จังหวัดลำปาง เมืองน่ารักที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ ครอบครัว 2 Madames ใช้เวลา 2 วัน 1 คืน เพื่อท่องเที่ยวและหาของอร่อยทาน เริ่มจากบ้านเก่าอย่างบ้านเสานัก, วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม, วัดศรีชุม, วัดปงสนุก แวะตลาดนัดเซรามิคซื้อถ้วยตราไก่กลับบ้าน นั่งทานข้าวต้มอร่อยบาทเดียว นั่งรถม้าชมเมืองยามเช้า ต่อด้วยพาเด็กๆไปทักทายกับพี่ช้างที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย แวะทานก๋วยเตี๋ยวลูกทุ่งรุ่งเรือง จบด้วยไหว้พระธาตุลำปางหลวง จะสนุกสนานแค่ไหนตามไปชมรีวิวกันครับ
ความเดิมตอนที่แล้ว
ทริปมุ่งเหนือ 8 วัน : ตอนที่ 1 เที่ยววัดท่าซุง อุทัยธานี นอนหลักร้อยนครสวรรค์ แวะอิ่มพิษณุโลก และอุตรดิตถ์
ถึงจังหวัดลำปาง พวกเราเริ่มเที่ยวจากบ้านเก่าอย่างบ้านเสานักก่อนเลย
แต่ก่อนชาวพม่าที่มาตั้งรกรากในลำปางในห้วงที่ลำปางเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมทำไม้สักที่เฟื่องฟูมากในภาคเหนือ สถาปัตยกรรมของบ้านผสมผสานทั้งแบบพม่าและพื้นเมืองล้านนา โดยแบบระเบียงบ้านได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมแบบพม่าและพื้นเมืองล้านนา โดยแบบระเบียงบ้านได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมแบบพม่า ในขณะที่หลังคาและโครงสร้างโดยทั่วไปเป็นแบบล้านนา
บ้านไม้ที่มีเสาไม้สักมากถึง 116 ต้น จึงเรียกว่าบ้านเสานัก (ตามภาษาพื้นเมือง “นัก” มีความหมายว่า “มาก”) สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2438 โดยหม่องจันโอง ต้นตระกูลจันทร ชวิโรจน์ ลักษณะศิลปะพม่าผสมล้านนา ประกอบด้วยเรือนใหญ่ซึ่งเป็นเรือนหมู่ มีเสาไม้สักรองรับน้ำหนักบ้านถึง 116 ต้น หน้าบ้านมีต้นสารภีอายุ 133 ปี แต่เดิมบ้านเสานักเป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและใช้เป็นสถานที่จัดขันโตกและงานพิธีมงคล
เปิดให้เข้าชมบ้านและของสะสมต่าง ๆ ทุกวันเวลา 10.00-17.00 น.
ค่าเข้าชมพร้อมเครื่องดื่ม 30 บาท พระภิกษุ เด็ก นักเรียน นักศึกษา ชมฟรี
บ้านเสานักผ่านวันเวลาแห่งอดีตกาลในฐานะของบ้านพักคหบดีของลำปาง กระทั่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุดเมื่อ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายาทินัดดามาตุ เสด็จมาประทับเสวยพระกระยาหาร และประทับพักผ่อนพระอริยาบถเมื่อครั้งเสด็จประพาสจังหวัดลำปางเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2520และเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2522 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จมาประทับเสวยพระกระยาหารและประทับพักผ่อนพระอริยาบถที่บ้านเสานักอีกครั้ง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าแก่ชาวลำปาง
ในปี 2507 เมื่อบ้านตกอยู่ในครอบครองของคุณหญิงวลัย ลีลานุช หลานตาของผู้สร้าง โครงสร้างบ้านเริ่มเสื่อมลงไปตามกาลเวลา จึงมีการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านครั้งใหญ่ภายใต้การควบคุมของคุณทวีศักดิ์ จันทรวิโรจน์ น้องชายของคุณหญิงวลัย ซึ่งเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียง หลังจากนั้นในปี 2535 คุณหญิงวลัย ก็ถึงแก่อนิจกรรม บ้านเสานักจึงไม่มีผู้อยู่อาศัยอีก ทายาทคนต่อมาคือ คุณฌาดา ชิวารักษ์ (ภรรยาของลูกชายคนเดียวของคุณหญิงวลัย- ร.ต.อ.วันจักร ไวยวุฒิ) เป็นผู้ดูแลบ้านคนปัจจุบัน และเปิดบ้านเสานักให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและรับจัดสัมมนา งานเลี้ยงแบบพื้นเมือง
ผมพาเด็กๆเดินชมของโบราณที่สะสมไว้ในบ้าน ซึ่งถือเป็นของแปลกใหม่สำหรับเด็กๆยุคที่ Samart Device อยู่ไปทุกที่ทุกทาง
น้องเกรซนั่งพับเพียบเข้ากับบรรยากาศภายในบ้านเสานักเหลือเกิน
ค่าเข้าชม 30 บาท เป็นราคาที่รวมขนมและเครื่องดื่มไว้แล้วด้วยนะ
ไปเที่ยววัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดารามกันต่อครับ
วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดารามเป็นวัดเก่าแก่และสวยงาม มีอายุนับพันปี เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ตั้งแต่ พ.ศ. 1979 เป็นเวลานานถึง 32 ปี เหตุที่วัดนี้ได้ชื่อว่าวัดพระแก้วดอนเต้า มีตำนานกล่าวว่า พระมหาเถระแห่งวัดนี้ได้พบแก้วมรกตในแตงโม (ภาษาเหนือเรียกว่า หมากเต้า) และนำมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูป ต่อมาจึงได้อัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระธาตุลำปางหลวงจนถึงปัจจุบัน
ปูชนียสถานที่สำคัญในวัดพระแก้วดอนเต้า ได้แก่
– องค์พระบรมธาตุดอนเต้า พระเจดีย์องค์ใหญ่ซึ่งบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า
– วิหารประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ที่มีอายุเก่าแก่พอๆ กับวัดนี้ นอกจากนี้ยังมี วิหารหลวงที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย วิหารพระเจ้าทองทิพย์ สร้างโดยพระนางจามเทวี อายุกว่า 1,000 ปี ประดิษฐานพระเจ้าทองทิพย์ศิลปะสมัยเชียงแสน
– มณฑป หรือ พญาธาตุศิลปะแบบพม่า วิหารลายคำสุชาดาราม ฝีมือช่างเชียงแสน ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังลวดลายทองงดงาม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเชียงแสน
– และยังมี พิพิธภัณฑสถานแห่งล้านนา อันเป็นแหล่งรวบรวมศิลปวัตถุแบบล้านนา เช่น สัตภัณฑ์ เครื่องถ้วยกระเบื้อง พระพุทธรูป เป็นต้น
การเดินทาง ข้ามสะพานรัษฎาภิเศกแล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนพระแก้ว ประมาณ 1 กิโลเมตร จะเห็นยอดพระธาตุเด่นอยู่บนเนิน
เที่ยววัดศรีชุมกันต่อเลย
วัดศรีชุมเป็นวัดพม่าที่ใหญ่ที่สุดในไทย ได้ขออนุญาติสร้างในปี พ.ศ. 2433 โดยคหบดีพม่าชื่อ อูโย มีหลังคาซ้อนกันแต่ละชั้นลดหลั่นถึง 7 ชั้น ขึ้นไปหาเรือนยอดชั้นบนสุดประดับด้วยฉัตรทองคำ
ศิลปกรรมแบบพม่ามีรูปแบบเฉพาะตัวคือ โบสถ์ วิหาร นิยมสร้างตัวอาคารให้มีมุขยื่นออกมา 4 ด้าน หลังคาสร้างเป็นชั้น ๆ ลดหลั่นกันขึ้นไป ตรงมุมของแต่ละชั้นจะมีสถูปเล็ก ๆ ประดิษฐานอยู่ หลังคาเป็นรูปกรวยเหลี่ยม
ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังลงรักปิดทอง เรื่องพระพุทธประวัติและแผนผังจำลองของวัด เพดานเป็นไม้จำหลักโปร่งหลายชั้นประดับกระจกสี ลวดลายของเพดานแต่ละช่องจะแตกต่างกันไป
เดินทางมายังวัดสุดท้ายที่จะเที่ยวกันวันนี้ กับวัดปงสนุก
วัดปงสนุก หรือวัดปงสนุกเหนือ ตั้งอยู่ในเขต ต.เวียงเหนือ อ.เมือง จ.ลำปาง เป็นวัดสำคัญคู่กับจังหวัดลำปางมาช้านาน สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยที่เจ้าอนันตยศ ราชบุตรของพระนางจามเทวีแห่งหริภุญไชย (ลำพูน) เสด็จมาสร้างเขลางค์นคร (ลำปาง) เมื่อ พ.ศ.1223 หรือ 1,328 ปีก่อน
ด้วยความสวยงามของวัดปงสนุก แห่งเขลางค์นคร ธรรมสถานหนึ่งเดียวของไทย จึงได้รับรางวัล “Award of Merit” จาก UNESCO ในปี 2008 ด้วย
เย็นๆ ขับรถข้ามสะพานรัษฎาภิเศก Landmark สำคัญอีกที่หนึ่งของจังหวัดลำปาง
ไม่ไกลจากสะพานรัษฎาภิเศก จะมีตลาดนัดเซรามิคจำหน่ายของฝากขึ้นชื่อของลำปางอย่าง ” ถ้วยตราไก่ ” ตำนานชามก๋วยเตี๋ยวดั้งเดิมของลำปาง จากแหล่งดินขาวในท้องที่ อ.แจ้ห่ม
มาถึงที่นี่ได้ชามกลับบ้านไปหลายใบเลยทีเดียว
มื้อค่ำ เราแวะมาทานร้านข้าวต้มอร่อยบาทเดียว
ร้านเป็นบ้านไม้เก่าตกแต่งด้วยของโบราณหลายอย่าง คนเยอะแน่นร้าน การันตีความอร่อย
พอเปิดเมนูเลือกอาหารเท่านั้นแหละ โอ้โห ถึงว่าทำไมคนเยอะจัง ก็เพราะร้านนี้เค้าขายถูกจริงๆ กับข้าวอย่างหนึ่ง 20-40 บาท ปลาตัวหนึ่งขายแค่ร้อยเดียว ส่วนข้าวสวยข้าวต้มเค้าขายแค่บาทเดียวตามชื่อร้านครับ
กับข้าวรอนานเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ แต่อาหารอร่อย ราคาถูก คุ้มค่ากับการรอคอยมากๆครับ ประทับใจสุดๆเลย เรียกว่าใครมาเที่ยวลำปาง ห้ามพลาดเลยนะ ร้านนี้เด็ดจริง
ระหว่างทางกลับที่พัก ผ่านหน้าวัดเชียงราย ชื่อเชียงรายจริงๆนะ แต่อยู่ลำปางจ้า
ที่พักของพวกเราในคืนนี้เป็นที่พักราคาหลักร้อย กับ Ma Chic & Cozy มา ชิค แอนด์ โคซี่ ห้องที่เห็นราคาแค่ 590 บาท (ไม่รวมอาหารเช้า ถ้าเอาอาหารเช้าด้วยเพิ่มคนละ 80 บาท) ห้องกว้าง สะอาด ใหม่ดีครับ
เช้าวันใหม่อากาศดีทีเดียว 17 องศา C ฝ้าเกาะกระจกให้น้องเกรซวาดการ์ตูนเล่นเลย
อากาศดีๆแบบนี้ออกไปนั่งรถม้ากันครับ พวกเราเลือกรถม้าสวยๆเก๋ๆ เค้าคิดราคาอยู่ที่ 150 บาทต่อ 20 นาที วนรอบเล็กนะ ผ่านตลาด วัด และหอนาฬิกา ชมวิถีชีวิตยามเช้าของชาวลำปาง
เด็กๆเพิ่งจะเคยนั่งรถม้าเป็นครั้งแรก สนุกสนาน ตื่นเต้นกันไปตามท้องเรื่อง
เช้าวันนี้เมืองลำปางสงบเงียบดีแท้ ห่างกรุงเทพที่แสนวุ่นวายมาเที่ยวแบบนี้ก็รู้สึกสงบดีจัง
การได้นั่งรถม้าฟังเสียงฝีเท้าม้ากุ๊บกั๊บ เที่ยวชมเมืองลำปางท่ามกลางอากาศดี ถือเป็นไฮไลท์อย่างหนึ่งที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
นั่งรถม้าเสร็จแล้ว เรารีบกลับไป Check out จากโรงแรม เพราะมีนัดกับเด็กๆว่าจะพาไปดูช้างที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย เค้าจะมีการแสดงการอาบน้ำช้างประมาณ 9.45 น. ถ้าไปไม่ทันต้องเสียเวลารออีกรอบคือ บ่าย 13.15 น.เลย
ถึงแล้วก็ต้องซื้อบัตรนั่งรถไฟฟ้าต่อเข้าไปอีกครับ ราคาคนละ 20 บาทครับ
แต่แล้วก็มาไม่ทันอาบน้ำช้างจริงๆด้วย เสียใจจุง แต่ไม่เป็นไรยังมีการแสดงโชว์ของช้างครับ
ค่าชมการแสดง : ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท (สูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร)
การแสดงช้างส่วนใหญ่ เป็นการโชว์ความสามารถของช้างเชือกต่างๆ ตั้งแต่นั่ง, สวัสดี, เตะฟุตบอล, เล่นบาสเก็ตบอล และวาดรูป
เห็นฝีมือวาดรูปของช้างแล้ว บอกตรงๆว่าผมอายครับ วาดสวยสู้ช้างไม่ได้เลย
ท้ายที่สุดจะเปิดโอกาสให้เด็กๆได้ป้อนอาหารช้างและถ่ายรูปกัน
สนุกสุดๆไปเลยจ้า
ชมโชว์ช้างเสร็จ ได้เวลาอาหารกลางวันละ วันนี้มาแวะที่นี่ครับ
ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกทุ่งรุ่งเรือง ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้เส้นเหนียวนุ่ม เนื้อลวกหมูลวกเนื้อนุ่มนิ่มสุดๆ รวมทั้งลูกชิ้นอร่อยมาก
การเดินทางให้หา GPS วัดย่าเป้า ร้านจะอยู่ปากซอยเลยครับ
แต่ข้อเสียคือรอคิวนานเล็กน้อย ช่วงเทศกาลคนเยอะมากเลยครับ แต่อร่อยคุ้มค่ากับการรอจริงๆ อิ่มแล้วให้เดินไปข้างๆร้าน จะมีร้านกล้วยทอด อร่อยมาก ไม่ควรพลาดอีกเช่นกัน
หากเดินทางมาถึงจังหวัดลำปางแล้วไม่ได้มาไหว์พระธาตุลำปางหลวง อาจจะถือว่ามาไม่ถึงลำปางนะครับ
ตามตำนานกล่าวว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระเถระสามองค์ได้เสด็จจาริกไปตามบ้านเมืองต่าง ๆ จนถึงบ้านลัมภะการีวัน (บ้านลำปางหลวง) พระพุทธเจ้าได้ประทับเหนือดอยม่อนน้อย มีชาวลัวะคนหนึ่งชื่อ ลัวะอ้ายกอน เกิดความเลื่อมใส ได้นำน้ำผึ้งบรรจุกระบอกไม้ป้างมะพร้าว และมะตูมมาถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ฉันน้ำผึ้งแล้วทิ้งกระบอกไม้ป้างไปทางทิศเหนือ แล้วทรงพยากรณ์ว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปจะมีชื่อว่า ลัมพกัปปะนคร แล้วได้ทรงลูบพระเศียรได้พระเกศามาหนึ่งเส้น มอบให้แก่ลัวะอ้ายกอนผู้นั้น ลัวะอ้ายกอนได้นำพระเกศานั้น บรรจุในผอบทองคำ และใส่ลงในอุโมงค์พร้อมกับถวาย แก้ว แหวน เงิน ทอง เป็นเครื่องบูชา แล้วแต่งยนต์ผัด (ยนต์หมุน) รักษาไว้ และถมดินให้เรียบเสมอกัน แล้วก่อเป็นพระเจดีย์สูงเจ็ดศอกเหนืออุโมงค์นั้น ในสมัยต่อมาก็ได้มีกษัตริย์เจ้าผู้ครองนครลำปางอีกหลายพระองค์ มาก่อสร้างและบูรณะซ่อมแซม จนกระทั่งเป็นวัดที่มีความงามอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
วิหารหลวง เป็นวิหารประธานของวัด ตั้งอยู่บนแนวเดียวกับประตูโขง และองค์พระธาตุเจดีย์ เป็นวิหารจั่วรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทรงวิหารโล่งตามแบบล้านนายุคแรก หลังคาจั่วซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ภายในวิหารบรรจุมณฑปพระเจ้าล้านทอง ด้านในของแนวคอสอง มีภาพเขียนสีโบราณเรื่องชาดก
นักท่องเที่ยวนิยมนำเหรียญมาตั้งบริเวณพระพุทธบาท
ส่วนบริเวณนี้ ประชาชนมาทำพิธีสะเดาะเคราะห์ แก้เคล็ดกันครับ
ต้นขะจาว เป็นต้นไม้พระราชทานประจำจังหวัดลำปาง ถ้าหากจะพูดถึงต้นขะจาวตามตำนานพระธาตุลำปางหลวงแล้ว มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับต้นขะจาว หรือไม้ขะจาวดังว่า…
ไม้ขะจาว ปลูกครั้งพุทธกาล เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่ครั้งหนึ่งได้มีมีชาวลัวะคนหนึ่งได้นำ กิ่งขะจาวทำเป็นไม้คานหาบกระบอกน้ำผึ้ง มะพร้าวและมะตูม มาถวายพระพุทธองค์ซึ่งประทับอยู่ ณ วัดพระธาตุลำปางหลวง ภายหลังอธิษฐานนำไม้ขะจาว โดยใช้ทางปลายปักลงไม่นานไม้คานที่ปักไว้ ก็แตกกิ่งก้านเจริญเติบโตเกิดเป็นกิ่งก้านสาขาขึ้นมา สร้างความแปลกใจให้ชาวบ้าน และชาวบ้านเชื่อว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ จึงได้นำเอารากไม้ขะจาวไปบูชาหรือนำไปเป็นเครื่องรางของขลังห้อยคอเช่นเดียวกับ ตระกุดผ้ายันต์
ตำนานต้นขะจาว เป็นเรื่องเล่าที่เล่าสืบต่อกันมาช้านาน เป็นตำนานและเป็นสิ่งสำคัญที่มี หลักฐานคงอยู่ให้ผู้ที่ได้ไปเที่ยวชมวัดพระธาตุลำปางหลวง ได้แวะชม ที่วัดพระธาตุลำปางหลวงนี้มีตำนานเล่าเรื่องต้นขะจาวดังข้างต้น เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยังคงมีต้นขะจาวที่เห็นลักษณะลำต้นที่มีส่วนปลายปักอยู่บนพื้นดิน และส่วนลำต้นนั้นมีกิ่งก้านงอกออกมาเต็มไปหมด แต่กิ่งก้านนั้นจะชี้ลงดิน พอนานไปลำต้นเดิม ก็แห้งพุพังจนไม่เห็นซากเดิมของต้นขะจาว มีแต่ต้นที่งอกออกมาตรงส่วนเดิมของต้นขะจาวนั้นเป็นพุ่มใหญ่ บางส่วนสูงมองดูไกล ๆ เหมือนต้นโพธิ์
มีวิหารอีกหลังสีทองสวยงามมากครับ
และนี่คือรีวิวเที่ยวลำปางแบบครอบครัวของเราครับ หวังว่าคงจะได้รับข้อมูลการท่องเที่ยวและความสุขกลับไปไม่มากก็น้อยนะครับ
สำหรับตอนหน้าจะพาไปเที่ยวอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายกันต่อนะ
ตอนที่ 3 : เที่ยวแม่สาย-ดอยตุง
ปล.หากคุณอ่านรีวิวมาถึงตรงนี้ ผมได้ใช้เวลาและพลังงานมากมายในการเขียนรีวิวเพื่อเป็นข้อมูลและประโยชน์แก่ทุกคน หากคุณชอบรีวิวของเรา เพียงแค่ฝากคอมเม้นท์ กด Like กด Share หรือ กรอกอีเมล์ที่ http://www.2madames.com/followus/ เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆแก่ครอบครัวสุขสันต์ 2 Madames หน่อยนะครับ ทั้งหมดที่ว่ามาไม่เสียตังค์จ้า
อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : 2 Madames Fan Page ด้วยนะครับ
2Madames
ครอบครัว 2 Madames เริ่มเขียนรีวิวมาตั้งแต่ปี 2007 บนห้องท่องเที่ยว Blueplanet ของเว็บไซค์ pantip.com โดยใช้นามปากกา (Login) ว่า "inint&anant" โดยมีภรรยาและลูกสาวคนแรกออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ จึงได้เกิดเป็นฉายา "สองคุณนาย" หรือ "2 Madames" นั่นเอง ได้แก่ คุณนายเล็ก (น้องเกรซ ลูกสาว) และคุณนายใหญ่(แอน ภรรยา) ภายหลังครอบครัว 2 Madames ได้มีสมาชิกเพิ่มอีก 2 คน คือลูกชาย "น้องกาย" และ "น้องเกล็น" ปัจจุบันยังคงออกเดินทาง สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวในการพาเด็กๆออกไปท่องโลกกว้างต่อไป