล้ว เราก็มาถึงตลาดเจเจมอสโก อันนี้ผมเรียกเองนะ ที่จริงมันชื่อว่าตลาด Izmaylovskiy Vernisazh
พิกัด : https://goo.gl/maps/NiSvb5sfG1G2
เดินทาง Metro สีน้ำเงินลงสถานี Partizanskaya แล้วเดินต่อประมาณ 15 นาที
ตลาดจะคึกคักที่สุดช่วงวันเสาร์-อาทิตย์นะครับ แต่ถ้าใครจะมาวันธรรมดาก็ไม่ต้องกลัวจะไม่ได้ของ เพราะมีร้านเปิดขายอยู่พอสมควร
ของขายจะซ้ำๆกัน คือ พวกตุ๊กตาแม่ลูกดก (เปิดตุ๊กตาออกมาได้หลายๆตัว) เครื่องกันหนาว ราคาที่นี่จะถูกว่าที่อื่นครับ แถมพ่อค้าแม่บางร้านค้าพูดไทยได้ด้วยนะ มาเดินแล้วสนุกดีครับ
นอกจากร้านรวงต่างๆแล้ว ยังมีมุมให้ถ่ายภาพด้วยนะ แต่พอดีวันที่ไปหิมะตกหนัก เล่นเอาถ่ายภาพออกมามีแต่หิมะซะงั้น
แวะไปเที่ยวซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อาจจะเรียกว่าหรูที่สุดในโลกก็ว่าได้ ซุปเปอร์แห่งนี้มีชื่อว่า Eliseyevskiy (Елисеевский) ตั้งอยู่บนถนน Tverskaya St. (ถนนเส้นที่เชื่อมไปจัตุรัสแดง) พิกัด : https://goo.gl/maps/qfapanaTLUU2
เข้าไปแล้วต้องตกตะลึงในความหรูหราของที่นี่ครับ เพราะทั้งเสาและผนังถูกตกแต่งด้วยความหรูหราระดับไม่ธรรมดาครับ ถ้าไม่มีของขายตั้งอยู่ตรงกลาง ผมจะนึกว่านี่เป็นพระราชวัง เสริมความขลังด้วยโคมไฟแชนเดอเลียอันใหญ่ กลางโถงที่มีความสูงของเพดานน่าจะเท่าตึก 3 ชั้น ยิ่งทำให้ที่นี่ดูอลังการเวอร์วังสุดๆไปเลย
ใครมาเที่ยวมอสโควแล้วอยากชมความหรูของที่นี่ ก็เข้าชมฟรีครับ เปิดขายเหมือนซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปเลย เราก็แฝงตัวไปเป็นลูกค้าได้เลยครับ แต่ผมดูราคาแล้ว แอบแพงกว่าที่อื่นอยู่นิดๆนะ อาจจะเป็นเพราะการตกแต่งของสถานที่ที่ทำให้เรากลายเป็นไฮโซชั่วคราวครับ
และกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด คือมาชมการแสดงละครสัตว์ Nikulin Moscow Circus
สามารถจองตั๋วล่วงหน้าได้ที่ : http://www.circusnikulin.ru/lang/rus/file/tickets/index.html#bigbilet
ราคาตั๋วตั้งแต่ : 600-5,000 RUB
พิกัด : https://goo.gl/maps/KzwxP5uU8DN2
พวกเรานั่ง Uber มากันครับ ราคาไม่แพงครับ ประมาณเท่าเมืองไทยเลย
ไม่แสดงทุกวันนะ ต้องเข้าเว็บเช็ครอบการแสดงก่อนครับ แถมจองแล้วต้องพิมพ์ใบจองเป็นกระดาษมายืนยันด้วยนะ ลำบากตรงนี้แหละ
เราได้ตั๋วราคา 2,000 RUB ก็จัดว่าชมการแสดงได้มุมดีอยู่นะ
การแสดงสนุกมาก มีทั้งกายกรรม, แสดงตลกที่สนุกแม้จะฟังภาษาไม่ออก, มีโชว์สัตว์หมา,ม้า,เสือ,สิงโต น่าเสียดายที่เค้าไม่อนุญาตให้บันทึกภาพนะ อันนี้แอบถ่ายมา 1 ใบให้ทุกคนได้ดูครับ
น้องเกรซน้องกายชอบสุดๆไปเลยครับ
แนะนำร้านคาเฟ่บ้างดีกว่า ร้านนี้ชื่อว่า Кафе-джелатерия Casa Leone เดินจากจัตุรัสแดงมาทางข้างห้าง Gum ประมาณ 10 นาที
พิกัด : https://goo.gl/maps/9dg5ctndDX82
มีขายไอติมเจลาโต้ อร่อยและราคาไม่แพงเลย
ตอนแรกว่าจะนั่งกินแค่ไอติม นั่งไปนั่งมากินพิซซ่ากับสปาเก็ตตี้ด้วยเฉยเลย
วันนี้ฟ้าใสแดดดีเลยเดินเล่นเมืองไปเรื่อยๆนะครับ เมืองมอสโกสวยขึ้นกว่าเดิมอีก
มุมนี้อยู่ใกล้ๆ โบสถ์หัวหอม เซนต์เบซิล Saint Basil’s Cathedral นะครับ
ถ่ายภาพกับโบสถ์หัวหอมอีกครั้ง ลาก่อนนะ มอสโก
ที่สนามบินก่อนกลับดันไปเจอตู้อาหารนักบินอวกาศ ลองชิมดูซะหน่อย ราคาประมาณ 300 RUB มันจะเป็นอาหารที่บรรจุอยู่ในหลอด บีบเข้าปากได้เลย รสชาติไม่แย่แต่ก็ไม่ได้อร่อยอะไรมากมาย ใครอยากลองก็กดชิมดูนะครับ
ก็จบทริปเที่ยวรัสเซียไปอย่างสมบูรณ์ หวังว่าทุกท่านจะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์และความสุขกลับไปไม่มากไม่น้อย สำหรับใครที่มีคำถามเพิ่มเติมก็แวะมาที่เพจ www.facebook.com/2Madames ได้เลยนะ วันนี้ลากันไปก่อนแล้วจ้า
ปล.หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share
หรืออยากใกล้ชิดกันมากขึ้น แอด Line มาได้เลย มีรีวิวใหม่จะส่งไปบอก อยากคุยกับแอดมิน Line มาคุยเลยจ้า ID : @2Madames กดตรงนี้ก็ได้
หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป