ถ้าพูดถึงเกาะคิวชู คนไทยมักจะคิดถึงเมืองท่องเที่ยวอย่างฟุกุโอกะแล้วเลยไปนางาซากิเลย ทั้งๆที่เส้นทางที่ผ่านอย่างจังหวัดซากะ Saga มักจะไม่ถูกพูดถึงเท่าไหร่ ทั้งๆที่ในจังหวัดซากะ Saga เองก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ในรีวิวนี้จะเปิดเผยที่เที่ยวที่ไม่ค่อยมีใครรีวิวมาก่อน จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ตามไปรับชมรีวิวกันครับ
การเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากการบินไทย สายการบินแห่งชาติ และการขนส่งภูมิภาคคิวชู ร่วมกันจัดทริปสื่อมวลชนและศิลปินดาราร่วมคณะไปเจาะลึกเมือง Saga, Ureshino, Sasebo กัน
Check-in กันก่อนเลย การเดินทางครั้งนี้ได้โดยสาร Royal Silk Class ของ Thai Airways ครับ
นั่งรอเวลาขึ้นเครื่องด้วย Royal Silk Lounge แสนสบาย
ที่พิเศษคือ เก้าอี้รุ่นใหม่ของโบอิ้ง 787 ดรีมไลเนอร์สามารถเอนนอนได้ 180 องศาเหมือน First Class ในเครื่องรุ่นก่อนเลย
ความยาวของที่นั่งแม้จะเอนจนสุด ก็สามารถเหยียดขาได้สบายๆ (ผมสูง 169 cm)
Entertainment บนเครื่องครบครัน
ซึ่งการบริการและอาหารบนเครื่อง ผมได้เคยรีวิวไว้แล้ว สามารถดูรายละเอียดได้ที่รีวิวนี้ รีวิว Thai Airways Royal Silk Class : Boeing 787 Dreamliner เจาะลึกบินชั้นธุรกิจการบินไทย เครื่องบินใหม่ล่าสุด BKK-FUK-BKK
การบินไทยให้บริการเส้นทางบินตรงทุกวันจากกรุงเทพฯ สู่ ฟุกุโอกะ ด้วยเครื่องบินรุ่นใหม่ Boeing 787 Dreamliner
TG 648 BKK-FUK ออกเดินทาง 1:00 น. ถึง 8:00 น.
TG 649 FUK-BKK ออกเดินทาง 11:40 ถึง 15:35 น.
รายละเอียดเพิ่มเติม : http://www.thaiairways.co.th/
เวลาบินค่อนข้างดีทีเดียว บินดึกถึงเช้า ทำให้เที่ยวได้เลย แถมประหยัดโรงแรมไปได้ 1 คืน พอถึง Fukuoka International Airport ทางเจ้าภาพร่วมการขนส่งภูมิภาคคิวชูก็มารอให้การต้อนรับ
แวะรับ Pocket Wifi จาก Wi-Ho! กันก่อน จะได้มีอินเตอร์เนตเล่นตลอดทริป
ใครสนใจลองดูรายละเอียดได้ที่ http://wi-ho-thailand.com/thai/index.php
คณะของพวกเรานั่งรถออกจากฟุกุโอกะไปยัง Yutoku Inari Shrine
ศาลเจ้ายูโทคุอินาริ(Yutoku Inari Shrine) สร้างขึ้นในปี 1688 เป็นศาลเจ้านิกายชินโต ประจำตระกูลนาเบะชิมะ(Nabeshima clan) ผู้ปกครองเมืองซากะ ในสมัยเอโดะ เป็นศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่และสำคัญเป็นอันดับ 3 รองมาจาก ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริ(Fushi-mi Inari Shrine) ในเกียวโต(Kyoto) และศาลเจ้าคะซะม่าอินาริ(Kasama Inari Shrine) ในอิบาระกิ(Ibaraki)
ด้านบนของตัวศาลเจ้า ก็เป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกจุดหนึ่ง โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิ ยามที่ดอกซากุระบานสะพรั่ง และช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่ใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง ส่วน
ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่ประทับของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ที่ประชาชนต่างนิยมไปสักการะขอพรเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยว ความสำเร็จด้านธุรกิจ และความปลอดภัย
เดินทางมาครั้งนี้ ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีเป็นสีแดงเลยครับ
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมของศาลเจ้าแห่งนี้ เชิญรับชมเต็มๆที่รีวิว http://www.2madames.com/saga-karatsu-hizenyumekaido-yutoku-inari-kyushu-japan/
ไม่ไกลจากศาลเจ้า เราก็เดินทางมาถึงเมือง Ureshino เมืองที่มีชื่อเสียงด้านน้ำพุร้อน ที่นี่เมนูดังคือ เมนูเต้าหู้มาต้มทานกันสดๆ แต่ที่พิเศษก็คือ น้ำที่นำมาต้มนั้นเป็นน้ำแร่จากน้ำพุร้อนตามธรรมชาติ ซึ่งคนที่นี่เชื่อกันว่าจะมีคุณค่าต่อร่างกายครับ
และทางคณะก็ได้เยี่ยมชมหมู่บ้านนินจา Hizen Yume Kaido ซึ่งสามารถรับชมรายละเอียดต่างๆได้ที่ http://www.2madames.com/saga-karatsu-hizenyumekaido-yutoku-inari-kyushu-japan/
เมือง Ureshino ยังมีชื่อเสียงด้านการจำหน่ายชา เราจึงได้ไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตชากัน
บรรยากาศภายในโรงงาน จากที่ฟังเค้าเล่าให้ฟัง สรุปได้ว่าเดิมทีใบชานั้นปลูกในภาคเหนือของประเทศไทยนี่แหละครับ แล้วก็ได้เดินทางผ่านประเทศจีนมา แต่ก่อนครั้งแรกเลย ใบชาจะถูกส่งมาที่นี่เป็นแห่งแรกในญี่ปุ่นเลย แต่ปัจจุบันการกระจายใบชาก็กระจายไปหลายที่ไม่ต้องผ่านมาที่นี่แล้ว แต่คนที่นี่ก็ยังมีความภูมิใจกับการเป็นที่แรกอยู่
และร้านนี้จะมีของที่ระลึกให้กับลูกค้าทุกคนที่มาเยี่ยมร้าน ไม่ว่าจะซื้อไม่ซื้อเค้าจะมีชาอู่หลงบรรจุซองกลับไปให้เป็นที่ระลึก
นอกจากจำหน่ายใบชาแล้ว ยังมีการนำชามาแปรรูปเป็นไอศกรีมด้วย อร่อยมากเลยอ่ะ
แล้วเราก็มาเดินเล่นกันกลางเมือง Ureshino เมืองค่อนข้างเล็กๆน่ารักๆ และเต็มไปด้วยความเงียบสงบ ที่กลางเมืองจะมีบ่อน้ำร้อนให้นั่งแช่เท้ากันฟรีๆครับ
คืนนี้เราพักกันที่เรียวกังชื่อ Warakuen ครับ
ภายในห้องพักเป็นแบบเสื่อญี่ปุ่นแท้ๆ
มีห้องน้ำในตัวครับ อีกส่วนของเรียวกังที่ผมชอบมากคือ ที่นี่มีบ่อออนเซ็นกลางแจ้งด้วยครับ แต่เป็นแบบสาธารณะไม่สามารถถ่ายภาพมาได้ แช่แล้วชิลด์มากเลยครับ
การนอนเรียวกังในญี่ปุ่น มื้อเย็นและมื้อเช้าจะมีอาหารชุดแบบญี่ปุ่นมาเสิร์ฟให้ทานกัน
เนื้ออร่อยมากเลย
ยกมาเรื่อยๆ เยอะมากครับ ทานกันไม่หมดเลย
ตื่นมาโดนอีกชุดใหญ่ อิ่มแบบฟินๆกันไป
โปรแกรมวันที่สอง เราก็ออกเดินทางมายังเมือง Sasebo ครับ ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายครับ เริ่มจาก Kujukushima Pearl Sea Resort โดยที่นี่จะมีทั้ง Aquarium และบริการล่องเรือชมอ่าว Sasebo เราเริ่มกันที่เยี่ยมชม Aquarium ก่อนเลยละกัน
ด้านในมีปลาสวยๆเพียบครับ นอกจากนี้ยังมีสัตว์น้ำแปลกๆ เช่น ปูยักษ์ ด้วย
เต่าทะเลตัวนี้เป็นพระเอกของที่นี่ครับ
ที่นี่เค้าทำได้ดีมาก เดินดูกันเพลินๆไม่เบื่อเลย
แต่ไฮไลท์คือบ่อปลาขนาดใหญ่ มีปลาว่ายกันเป็นกลุ่มในทิศทางเดียวกัน สวยงามมากครับ
นอกจากนี้ยังมีการแสดงโชว์โลมาด้วย สนุกมากๆเลย
ห้องกิจกรรมสำหรับเด็กๆ
แก้วเหล่านี้ใส่แมงกะพรุนตัวเล็กๆไว้นะ
โปรแกรมต่อมาเราจะไปล่องเรือชมอ่าวกัน
เรือที่ล่องเป็นเรือโจรสลัดสวยๆด้วยนะ
เส้นทางเดินเรือจะล่องลัดเลาะไปตามเกาะที่มีหลายสิบเกาะเลย โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครับ
ส่วนตัวผมคิดว่าเขาตะปูบ้านเราสวยกว่าเยอะอ่ะ ชนะขาดลอยเลย
มื้อเที่ยงไปชมกิจกรรมปิ้งอาหารทะเลของคนที่นี่กัน เค้าจะมีเตาพร้อมถ่านเตรียมไว้ให้
จากนั้นเรากก็สามารถเดินไปซื้อของทะเลสดๆมาปิ้งทานเองได้เลย
ผมทดลองจัดหอยนางรมไป สดมาก ไม่คาวเลย เสียดายบ้านเค้าไม่มีน้ำจิ้มซีฟู้ดเหมือนบ้านเรานะ ไม่งั้นจะฟินกว่านี้
ชมวิวจากเรือไปแล้ว แนะนำให้ขับรถขึ้นไปชมวิวจากภูเขาด้วยนะครับ
บอกเลยว่างามมาก สวยกว่าชมจากเรืออีกครับ
ไปเดินเล่นในเมืองกันต่อ แหล่งช้อปปิ้งร้านค้าเพียบเลย
แวะทานข้าวปลา เค้าว่ากันว่าทหารเรือในเมืองนี้มีเยอะครับ เนื่องจากมีฐานทัพของเรือของอเมริกาตั้งอยู่ ทีนี้เป็นธรรมเนียมว่าก่อนที่ทหารเรือจะออกทะเลไปหลายๆเดือน ก็จะแวะมาทานขนมปลาไส้ถั่วอันนั่นแหละ
ในเมือง Sasebo มีไฮไลท์สำคัญอีกที่ ซึ่งคนไทยรู้จักกันดีกับสวนสนุก Huis Ten Bosch ครับ
เข้ามาชม Grand Palace กันก่อน
ที่จริงผมได้รีวิวรายละเอียดต่างๆไว้อย่างละเอียดที่รีวิว Huis Ten Bosch ฮูส เทน บอช : รีวิวสวนสนุกยุโรปบนแผ่นดินญี่ปุ่น และ Watermark Hotel
แต่ทริปนี้มาไม่ทันช่วงกลางวัน แต่พิเศษตรงที่มี The Kingdom of the light ทุ่งดวงไฟนับล้านๆดวงจะถูกประดับตกแต่งทั่วสวนสนุก Huis Ten Bosch ในเทศกาล The Kingdom of the Light ซึ่งจะจัดตั้งแต่ปลายเดือน ต.ค. จนถึงกลางเดือน มี.ค. เท่านั้น
ซึ่งเทศกาลนี้เป็นเทศกาลสำคัญของที่นี่ แขกผู้มาเยือนจะได้สัมผัสกับความสวยงามของแสงไฟ และขบวนพาเหรดแสงสีเสียงจัดเต็ม
Grand Palace เมื่อมองจากหอคอยครับ
สวยงามมากๆเลย
เวลาประมาณสองทุ่มครึ่งจะมีการแสดง 3D บริเวณ Thriller City ด้วยนะครับ
รุ่งเช้าอีกวัน ออกเดินทางมายังไร่สตอเบอร์รี่เมือง Tanushimaru ห่างจาก Fukuoka มาทางใต้ประมาณ 60 กม.
วันนี้ผมมาเก็บสตอเบอร์รี่ทานสดๆจากต้นครับ
โดยสตอเบอร์รี่ที่ทานเป็นสายพันธุ์ Amaou ซึ่งแปลเป็นไทยว่า กลมใหญ่หวานอร่อย
แม้สตอเบอร์รี่สายพันธุ์นี้จะลูกไม่ใหญ่นัก แต่รสชาตินั้นหวานอร่อยมากครับ
ส่วนวิธีการทานสตอเบอร์รี่ที่ถูกต้องนั้น คุณลุงเจ้าของไร่แนะนำว่าให้ดึงขั้วใบออกก่อนแล้วกินจากตรงนั้น ซึ่งจะมีรสชาติหวานที่สุด และตรงก้นแหลมๆจะให้รสชาติเปรี้ยวกว่า
ราคาบุฟเฟต์เด็ดชิมสดๆจากต้น 30 นาที 2,500 เยน
ส่วนใครจะซื้อกลับบ้านก็มีขายเป็นกล่องครับ ได้ประมาณ 48 ลูก ราคา 2,500 เยนครับ
สำหรับใครที่มาสวนสตอเบอรี่แล้วชอบทานลูกพลับ ก็มีขายนะครับ สดจากไร่เองเลย ราคาไม่แพงและอร่อยมากครับ
มื้อกลางวันมาทานกันที่ร้าน Kura Sushi เป็นร้านซูชิสายพานที่เป็นเชนใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีสาขากว่า 262 สาขาทั่วประเทศ
ร้านนี้มีทีเด็ดตรงที่เมื่อเราทานครบ 5 จานจะมีเกมส์ชิงรางวัลเป็นของเล่นสำหรับเด็กๆด้วย
ซูชิที่ร้านนี้ทุกจานราคาเดียวคือ 100 เยนครับ แต่ถ้าอาหารบางจานราคาสูงก็จะนับเป็น 200 เยน 300 เยน แต่เค้าจะซ้อนจานมาเพื่อจะได้สะดวกเวลาคิดเงิน และใช้ในการลุ้นรางวัลด้วย
คุณภาพอาหารต่างๆผมว่าอร่อยกว่าซูชิร้านดังๆของเมืองไทยอีกนะครับ อาจจะเป็นเพราะความสดของปลาที่สดอร่อยจริงๆครับ
และแล้วก็ถึงไฮไลท์ทีเด็ดความสนุกของร้านนี้ คือ ทุกโต๊ะจะมีกล่องใสๆใส่ลูกบอลไว้ บอลเหล่านี้จะใส่ของเล่นไว้ครับ ซึ่งเงื่อนไข คือ จะได้ลุ้นทุกๆ 5 จานที่ทานไปครับ
และถ้าเราโชคดีลูกบอลก็จะไหลลงมา
ติดตามรีวิวเต็มของร้าน Kura Sushi ได้ที่ Kura Sushi : ร้านซูชิสายพาน 100 เยน ขวัญใจสำหรับครอบครัว ประหยัดและสนุก ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
ยามบ่าย คณะเดินทางเราเดินทางกลับไปเมือง Fukuoka เราไปร้านเช่ากิโมโนกันครับ
ใส่ชุดซามูไรถ่ายภาพคู่กับคุณเบสท์ ชนิดาภา เพื่อนร่วมทริปเสียหน่อย
ตกเย็นไปร้านเทมปุระในตำนานของ Fukuoka ชื่อร้านว่า Tempura Daruma ครับ
ทั้งร้านมี 5 โต๊ะ เจ้าของร้านเป็นคุณลุงคุณป้า คุณลุงมีหน้าที่ชุบแป้ง ส่วนคุณป้าทอดและเสิร์ฟอาหาร
ความพิเศษของที่นี่คือ เค้าจะทอดสดๆให้เราทานชิ้นต่อชิ้นเท่านั้น คุณลุงเน้นให้ทานกันร้อนๆเพื่อความอร่อยของอาหาร พิถีพิถันทุกเรื่องมากๆ แถมยังมีอัธยาศัยการบริการเป็นเลิศ
เทมปุระอร่อยมาก แต่ไม่ชอบที่นำพลาสติกมารองอาหารเลย รู้สึกว่าน่าจะเปลี่ยนภาชนะหน่อยนะ
แต่เรายังประทับใจกิจการเล็กๆที่สร้างความประทับใจแบบนี้ต้องยกนิ้วให้ไปเลย
คืนนี้นอนที่ Hilton Fukuoka ครับ
ที่จริงเข้าอีกวันเรามีโปรแกรมจะเดินทางไป Nokonoshima Island แต่สภาพอากาศไม่อำนวย มีข่าวว่าลมแรงมาก เรือเลยงดออกเดินเรือ คณะของพวกเราเลยเปลี่ยนแผนมาเที่ยววัด Tocho-ji แทนครับ
ตามประวัติเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 806 โดยท่าน Kukai (หรือ Kobo Daishi) ภายในบริเวณวัดจะมีวิหารหลักและเจดีย์สีแดงสดความสูง 5 ชั้น ตั้งโดดเด่นแลเห็นแต่ไกล แล้วยังมีหอไม้โบราณทรง 6 เหลี่ยมด้วย ในปี ค.ศ. 1992 ได้มีการสร้างพระพุทธรูปนั่งทำจากไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น (Fukuoka Giant Buddha) ประดิษฐานภายในวัด
เสียดายที่ตัวองค์พระพุทธรูปไม้ ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพนะครับ ชมภาพจาก Postcard แทนละกันเนอะ
มาเที่ยวกันต่อที่ตึก Fukuoka Tower
จุดชมวิวแบบพาโนรามา 360 องศา ตั้งอยู่บน Fukuoka Tower ตึกริมทะเลสูงที่สุดในญี่ปุ่นและถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองฟูกุโอกะ ตัวตึกเป็นกระจกสีฟ้าตั้งโดดเด่นด้วยความสูง 234 เมตร บนหอชมวิวสามารถมองเห็นทุกบรรยากาศของเมืองฟูกุโอกะ ทั้งมุมที่มองเห็นตึกรามบ้านช่องของเมือง และวิวรอบบริเวณอ่าวฮากะตะ (Hakata Bay) เกาะน้อยใหญ่สุดลูกหูลูกตา หรือหากใครชื่นชอบการชมวิวเมืองหลังเวลาพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ที่นี่ถือเป็นจุดชมบรรยากาศยามคํ่าคืนที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง
ที่เห็นอยู่คือ ชายหาด Momochi ครับ
ที่ตรงนี้เค้าจัดที่ไว้ให้คู่รักมาคล้องแม่กุญแจแสดงความรักกันด้วยครับ
ช่วงบ่ายเราเดินทางไปยังโรงงานผลิตของร้านราเมงชื่อดังอย่าง Ichiran Ramen หรือที่คนไทยเรียกว่า ราเมงข้อสอบ
เค้าเปิดให้ชมเครื่องจักรในการผลิตเส้นราเมง
มีพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติความเป็นมาของ Ichiran Ramen
ทำไมต้องถึงเรียกว่าข้อสอบ เนื่องมาจากโต๊ะนั่งทานจะเป็นคอกๆเหมือนตอนเราเรียน เพราะเค้าต้องการให้แขกที่มาทาน Focus กับรสชาติราเมงของเค้า และอีกเหตุผลคือเรื่องความเป็นส่วนตัวของแขกที่มาทานครับ
เค้าจะมีใบกระดาษสำหรับรับออเดอร์ ซึ่งเราสามารถเลือกได้หมดจะเอาเส้นแข็ง เส้นนุ่ม เผ็ดไม่เผ็ด ใส่อะไรเยอะอะไรน้อย
ส่วนราเมงอร่อยมากเลยอ่ะ เส้นเหนียวนุ่ม น้ำซุปเข้มข้น หมูนิ่มมากๆ แถมเลือกแบบเผ็ดได้ด้วย ถูกปากอย่างยิ่งจ้า
คืนสุดท้ายนอนกันที่ Fukuoka Washington Hotel หรือห้าง Canal City Hakata นั่นเอง
สำหรับผู้ที่ต้องการหาข้อมูลการท่องเที่ยวฟุกุโอกะ ติดตามได้ที่ http://www.2madames.com/fukuoka-dining-travel-shopping-with-family/
ข้อมูลการขับรถเที่ยวเกาะคิวชู http://www.2madames.com/kyushu-japan-family-trip-travel-by-car/
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณการบินไทย รักคุณเท่าฟ้า สายการบินแห่งชาติ และการขนส่งภูมิภาคคิวชู ที่สนับสนุนการเดินทางครั้งนี้
ปล.หากคุณอ่านรีวิวมาถึงตรงนี้ ผมได้ใช้เวลาและพลังงานมากมายในการเขียนรีวิวเพื่อเป็นข้อมูลและประโยชน์แก่ทุกคน หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป