สวิสเซอร์แลนด์หนึ่งในประเทศที่ได้รับการยกย่องว่ามีธรรมชาติและความสวยงามที่สุดของโลก การเดินทางไปเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 3 ในการเยือนดินแดนแห่งนี้ของครอบครัวเรา แต่ถึงจะมาหลายครั้ง ก็แปลกที่เรายังไม่เคยเบื่อประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาหิมะและทะเลสาบสวยๆแห่งนี้เลย รีวิวนี้นอกจากข้อมูลเรื่องการเดินทางแล้ว ยังมีเคล็ดลับในการเดินทางให้ประหยัด ผ่านประเทศที่ได้ชื่อว่ามีค่าครองชีพแพงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วย จะสวยงามแค่ไหน สนุกสนานเพียงใด ตามไปรับชมรีวิวกันครับ
ทริปนี้ออกเดินทางกันตั้งแต่ 9 – 18 มี.ค. รวม 10 วันครับ โดยโปรแกรมคร่าวๆดังนี้
9 มี.ค. 60 – ออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยการบินไทย บินตรงสู่เมืองซูริค
10 มี.ค. – รับรถเช่า แล้วมุ่งหน้าสู่ Brienz เมืองเล็กๆที่สวยงามริมทะเลสาบ
11 มี.ค. – เที่ยว Grindelwald นั่ง Gondola ขึ้นเขา First เดินบนทางเดินเลียบหน้าผา First Cliff Walk
12 มี.ค. – เดินทางสู่เมือง Montreux เที่ยวปราสาทริมทะเลสาบ Chillon Castle
13 มี.ค. – มุ่งหน้าสู่ Geneva เพื่อขึ้น Shuttle Car ข้ามพรมแดนไปเส่นสกีที่ Club Med Valmorel ประเทศฝรั่งเศส
14 มี.ค. – เส่นสกีที่ Club Med Valmorel
15 มี.ค. – เดินทางกลับมาเที่ยวที่เมืองเจนีวา Geneva
16 มี.ค. – เที่ยวน้ำตก Rheinfall แล้วเที่ยวเมือง Stein am Rhein
17 มี.ค. – เที่ยวซูริค Zurich
18 มี.ค. – เดินทางกลับสู่กรุงเทพอย่างสวัสดิภาพ
การเตรียมตัวเดินทางไปสวิสเซอร์แลนด์ Switzerland
1.) วีซ่า
การเข้าประเทศสวิสเซอร์แลนด์ต้องยื่นขอวีซ่าแชงเก้น โดยต้องยื่นผ่านตัวแทน ศึกษาเตรียมเอกสารและนัดวันล่วงหน้าที่เว็บไซค์ https://ch.tlscontact.com/th/bkk/index.php?l=th
2.) ค่าเงิน
1 สวิสฟรังก์ CHF = 35 บาท (มี.ค. 60) ดูอัตราแลกเปลี่ยนได้ที่ https://www.superrichthailand.com/#!/en/exchange
3.) ประกันภัยการเดินทาง
สิ่งที่สำคัญอย่างมากก่อนออกเดินทาง คือเรื่องประกันการเดินทางครับ เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เครื่องบินล่าช้า กระเป๋าหาย หรือแม้กระทั่งเจ็บป่วย ซึ่งค่ารักษาในต่างประเทศนี่หลักแสนหลักล้านนะ มีประกันการเดินทางย่อมอุ่นใจกว่า ผ่อนจากหนักเป็นเบาได้ ใครที่กำลังเดินทางเป็นแบบครอบครัวแนะนำแผนประกันภัยการเดินทางแบบครอบครัว Oasis ของ Allianz Global Assistance (AGA) จ่ายเงินซื้อแค่ 2 คน แต่คุ้มครองลูกๆรวมเป็น 4 คนได้เลย คุ้มมาก ต้องซื้อผ่านลิงก์เท่านั้นนะ http://bit.ly/2oUkdrQ
4.) อากาศและเครื่องแต่งกาย
สวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่อยู่ท่ามกลางขุนเขา มีอากาศหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาว (ธ.ค.-ก.พ.) อุณหภูมิจะติดลบและมีหิมะตก และอากาศจะเริ่มอบอุ่นขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.-พ.ค.) แต่ยังมีหิมะปกคลุมอยู่บนภูเขาสูง อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นอีกในช่วงฤดูร้อน (มิ.ย.-ส.ค.) และเริ่มลดต่ำลงอีกครั้งในฤดูใบไม้ร่วง (ก.ย.-พ.ย.)
ช่วงที่ผมเดินทางเป็นช่วงปลายฤดูหนาวและกำลังจะเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิครับ อากาศจะหนาวในช่วงเช้าและเย็น และกำลังเย็นสบายในช่วงกลางวัน แต่เนื่องจากมีการไปตะลุยหิมะเล่นสกีและต้องขึ้นภูเขาสูงที่มีลมแรงในบางวัน จึงจำเป็นต้องเตรียมเสื้อกันหนาวที่ให้ความอบอุ่นชั้นยอดอย่างพวกแบรนด์ Columbia หรือ The Northface ไปด้วยครับ
ครั้นจะซื้อใหม่เสื้อพวกแบรนด์ Columbia หรือ The North Face ตัวหนึ่งก็ราคาสูงหมื่นสองหมื่น จะซื้อมาออกทริปแค่ปีละครั้งหรือสองสามปีครั้งก็ดูจะไม่คุ้มเสียเลย แถมจะต้องทนใส่ชุดซ้ำไปหลายๆปี ถ่ายรูปคงจะเบื่อไม่สวยนัก
วันนี้ไปเจอทางเลือกใหม่ๆ ใครกำลังมองหาเสื้อผ้าตะลุยทริปหนาวๆ โดยเฉพาะทริปที่ต้องลุยหิมะ สามารถเช่าเสื้อกันหนาว กางเกง ลองจอน รองเท้า แบรนด์ Columbia และ The North Face แท้ๆ ในราคาไม่แพงได้แล้ว
ไม่ต้องลงทุนซื้อของใหม่ แต่ได้ของแท้ไปใส่ ติดต่อที่เพจ WinterClothing เช่าเสื้อกันหนาว Northface&Columbia ได้เลยครับ คุณปอม เจ้าของร้านแนะนำและดูแลดีมากเลยครับ
5.) การใช้อินเตอร์เนต
เราใช้ Pocket Wifi ของ Magic Wifi ครับ โดยเจ้านี้เป็นเทคโนโลยีใหม่ Skyroam คือถือเครื่องนี้เครื่องเดียวก็ใช้อินเตอร์เนตได้ 104 ประเทศทั่วโลกเลย ทริปนี้เรามีต้องเดินทางทั้งสวิสและฝรั่งเศส ขี้เกียจต้องไปหาซิม 2 ประเทศ เช่าของ Magic Wifi เครื่องเดียวจบเลยใช้ได้ทั้ง 2 ประเทศ สะดวกดีครับ ใครสนใจก็ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/magicwifi/
การเดินทางสู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ที่ดีที่สุด คือ สายการบินแห่งชาติของเราครับ เนื่องจากเที่ยวบินจากการบินไทย บินตรงจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสู่เมืองซูริค โดยไม่ต้องเสียเวลาแวะเปลี่ยนเครื่องที่ไหนอีก แถมเวลาก็ดีมาก ออกเดินทางในเวลากลางคืน ทำให้เราสามารถนอนหลับพักผ่อนบนเครื่องบิน แลพเดินทางถึงปลายทางในเวลาเช้า เที่ยวต่อได้เลย ประหยัดที่พักไปได้ 1 คืนเลย
สามารถตรวจสอบราคา และจองเที่ยวบินได้ที่ http://www.thaiairways.com/
พร้อมเดินทางกันแล้ว น้องเกรซน้องกาย และคุณนายแอนตื่นเต้นกันใหญ่
เด็กๆชอบบินเครื่องการบินไทยมากๆ เพราะมีหนังภาษาไทยและเสิร์ฟอาหารไทย แถมมีลูกเรือเป็นคนไทยบริการ ทำให้สื่อสารง่ายและเข้าใจคนไทยด้วยกัน อุ่นใจทุกครั้งที่เดินทางกับการบินไทยครับ
ทริปนี้เราเดินทางด้วยการขับรถเช่านะครับ รถของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ขับพวงมาลัยซ้าย ซึ่งถนนก็จะตรงข้ามกับประเทศไทยนะครับ ดังนั้นผู้ที่ไม่เคยขับพวงมาลัยซ้ายมาก่อน ก็ควรขับในที่ปลอดภัย เช่น ลานจอดรถ ปรับสภาพให้ชินก่อนจะออกมาบนถนนใหญ่ ถนนส่วนใหญ่เป็นถนนเล็กๆ จอดรถหากเป็นเมืองใหญ่ต้องเสียค่าจอด ถ้าเป็นริมถนนจะมีตู้หยอดเหรียญแล้วก็นำตั๋วไปวางหน้ารถ หรือจะจอดแบบ Garage ก็ได้ จะมีป้ายตัว P ครับ ค่าจอดแพงนะ ชั่วโมงละ 1-4 ยูโร แต่ถ้าย่านชนบทก็จอดฟรีครับ
เช่ารถที่สวิสเซอร์แลนด์ต้องใช้เอกสารใบขับขี่สากล ทำได้ที่กรมขนส่งเลย และต้องพกพาใบขับขี่ของไทย รวมทั้งบัตรเครดิตไปด้วยนะครับ
หลังจากรับรถเช่าที่สนามบินแล้ว เรามุ่งหน้าออกจากเมืองซูริคลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เพื่อเข้าสู่ที่พักที่เมือง Brienz ระหว่างทางแวะทานข้าวเติมพลัง สนามเด็กเล่นข้างๆร้านอาหารวิวสวยจริงๆ น้องเกรซน้องกายเล่นกันสนุก ส่วนพ่อแม่อย่างเรานั่งชมวิวกันเพลินเลย
ขับรถมาอีกหน่อยจะเจอกับทะเลสาบ Lake Brienz
อากาศที่นี่กำลังเย็นสบายเลยครับ ลมเย็นโชยมาเอื่อยๆ แสงแดดแรงมาก สีของน้ำทะเลสาบที่นี่เป็นสีน้ำนมสวยมาก นั่งชมวิวกับครอบครัว มีความสุขมากๆเลยครับ
วิวระหว่างทางสวยเหลือเกิน เห็นแล้วทนไม่ไหว ต้องจอดรถแวะลงมาถ่ายภาพตลอดเวลาเลย
สองคืนแรกครอบครัวเราพักกันที่เมือง Brienz เมืองเล็กๆสวยงามข้างทะเลสาบสีฟ้าน้ำนม
ที่พักของเราเป็นบ้านพักริมทะเลสาบเลย ห้องกว้างมาก มีห้องนั่งเล่น 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ (มีอ่างแช่ตัวด้วย) มีครัวพร้อมอุปกรณ์ครบชุด ตกแต่งน่ารักมาก
บ้านหลังนี้ชื่อว่า CHALET ROMANTICA AL PORTO จองผ่าน airbnb มา ในราคาคืนละ 180 CHF แต่ใช้เครดิตสะสมลดแล้วจ่ายจริงประมาณ 30 CHF (ประมาณ 1,000 บาทต่อคืน) คือได้ที่พักดีงามแบบนี้ เรียกว่าคุ้มค่าทุกนาทีจริงๆ
สำหรับใครยังไม่รู้จัก airbnb ลองอ่านบทความนี้ก่อน http://www.2madames.com/airbnb/
ส่วนใครอยากจองที่พักดีๆเก๋ๆแบบนี้ในราคาประหยัด สมัครลงทะเบียนแล้วสะสมเครดิตโดยการแนะนำเพื่อนเลย สมัครจากลิงก์นี้ก่อนจะได้รับเครดิตประมาณเกือบพันบาทไว้สำหรับจองที่พักได้เลย http://www.airbnb.com/2Madames
ไฮไลท์ของบ้านหลังนี้คือวิวจากระเบียงห้องครับ สวยมากเลย
สวยจนไม่อยากไปไหน ขอนั่งเล่นชมวิวทั้งวันก็ยอม
มาเดินเล่นเมือง Brienz กันหน่อย เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆซึ่งอยู่ริมทะเลสาบน้ำสวย สีน้ำในทะเลสาบจะออกเป็นสีเขียว คล้ายๆสี Turquoise
คุณนายแอนยืนคุยอะไรกับรูปปั้นไม่รู้
เดินลัดเลาะทะเลสาบแสนสุขใจไปเรื่อยๆ
สวิสเซอร์แลนด์จัดว่าเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพแพงมากครับ โดยเฉพาะอาหาร ถ้าเกิดคุณทานในร้านอาหาร จานหนึ่งราคาแพงมากครับน่าจะ 15-30 CHF ต่อจาน ซึ่งถ้าครอบครัวทานกันทุกมื้อกว่าจะอิ่ม 4 ชีวิตอาจจะต้องจ่ายแพงมากครับ
เราจึงเลือกวิธีการไปซื้อวัตถุดิบและอาหารสดจาก Supermarket แล้วนำมาปรุงกับแกงซอง และข้าวสารที่เตรียมมาจากประเทศไทยกัน
กินอยู่เต็มที่นะ อยากกินอะไรก็หยิบ ไม่มีงก แต่ไม่ยอมให้ให้ฟันเราแพงๆจ้า
กลางวันพวกเราจะทานอาหารนอกบ้านครับ เที่ยวอยู่ไหนก็ทานกันที่นั่น ไม่ต้องถึงกับประหยัดกลับมาทานข้าวที่บ้านพักทุกมื้อ เพราะการชิมอาหารท้องถิ่นก็ถือเป็นการเข้าถึงวัฒนธรรมของชาวสวิสเช่นกัน
พอตอนเย็นก็กลับมาปรุงอาหารทานอาหารไทยกันที่บ้าน ทานอาหารไทยในต่างแดนเนี่ย แม้กระทั่งกับข้าวจะธรรมดา แต่บอกเลยว่าฟินสุดๆ นอกจากจะประหยัดแล้ว ยังอร่อยและหายคิดถึงบ้านด้วยนะ
วันที่สอง เราขับรถมายังเมือง Grindelwald ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากเมือง Interlaken มีประชากรไม่ถึง 5,000 คน
แต่ด้วยภูมิประเทศที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูง ทำให้เมืองนี้มีเสน่ห์และสวยงามไม่แพ้เมืองไหนในยุโรป
เมืองนี้ยังเป็นจุดสำคัญในการเดินทางไปต่อยังยอดเขาจุงเฟราเป็นยอดเขาที่สูงของยุโรปด้วย
ตอนที่เราไปเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา Grindelwald เป็นศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเล่นสกีบนภูเขาหิมะเต็มไปหมด
วันนี้เราขึ้น Gondola ไปเที่ยวบนเขา First กัน (อ่านว่า เฟียต นะ ไม่ใช่เฟิร์ส)
ค่าขึ้นกระเช้า ผู้ใหญ่ 60 CHF ส่วนเด็กๆที่จริงน้องเกรซต้องจ่ายครึ่งราคา ส่วนน้องกายฟรี แต่วันนั้นเจ้าหน้าที่ใจดีครับ ให้ตั๋วเด็กๆมาฟรี พร้อมพูดว่า Have a nice day ปลื้มมาก
หนึ่งในไฮไลท์ของที่นี่คือ ทางเดินเลียบหน้าผา First Cliff Walk นั่นเอง
ทางเดินนี้จะทอดตัวต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เดินเลียบหน้าผาและยื่นไปในอากาศ
จากตรงนี้สามารถชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามของเทือกเขา Swiss Alps ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ที่สำคัญตัวพื้นของทางเดินเป็นตะแกรงเหล็กบ้าง พื้นกระจกบ้างสามารถมองทะลุไปยังด้านล่างได้ ดังนั้นคนที่มีปัญหากลัวความสูงอาจจะลำบากหน่อยนะครับ (น้องเกรซร้องไห้เลย)
เก็บภาพครอบครัวกันสักหน่อยนะ
ถึงอากาศจะหนาว ลมจะพัดแรง
ก็เพียงแค่หนาวกายแต่อุ่นในหัวใจ
ใครที่ขึ้นเขา First มาแนะนำให้เดินไปที่ทะเลสาบ BACHALPSEE ด้วยนะครับ แต่ครอบครัวเราไม่ได้ไปเพราะเวลาตั๋วจอดรถที่จอดไว้ที่เมืองมีเวลาไม่พอครับ
ก็เปลี่ยนให้เด็กๆใช้เวลาเล่นหิมะบนภูเขากันไปแทน
ตกบ่ายเราไปทานร้าน Huesi Bierhaus Interlaken ร้านนี้ค้นหาใน tripadvisor แล้วมันขึ้นอันดับ 1 เลย
อาหารอร่อยมาก โดยเฉพาะมักกะโรนีอบชีสแนะนำเลยครับ
วันรุ่งเช้าเก็บกระเป๋าเช็คเอ๊าท์ออกจากโรงแรมมุ่งหน้าสู่เมือง Montreux กัน
ระว่างทางจอดแวะปิ๊กนิคกันริมทะเลสาบ วิวสวยชะมัดเลย
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงเมืองมองเทรอซ์ Montreux แล้ว
เมืองมองเทรอซ์ Montreux ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเจนีวาอันกว้างใหญ่ครับ
เบื้องหน้าของครอบครัวคือแผ่นน้ำกว้างๆกับภูเขาอยู่ไกลๆลิบตา
จุดหมายของการเที่ยวของพวกเราคือ ปราสาท Chillon Castle หรือ Château de Chillon
ปราสาทชิลยอง Chillon Castle หรือ Château de Chillon เป็นปราสาทที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ในยุคกลาง
ตัวปราสาทตั้งอยู่ริมทะเลสาบ ใกล้ๆกันก็เป็นภูเขาสูง ทำให้ตัวปราสาทสามารถควบคุมเส้นทางทั้งการค้าและเป็นยุทธศาสตร์ทางการทหารที่สำคัญในย่านนี้
มาเที่ยวปราสาท น้องกายเลยขอถือดาบกับโล่หน่อย แหม เข้ากับบรรยากาศจริงๆนะ
ที่น่าสนใจ คือ คุกใต้ดินแห่งนี้ มีชื่อเสียงมากในงานประพันธ์เรื่อง The Prisoner of Chillon ที่เขียนโดยขุนนางอังกฤษที่ชื่อ Lord Byron
ตัวปราสาทมีห้องให้ชมมากมายครับ เดินชมกันเพลินเลย
ที่พักคืนนี้เราจองอยู่ที่ย่านชนบทของสวิสเซอร์แลนด์อย่าง Vevey กัน ย่านนี้เป็นเนินเขาที่นิยมปลูกไร่องุ่นเพื่อผลิตไวน์ น่าเสียดายที่มาช่วงฤดูนี้ต้นองุ่นจะยังไม่มีใบและผลให้ชมเลย
ระหว่างทางมีจุดชมวิวสวยมาก แวะถ่ายภาพกันหน่อยครับ
น้องเกรซอารมณ์ดี๊ดี
เราจองที่พักให้เด็กๆได้สัมผัสวิถีชีวิตของคนที่นี่ มีการเลี้ยงสัตว์ต่างๆ เช่น อัลปาก้า, เจ้าลาดองกี้, แพะ และเจ้าเหมียวเปอร์เซีย พักที่พักแบบนี้ก็ได้บรรยากาศแบบ Country เหมือนกันนะ
เค้ามีสนามเด็กเล่นให้เด็กๆได้สนุกกันด้วย ข้อเสียของการพักแบบชนบทแบบนี้ คือ หาร้านอาหารและซุปเปอร์มาร์เก็ตยากซะหน่อยครับ โชคดีที่มีร้านมินิมาร์ทขายมาม่าเลยซื้อมาต้มทาน รอดตายกันไปมื้อหนึ่ง
บ้านพักกว้างดี และตกแต่งเก๋ไก๋สวยงาม
มีระเบียงให้นั่งชมวิวชมบทสวยๆด้วย แต่มีกลิ่นมูลสัตว์ในบางเวลานะครับ ชนบทจริงๆ
ส่วนที่นอนจะอยู่ใต้หลังคาครับ
เค้ามีเกมส์กระดานและของเล่นให้เด็กๆด้วยนะ น้องเกรซน้องกายถูกใจกันใหญ่
ใครสนใจก็ลองจองได้ที่ https://www.booking.com/hotel/ch/appartement-de-vacances-philipona.en-gb.html
แต่ก่อนจองอย่าลืมกดไปลงทะเบียนรับเครดิต 700 บาท ที่ลิงก์ https://www.booking.com/s/intraw00
วันรุ่งขึ้นเราขับรถไปจอดที่สนามบินเจนีวากัน เพราะว่าจากสนามบินเราจะนั่ง Shuttle Van ข้ามพรมแดนไปยังประเทศฝรั่งเศส เพราะเราได้จอง Family Ski Resort อย่าง Club Med Valmorel ไว้
คลับเมด วาโมเรล Club Med Valmorel เป็น Family Ski Resort ที่อยู่ในบริเวณทิวเขา French Alps
ซึ่งจุดเด่นของเครือ Club Med คือ แพกเกจที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในราคาห้องพักแล้ว หรือที่เรียกกันติดปากว่า All Inclusive นั่นเอง
ราคารวมทุกอย่าง หมายถึง ห้องพัก, อาหาร, เครื่องดื่ม (รวมแอลกอฮอล) ทุกอย่างเสิร์ฟไม่อั้น และกิจกรรมต่างๆในรีสอร์ท ตลอดเวลาที่เข้าพัก
มาชมภาพกันเลยเนอะ ภาพนี้คือล็อบบี้ของ Club Med Valmorel
มาชมห้องพักแบบ Club Room ของพวกเรากันก่อนนะ
เค้าจัดเตียงอยู่ตรงกลางห้องครับ ที่ปลายเตียงจะมีโซฟาให้นั่งเล่นมองวิวลานสกีด้วย
ห้องน้ำกว้างขวาง มีอ่างน้ำด้วยจ้า
จุดประสงค์หลักของการมาที่สกีรีสอร์ทก็คงไม่พ้นมาเล่นสกีเนอะ
ในช่วงกลางวัน บริเวณลานสกีจะเต็มไปด้วยนักสกีตัวยง มาเล่นสกีบ้าง มาพักผ่อน กินดื่มกัน โดยทางรีสอร์ทก็มีการจัดปาร์ตี้ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และเสียงเพลงให้
มีตัวมาสคอตมาเดินเอาใจเด็กๆด้วย
ที่ Club Med Valmorel จะมี Ski Class ให้กับแขกที่มาพักด้วย โดยเค้าจะแบ่งเป็น Level ต่างๆ ตั้งแต่ Beginner ยันไป หนึ่งดาว สองดาว จนถึงระดับแบบแข่งขันเลยก็มี
ทางรีสอร์ทจะแบ่งกลุ่ม จำนวนกลุ่มละประมาณ 7-10 คน ในระดับเดียวกัน แล้วไปคอร์สต่างๆที่เหมาะสม
บอกเลยว่าพอจบคลาสน้องเกรซก็เล่นเก่งขึ้นมากเลย
ส่วนน้องกาย ก็ได้สนุกกับกระดานไถลหิมะ ที่สามารถยืมได้ฟรีจาก Reception
พวกเสื้อผ้าเค้าจะไม่มีให้เช่านะครับ ต้องเตรียมมาเอง จะมีให้เช่าพวกอุปกรณ์สกีต่างๆ
ส่วนตู้ล็อกเกอร์จะมีให้ทุกห้อง สามารถใช้การ์ดห้องมาเปิดล็อกเกอร์เลขห้องเราได้เลย
ที่คลับเมด วาโมเรลจะมี Kids Club ซึ่งแบ่งแยกอายุเอาไว้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ (G.O.) ที่ดูแลที่นี่จะมีการฝึกเรื่อง Nusery มาทุกคน พ่อแม่สามารถฝากให้ G.O. ดูแลแล้วไปทำกิจกรรมต่างๆได้เลย
แต่น้องเกรซน้องกายบอกว่า Kids Club ที่นี่ยังห่างไกลจากแฟมมิลี่รีสอร์ทไทยมากครับ รีสอร์ทของไทยอลังการกว่าเยอะ
อย่างที่บอกว่าการมาพักที่ Club Med Valmorel เป็นแบบ all inclusive เพราะฉะนั้นเรื่องการกินดื่มที่นี่ฟรีจ้า
เค้าจึงให้แขกที่มาพักทุกคนใส่สายข้อมือ (ผมเรียกว่า สายเบ่ง) เพราะแค่แสดงสายเบ่ง ก็เบิกเครื่องดื่มได้ฟรี หรือเข้าไปในไลน์อาหารได้เลย
จะมีบาร์เครื่องดื่มที่เราจะสามารถสั่งเครื่องดื่มได้ตลอด สำหรับคนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลจะคุ้มมาก เพราะมันสั่งได้ไม่อั้นด้วย
มีมุมเครื่องดื่มบริการตัวเองที่เปิดตลอดเวลา เราสามารถกดน้ำอัดลม ชา กาแฟ ตรงนี้ได้
เข้ามาชมห้องอาหารของที่นี่กันต่อนะ เค้าจะมีแบ่งเป็นห้องฤดูกาลต่างๆ กว้างและสวยงามมากๆ
เรามาดูตัวอย่างไลน์อาหารกัน ว่าเค้ามีอะไรให้กินบ้าง
หลักๆก็จะเหมือนไลน์บุฟเฟ่ต์ทั่วไป ที่มีให้เลือกทานได้หลากหลายมาก แต่ความพิเศษของที่นี่ คือ เค้าจะเสิร์ฟจานหลักเป็นจานที่แต่งมาสวยงามเลย และสับเปลี่ยนหมุนเวียนอาหารกันทุกวันจ้า
อย่างมุมนี้เป็นซุปซีฟู้ดส์ ทั้งปลา ทั้งกุ้ง ทั้งหอย เค้าปรุงใหม่ๆตรงนั้นแล้วเสิร์ฟเราเลย
หรือจะเป็นกุ้ง เป็นหอยนึ่งก็มีจ้า นี่ถ้ามีพกน้ำจิ้มซีฟู้ดส์ไปด้วยนะ ดีงามเลยล่ะ
อาหารเค้าก็เสิร์ฟจานเล็กๆ เพื่อให้เราไม่อิ่มเกินและเลือกทานได้หลากหลาย ใครชิมจานไหนแล้วถูกปากอยากเบิ้ลสัก 3 จาน เค้าก็ไม้ค้อนใส่นะ เพราะอาหารมีเยอะมากๆ เรียกว่าทานให้พุงปลิ้นกันเลย
ปลาทูน่าก็มีจ้า ชิ้นน่ารักจุ๋มจิ๋ม ชอบแล้วเบิ้ลตามใจเลย
ส่วนของหวาน คือ อร่อยมาก แต่เปลี่ยนเมนูไม่ค่อยบ่อยเหมือนอาหารคาวนะ ส่วนนี้เลยต้องเพลาๆลงหน่อย เพราะน้ำหนักพุ่งแล้วจ้า
ที่ชอบที่สุกคือตู้นี้เลย ไอศกรีมโฮมเมด เด็กๆเกาะตู้ทุกๆหลังมื้ออาหารเลย มีทั้งแบบใส่ถ้วยและแบบโคน แล้วยังมีท็อปปิ้งอีกสารพัด
นอกจากอาหารที่มีให้ทานกันอย่างสะใจแล้ว บริเวณใกล้ๆล็อบบี้ก็มีการแสดงโชว์ผลัดเปลี่ยนกันมาเรื่อยๆ เรียกว่าไม่มีจังหวะให้เราไปนั่งเหงาๆในห้องพักกันเลย เอาเป็นว่าเล่นกิจกรรม Outdoor มาเหนื่อยๆ ก็มาสั่งเครื่องดื่มที่บาร์และนั่งพักผ่อนตรงนี้ได้เพลินทีเดียว
บ่ายแก่ๆมีช่อง Pre-dinner จัดของว่างให้ทานด้วย เป็นพวกถั่ว มันฝรั่ง คานาเป้ อาหารทานเล่นง่ายๆ
นอกจากอาหารทุกมื้อที่ฟรีทานได้ไม่อั้นอยู่แล้ว ที่ Club Med เค้าก็มีห้องอาหาร La Laiterie ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มด้วยนะ เราอยากลองอาหารท้องถิ่นก็เลยลองจ้า ทานชีสฟองดู กับสเต็กย่างบนหินร้อนๆ
นั่งๆทานอยู่มี Batman และ Spiderman มาให้ถ่ายรูปด้วย ถูกใจน้องกายเค้าเลยล่ะ
เราพักและเล่นสกีอยู่ที่คลับเมด 2 คืน ก็ได้เวลากลับมา Switzerland แล้ว
เรากลับมาถึงเวนีวา Geneva มาถึงเราก็ต้องเที่ยวเมืองนี้กันหน่อย
ตรงข้ามกับสหประชาชาติ United Nation ก็จะมี Broken Chair
Broken Chair เป็นเก้าอี้ยักษ์ที่ขาหักไปข้างหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์ของผู้สูญเสียอวัยวะจากกับระเบิด
และมาถึง Genva จะต้องมาชมน้ำพุกลางทะเลสาบกันนะ
ไม่ไกลกันจะมีนาฬิกาดอกไม้ด้วย
ต้นไม้ประหลาด
แวะเที่ยวต่อที่ St Pierre Cathedral กัน แล้วเดินเล่นเมืองต่ออีกหน่อยก็ได้เวลากลับที่พักละ เราย้อนกลับไปพักที่พักที่ Vevey ที่เดิมจ้า
เช้าวันรุ่งขึ้นเดินทางไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสวิสเซอร์แลนด์
เราจะมาเที่ยว Rheinfall น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรปกัน
ใครที่มาเยี่ยมชม Rheinfall สามารถยืนชมจากด้านที่จอดรถได้ฟรี หรือจะนั่งเรือเข้าไปยืนกลางน้ำตกเลยก็ได้ แต่พวกเราคิดว่าถ้าไปยืนกลางน้ำตกไม่น่าจะได้รูปที่สวยเท่าไหร่นัก ก็เลยตัดสินใจเดินข้ามสะพานไปชมน้ำตกจากปราสาทริมน้ำตกที่อยู่อีกฝั่งกันครับ
ค่าเข้าปราสาท ผู้ใหญ่ 5 CHF เด็ก 3 CHF
มีกรอบไม้ให้ยืนถ่ายภาพกัน
มาชมน้ำตก Rheinfall จากฝั่งนี้ยิ่งดูอลังการขึ้นไปอีก น้ำไหลแรงสุดๆเลย
เดินลงไปด้านล่างให้ใกล้ชิดน้ำตกเข้าไปอีก
ถ่ายภาพออกมาติดสายรุ้งด้วยนะ เก๋ชะมัด
ตอนแรกวางแผนว่าจะเข้าไปเดินในเมือง Schaffhausen ที่อยู่ไม่ไกลด้วย แต่มองดูเวลาแล้วว่าไม่พอ เปลี่ยนใจมุ่งสู่เมืองเก่าอย่าง Stein am Rhein ดีกว่า
ขับรถมาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงเมือง Stein am Rhein แล้ว
เมืองจะถูกแม่น้ำแบ่งเป็นสองด้าน คือด้านหลังภาพจะเป็นตัวเมืองเก่า ซึ่งจะเป็นย่านของคนรวย ส่วนฝั่งตรงข้ามแม่น้ำจะเป็นย่านของชนชั้นล่าง
เข้ามาเดินเล่นในเมือง Stein am Rhein
บริเวณจัตุรัสของเมืองสวยมาก เนื่องจากอยู่ใกล้พรมแดนประเทศเยอรมัน ตัวอาคารจะเป็นลักษณะคล้ายบ้านของชาวเยอรมัน
แต่ที่พิเศษกว่าเมืองไหนๆ สีของบ้านเรือนจะมีจิตรกรรมวาดภาพบนผนังไปด้วย ซึ่งผมว่ามันสวยงามและมีเสน่ห์มากๆ
ตัวเมืองไม่ได้ใหญ่นัก เดินประมาณ 30 นาทีก็ทั่วแล้ว
แวะกินไอศกรีมเจลาโต้ร้านข้างทางกัน
แวะมาดูที่พักของเราที่อยู่อีกฝั่งแม่น้ำกัน
ที่พักคืนนี้เป็นแบบอพาร์ทเม้นท์ครับ เจ้าของบ้านบอกว่าบ้านหลังนี้อายุมากกว่า 500 ปีแล้วนะ แต่ก็รีโนเวทซะใหม่และสวยมาก เจ้าของชอบเมืองไทยมาก มาเมืองไทยทุกปี และรักคนไทยที่สุด
ห้องนอน กับแปลงร่างที่นอนโซฟานอนได้ 4 คนสบายๆ
มีครัวพร้อมมาก
ลานบ้านมีชิงช้าให้เด็กๆเล่นด้วยครับ
ใครสนใจก็จองได้ที่ https://www.booking.com/hotel/ch/esprit-du-monde.en-gb.html
แต่ก่อนจองอย่าลืมกดไปลงทะเบียนรับเครดิต 700 บาท ที่ลิงก์ https://www.booking.com/s/intraw00
อีกวันเราก็กลับไปยังเมืองซูริค เที่ยวก่อนกลับบ้าน 1 วัน
ที่เที่ยวแรกตั้งใจว่าจะขึ้นไปชมวิวสูงของเมืองซูริคที่เขา Uetliberg บริเวณชานเมืองกัน
ปกติสามารถนั่งรถไฟจากในเมืองมาจากสถานี Sihltal Zurich ได้เลย แต่พวกเรามีรถเลยขับมาจอดที่พิกัดนี้ แล้วเดินมาขึ้นรถไฟที่สถานี Uitikon-Waldegg แล้วขึ้นต่อไปสถานี Uetliberg
บนยอดเขาจะมีหอคอยในรูปครับ ซึ่งขึ้นไปชมวิวได้ แต่เสียตังอ่ะ เราไม่อยากจ่าย เลยเลือกที่จะชมวิวจากตรงนี้แทน
นี่คือวิวเมือง Zurich จากมุมสูงของเขา Uetliberg ครับ เสียดายที่ต้นไม้บังวิวไปส่วนหนึ่ง
เก็บภาพครอบครัวจากมุมนี้หน่อยละกัน
ตรงบ่ายเราแวะมาเดินเล่นในเมืองซูริคกัน จุดแรกเลยคือ สวนสาธารณะ Lindenhof
จากสวนสาธารณะ Lindenhof เราสามารถมองเห็นวิวเมืองได้สวยมาก
เมืองซูริคถูกแบ่งเป็นสองฝั่งด้วยแม่น้ำ Limmat ที่ไหลลงสู่ทะเลสาบ Lake Zurich
Kirche Fraumünster ยอดสีเขียวแหลมเปี๊ยวเลย
เรามีคลิป VDO บรรยากาศการเที่ยวด้วยนะ ลองรับชมกันครับ
ปิดท้ายด้วยโมเม้นท์สบายๆแบบพี่น้องของน้องเกรซน้องกาย ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย พร้อมกับความสุข และความทรงจำดีมากมาย
และก็จบรีวิวขับรถเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ไปอย่างสมบูรณ์หวังว่าทุกท่านจะได้รับข้อมูลและความสุขไปไม่มากก็น้อย อย่าลืมแวะทักทายกันต่อได้ที่ https://www.facebook.com/2Madames นะครับ วันนี้ลากันไปก่อน บะบายยยย
ปล.หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share
หรืออยากใกล้ชิดกันมากขึ้น แอด Line มาได้เลย มีรีวิวใหม่จะส่งไปบอก อยากคุยกับแอดมิน Line มาคุยเลยจ้า ID : @2Madames กดตรงนี้ก็ได้
หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป