web analytics
ติดตามพวกเราบน Facebook

ใกล้เข้ามาแล้วกับรายการแข่งขันฟุตบอลประจำภูมิภาคที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอย่าง “ยูโร 2024” หรือรายการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ที่จะจัดขึ้นเป็นสมัยที่ 17 ในประเทศเยอรมนี ตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนจะเริ่มเตะนัดเปิดสนามในวันที่ 14 มิถุนายน หลายคนอาจจะมีแพลนไปรับชมฟุตบอลยูโร 2024 กันถึงประเทศเยอรมนีกันอยู่แล้ว แต่อาจจะยังไม่รู้ว่า เมืองที่ไป โรงแรมที่จอง มันอยู่ใกล้สถานที่สำคัญ สถานที่เที่ยวสุดฮิตอะไรกันบ้าง วันนี้ เราจะมาแนะนำให้ทุกท่านได้ทราบถึงรายชื่อเมืองทั้ง 10 เมืองที่ได้รับคัดเลือกให้จัดการแข่งขันฟุตบอลในศึกยูโร 2024 พร้อมทั้งระบุสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดในแต่ละเมือง จะมีอะไรกันบ้างนั้น เราไปดูกันเลยครับ

รายชื่อ 10 เมืองเจ้าภาพ “ยูโร 2024” ณ ประเทศเยอรมนี

เกณฑ์การคัดเลือกเมืองเจ้าภาพทั้ง 10 เมือง เป็นไปตามข้อกำหนดสุดเรียบง่ายจากทางยูฟ่า ที่กำหนดว่า สนามฟุตบอลที่สามารถเป็นเจ้าภาพต้อนรับการแข่งขันฟุตบอลยูโรได้ จะต้องมีจำนวนที่นั่งไม่ต่ำกว่า 30,000 ที่นั่ง เยอรมนี ในฐานะประเทศที่หลงรักฟุตบอลกันตั้งแต่ระดับรากหญ้า ไปจนถึงระดับบุนเดสลีกา ก็เสนอชื่อเมืองและสนามฟุตบอลมาทั้งหมด 10 เมือง 10 สนาม ได้แก่

  1. กรุงเบอร์ลิน ใช้สนาม “โอลิมเปีย ชตาดิโอน” สำหรับจัดเกมการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่ม 3 นัด, รอบ 16 ทีม 1 นัด, รอบก่อนรองชนะเลิศ 1 นัด และรอบชิงชนะเลิศ ในวันที่ 14 กรกฎาคม
  2. มิวนิค ใช้สนาม “ฟุซบาล อารีน่า มึนเช่น” หรือที่รู้จักกันในชื่อปกติว่า “อัลลิอันซ์ อารีน่า” ของบาเยิร์น มิวนิค นั่นเอง โดยจะจัดเกมการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่ม 4 นัด, รอบ 16 ทีม 1 นัด และ รอบรองชนะเลิศ 1 นัด
  3. ดอร์ทมุนด์ ใช้สนาม “เวสต์ ฟาเล่น ชตาดิโอน” หรือที่รู้จักกันในชื่อปกติว่า “ซิกนัล อิดูน่า ปาร์ก” ของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ นั่นเอง โดยจะจัดเกมการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่ม 4 นัด, รอบ 16 ทีม 1 นัด และ รอบรองชนะเลิศ 1 นัด
  4. ชตุทการ์ต ใช้สนาม “ชตุทการ์ต อารีน่า” หรือที่รู้จักกันในชื่อปกติว่า “เอมเอชพีอารีน่า” ของทีมชตุทการ์ต นั่นเอง โดยจะจัดเกมการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่ม 4 นัด และ รอบก่อนรองชนะเลิศ 1 นัด
  5. เกลเซนเคียร์เช่น ใช้สนาม “อารีน่า เอาฟ์ชาลเก้” หรือที่รู้จักกันในชื่อปกติว่า “เวลตินส์-อารีน่า” ของชาลเก้ 04 นั่นเอง โดยจะจัดเกมการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่ม 3 นัด และรอบ 16 ทีม 1 นัด
  6. ฟรังก์ฟวร์ต ใช้สนาม “ฟรังก์ฟวร์ต อารีน่า” หรือที่รู้จักกันในชื่อปกติว่า “ด๊อยท์เชอร์ แบงก์ ปาร์ก” ของไอน์ทรักต์ ฟรังก์ฟวร์ต นั่นเอง โดยจะจัดเกมการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่ม 4 นัด และรอบ 16 ทีม 1 นัด
  7. ฮัมบวร์ก ใช้สนาม “โฟล์ก ปาร์กส ชตาดิโอน” ของทีมฮัมบวร์ก โดยจะจัดเกมการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่ม 4 นัด และรอบก่อนรองชนะเลิศ 1 นัด
  8. ดึสเซลดอร์ฟ ใช้สนาม “ดึสเซลดอร์ฟ อารีน่า” หรือที่รู้จักกันในชื่อปกติว่า “เมอร์คัวร์ ชปีล อารีน่า” ของฟอรตูน่า ดึสเซลดอร์ฟ นั่นเอง โดยจะจัดเกมการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่ม 3 นัด, รอบ 16 ทีม 1 นัด  และรอบก่อนรองชนะเลิศ 1 นัด
  9. โคโลญจน์ ใช้สนาม “โคโลญจน์ สเตเดียม” หรือที่รู้จักกันในชื่อปกติว่า “ไรน์เอเนอร์กีชตาดิโอน” ของเอฟเซ เคิล์น นั่นเอง โดยจะจัดเกมการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่ม 4 นัด และรอบ 16 ทีม 1 นัด
  10. ไลป์ซิก ใช้สนาม “ไลป์ซิก สเตเดียม” หรือที่รู้จักกันในชื่อปกติว่า “เรด บูล อารีน่า” ของแอร์เบ ไลป์ซิก นั่นเอง โดยจะจัดเกมการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่ม 3 นัด และรอบ 16 ทีม 1 นัด

สำหรับท่านที่อยากจะสนุกไปมากกว่าการดูบอล ก็สามารถตรวจเช็คการจัดอันดับเว็บตรง ไปพร้อม ๆ กันได้ เพื่อเพิ่มความสนุกไปอีกขั้นระหว่างรับชมฟุตบอลยูโร 2024!

แนะนำสถานที่อันดับหนึ่งจากเมืองเจ้าภาพ “ยูโร 2024” ทั้ง 10 เมือง

พอเราได้ทำความรู้จักกับเมืองเจ้าภาพ “ยูโร 2024” ทั้ง 10 เมืองกันแล้ว ทีนี้ เรามาดูกันบ้างดีกว่าว่า แต่ละเมือง มีที่เที่ยวอะไรที่ห้ามพลาดกันบ้าง

เบอร์ลิน: ประตูบรันเดนบวร์ก (Brandenburger Tor)

               เรียกได้เลยว่าประตูแห่งนี้ ถือเป็นแลนด์มาร์กอันดับหนึ่งของประเทศเยอรมนี ประตูบรันเดนบวร์ก หรือ Brandenburger Tor ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งสหภาพ ความสามัคคี และการกลับมาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันของเยอรมนีตะวันออก (DDR) และเยอรมนีตะวันตก (BRD) ในช่วงเวลาก่อนจบสงครามเย็นไม่นาน และเคยตั้งตระหง่านสูงเหนือกำแพงเบอร์ลินในช่วงแบ่งแยก ประตูแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3 ศตวรรษ ผ่านความขัดแย้งและสันติภาพมาแทบทุกยุคสมัย มีสถาปัตยกรรมแบบดอริกสวยงาม และประดับด้านบนด้วยรูปปั้นควาดริกา (Quadriga) ซึ่งมีรูปร่างเป็นรถม้าที่มีม้าลากสี่ตัว ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดเมื่อเดินทางมาถึงเยอรมนี

มิวนิค: ลานมาเรียนพลัตซ์ (Marienplatz) และศาลากลางแห่งใหม่ (Neues Rathaus)

               ลานมาเรียนพลัตซ์ (Marienplatz) ก็เปรียบได้กับลานสยามสแควร์ของบ้านเรา มันคือศูนย์กลางของการพบปะสังสรรค์ของผู้คนนับแสนในแต่ละวัน รวมถึงเป็นย่านช็อปปิ้งที่โด่งดังที่สุดในประเทศเยอรมนี ลานมาเรียนพลัตซ์แห่งนี้เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมจากหลากหลายยุคสมัยก็จริง แต่คงจะไม่มีอะไรโดดเด่นไปกว่าศาลากลางแห่งใหม่ของเมืองมิวนิค (Neues Rathaus) อีกแล้ว เพราะนอกจากจะก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแนวโกธิคยุคฟื้นฟู ที่ดูสง่างามและน่าเกรงขามอย่างโดดเด่น ทุก ๆ วัน ก็จะมีการตีระฆัง พร้อมเชิดหุ่น เป็นการเลียนแบบวิถีชีวิตของชาวแคว้นบาวาเรียในสมัยก่อนอีกด้วย ซึ่งการตีระฆังเช่นนี้ มีชื่อเรียกว่า Glockenspiel

ดอร์ทมุนด์: สวนสาธารณะเวสต์ฟาเล่น (Westfalenpark) และหอฟลอเรียน (Florian Tower)

               สวนสาธารณะเวสต์ฟาเล่น (Westfalenpark) ถือเป็นสวนที่ใหญ่ที่สุดในทั่วทั่งเมืองดอร์ทมุนด์ เต็มไปด้วยต้นไม้ใบเขียว ดอกไม้สวยงาม ทางเดินแสนสบาย และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย จุดเด่นของสวนแห่งนี้ก็หนีไม่พ้น หอฟลอเรียน ตั้งตระหง่านกลางสวน และทำให้ผู้เข้าชมได้ยลโฉมวิวทิวทัศน์ ของเมืองดอร์ทมุนด์ได้อย่างรอบทิศทาง นอกจากธรรมชาติในสวนแล้ว สวนสาธารณะเวสต์ฟาเล่นก็มักจะเป็นที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ และนิทรรศการมากมาย ทำให้สวนแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่พบปะของผู้คนในท้องที่ และนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก

ชตุทการ์ต: พิพิธภัณฑ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz Museum)

               พิพิธภัณฑ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz Museum) ถือเป็นสถานที่จัดแสดงผลิตภัณฑ์อันดับหนึ่งของเมืองชตุทการ์ต ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์คันแรกของโลก รถแข่งสูตรหนึ่ง (Formula One) ที่คว้าแชมป์นับไม่ถ้วน หรือแม้กระทั่งรถยนต์แห่งอนาคต ที่ผสานนวัตกรรมชั้นนำหลาย ๆ ด้านเข้าด้วยกัน โดยมีรถยนต์จัดแสดงมากถึง 160 คัน และมีนิทรรศการจัดแสดงอื่น ๆ อีกนับพันอย่าง ถือเป็นสถานที่ที่คอรถตัวจริง ไม่ควรพลาด

เกลเซนเคียร์เช่น: สวนสัตว์ Zoom Erlebniswelt

               สวนสัตว์แห่งนี้มีแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร ตามชื่อ Erlebniswelt ที่แปลว่า “โลกแห่งประสบการณ์” โดยสวนสัตว์จะมีการตกแต่งตามภูมิภาคต่าง ๆ ในโลกอย่างสมจริง ไม่ว่าจะเป็นทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชีย หรือแม้กระทั่งโซนขั้วโลก ทำให้ผู้เข้าชมมากมายทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเด็ก ๆ ได้ตื่นตาตื่นใจไปกับการได้พบเจอสัตว์ป่ามากมาย ในสภาพแวดล้อมที่สมจริง นอกจากนี้ สวนสัตว์ยังให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ และการให้ความรู้เกี่ยวกับการรักษาสภาพแวดล้อมของโลกใบนี้อีกด้วย

ฟรังก์ฟวร์ต: ย่าน Romerberg

               ย่าน Romerberg ถือเป็นจตุรัสกลางเมืองที่เก่าแก่มาก มีความสำคัญต่อเมืองฟรังก์ฟวร์ตเป็นอย่างมาก โดยมีลักษณะเฉพาะตัว คือ เต็มไปด้วยอาคารบ้านช่องจากยุคกลางมากมาย ที่ยังคงอยู่รอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน เป็นระยะเวลาเกินกว่า 600 ปีมาแล้ว จตุรัสแห่งนี้มีชื่อเสียงอย่างมาก เนื่องจากในทุก ๆ ปี จะมีการจัดตลาดนัดวันคริสต์มาส ซึ่งเป็นกิจกรรมวันคริสต์มาสที่โด่งดังไปทั่วโลก และดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมายหลายแสนคนเลยทีเดียว

ฮัมบวร์ก: นิทรรศการ Miniatur Wunderland

นิทรรศการ Miniatur Wunderland ในฮัมบวร์กเป็นนิทรรศการรถไฟจำลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบด้วยทิวทัศน์ เมือง และสถานที่สำคัญจากทั่วโลกขนาดย่อที่มีรายละเอียดอย่างพิถีพิถัน นิทรรศการครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,500 ตารางเมตร มีองค์ประกอบแบบอินเทอร์แอคทีฟและคอลเลกชันที่ขยายตัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งดึงดูดผู้เข้าชมทุกวัย

ดึสเซลดอร์ฟ: ย่าน Konigsallee

ย่าน Königsallee หรือ “Kö” เป็นถนนช้อปปิ้งชั้นนำของดึสเซลดอร์ฟ มีชื่อเสียงในด้านร้านบูติกหรูหรา ร้านค้าระดับไฮเอนด์ และร้านกาแฟมีสไตล์ โดยทอดยาวไปตามคลองอันงดงามที่เรียงรายไปด้วยต้นไม้ มีบรรยากาศหรูหราและร้านค้าสุดพิเศษทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ชื่นชอบแฟชั่นและนักท่องเที่ยว

โคโลญจน์: มหาวิหารโคโลญจน์ (Kolner Dom)

มหาวิหารโคโลญจน์ (Kolner Dom) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก เป็นตัวอย่างอันน่าทึ่งของสถาปัตยกรรมกอทิก มหาวิหารแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องยอดแหลมแฝดและส่วนหน้าอาคารอันวิจิตรงดงาม เป็นที่ตั้งของศาลสามกษัตริย์ซึ่งเป็นสถานที่แสวงบุญที่สำคัญ นักท่องเที่ยวสามารถปีนขึ้นไปด้านบนเพื่อชมทิวทัศน์มุมกว้างของเมืองและแม่น้ำไรน์

ไลป์ซิก: โบสถ์เซนต์โธมัส (Thomaskirche)

โบสถ์เซนต์โธมัสในเมืองไลป์ซิกมีชื่อเสียงจากการร่วมงานกับนักแต่งเพลงโยฮันน์ เซบาสเตียน บาค ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการด้านดนตรี โบสถ์แห่งนี้มีสถาปัตยกรรมแบบโกธิกและโรมาเนสก์ผสมผสานกัน และเป็นที่เก็บอัฐิของบาค ที่นี่ยังคงเป็นศูนย์กลางของดนตรีคลาสสิก เป็นที่จัดคอนเสิร์ตเป็นประจำ และดึงดูดผู้รักดนตรีทั่วโลก

ติดต่อบทความลงโฆษณา คลิ้กที่นี่

Follow

Get every new post delivered to your Inbox

Join other followers:

%d bloggers like this: