ทริปขับรถเที่ยวสเปน-โปรตุเกส 17 วันนี้ เริ่มต้นจากการจองตั๋วโปรโมชั่นเด็กบินฟรีของ Qatar Airways ทำให้พวกเราได้ตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพ-บาร์เซโลน่าในงบสุดถูกแค่ 17,672 บาทต่อคน จึงเป็นอะไรที่ครอบครัวเราตัดสินใจไม่ยากเท่าไหร่
ประเทศสเปนและโปรตุเกสนับเป็นชาติที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ในอดีตชาติทั้งสองเคยเป็นมหาอำนาจในการเดินเรือจนมีอาณานิคมไปทั่วโลก ดินแดนของทั้งสองประเทศตั้งอยู่ในคาบสมุทรไอบีเรีย ซึ่งมีอาณาเขตกว้างเป็นอันดับสองของทวีปยุโรป ผ่านการปกครองจากทั้งชาวมุสลิมและชาวคริสต์ ทำให้ดินแดนแห่งนี้จึงมีความผสมผสานกันทั้งวัฒนธรรมจากทั้งสองศาสนา มีเอกลักษณ์ในสถาปัตยกรรมของตัวเอง เราจะสามารถพบมหาวิหารและพระราชวังที่สวยงามตลอดการเดินทาง 17 วันผ่านเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอย่าง บาร์เซโลน่า, มาดริด, เซโกเวีย, โตเลโด, คอร์โดบา, เซวีญ่า, ลิสบอน, ซินทรา, ปอร์โต้ และซาราโกซ่า
รีวิวนี้จะเล่าตั้งแต่การเตรียมตัวการเดินทาง รีวิวสถานที่ท่องเที่ยว การจองที่พัก ตลอดจนเคล็บลับการท่องเที่ยวสเปน-โปรตุเกสให้ประหยัดด้วย จะสวยงามและสนุกสนานแค่ไหน ตามไปรับชมรีวิวพร้อมๆกันเลยครับ
เส้นทางการเดินทางท่องเที่ยวประเทศสเปน-โปรตุเกส 17 วันของครอบครัวเรา
เราใช้วิธีเช่ารถขับโดยเริ่มจากเมืองบาร์เซโลน่าทางตะวันออกเฉียงเหนือของสเปน แล้ววิ่งตัดมาตรงกลางต่อด้วยภาคใต้ แล้ววิ่งไปทางตะวันตกเพื่อเข้าสู่ประเทศโปรตุเกส ก่อนจะขึ้นเหนือที่เมืองปอร์โต้แล้วตีรถกลับไปบาร์เซโลน่าที่เดิม รวมระยะทางกว่าสี่พันกิโลเมตร
5 เม.ย. 60 – เดินทางออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยสายการบินการ์ต้า แอร์เวยส์ Qatar Airways แวะเปลี่ยนเครื่องที่โดฮา ก่อนจะบินสู่เมืองบาร์เซโลน่า Barcelona ประเทศสเปน
6 เม.ย. – เดินทางถึงเมืองบาร์เซโลน่า Barcelona รับรถเช่าแล้วไปเที่ยวมหาวิหารแห่งเมืองบาร์เซโลน่า Barcelona Cathedral แล้วไปเที่ยว Park Güell / Casa Milà / Casa Batlló ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวคาตาลันชื่อดัง อันตอนี เกาดี ปิดท้ายด้วยการเดินเล่นแถว Plaça de Catalunya ถนน La Rambla และแวะซื้อเสบียงที่ตลาด Mercado de La Boqueria
7 เม.ย. – เที่ยว Montjuïc Castle และ Palacio Nacional บ่ายเที่ยวมหาวิหารซากราด้า ฟามิเลีย Sagrada Familia เดินชมประตูชัย และปิดท้ายด้วยการพายเรือที่สวนสาธารณะ Ciutadella Park
8 เม.ย. – เดินทางสู่กรุงมาดริด Madrid เมืองหลวงของประเทศสเปน เข้าที่พักแล้วพักผ่อนร่างกาย
9 เม.ย. – เที่ยวพระราชวัง Royal Palace of Madrid ชมวัด Templo de Debod ชมจัตุรัส Plaza Mayor แวะภัตตาคารที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ร้าน Botín แวะทักทายอนุสาวรีย์หมีเกาะต้นสตอเบอรรี่ Statue of the bear and the strawberry tree ชมตึกหัวมุมถนน Gran Via ที่โด่งดัง เดินเล่นสวนสาธารณะ El Retiro Park
10 เม.ย. – Day Trip ไปเที่ยวเมืองเซเวีย Segovia เที่ยว Aqueduct of Segovia / มหาวิหาร Catedral de Segovia / พระราชวัง Alcázar de Segovia
11 เม.ย. – มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงเก่าอย่างโตเลโด Toledo เที่ยว Monasterio de San Juan de los Reyes / Sinagoga de Santa María La Blanca / Church of Santo Tomé และ Jesuit Church
12 เม.ย. – เที่ยวเมืองคอร์โดบา ชมศาสนสถานที่ผสมผสานกันระหว่างมุสลิมกับคาทอลิก มัสยิด-มหาวิหารกอร์โดบา Mosque–Cathedral of Córdoba เที่ยวพระราชวัง Alcazar of the Christian Monarchs
13 เม.ย. – เที่ยวปราสาท CASTILLO DE ALMODOVAR
14 เม.ย. – เที่ยวเมืองเซวิญ่า Sevilla ชมมหาวิหาร Catedral de Sevilla เดินเล่น Plaza de España
15 เม.ย. – มุ่งหน้าข้ามพรมแดนสู่ประเทศโปรตุเกส เที่ยวกรุงลิสบอน Lisbon เมืองหลวงของ Portugal ชมสะพาน Ponte 25 de Abril และพระเยซูกางแขนที่ National Sanctuary of Christ the King เที่ยว Belém Tower ชิมทาร์ตไข่ในตำนานร้าน Pasteis de Belem
16 เม.ย. – Day Trip เที่ยวเมืองซินทรา Sintra เยือนพระราชวังดีลูกกวาด National Palace of Pena และ Quinta da Regaleira
17 เม.ย. – ออกเดินทางต่อไปยังเมืองปอร์โต้ Porto เที่ยว Porto Cathedral ชมวิวสุดสวยของเมือง นั่งกระเช้ามาชิมไวน์ที่ท่าเรือขนส่งไวน์
18 เม.ย. – เที่ยวในเมือง ชมโบถส์ Clérigos Church / Igreja do Carmo ชิมอาหารท้องถิ่น Francesinhas ที่ร้าน Lado B Café เดินเล่นเมืองสบายๆ
19 เม.ย. – มุ่งหน้ากลับสเปน พักที่เมืองซาราโกซ่า Zaragoza
20 เม.ย. – เที่ยวเมืองซาราโกซ่า Zaragoza ชมโบถส์ Basílica de Nuestra Señora del Pilar บ่ายเดินทางไปสนามบินเมืองบาร์เซโลน่า
21 เม.ย. – เดินทางกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ
แผนการเดินทางเราค่อนข้างหลวมนะครับ บางทีขับรถมาหลายๆชั่วโมงพอถึงที่พักก็ขี้เกียจ นอนพักผ่อนเลยก็หลายวันอยู่ ยิ่งเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ผลิสว่างตั้งแต่ 6 โมง กว่าจะมืด 3 ทุ่ม มีเวลาเที่ยวได้เยอะจริงๆ
การเตรียมตัวเดินทางท่องเที่ยวประเทศสเปน-โปรตุเกส
1.) วีซ่า
สเปนและโปรตุเกสอยู่กลุ่มวีซ่าแชงเก้น สามารถขอวีซ่าประเทศเดียวที่อยู่ในกลุ่มแล้วผ่านพรมแดนได้หมด ดูรายละเอียดการเตรียมเอกสารได้ที่ https://thailand.blsspainvisa.com/thai/tourist.php
2.) ค่าเงิน
ทั้งสเปนและโปรตุเกส ใช้เงินสกุลยูโร โดย 1 ยูโร เท่ากับประมาณ 37 บาท (เม.ย. 60) สามารถดูอัตราแลกเปลี่ยนได้ที่ https://www.superrichthailand.com/#!/en/exchange
3.) อากาศและการเตรียมเสื้อผ้า
ลักษณะภูมิอากาศของภูมิภาคต่างๆของคาบไอบีเรีย จะแตกต่างกันเช่น ภาคเหนือ มีสภาพอากาศแบบริมฝั่งทะเล ในหน้าหนาวอากาศจะไม่หนาวจัดและหน้าร้อนจะเย็นสบาย แต่ก็เป็นภาคที่มีฝนตกชุกรวมทั้งมีความชื้นสูงด้วย สำหรับภาคกลางและภาคใต้ จะมีอากาศแห้ง และฝนตกน้อย ในช่วงหน้าร้อนอากาศจะร้อนจัด แต่ในหน้าหนาวก็ไม่หนาวจัดเช่นกัน
ในฤดูร้อน (กลาง พ.ค.- กลาง ก.ย.) จะมีอากาศค่อนข้างร้อน โดยอุณหภูมิจะอยู๋ที่ 25-35 องศาเซลเซียส เตรียมเสื้อผ้าเหมือนเมืองไทยได้เลย ในช่วงกลางวันจะยาวนาน กว่าจะมืดบางทีต้องรอถึง 4 ทุ่ม ข้อดีคือมีเวลาเที่ยวได้เยอะมาก
ส่วนฤดูใบไม้ร่วง (กลาง ก.ย.-พ.ย.) จะมีอากาศค่อนข้างเย็นสบาย อุณหภูมิจะอยู่ประมาณ 15-19 องศาเซลเซียส ใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นแดง
ในฤดูหนาว (ธ.ค.-ก.พ.) อากาศหนาวจัด บางภูเขาจะมีหิมะปกคลุม โดยอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 2-15 องศาเซลเซียส ช่วงกลางวันจะสั้นมาก
และฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.-กลาง พ.ค.) เป็นช่วงที่อากาศกำลังเย็นสบาย ดอกไม้จะเริ่มผลิอีกครั้ง อากาศจะหนาวบ้างช่วงเช้าและเย็น ในกลางวันจะมีแดดทำให้อบอุ่น อุณหภูมิโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 10-21 องศาเซลเซียส และอาจจะเจอฝนอยู่บ้าง
4.) การจองที่พัก
เนื่องจากเราทำการจองตั๋วเครื่องบินไปก่อนล่วงหน้าหลายเดือน แล้วจึงค่อยมาทำการวางแผนการเดินทาง ดังนั้นเราจึงเลือกจองที่พักผ่าน Booking.com เพราะมันจองล่วงหน้าได้แต่จ่ายทีหลัง แถมยกเลิกได้ฟรี ยืดหยุ่นแผนการเดินทางได้ ใครที่ยังไม่รู้จัก Booking.com ทำความรู้จักที่นี่ http://www.2madames.com/booking-com/
สำหรับคนที่กำลังจะจองที่พักผ่าน Booking.com กดลงทะเบียนผ่านลิงก์นี้เพื่อรับเครดิตฟรีไปจองที่พักได้เลยครับ https://www.booking.com/s/intraw38
ส่วนที่พักในทริปนี้ เราก็ยังเลือกที่พักที่เน้นมีครัวเพื่อปรุงอาหารไทยในต่างแดนได้ และเราก็ยังเลือกที่จะจองที่พักที่มีความหลากหลายมีทั้ง แนวอพาร์ทเม้นท์, บ้านพักหลังใหญ่, บ้านชนบท, โรงแรม หรือแม้กระทั่งเรือยอร์ชสุดหรู
สามารถดูรายชื่อที่พักของพวกเราในทริปนี้ได้ที่ลิงก์ : http://www.2madames.com/accommodation-spain-portugal/
5.) การเช่ารถ
เราเช่าล่วงหน้าจากเว็บ Orbritz ครับ แต่ดันลืมพกใบขับขี่ไทยไป เลยเกิดปัญหาในการรับรถเช่า เพราะทางบริษัทเช่ารถต้องการดูใบขับขี่ไทยเท่านั้น แต่ยังโชคดีที่ภรรยาพกไปด้วย ทำให้ทำจองใหม่เป็นชื่อภรรยาได้แทน แต่ราคาก็เพิ่มขึ้นด้วยนะ
ราคารถเช่าที่สเปนก็ไม่แพงนะ ประมาณประเทศไทยแหละ แต่จะแพงพวกค่าจอดรถในเมืองแทน น้ำมันก็จะตกประมาณ 1.3-1.6 ยูโรต่อลิตรครับ
6.) เสบียงจากไทยและการทำอาหารในต่างแดน
ครอบครัวผมค่อนข้างจะติดอาหารไทยมาก ยิ่งให้ทานพวกเบอร์เกอร์, พิซซ่า, สปาเก็ตตี้ ทานซ้ำได้ไม่เกิน 2 มื้อจะเริ่มเบื่ออาหารไม่อยากทานอาหารฝรั่งพวกนี้แล้ว พวกเราเลยเตรียมข้าวสารและเครื่องแกงสำเร็จรูปไปจากไทย (เอาหม้อหุงข้าวไปด้วย) แล้วไปซื้อของสดพวกเนื้อสัตว์, ผักสด ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งโดยปกติ หากซื้อทานตามร้านอาหารภัตตคารทั่วไปราคาของอาหารจะอยู่ราวๆ 8-20 ยูโรต่อจาน ซึ่งถ้าครอบครัวเราทาน 4 คน ต่อมื้อก็ต้องจ่าย 20-40 ยูโร แต่ถ้าซื้อมาปรุงที่บ้านเองบางครั้งเฉลี่ยต่อมื้อทานอิ่มอร่อยทั้ง 4 คนบางทีไม่ถึง 10 ยูโรต่อมื้อเลยด้วยซ้ำ ปล.อาหารไทยในต่างแดนเนี่ย ทานแล้วจะอร่อยกว่าปกติ แถมทำให้หายคิดถึงบ้านด้วยนะ
อย่างไรก็ตาม เราจะทำอาหารทานเฉพาะมื้อเช้าและมื้อเย็นเท่านั้นนะ มื้อเที่ยงเราก็ทานตามร้านอาหารทั่วไป เพราะการได้ทานอาหารท้องถิ่นนี่ถือเป็นการสัมผัสเข้าถึงวัฒนธรรมของชาติที่เราไปเที่ยวนะ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการเดินทางเลยนะ
มาชมคลิปมาดามแอนทำอาหารไทยในต่างแดนกัน
7.) ประกันภัยการเดินทาง
สิ่งที่สำคัญอย่างมากคือเรื่องประกันการเดินทางครับ เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เครื่องบินล่าช้า กระเป๋าหาย หรือแม้กระทั่งเจ็บป่วย ซึ่งค่ารักษาในต่างประเทศนี่หลักแสนหลักล้านนะ มีประกันการเดินทางย่อมอุ่นใจกว่า ผ่อนจากหนักเป็นเบาได้ ใครที่กำลังเดินทางเป็นแบบครอบครัวแนะนำแผน Oasis ประกันครอบครัวของ Allianz Global Assistance (AGA) จ่ายเงินซื้อแค่ 2 คน แต่คุ้มครองลูกๆรวมเป็น 4 คนได้เลย คุ้มมาก ต้องซื้อผ่านลิงก์เท่านั้นนะ http://bit.ly/2oUkdrQ
8.) การใช้อินเตอร์เนต
ไปยุโรปหลายๆประเทศ ไม่ต้องไปหาซิมแต่ละประเทศให้วุ่นวายครับ แนะนำเช่า Pocket Wifi ของ Magic Wifi ครับ เพราะนอกจากจะใช้งานอินเตอร์เนตได้หลายเครื่องแล้ว ยังสามารถเล่นเน็ตจากทั่วโลกได้เลย ไม่ว่าจะเป็นช่วงเดินทาง หรือจะเป็นช่วงรอเปลี่ยนเครื่องบินที่สนามบินต่างๆ
ทั้งนี้ Magic Wifi เป็นเทคโนโลยี SkyRoam ซึ่งสามารถใช้เน็ตได้เลย 104 ประเทศ เครื่องเดียวเที่ยวทั่วโลกจริงๆ ราคาก็ไม่แพงนะถ้าเทียบกับความสะดวกสบาย จองได้ที่ https://www.facebook.com/magicwifi/ แล้วไปรับเครื่องได้ที่เคาน์เตอร์ชั้น B ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเลย
พร้อมเดินทางแล้วจ้า บินกันเลยดีกว่า
แพลนเดิมเราตั้งใจจะรับรถเช่าแล้วจะไปเที่ยวมหาวิหาร Sagrada Familia แต่ดันมีปัญหาเรื่องการรับรถเช่า ทำให้ไปไม่ทันรอบที่จองไว้ เลยต้องเปลี่ยนแผนมาเที่ยว Barcelona Cathedral แทนครับ
ด้านในวิหารเข้าชมฟรีครับ ดูเก่าแก่และขลังมากครับ ด้านข้างของวิหารจะมีตลาดนัดเล็กๆให้เดินเล่นกันด้วยนะครับ
หลังมื้อกลางวันก็เดินทางไปเที่ยว Park Güell กัน ซึ่งเป็นคอมเพล็กซ์สวนที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวคาตาลันชื่อดัง อันตอนี เกาดี
ใครจะมาที่นี่แนะนำให้จองผ่านอินเตอร์เน็ตมาก่อนนะ ไม่งั้นอาจจะไม่ได้เข้ามาเที่ยวนะ เพราะคนเยอะมาก
เว็บไซค์จอง : http://www.parkguell.cat/en/buy-tickets/
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 7 ยูโร เด็ก (7-12) 49 ยูโร
มาที่นี่อย่าลืมแวะถ่ายภาพกับกิ้งก่าหลากสีด้วยนะ
ขึ้นไปอีกนิดจะมีโถงที่มีเสาเต็มเลย
เสากับผนังเอียงๆ ถ่ายภาพก็สวยดีนะ
และนี่คือมุมมหาชนของ Park Guell ครับ
ใน Barcelona ยังมีผลงานของอันตอนี เกาดี อีกหลายที่ เช่น มหาวิหารซากราด้า ฟามีเลีย และในภาพคือ Casa Milà ซึ่งสามารถเข้าไปชมนิทรรศการด้านในได้ครับ
Casa Batlló อยู่ไม่ไกลกับ Casa Milà ด้านในเป็นพิพิธภัณฑ์ครับ
บ่ายแก่ๆเราไปเดินเล่นในเมือง Barcelona กัน เดินเล่นกันตรง Plaça de Catalunya จะมีประติมากรรมสวยๆเพียบครับ
ถนน La Rambla ถือถนนเส้นสำคัญของเมือง Barcelona มีร้านรวงขายของเพียบ มีการแสดงริมถนนต่างๆ และคนก็เดินเยอะมากๆครับ
เราเดินเลียบถนน La Rambla มาไม่ไกล มาถึงตลาด Mercado de La Boqueria ที่นี่มีขายทั้งอาหารทะเล, เนื้อสด และผลไม้ แวะเติมเสบียงก่อนกลับบ้านกัน
รุ่งเช้ามาเที่ยวกันต่อที่ Montjuïc Castle กัน
ที่นี่เดิมทีเป็นป้อมทหารครับ แต่ภายหลังถูกเปลี่ยนให้เป็นคุก
ไฮไลท์เด็ด คือ การชมวิวเมือง Barcelona จาก Rooftop ของ Montjuïc Castle นั่นเอง
ไม่ไกลจาก Montjuïc Castle พวกเรามาเที่ยวกันต่อที่ Palacio Nacional เดินเล่นตรงนี้สวยเพลินมากเลย น่าเสียดายที่มาเวลาที่เค้ายังไม่เปิดน้ำพุตลอดทาง เคยเห็นในภาพสวยมากเลย ไม่เป็นไร คราวหน้าค่อยกลับมาซ่อมใหม่
มองไปปลายทางมีเสาเหมือนที่เวนิชด้วยอ่ะ
โดมกลมๆใกล้ๆกัน มันคือห้างนะครับ ได้เวลาทานมื้อกลางวันพอดี ต้องแวะซะหน่อย
ลองชิมข้าวผัดสเปนอันโด่งดังกันบ้าง ที่จริงไม่ใช่ข้าวผัดหรอกครับ เค้าเอามันไปอบมากกว่า เรียกตามคนสเปนว่า ปาเอญ่า (Paella) ใครมาก็ลองชิมดูครับ อร่อยมื้อแรกๆอ่ะ ทานบ่อยๆก็รู้สึกเบื่อ 5555
เราจองรอบเข้ามหาวิหารซากราด้า ฟามิเลีย Sagrada Familia ไว้ตอนบ่าย 2 ครับ ใครที่จะเข้าที่นี่ต้องจองรอบล่วงหน้านะครับ ไม่งั้นอดเข้าแน่นอน
ค่าเข้าแบบไม่มีไกด์ ผู้ใหญ่ 15 ยูโร เด็กฟรี
ซากราด้า ฟามิเลีย Sagrada Familia เป็นสถาปัตยกรรมประจำเมืองบาร์เซโลนาในประเทศสเปนที่ออกแบบโดยอันตอนี เกาดี สถาปนิกชาวคาตาลัน เป็นผลงานที่เรียกว่า โมเดิร์นนิสโม เป็นงานศิลปะเฉพาะถิ่นและเป็นอาร์ตนูโวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
งานชิ้นนี้เริ่มสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2425 มีกำหนดก่อสร้างหอคอยทั้งหมด 18 หอคอย นับตั้งแต่ปีเริ่มสร้างจนถึงปัจจุบันสร้างเสร็จไปแล้วแค่ 8 หอคอย งานคืบหน้าไปประมาณร้อยละ 50 สถาปนิกผู้ออกแบบถูกรถรางทับเสียชีวิตไปเมื่อ พ.ศ. 2469 โดยศพของเขาได้ถูกฝังไว้ในซากราดาฟามีเลียด้วย
แม้เกาดีจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ผู้ร่วมงานของเขายังคงสานต่อโครงการโดยอาศัยรูปถ่าย ภาพร่าง และแบบจำลองที่เกาดีทำไว้ แต่แล้วในปี พ.ศ. 2479 โครงการก็ต้องหยุดชะงักเพราะสงครามกลางเมืองในสเปน ห้องใต้ดินและแบบจำลองอย่างละเอียดก็ถูกเผาทำลาย แต่เมื่อสิ้นสุดสงครามทีมงานก็กลับมาทำงานกันต่อ โดยอาศัยภาพร่าง ภาพถ่ายและแบบจำลองอื่น ๆ ที่รอดพ้นจากการถูกทำลาย ภายหลังได้นำคอมพิวเตอร์มาใช้ออกแบบ แต่ถึงจะใช้เทคโนโลยีมากมายมาช่วย กว่าโครงการนี้จะเสร็จก็อีกยาวไกลถึงปี พ.ศ. 2569
ลักษณะเด่นของอาคารแห่งนี้จะสังเกตได้ถึงสีที่ตัดกันของหินด้านหน้าและด้านหลังอย่างชัดเจน และพบรูปแบบการก่อสร้างที่แตกต่างกันระหว่างแบบเก่าและแบบที่สร้างต่อขึ้นไหม่ในปัจจุบัน
เพดานของวิหารสวยงามมาก แต่ที่ชอบเป็นพิเศษ คือดีไซน์มันไม่มีที่ไหนเหมือนที่นี่เลย ชอบมากครับ
อีกจุดที่ควรแวะมาถ่ายภาพก็คือตัวอักษรนูนต่ำบริเวณประตูมหาวิหารครับ และสำหรับใครที่สนใจประวัติของการก่อสร้างมหาวิหารซากราด้า ฟามิเลีย ก็สามารถลงไปชมได้ที่ชั้นใต้ดินนะครับ
ยังมีมุมมหาชนที่เป็นที่นิยมถ่ายภาพกันคือ สวนสาธารณะข้างมหาวิหาร มุมนี้จะได้ฉากหน้าเป็นบ่อน้ำด้วย แต่พวกเราผิดเวลาไปหน่อย เลยเป็นเวลาย้อนแสง น้ำก็ไม่สะท้อนเงามหาวิหารครับ
ยุโรปในช่วงเดือนเม.ย. มืดช้ามาก เดินเที่ยวได้เยอะมาก เรากลับที่พักไปนอนพักแล้วออกมาเดินเล่นต่อฟ้าก็ยังไม่มืดเลย ดีงามมาก
ไม่ไกลจากที่พัก เรามาเดินเล่นต่อที่ประตูชัยของเมืองบาร์เซโลน่ากัน
เดินเล่นจากประตูชัยมาเรื่อยๆจะมีสวนสาธารณะอันใหญ่ชื่อว่า Ciutadella Park
ที่นี่มีให้เช่าเรือพายด้วยนะ เพลินเลย
วันรุ่งขึ้นเราขับรถมุ่งหน้าสู่เมืองมาดริดเมืองหลวงของประเทศสเปนกัน
ในภาพนี้คือตึกตัวมุมของถนน Gran Via ครับ
อนุสาวรีย์พระเจ้า หน้าพระราชวัง Royal Palace of Madrid หลายๆคนคงคิดว่าก็คงเหมือนรูปปั้นธรรมดาๆใช่มั้ยครับ แต่ถ้าพิจารณาให้ดี รูปปั้นทรงม้าอันนี้ถือว่าเป็นนวัตกรรมการสร้างในสมัยที่สร้างเลย
เหตุผลก็คือ จะเห็นได้ว่าม้าของพระเจ้า Philip IV ยกขาหน้าขึ้นและยกแค่สองขาหลังเท่านั้น ด้วยขนาดและน้ำหนักของรูปปั้น ทำให้วิศวกรต้องใช้หลักวิศวกรรมขั้นสูง จึงจะสามารถทำให้ม้าขึ้นได้โดยไม่ล้มลงมา
รอบๆสวนยังมีรูปปั้นกษัตริย์สเปนตั้งเรียงรายอยู่เพียบครับ
ตรงทางเข้าพระราชวัง จะมองเห็น Catedral de la Almudena ซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่
คณะลูกทัวร์ผมสดใสกันแต่เช้าเลย
เข้ามาบริเวณพระราชวังจะเจอกับจัตุรัสใหญ่โตก่อน ด้านในจะมีทั้งโรงเก็บอาวุธ เดินเที่ยวชมห้องโถง ห้องบรรทม เสียดายที่ส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงถึงจะเดินทั่วนะครับ เดินกันเมื่อยเลยหละ
ไม่ไกลจากพระราชวัง Royal Palace of Madrid จะมีสวนสาธารณะ Plaza de España
เราเดินต่อมายัง Templo de Debod วัดโบราณแห่งนี้เป็นของขวัญที่ประเทศอียิปต์มอบให้กับประเทศสเปนเมื่อปี ค.ศ. 1968 จากการร้องขอความช่วยเหลือผ่านทางองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ในการรักษาโบราณสถานในภูมิภาคนิวเบีย
เดินเล่นในเมืองมาเรื่อยๆนะครับ ขนมประจำชาติอีกอย่างที่ไม่ควรพลาดเลย คือ ชูโรส หรือปาท่องโก๋สเปน จะให้อร่อยต้องทานคู่กับช็อกโกแลตร้อนๆ จิ้มแล้วเข้ากันได้ดีสุดๆ
ในเมือง Madrid แนะนำร้าน Los Artesanos 1902 Chocolate พิกัด กับ San Ginés Chocolateria พิกัด
เดินเล่นกันมาเรื่อยๆ ก็ถึงจัตุรัส Plaza Mayor คนเยอะเชียว
ไม่ไกลกันจะมีภัตตคารที่เก่าที่สุดในโลก เปิดบริการมาตั้งแต่ปี 1725 เค้าได้รับการบันทึกลงใน the Guinness Book of Records เลยทีเดียว
มาดริดอย่าลืมมาถ่ายภาพกับ Statue of the bear and the strawberry tree ด้วยนะครับ
ปิดท้ายด้วยที่เที่ยวสุดท้ายของมาดริดของครอบครัวเรา El Retiro Park ครับ
วันที่ 7 ของการเดินทาง พวกเรา Day Trip มาเที่ยวที่เมืองเซโกเวีย Segovia ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงมาดริดไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ที่เมืองเซโกเวียเป็นที่ตั้งของท่อส่งน้ำโบราณอายุกว่าสองพันปีแห่งเมืองเซโกเวีย ท่อส่งน้ำนี้สร้างเมื่อใดไม่มีการบันทึกไว้แน่ชัด แต่คาดว่าก่อสร้างเมื่อราวปี ค.ศ. 50-81 ในสมัยที่อาณาจักรโรมันยังปกครองดินแดนสเปนอยู่ ท่อส่งน้ำมีความยาวกว่า 813 เมตร สูง 28 เมตร ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ใครมาเที่ยวที่นี่แนะนำให้ไปเที่ยวที่มหาวิหาร Catherdral of Segovia ด้วยนะ
ปราสาท Alcazar De Segovia จากมุมด้านล่างเขา จุดถ่ายภาพนี้ต้องขับรถมานะ พิกัด
Alcázar de Segovia หรือพระราชวังอัลกาซาร์แห่งเซโกเวีย ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1122 ในสมัยก่อนที่นี่เคยเป็นที่พำนักของกษัตริย์สเปนด้วย เค้าว่ากันว่าที่นี่เป็นต้นแบบของปราสาทดิสนีย์เชียวนะ
ด้านในสวยงามมาก เดินกันเพลินเลยครับ
อีกวันได้เวลามุ่งหน้าลงใต้ต่อมายังเมืองหลวงเก่าของประเทศอย่างเมืองโตเลโด Toledo กัน
จุดชมวิวที่ดีที่สุดเมือง คือ พิกัดนี้ครับ
ใครมาเที่ยวเมืองโตเลโด Toledo แนะนำให้ซื้อ Tourist Bracelet ในราคา 9 ยูโร (เด็กฟรี) สามารถเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆตามที่เห็นในภาพได้ 7 แห่ง ซึ่งจุดคุ้มน่าจะอยู่ที่ 3 แห่งขึ้นไปครับ ถ้าเที่ยวน้อยกว่าก็ไม่ต้องซื้อนะ ซื้อได้ที่หน้าที่เที่ยวได้เลย
มาเริ่มจากที่แรกเลย Monastery of San Juan de los Reyes สร้างโดย King Ferdinand II อาณาจักร Aragon กับ Queen Isabella I แห่งอาณาจักร Castile คือต้องเล่าให้ฟังก่อนว่าแต่ก่อนจะรวมชาติเป็นประเทศสเปนเนี่ย มันแบ่งเป็นสองอาณาจักรคือ Aragon และ Castile ที่ต่างใหญ่ทั้งคู่ และไม่มีฝ่ายไหนจะเอาชนะอีกฝ่ายได้เลย กว่าสเปนจะรวมเป็นชาติเดียวได้ ก็ใช้วิธีแต่งงานกันนี่แหละครับ อารามแห่งนี้เป็นสไตส์แบบโกติกนะ มีสวนสวยๆตั้งอยู่ใจกลางอารามด้วย
เดินต่อมาอีกไม่ไกลก็เจอ Santa María la Blanca รวมอยู่ใน Tourist Bracelet ก็ขอเข้าไปดูหน่อย สวยแปลกตาดีครับ
เราเดินไปเข้าโบถส์ Church of Santo Tomé ในนั้นมีภาพเขียนที่มีชื่อเสียงอย่าง the Burial of the Count of Orgaz แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถถ่ายภาพได้
ปิดท้ายด้วยการชมวิวบนหอคอยของโบถส์ Iglesia de San Ildefonso Jesuitas จากบนนี้จะสามารถมองเห็นทั้งตัวพระราชวังและมหาวิหารของเมือง Toledo ท่ามกลางหลังคาบ้านเรือนสีส้มได้เลย
ที่จริงยังมีที่เที่ยวในเมืองอีกเยอะนะ แต่พอดีเราวางแผนมาเที่ยวครึ่งวัน เพราะนัดที่พัก Check-in ไว้ตอนบ่าย 4 โมง เลยต้องรีบเดินทางต่อแล้ว
เราเดินทางกันมาเที่ยวภาคใต้ของสเปนกันบ้างนะครับ เริ่มต้นจากเมืองคอร์โดบา Cordoba กันก่อนเลยนะครับ
ครั้งเมืองนี้เป็นเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรกาหลิปแห่งคอร์โดบาของชาวมุสลิมซึ่งเคยปกครองพื้นที่เกือบทั้งหมดในคาบสมุทรไอบีเรีย ประมาณกันว่าเมืองคอร์โดบาซึ่งมีประชากรถึง 500,000 คนในคริสต์ศตวรรษที่ 10 เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลกรองจากคอนสแตนติโนเปิล
มัสยิด-มหาวิหารคอร์โดบา Mosque–Cathedral of Córdoba เป็นมหาวิหารที่มีลักษณะผสมระหว่างมัสยิดของชาวมุสลิมกับโบสถ์ของศาสนาคริสต์
ทั้งนี้เพราะเมืองนี้เดิมทีเคยถูกปกครองโดยชาวมุสลิม แต่ภายหลังถูกชาวคริสต์ปกครอง ชาวคริสต์จึงเปลี่ยนมัสยิดให้กลายเป็นโบถส์คริสต์
ทำให้มหาวิหารแห่งนี้จึงเป็นโบถส์คริสต์ที่แปลกตาที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
มาเที่ยวกันต่อที่ Alcazar of the Christian Monarchs
พระราชวังแห่งนี้โดดเด่นด้วยสระน้ำยาวๆล้อมรอบด้วยสวนสวยๆ
ขอถ่ายภาพคู่กับภรรยาหน่อยนะครับ
วันเดินทางที่ 9 ที่จริงวันนี้ตามแผนต้องเดินทางไปเที่ยวเมือง Granada แต่ด้วยผมชะล่าใจไปหน่อย คิดว่าจะจองเข้าพระราชวัง Alhambra of Granada ใกล้ๆวันเดินทาง แต่เอาเข้าจริง มันเต็มล่วงหน้าไป 1 เดือนครับ เมื่อไม่สามารถเข้าไปเที่ยวพระราชวังที่มุ่งหมายไว้ได้ เราจึงตัดสินใจยกเลิกการเดินทางไปเที่ยว Granada แล้วหาที่เที่ยวใกล้ๆเมือง Cordoba แทน
แผนเที่ยวฉุกเฉินก็คือ ปราสาท Castillo Almodóvar del Río ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของคอร์โดบา
ตัวปราสาทตั้งอยู่บนภูเขาสูง รอบภูเขาปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าสีเขียว มีฝูงแกะเล็มหญ้า น้องเกรซน้องกายชอบกันใหญ่
วิวมุมสูงจากตัวปราสาท Castillo Almodóvar del Río สามารถมองลงมายังเมือง Almodóvar del Río ได้อย่างสวยงามสุดๆ
มีดาบปักก้อนหินให้ถ่ายภาพด้วยนะ
เราเดินทางต่อมายังเมืองเซวิญ่า Sevilla เดิมทีผมไม่ทราบเลยว่าเมืองเค้าจะมีเทศกาล Ester ใหญ่ตรงกับวันเที่ยวพอดี ซึ่งเป็นวัน Good Friday ชาวเมืองเซวิญ่าก็มีการปิดถนนเดินแห่รอบเมือง ร้านค้าก็พากันปิดหมดทุกอย่าง แม้กระทั่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่างพระราชวังก็ปิดกับเค้าไปด้วย ซวยมากเลยครับ
แต่ยังโชคดีที่มหาวิหารเมืองเซวิญ่า Seville Cathedral ยังเปิดให้ชมตามปกติ
Seville Cathedral ถือเป็นโบถส์สไตส์โกติกที่ใหญ่ที่สุดของโลก และนับเป็นโบถส์ที่ใหญ่ที่สุด 1 ใน 3 ของโลก ภายในสวยงามและดูขลังมากครับ
ภายในจะมีที่บรรจุศพของ Christopher Columbus นักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ที่ค้นพบทวีปอเมริกาด้วย
มาที่นี่อย่าลืมขึ้นหอคอยไปชมวิวเมืองนะครับ สวยมากมาย
เที่ยวต่อมายัง Plaza de España กัน
ที่ Plaza de España สวยมากครับ บอกตรงๆว่าเทียบกับจัตุรัสต่างๆในยุโรป ผมชอบที่นี่มากกว่าทุกที่จริงๆ
รอบๆจะมีกระเบื้องที่แสดงประวัติศาสตร์ของแต่ละจังหวัดทั่วทั้งสเปนเลย
ที่ Sevilla มีสนามวัวกระทิงให้เข้าไปชมบรรยากาศด้วยนะ เสียดายที่เรามาไม่ทันรอบสุดท้าย อดเข้าไปดูเลย
ปิดท้ายเมืองเซวิญ่าด้วย Metropol Parasol โครงสร้างไม้รูปร่างแปลกตา สวยไปอีกแบบครับ
วันที่ 12 ของการเดินทาง ครอบครัวเราข้ามพรมแดนสู่ประเทศโปรตุเกส Portugal โดยเริ่มต้นเที่ยวจากเมืองหลวงลิสบอน Lisbon กันเลย
เราแวะชมสะพาน 25th of April Bridge หรือสะพานวันที่ 25 เม.ษ. ที่ชื่อนี้เหตุเพราะว่าตั้งตามชื่อวันปฏิวัติในวันที่ 25 April 1974
สะพานแขวนนี้หน้าตาคล้ายกับสะพาน Golden Gate ใน San Francisco เพราะบริษัทที่สร้างเป็นบริษัทอเมริกันเดียวกันที่สร้างโกเด้นเกต มีความยาวถึง 2,277 เมตร นับเป็นสะพานแขวนที่ยาวเป็นอันดับ 27 ของโลก
จากตรงนี้สามารถมองวิวทิวทัศน์ของเมืองได้อย่างสวยงาม
มีพระเยซูกางเขนเหมือนที่บราซิลด้วยนะ
เข้าไปเที่ยวในเมืองกันดีกว่า ผมเริ่มจากจอดรถแถวๆ Aos Combatentes do Ultramar ซึ่งเป็นอนุสรณสถานของเหล่าทหารกล้า
เดินต่อมาจะพบกับ Belem Tower อดีตป้อมทหารริมน้ำที่ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองไปแล้ว
เนื่องจากโปรตุเกสเป็นชาติแรกๆที่เดินเรือจนเป็นมหาอำนาจชาติแรกๆที่มีอาณานิคมอยู่ทั่วโลก มาถึงเมืองหลวงเค้าก็จะพบกับอนุสาวรีย์เกี่ยวกับการเดินเรือสำรวจโลกมากมายครับ
ไม่ไกลกันจะเป็น Jerónimos Monastery สวยทีเดียว แต่ตอนนี้คณะลูกทัวร์ผมเลิกจะเอี่ยนกับพระราชวังและโบถส์เยอะไปแล้ว เพราะทริปนี้เที่ยวแนวนี้เยอะจริงๆ
เอี่ยนโบถส์ไม่เป็นไร พามาชิมทาร์ตไข่ร้านดังที่อยู่ใกล้ๆกัน ชื่อร้าน Pasteis de Belem ร้านขนมร้านนี้มีชื่อเสียงและคนเยอะจริงๆครับ คนเยอะถึงขนาดที่ว่าพวกเราขี้เกียจเข้าแถวรอโต๊ะ ขอต่อคิว Take Away ซื้อไปนั่งทานที่อื่นดีกว่า
ชิมแล้วก็อร่อยดีนะครับ แต่ส่วนตัวชอบทาร์ตไข่ที่มาเก๊ามากกว่า พิกัดร้าน
ด้านหน้าร้านมีรถรางสีสวยให้ชมกันด้วยนะ ที่จริงเมืองลิสบอนยังมีจัตุรัส มีโบถส์อีกหลายที่นะ แต่คณะลูกทัวร์ผมเที่ยวแนวนี้มาสิบกว่าวัน เลยตัดสินใจไม่ไปแนวนั้นแล้ว เดินเล่นชิลด์ๆแทนละครับ
รุ่งเช้าอีกวันเราก็ Day Trip ไปเที่ยวเมืองซินทรา Sintra ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของลิสบอน
ขับรถประมาณ 30 นาทีก็ถึงเมืองนี้ เริ่มเที่ยวจากพระราชวังสีสดใสอย่าง Park and National Palace of Pena กัน
Park and National Palace of Pena ตั้งอยู่บนภูเขาซินทรา ตัวปราสาทสร้างมาตั้งแต่ในยุคกลางราวปี 1493 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี 1995
จากริมทางเดินบนพระราชวัง Pena Palace เราจะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์กันสวยงาม (กำแพงบนภูเขาในภาพคือ Castelo dos Mouros ครับ)
ในชีวิตผมเที่ยวปราสาทและพระราชวังมาเยอะ แต่พระราชวัง Pena Palace น่าจะเป็นหนึ่งในพระราชวังอันดับต้นๆที่ผมชอบมากเลย
ช่วงบ่ายเรามาเที่ยวกันต่อที่ Quinta da Regaleira อีกหนึ่งในมรดกโลกของเมืองนี้
Quinta da Regaleira เป็นวังที่ล้อมรอบด้วยสวนขนาดใหญ่ ถ้ำ อุโมงค์ และบ่อน้ำ
แต่จุดหมายหลักคือบ่อน้ำอันนี้ครับ Initiation Wells
เราสามารถเดินลงไปด้านล่างของบ่อน้ำ ภายในจะมืดมาก จนต้องเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือเลยทีเดียว
เส้นทางที่เดินก็จะเป็นอุโมงค์ในถ้ำ ช่วงสุดท้ายจะเป็นทางเดินที่ท้าทายด้วย จะมีแค่แผ่นหินบนพื้นน้ำนะ ใครพาเด็กเล็กมาต้องระมัดระวังนะครับ สำหรับเด็กโตอย่างน้องเกรซน้องกายก็ผ่านไปไม่ยากเท่าไหร่ แต่คนที่เสียวคือพ่อแม่อย่างอินกับแอนครับ ตื่นเต้นสนุกดีเหมือนกัน
ชมคลิปบรรยากาศกันดีกว่าครับ
จากลิสบอน เราเดินทางขึ้นเหนือมายังเมืองปอร์โต้ เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโปรตุเกสกัน
ที่พักของพวกเราใกล้กับมหาวิหาร Porto Cathedral เลยเริ่มเที่ยวที่นี่เป็นที่แรก
ด้านในก็สวยงามดีครับ
ชูโรสที่โปรตุเกสก็มีนะ แถมมีการนำ nutella ไปใส่ลงเป็นไส้ไว้ด้วย อร่อยมากเลย ขอบอก
จุดชมวิวที่สวยที่สุดของเมืองปอร์โต้ คือ จุดชม 2 สะพานในภาพครับ ได้แก่สะพาน Luís I Bridge และ Ponte da Arrábida
สวยงามมากมาย พิกัดตามนี้เลย
มีกระเช๊าให้นั่งมาที่ท่าเรือเก่าของเมืองด้วย
วิวจากกระเช๊าสวยมั้ยครับ
Porto แปลว่า ท่าเรือ เชื่อกันว่าชื่อก็ตั้งตามกิจกรรมของพื้นที่บริเวณแถบนี้ที่เป็นท่าเรือครับ
จะมีคูปองชิมไวน์ฟรีติดมากับตั๋วกระเช๊าด้วยนะ
บริเวณนี้เป็นท่าเรือเก่าที่ใช้ขนส่งไวน์กันครับ
กลับมาชมวิวเมืองปอร์โต้ Porto กันบ้าง
สะพาน Luís I Bridge มันช่างสวยงามยิ่งนัก
เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศขมุกขมัว ฟ้าไม่สวยเลย แผนเที่ยววันนี้ออกเดินเล่นในเมืองกัน
ในภาพคือ บริเวณ Liberdade Square ครับ
เดินมาอีกไม่ไกลจะเจอกับ Clérigos Tower ครับ
เจอร้านขนมแปลกตาอยู่ข้างๆ Tower มันคือ เนื้อปลาผสมมันสอดไส้ชีสแล้วเอาอบ ทานกับไวน์ก็แปลกลิ้นได้อีกครับ
ร้านรวงแถวนี้ตกแต่งสวยจัง ร้านนี้ขายปลากระป๋องครับ เลยเอาปลากระป๋องเรียงกันเป็นสีต่างๆ ก็สวยไปอีกแบบนะ
เดินมาอีกไม่ไกลจะเจอโบถส์ Igreja do Carmo
โบถส์ Igreja do Carmo จะมีการนำกระเบื้องสีฟ้ามาประดับประดาตกแต่งผนังของโบถส์ครับ
ในเมืองมีของตกแต่งให้ถ่ายรูปด้วยเพียบเลย
เราได้รับคำแนะนำจากเจ้าของบ้านที่ปอร์โต้ว่ามีร้านอาหารท้องถิ่นร้านนี้ที่อร่อยมาก ชื่อว่า LADO B Café ได้ฟังแบบนี้พลาดไม่ได้แล้ว พิกัดตามนี้
Francesinha เป็นหนึ่งในอาหารประจำท้องถิ่นของชาวโปรตุเกส เป็นกลายๆแซนวิส แฮม ชีส และไข่ มาอบด้วยกัน ก็อร่อยดีนะ แต่พิจารณาจากแคลเลอรี่แล้ว แอบอ้วนใช้ได้อยู่
สเต็กเนื้อลูกวัวอร่อยมาก
มาร้านนี้ห้ามพลาดเค้กช็อกโกแลตนะครับ อร่อยจนต้องเบิ้ลเลยหละ
มาเดินเล่นในเมืองกันต่อ ที่ถนนคนเดิน Santa Catarina ร้านรวงคึกคักมาก คนเก็เยอะสุดๆ
แวะทานไอติมเจลาโต้ร้าน Amorino ไอติมเค้าตักเป็นกลีบดอกกุหลาบเลย ไม่จำกัดรสชาติด้วยนะ อร่อยมากมาย
ปิดท้ายโมเม้นท์สุดท้ายของเมืองปอร์โต้ด้วยการนั่งเล่นบริเวณริมแม่น้ำ Douro River ก่อนจะกลับที่พักเพื่อพักผ่อน
วันเดินทางที่ 15 พวกเราใช้เวลาเดินทางส่วนใหญ่ไปกับการขับรถกลับมาประเทศสเปนครับ ขับรถทั้งวันราวๆ 9 ชั่วโมงเพื่อแวะพักที่เมืองซาราโกซ่า Zaragoza กัน เมืองนี้แม้ในแผนการเดินทางจะเป็นแค่เมืองทางผ่าน พักผ่อนเพื่อไปบาร์เซโลน่าต่อ แต่ไหนๆก็มาถึงแล้วก็ต้องเที่ยวสิเนอะ
ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมแม่น้ำเอโบร ก็คือ Cathedral-Basilica of Our Lady of the Pillar
มาดูอีกมุมกัน
สวยเนอะ
ทิ้งท้ายภาพสุดท้ายไว้ตรงนี้ อีกวันเราก็เดินทางกลับไปยังสนามบินเพื่อกลับสู่ประเทศไทย
มีคลิปบรรยากาศเที่ยวอีกเพียบ ลองชมดูนะครับ
และแล้วก็จบรีวิวขับรถเที่ยวสเปน-โปรตุเกส 17 วัน ไปอย่างสมบูรณ์ หวังว่าทุกท่านคงจะได้รับข้อมูลการเดินทางและความสุขกลับไปไม่มากก็น้อย วันนี้ลากันไปก่อน ขอบคุณและสวัสดี
ปล.หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share
หรืออยากใกล้ชิดกันมากขึ้น แอด Line มาได้เลย มีรีวิวใหม่จะส่งไปบอก อยากคุยกับแอดมิน Line มาคุยเลยจ้า ID : @2Madames กดตรงนี้ก็ได้
หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป